ไม่เชื่อในศาสนา"บาป"หรือไม่(พิสูจน์ตามหลักตรรกะ)
ธรรมชาติหรือสิ่งที่กำหนดให้ทุกอย่างให้เป็นไป
เช่นว่า เมื่อปลูกต้นไม้ในที่ๆ เหมาะสม ต้นไม้ย่อมเจริญขึ้น
แล้วถ้าเราลองตัดคำบัญญัติออกไป เหลือแต่ท่อนความจริง
ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป
จะพบว่า มีแต่ธาตุที่กระทบกันไปมา
และสิ่งที่มีชีวิตที่มีจิตวิญญาณอย่างมนุษย์นั้น
ย่อมแถมการกระทำต่างๆ ด้วยเจตนาทางใจเข้ามาด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมชาติจะไม่แบ่งแยกว่านี่เรียกว่า
ศาสนา ก., ศาสนา ข. หรือกระทั่งศาสนา ฮ. นกฮูก
แต่จะแบ่งตามสิ่งที่เท่าเทียมกัน ที่เห็นกันตรงหน้า
มีการกระทำด้วยสภาวะทางใจอย่างนี้
ย่อมได้รับผลที่ทำให้ได้สภาวะทางใจอย่างเดียวกัน
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดมากขึ้น เช่น
หากทำกรรมด้วยเจตนาในทางสว่าง ในทางดี
ในทางที่ช่วยเหลือผู้อื่น ในทางลดความสกปรกทางใจ
ขณะที่ทำจะรู้สึกว่าใจเบา ใจสว่าง มีความปลื้มปีติ เบิกบาน อบอุ่น
(อาจเป็นทั้งหมด หรือข้อใดข้อหนึ่ง หรือเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็น)
ผลของกรรมจะส่งผลในทางสว่างเช่นกัน
เช่น เมื่อถูกรางวัลล็อตเตอร์รี่ ความรู้สึกขณะนั้นย่อมดีใจ
ปลื้มปีติ เบิกบาน โปร่งเบามากกว่าจะหนักๆทึบๆ
และอาจอบอุ่นใจเมื่อรู้ว่าจะนำเงินนี้ไปแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายได้
ในทางตรงกันข้าม หากทำกรรมด้วยเจตนาทางมืด
ด้วยเจตนาเอาเข้าตัว ด้วยความโกรธ(ใจแสบร้อนอึดอัด)
ด้วยเจตนาอยากทำให้ตัวเองขาดสติยับยั้ง
ข้อนี้คือไม่เฉพาะทำให้ตัวเองคิดอะไรไม่ค่อยออก
แต่ยังทำให้คนรอบข้างอาจเป็นอันตรายได้ด้วย
เมื่อทำด้วยใจที่มืด ผลกรรมก็ย้อนกลับมาในทางดำมืด
เช่น เมื่อถูกดักทำร้าย แวบแรกจะรู้สึกกังวล หวาดกลัว
อึดอัดใจ อยากหนีไปให้พ้น อยากกรีดร้อง มีใจทึมทึบ
คิดแก้ไขปัญหาไม่ค่อยออก มีใจแสบร้อน
พอเหมาะพอสมกับน้ำหนักของกรรมชั่วที่ได้ทำมาเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ว่าศาสนาไหนสอนอย่างไร
แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง
แม้ไม่เชื่อว่าโลกมีแรงดึงดูด
แต่แรงนั้นก็ดูดท่านให้ติดอยู่กับโลกเสียแล้ว
ปล.อย่าเพิ่งเชื่อ ไตร่ตรองดูในแน่ใจก่อนค่ะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 5 มกราคม 2553 / 19:53
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 5 มกราคม 2553 / 19:57
PS. " คนดีของฉัน..จะต้องเป็นคนไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง ไม่ทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ แต่พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด" พระดำรัสสมเด็จย่า
7 ความคิดเห็น
ศาสนาสอนให้คนในโลกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ไม่นับถือศาสนา แต่ไม่ทำให้ใครเป็นทุกข์ ตรงกันข้ามกลับทำให้คนอื่นมีความสุข
ไม่ก่อให้เกิดความไม่ดีต่อกัน ทั้งต่อเพื่อนมนุษย์ และต่อสรรพสิ่งอื่นๆ ก็พึงปฏิบัติได้
ศาสนามิได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของใครบางคน แต่เพื่อคนที่นับถือนั่นเอง
บางครั้งเราก็จำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น
หากเราได้รับการทำร้ายจากคนอื่น หากเราไม่มีศาสนา เราอาจจะตอบโต้ก็เป็นได้
เป็นผลให้เขาเกิดความบาดเจ็บ กระทบกระเทือนทั้งกายและใจ
ทั้งๆที่เราทำเพื่อแก้แค้น ทำเพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาทำ คนที่ไม่มีศาสนาอาจจะบอกว่าไม่ผิด
แต่คนที่มีศาสนา จะไม่ตอบโต้ และให้อภัย
ถ้าเป็นพุทธ = ก็เป็นเวรกรรมของเราที่ต้องโดน ในอดีตชาติ หรือในอดีต อาจจะเคยทำใครไว้ เลยถูกกระทำคืน
ถ้าเป็นคริสต์  = ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่สอนให้เราให้อภัยคนอิ่น และยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกประการที่เกิดขึ้นในชีวิต
ถ้าเป็นอิสลาม = ก็คล้ายคลึงกับศาสนาคริสต์
ดังนั้น การมีศาสนาก็เป็นสิ่งป้องกันตนเองจากความไม่ดี ความไม่ดีในที่นี้คือ ความทุกข์
แต่หากดำรงอยู่ได้ด้วยการไม่มีศาสนาแล้วพึงไม่ก่อให้คนอื่น สรรพสิ่งอื่นๆ รวมถึงตนเองได้รับความเดือดร้อนก็เป็นสุขได้คับ
(คนที่ไม่ตอบโต้ และให้อภัย คือคนที่นับถืบศาสนาด้วยจิตใจที่ลึกซึ้งแท้จริง ไม่นับถือเพียงแต่ผิวเผิน)
PS.
หุหุ เราไม่เก่งพระพุทธอ่ะ
แต่เท่าที่จำได้พระพุทธเจ้าก็กล่าวไว้นิครับ ว่าหลักธรรมที่พระองค์สอนไม่ใช่สิ่งที่พระองค์กำหนดขึ้น ทุกสิ่งเป็นความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นสัจธรรม พระองคเพียงแต่นำความจริงนั้นมาบอกต่อเท่านั้นเอง
ประมาณนี้รึปล่าว
ผมไม่นับถือศาสนาครับ ก็ไม่เห็นมันจะเป็นอะไร
ศาสนาพุทธ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ให้ศรัทธา ควบคู่ ปัญญา นิครับ
เราจะได้ไม่งมงาย ถ้าเราเห็นว่าไม่ทำความเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่นก็ทำไปเถอะครับ
อย่างน้อย มีศาสนาก็เป็นที่ยึดเหนี่ยว
แต่ถ้าท่านเข้าถึงแก่นจริงๆ จะพบกับความสุขครับ
สาธุ!!
อื้ม เราว่า คิด เเบบโยนิโส มาช่วยไหม
เเบบ ภิพัทชวาทอ่ะ(พิมผิดเเน่เลย)
PS.
ที่เขียนมาเหมือนว่าคุณเชื่อศาสนามากกว่านะ
ศาสนาเเอชเเท๊ก (มายันโบราณ) สังเวยศัตรูควักหัวใจทั้งเป็นบูชาเเด่ ฮิโลพอกซี่ เทพผู้กินหัวใจมนุษย์
ที่พูดมาไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ๆจริงสักคน เจ้าของกระทู้เองจริงๆก็ยังติดอยู่กับศาสนาพุทธ ยังไม่เข้าใจถึงเเ่ก่นของความเชื่อเลย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?