Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เมื่อหมอพูดว่า…”ผมเป็นเอดส์”

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
“เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ ตอนนี้เพื่อนผมประมาณ 6 คนที่ใช้ทุนที่เดียวกันรู้หมดแล้วล่ะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ถึงผมไม่ได้บอกด้วยปาก แต่จากสีหน้าผมทุกคนคงรู้ว่าเกิดสิ่งร้ายแรงกับผมเป็นแน่ ผมขอให้เพื่อสนิทผมเล่าให้กับเพื่อนบางคนที่อยู่ด้วยกัน เพื่อนๆผมทุกคนดีกับผมมาก ให้กำลังใจผมอย่างดี มันทำให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆก็ยังมีเพื่อนเป็นห่วงเราอยู่

ผมขับรถออกไปจากรพ.ที่ผมอยู่ประมาณ 20 กิโลเมตร เพื่อไปยังห้องแล็ปแห่งหนึงที่ต่างอำเภอตามคำแนะนำของพี่เนศ มันลักษณะเหมือนคลีนิดที่อยู่ในซอยลึกพอควร ผมเข้าไปก้บเพื่อ พบผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ซึ่งพบคาดว่าคงเป็นเจ้าของ ผมบอกเค้าว่ามาเจาะ CD4 และ viral load พี่เค้าทำสีหน้าตกใจไปชั่วครู่ แต่ก็พูดคุยกับผมอย่างดี สิ่งนี้ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักเทคนิคการแพทย์ หรือ แพทย์ จริงจริงแล้วคุณค่าของอาชีพอย่างพวกเรา มันอยู่ที่จรรยาบรรณ มากกว่าระดับความรู้ มากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก และมากกว่าเงินทองที่เราประเมินจากสิ่งที่เราสัมผัสได้เสียอีก

ผลเลือดผมออกมาแล้ว CD4 455, 20% และ viral load 610, log 2.79 ถึงตอนนี้ผมหมดสิทธิ์ deny แล้วครับ ผมมีเพื่อนใหม่มาอยู่กับผมตั้ง610 ตัวต่อเลือด 1cc ชีวิตตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนไปอย่างถาวรแล้ว ผมต้องระวังเลือดของตัวเองไม่ให้ไปโดนอื่น เรื่องแฟนคงหมดโอกาส คงไมมีใครคิดจะมีแฟนเป็นคนติดเชื้อหรอกใช่มั้ยครับ

ถึงวันนี้ผมมองย้อนไปในวันที่เกิดเหตุ 6 เดือนก่อน้ผลเลือดจะผิดปกติ วันนั้นผมง่วงมาก ผมหลับไปและโดนตามมาทำ appendix ตอนเที่ยงคืน ซึ่งยังไงก็คงต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่สุดท้ายผมก็ทำเข็มทิ่มตัวเอง…..ตกลงใครผิด…ผมทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้ ง ผมผิดหรืือเปล่าที่ประมาทเลินเล่อ แต่ผมทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยก็เหนื่อย และต้องอยู่เวรต่ออีก ถ้าชีวิตผมเป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องมีซักวันที่ต้องโดนเข็มทิ่มแน่แน่
หรือว่าผมควรจะโกรธคนไข้ ถ้าเขาไม่ติดเชิ้อ เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ยังไงก็คงไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมคงไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้

ถึงตอนนี้ผมไม่ได้โกรธใครเลย เพราะผมถามตัวเองว่าถ้าผมย้อนกลับไปวันนั้น ผมจะยังผ่า appendix ในคนไข้ติดเชื้ออีกหรือไม่ คำตอบก็คือผ่า เพราะถ้าไม่รักษาเค้า แล้วใครจะไปรักษาเค้า เราเกิดมาเป็นที่พึ่งของคนหมู่มาก ถึงแม้เราจะได้เงินตอบแทน(ในบางครั้ง) แต่สิ่งที่เราทำลงไปแลกมาได้ด้วยชีวิตของคนไข้ ผมมองว่ามันน่าจะคุ้มนะ ถึงแม้ว่ามันจะแลกมาด้วยอนาคตของผมเอง

ผมเคยได้ยินเรื่องค่าตอบแทนถ้าเกิดบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อที่เกิดจากการ ทำงาน ประมาณ 1-2 ล้านบาท ซึ่งในกรณีของผม มีผลเลือดของรพ.ที่ปกติแล้วเปลี่ยนมาเป็นติดเชื้อ อย่างน้อยน้อยผมก็ได้มาเป็นค่ายาในอนาคตเพราะคงมีวันนึงที่ CD4ต่ำกว่า 200 ผมถามเรื่องนี้กับพี่เนศ พี่เค้าบอกว่าเค้าก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่เคยเจอเรื่องนี้มาก่อน ผมกับพี่เนศจึงขึ้นไปปรึกษากับผู้อำนวยการ ท่านแสดงความเห็นอกเห็นใจผมเป็นอย่างมาก และก็ยินดีจะช่วยดำเนินการให้ แตมันอาจไม่ง่ายอย่างที่ผมคิด ท่านแนะนำว่าให้ลองคิดดีดี เพราะการจ่ายเงินของระบบราชการล่าช้าและซ้ำซ้อนมาก ชื่อของผมจะต้องโดนเสนอไปถึงกระทรวง เงินเป็นล้านราชการคงไม่ยอมให้คุณง่ายๆหรอก และน่าจะมีการสอบด้วย ถึงตอนนั้นจะมีคนจำนวนมหาศาลรับรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมทำใจได้หรือ้เปล่า ถ้าเพื่อนผมรู้ว่าผมติดเชื้อ จะมีกี่คนที่คิดว่าผมติดเชื้อจากการทำงาน ถ้าอาจารย์รู้ ผมจะได้มีโอกาสเรียนต่อหรือไม่ แต่ที่แน่แน่ถ้าคนไข้รู้ ไม่มีทางที่พวกเค้าจะมาตรวจกับเราเป็นแน่

คำตอบก็คือ ไม่ ผมทำใจไม่ได้ ผมลองกลับมาคิดดู เงินล้านน่ะผมใช้เวลาเท่าไรในการหามาด้วยตัวเอง ถ้าวันนี้ผมลาออก ไปทำงานรพ.เอกชน แค่อยู่คลินิกประกันสังคม ภายในปีเดียวผมก็หาได้แล้ว มันจะคุ้มหรือที่ผมขายข้อมูลตัวเองซึ่งเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ผมหาได้ใน 1 ปีเทียบกับชิวิตที่เหลืออยู่อีกหลายสิบปี คิดยังไงก็ไม่คุ้ม

ผมรู้สึกชีวิตผมมันน่าตลก คนเค้าว่าคนที่มาเรียนหมอเป็นคนที่เรียนเก่งอันดับต้นต้นของประเทศ แต่สุดท้าย หมอกลับเป็นอาชีพขาดคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำงานก็หนัก ชีวิตของพวกเราเมื่ออยู่ในสายงานรัฐบาลก็มีแค่พอกิน ไม่ได้อยู่สบายเหมือนกับคนอื่นเค้า พอเกิดเรื่องเราก็ไม่มีโอกาสได้อะไรเลย…งั้นเหรอ

หากรักสบายซักนิด
นึกคิดทำขี้เกียจ
ถึงตอนนี้คงไม่เครียด
ที่กระเดียดมาเป็นหมอ

เวลาย้อนกลับไม่ได้
สิี่งที่เปลี่ยนไม่รั้งรอ
หากยังนั่งเพียงวอนขอ
ก็ไม่รูต้องรออีกเท่าใด

ชีวิตในวันนี้
โทษใครดีที่เปลี่ยนไป
เพราะเราหรือเพราะใคร
หรือเพราะไซร้ที่เกิดมา

ทุกคนมีความทุกข์
แต่ถ้าลุกมารักษา
อย่ายอมแพ้กับชะตา
เพราะว่าข้าคือคนจริง

3 อาทิตย์ผ่านไป สภาพจิตใจของผมดีขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่ายังไม่เหมือนเดิมนัก แต่ว่าอย่างน้อยผมก็รูว่าผมยังมีคนเป็นห่วงและให้กำลังใจอยู่อีกมาก ที่สำคัญวันนี้เป็นวันศุกร์ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวร ผมจะได้กลับบ้านซักที เผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น

ผมไม่ได้กลับบ้านมาซัก 2 เดือนแล้ว พ่อแม่ผมดีใจที่วันนี้ผมจะกลับและอยู่กับที่บ้านในวันหยุด แต่การกลับบ้านครั้งนี้ของผมไม่เหมือนทุกครั้ง ผมวางแผนที่จะบอกข่าวร้ายที่สุดให้กับคนที่ผมรักที่สุดซึ่งก็คือพ่อแม่ของผม ตลอดทางระหว่างผมขับรถกลับกรุงเทพ ผมคิดหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกโดยที่เจ็บน้อยที่สุด แต่ก็คิดไม่ออก เพราะว่าเรื่องของผมมันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ผมไมอยากให้พ่อแม่เป็นเหมือนกับที่ผมที่รู้ข่าวในช่วงแรก

คืนวันเสาร์ ผม พ่อแม่ และน้องน้อง นัดกันไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่ครอบครัวของผมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความสมัครสมานสามัคคีกันดี ผมทำตัวเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราคุยกันหยอกล้ออย่างเคย ทุกคนต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แม่ถามผมว่า ทำงานเหนื่อยมั้ย คนไข้เยอะหรือเปล่า อย่ามัวแต่หาเงินนะ กลับมาบ้านบ้างก็ได้ ผมยิ้มกลับให้แม่ แต่หัวเราะไม่ออก คำถามของแม่มันช่างเจ็บปวดเหมือนกับจะบังคับให้ผมบอกข่าวร้ายตรงนัน ภายในตาทั้งสองมีน้ำตาเอ่อรอล้นออกมา ผมตอบแม่ว่า ผมสัญญา เพราะต่อไปนี้ผมคงไม่ทำงานหนักอีกแล้ว แม่ฟังผมแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

เมื่อกลับถึงบ้าน คืนวันอันแสนสุขได้ผ่านไป ความจริงที่กำลังจะปรากฎต่อหน้าพ่อแม่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะรับไหวหรือไม่ ผมสัญญากับพี่เนศแล้วว่าผมจะบอกเมื่อผมพร้อม เพราะว่าพ่อแม่ก็คงมีอาการเหมือนกับผมในช่วงแรกที่ทราบข่าว ผมจำเป็นต้องมีสติและเป็นผู้คุมสถานการณ์ให้ได้ ผมพร้อมแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้ว วันนี้เราจะเผชิญหน้ากับความจริง

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ กดล็อกประตู นั่งบนเก้าอี้ในห้อง ทำหน้าตาจริงจังเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน พ่อแม่ผมเริ่มสีหน้าไม่ดีเพราะรู้ว่าน่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น “ผมติดเชื้อ HIV” ผมบอกพ่อแม่เป็นประโยคสุดท้ายว่าผมติดเชื้อ HIV ในตอนนั้นแม่ผมล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้และสับสนมากในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พ่อผมยืนนิ่ง ตกใจไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมก้มลงไปประคองแม่ของผมขึ้นมาจากพื้น แต่แม่กุมมือผมแน่นทั้งสองข้าง โอบกอดรัดตัวผมแนบสนิท เหมือนกลัวว่าใครจะพรากของที่รักที่สุดไป “แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจที่บังคับขู่เข็ญให้เรียนหนังสือ แม่เพียงหวังจะให้ลูกได้ดีเมื่อโตขึ้น แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับลูก แม่ขอโทษ” แม่ผมพูดแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้มากขนาดนี้มาก่อน แม่คิดว่าผมกำลังจะตาย แม่ผมคิดอย่างนั้น ผมค่อยๆอธิบายเรื่องราวของโรคนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่สนใจมาก ถามทุกประเด็นที่ท่านสงสัย แม่ถามผมว่าลูกจะลาออกไหม กิจการที่บ้านมันมากพอที่ผมจะไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยตลอดชีวิต ผมไม่รู้หรอก ผมคิดไม่ออก ผมไม่กล้าตัดสินใจ

สุดท้ายผมก็ได้ทำบาปครั้งใหญ่่คือสร้างความทุกข์อย่างใหญ่หลวงให้กับพ่อแม่ คืนนั้นแม่ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ผมเสียใจกับเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในชีวิตผมและครอบครัว แต่ผมก็ดีใจเพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อนมาเดินอยู่ข้างๆผมอีกสองคนแล้ว

คืนวันอาทิตย์ ผมเก็บของเตรียมกลับไปต่างจังหวัดเหมือนเคย แม่เดินเข้ามาพูดคุยกับผมตลอด ผมจำได้ดีว่าคำพูดทุกคำของแม่ที่พูดกับผมตอนนั้นมันกลั่นออกมาจากความห่วงใย ที่สุดที่คนคนหนึ่งจะให้กับคนคนหนึ่งได้ แม่เป็นห่วงผมในทุกเรื่อง แม่ถามทุกคำถามที่แม่นึกออก ผมหัวเราะให้แม่ ผมหัวเราะครั้งแรกของผมให้กับแม่ ผมรู้สึกเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ผมกลับไปทำงานตามปกติ ตอนนี้ผมดีขึ้นมาก ผมบอกทุกคนที่ควรจะรู้จนครบแล้ว รู้สึกเหมือนหน้าที่ผมลุล่วงไปด้วยดี วันนี้ผมมีกำลังใจมากขึ้นกว่าทุกวัน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องของผมที่พร้อมจะเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น

แต่เรื่องของผมนี่แหละที่เป็นปัญหา ผมได้รับการตอบรับเพื่อเป็น resident ศัลยกรรมของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พี่ที่แผนกธุรการโทรมาทวงเอกสารที่ผมยังส่งไม่ครบ เพราะว่าถ้าเกินกำหนดนั่นแปลว่าผมสละสิทธิ์ เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหม่ให้ผมจริงๆ คำถามคือศัลยแพทย์ที่ติดเชื้อทำผ่าตัดได้หรือเปล่า ผมสับสน ไม่กล้าตัดสินใจ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืน ผมอยากเรียนศัลย์ แต่ไม่รู้ว่ามัน fair กับคนไข้หรือเปล่าHuh

วันรุ่งข้นผมเดินไปหาพี่เนศและพี่ปก ผมถามคำถามนี้กับพี่ๆ โดยหวังว่าผู้ใหญ่น่าจะมองในกรอบที่กว้างกว่าเด็ก พี่เค้าตอบว่ามองเผินๆอาจจะใช่ แต่พี่ว่าไม่ เพราะเวลาเราผ่าตัดเข็มเราจะเลอะเลือดคนไข้ตลอด เวลาพลาดโดนเข็มตำ เลือดของคนไข้ก็จะมาเปื้อนเราทำให้เราติดเชื้อ แต่ในทางกลับกันถ้าเข็มเปื้อนเลือดเราเมื่อไร เราคงเปลี่ยนเข็มนั้นเพราะมัน contaminated ไปแล้ว เราคงไม่เอาเข็มที่เปื้อนเลือดเราไปเย็บต่อ ส่วนในกรณีที่ว่ากลัวเลือดหยดลง field คงไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราคงไม่ได้ใช้กรรไกรหรือมีดมาตัดนิ้วเรา เลือดถึงมากพอที่จะตกลงไปได้ ผมคิดดูมันก็จริง แต่คนไข้จะยอมรับเหรอ ไม่มั้ง ผมว่าไม่ ใครจะยอมให้หมอที่ติดเชื้อมาผ่าตัด

อนาคตของผมมันผันแปรไปเป็นเพราะผมอยากเป็นหมอผ่าตัด ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามเพราะว่าเข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 ccนั้น แต่ผมก็ยังดื้อด้านกลับไปหาสิ่งนั้น ผมถามตัวเองว่าผมทำไปเพื่ออะไร คุ้มจริงจริงเหรอที่จะกลับไปเรียนหนัก ทำงานหนัก ศัลยกรรมมันเหนื่อยนะ มันจะทำให้ขีวิตมันแย่ลงหรือเปล่า ตอนนี้เราไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เราจะมาคิดแบบเดิมไม่ได้ แต่ไม่ใช่ ใจผมตอบว่าไม่ใช่ ตัวผมเปลี่ยนไป แต่ใจยังรักเหมือนเดิม ผมยังอยากเป็นหมอศัลยกรรม ผมว่าตัวผมมีคุณค่า ผมคิดว่าชีวิตในอนาคตของผมจะไม่อยู่อย่างคนขลาด อยู่อย่างเจียมตัวว่าเป็นคนป่วยแล้วไม่คิดทำอะไร ผมเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่มาพร้อมกับผม ผลเลือดที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ชีวิตผมจบลง ผมไม่ยอมแพ้เข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 cc ในคืนนั้นแน่ ชีวิตที่เกิดมาตั้ง 20 กว่าปียังไงก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์ในช่วงวินาทีเดียว ไม่มีทาง

ลุกขึ้น ยืนหยัด กัดฟันสู้
กลับมองดู ความฝัน ครั้งหลัง
วันนี้ วันใหม่ ผมมีพลัง
ไม่มีใคร มารั้ง ผมต่อไป

ไปข้างหน้า เจ็บขา ได้บางคร้ง
เหนื่อยก็นั่ง พักใจก่อน ให้สดใส
พรุ่งนี้มา เราสู้ใหม่ ไม่อ่อนใจ
ไม่ยอมให้ สิ่งไหน มาทำลาย

ยิ้มหัวเราะ ต่ออุปสรรค ที่เกิดขึ้น
เพราะว่า-ึง จะไม่เกิด เป็นซ้ำสอง
ความสำเร็จ ในวันหน้า จะมากอง
เหล่าเพื่อนพ้อง ร่วมสรรเสริญ ในโชคชัย

สิ่งที่ผมได้มาจากประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ของผมคือ “มันสมอง” มันสมองที่ไม่ได้หมายถึง IQ หรือความรู้พิเศษอะไร แต่เป็นมันสมองที่ช่วยให้ผมลองมองสิ่งของเดิมรอบตัวผมด้วยความรู้สึกใหม่ ว่าการตีค่าว่าของหนึ่งชิ้น หรือคนหนึ่งคน ขึ้นกับอะไรกับ ในวันแรกที่ผมรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมรู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีค่า เป็นของมีตำหนิ ซึ่งคงเป็นตราบาปที่ติดตัวผมไปจนตาย แต่ในวันนี้ผมไม่ได้มองแบบนั้น ค่าของคนไม่ได้เป็น่ทีสิ่งที่คุณเห็นด้วยตา แต่เป็นสิ่งที่คุณเห็นได้ด้วยใจ มีครั้งหนึ่งที่ผมดูแลคนไข้ที่เข้ามารักษา cholangiocarcinoma หน้าที่ของผมคือ consult intervention เพื่อ cholangiogram with PTBD บอกsurgery เพื่อผ่าตัด บอก medicine เพื่อช่วย preop หน้าที่ของผมคือบอกคนอื่นให้ช่วยรักษาคนไข้ของผม ผมทำไปตามหน้าที่ ก็เราไม่ใช่ specialistนี่ เราก็ต้องทำแบบนี้แหละ แต่ในวันที่คนไข้กลับ คุณลุงแกให้เงาะผม 3 ลูก มังคุด 2 ลูก ใส่ถุงพลาสติกสีแดงมาให้ผม คำถามของผมคือนี่อะไร เทียบกับ 300 บาทที่เป็นค่า DF ของโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้หรอก แต่ผมได้คำตอบเมื่อผมเงยหน้ามองแก เห็นหน้าคุณลุงที่มแต่คำขอบคุณสุดพรรณา แกบอกผมเพียงขอบใจ ทำให้ผมได้คำตอบว่า นี่มันเรียกว่า “ใจ” ใจที่ไม่ได้ซือ้ให้กันได้ แต่คุณให้คนอื่นได้ไม่มีวันหมด ไม่มีวันจาง แม้ว่าชีวิตคุณจะเป็นยังไง

ผมกลับมาที่กรุงเทพ ชีวิตวันหยุดก่อนการเรียนต่อทำให้จิตใจผมสบายขึ้นมาก ผมเลิกคิดเรื่องการลาออก ผมไม่คิดว่าร่างกายของผมจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียน ผมใช้ “ใจ” ของผมเป็นตัวตัดสิน มีเพื่อนผมหลายคนบอกให้ผมไปเรียนสาขาวิชาอื่นที่ไม่หนักมาก จะได้พักผ่อนมากๆเนื่องจากกลัวผมจะทำงานไม่ไหว แต่ผมบอกพวกเขาไปแล้วว่าผมไม่ได้ป่วย จริงอยู่ที่ผมติดเชื้อ แตว่าผมไม่ได้ป่วย ผมไม่ได้ poor insight หรือยังอยู่ในช่วง deny แต่อย่างใด แต่ผมลองเปรียบเทียบความรู้สึกว่าการที่ผมได้เรียนสิ่งที่ผมอยากเรียน ทำงานในสิ่งที่ผมอยากทำ เทียบกับการที่ผมทำงานอย่างเจียมเนื่อเจียมตัวว่าตัวเองป่วย ตอนบ่ายก็กลับบ้านไปนอนพักผ่อนแล้วก็นอน ผมทำใจไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนกองทุกข์และความเศร้า ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวของผมเอง ผมอยากออกไปทำงาน ไม่อยากอยู่อย่างคนป่วย ถ้าเรามองเปลี่ยนมุมคิดใหม่ว่าการควบคุม CD4 คือการควบคุม DTXล่ะ มันทำใ้ห้ชีวิตเราดีขึ้นบ้างไหม จะเทียบว่า HIV กับ DM เหมือนกันรึเปล่า ผมว่ามันก็ใกล้เคียง CD4นั้นมีขึ้นมีลงตลอด เหมือนกับระดับน้ำตาลของคนไข้เบาหวาน อยู่ดีดีมันก็ขึ้น เจาะอีกทีก็ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณเป็นคนไข้ที่กินยาเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ หรือฉีดยาเป็นประจำ เจาะระดับน้ำตาล (หรือCD4, viral load) อย่างเป็นประจำ โรคแทรกซ้อนต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันมียาต้านออกมาตัวใหม่ใหม่อยู่ตลอด ข้อมูลในปัจจุบันของยาตัวใหม่อาจยังไม่มีผลการทดลองในระยะยาวมากนัก เพราะว่ายามันเพิ่งมีผลิต แล้วคุณจะไปเอาระยะเวลาที่ไหนมาบอกว่าคุณจะตายแล้ว นั่นสิ ผมคิดถูกแฮะ ผมมีความหวังอยู่ สมัยก่อนวัณโรคเป็นแล้วตาย แต่ตอนนี้กิยาแค่ 6 เดือน แล้วโรคของผมถ้าในวันหน้ามียารักษา อาจจะต้องกินยาเป็นปี หรือว่าหลายปี ผมก็จะรอวันนั้น วันที่ผมประสบความสำเร็จในอาชีพ และประสบความสำเร็จในการรักษาโรคของตัวเอง

ตอนนี้โรคของผมได้รับการดูแลจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในประเทศไทย ผมอุ่นใจมาก ผมเจาะ CD4, viral load ทุก 2-3 เดือน ผลเลือดผมใกล้เคียงเดิมมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยที่ผมยังไม่ได้เริ่ม้กินยา และตอนนี้ผมก็เป็น resident 1 general surgery อย่างเต็มตัวแล้ว ชีวิตผมไม่ได้สุขสบายมากนัก เนื่องจากเรียนหนัก ไม่ค่อยได้นอน และก็ไม่ค่อยได้กินข้าว คำตอบของผมอยู่ที่ใจคำเดียวเท่านั้น ใจเท่านั้นที่ทำให้คุณไปถึงทุกที่ ใจที่ไม่ยอมแพ้ ใจที่ไม่ลดละ ใจที่พร้อมเสียสละ ใจที่อยากเอาชนะสิ่งทั้งปวง ใจนี่แหละที่ยังรักษาระดับCD4เอาไว้ได้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมเชื่อ

ผมพร้อมจะกลับมาเป็นหมอแล้ว

“งานหนักนะเนี่ย” ผมเริ่่มคิดบ่อยขึ้นเวลามาทำงาน ปกติตอนใช้ทุนผมก็ว่าเหนื่อยแล้ว แต่ตอนนี้มันดูเหนื่อยยิ่งกว่า คนไข้ก็มักจะเป็นคนไข้ที่ซับซ้อนถึงได้ส่งตัวมาถึงโรงเรียนแพทย์้ ทั้งอาจารยที่เข้มงวด  ทำให้บางทีก็คิดท้อ แต่บางทีก็นึกสู้ แต่สุดท้ายผมก็ยังเดินหน้าต่อ เพราะประสบการณ์บอกผมว่า ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ความยากลำบากนี่แหละที่เป็นเครื่องพิสูจน์คน

ตั้งแต่ผมรับรู้และยอมรับความเปลียนแปลงของตัว้เอง ผมเริ่มมองคนรอบตัว เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์กับเพื่อนที่รู้ข่าวของผม ทำให้ผมเริ่มรับรู้ว่า ไม่ใช่มีผมคนเดียวที่เจอสิ่งร้ายสิ่งนี้ เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนของผม(ที่รู้ว่าผมติดเชื้อ) มาเล่าให้ผมฟังว่า แฟนของเพื่อนของเพื่อนก็ตรวจพบว่าติดเชื้อHIV ซึ่งเกิดจากโดนเข็มตำเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุที่บอกเพื่อนของเพื่อนผม ก็เพราะว่าเค้าทั้งสองกำลังจะแต่งงาน แต่ดันมาเกิดเรืองก็เลยต้องบอกความจริงก่อนที่จะไปเจาะเลือดก่อนแต่งงาน ผมฟังแล้วก็รู้ยังสึกตกใจอยู่เหมือนกัน นี่เหตุการณ์อย่างนี้มันเกิดได้เรื่อยๆเลยเหรอ ผมถามเพื่อนว่าแต่งเรื่องมาปลอบใจผมรึเปล่า มันดูบังเอิญมากเกินไป แต่เพื่อนผมบอกว่าไม่ เพื่อนผมไม่ยอมบอกว่าคนนั้นคือใครเพราะได้สัญญาไว้แล้ว แต่เลือกที่จะเล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้ผมฟัง เผื่อว่าผมจะรู้สึกดีขึ้น คำถามแรกของผมที่เข้ามาในใจคือ “อีกแล้วเหรอ” ทำไมผมไม่เคยรู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้เกิดในพวกเราแพทย์ได้้บ่อยๆ พวกผู้ใหญ่เค้ารู้เรื่องนี้แต่ไม่ได้บอกเราหรือว่าไม่รู้กันแน่ เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้าแสดงตัวในที่สาธารณะเหมือนกัน ผู้ใหญ่ทุกท่านที่รู้เรื่องของผมก็พยายามช่วยเก็บเรื่องของผมเป็นความลับเหม ือนกัน ซึงทำให้ผมเชื่อว่านี่ยังเป็นความปรารถนาดีจากผู้ใหญ่ทุกท่านที่หวังดีกับผม  

ความรักมันขึ้นกับอะไรกันแน่่ เรารักเค้า เค้ารักเรา แต่เรากลับอยู่ด้วยกันไม่ได ้เพราะว่าเรามีมือที่สามเป็นเชื้อHIV เราอยู่ในฐานะที่ยังไม่แต่งงาน คู่ของเรายังคงมีทางเลือกที่อาจจะดีกว่าถ้าลองไปคบกับคนใหม่ แต่เหมือนเราจะไม่มีทางเลือกมากนัก ในกรณีของแฟนของเพื่อนของเพื่อนผมต้องเลิกกันมันทำให้ผมรู้สึกสังเวชใจ ว่าคงไม่มีใครยอมเสียสละชีวิตมาอยู่กับเรา จะมีก็คงเป็นแต่พ่อแม่ที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อเรา  

ผมโตมาโดยส่วนใหญ่แม่ผมเป็นคนเลี้ยง วันนั้นผมกลับบ้านถามแม่ผมว่า เลี้ยงผมมาเหนื่อยไหม แม่ผมตอบว่าเหนื่อย ผมถามต่อว่าแล้วเสียใจไหมที่ผมคงไม่่ได้เป็นอย่างที่แม่ต้องการ แม่เดินเข้ามาหาผม เอามือขวาลูบผมผมเบาๆอย่างทะนุถนอม แม่ผมบอกว่า ถึงวันนี้แม่ผมภูมิใจ ภูมิใจท่ีลูกของแม่ช่วยเหลือคนไข้ให้พ้นความทุกข์ ถึงแม้ลูกจะเสียบางอย่างไป แต่แม่เชื่อว่าการให้ของลูก  จะทำให้มีปาฏิหารย์ได้ แม่เชื่ออย่างนั้น

ถึงวันนี้แม่ผมยังเชื่อว่าอนาคต ผมอาจจะหายป่วยได้จากการรักษาที่มีพัฒนาการมากขึ้น ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่ได้คิดว่าจะมีหรือไม่ เพราะผมก็ยังไม่ทราบและยังไม่ได้ข่าวของการรักษาที่ว่านี้ แต่ผมมีสิ่งนึงที่เชื่ออยู่ตลอด ชีวิตที่เคยหมดค่าจนเกือบสุด วันนี้กลับลุกขึ้นมาจับมีดจับเข็มที่เคยทำร้ายตัวเองได้ เพราะว่าผมรู้จักที่จะให้ ให้โดยไม่หวังผล ให้ไปเถอะครับ มีคนในประเทศนี้ที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกมากจากพวกคุณ

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกได้ให้คำสอนแก่แพทย์ทั้งหลายว่า “ฉันใช่สอนให้เห็น เธอเป็นหมอ สำคัญตน แต่เธอต้องเป็นคนด้วย, ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่๒ ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่ ๑ ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์ ” “

ผมอ่านแล้งอึ้งครับ น้ำตาไหล พูดไม่ออกครับ

แสดงความคิดเห็น

>

17 ความคิดเห็น

หมอก็ลำบากนะ 11 มี.ค. 53 เวลา 18:26 น. 2

ผมมีข้อสงสัยครับคือมีหมอหลายคนเหมือนกันที่ดดนเข็มฉีดยาของผู้ป่วยโรคเอดส์แต่ก้ไม่ติดเชื้อ คือเข็มฉีดยานี่มันก็ยังมีโอกาสติดเชื้อแต่น้อยใช่หรือเปล่าครับ(เป็นคนละกรณีกลับใช้ยาเสพติดร่วมกับผู้อื่นนะ)

0
o0 ~ blossom ~ 0o 11 มี.ค. 53 เวลา 19:08 น. 3
กรณีนี้คุณหมอคนนี้อาจจะโดนเข็มที่มีเลือดติดมั้งค่ะ

PS.  คำแก้ตัวคือไวรัสที่แพร่เชื้อออกมา จากปากของคนอ่อนแอ....
0
taothaipimp 11 มี.ค. 53 เวลา 19:31 น. 4

โดนเข็มแทง มีโอกาสติดครับ
แม้กระทั่งละอองเลือดกระเด็นเข้าตาก็มีโอกาสติด


PS.  dentistry = dent is try^^
0
Mimahee 11 มี.ค. 53 เวลา 19:41 น. 5

เป็นคุณหมอที่น่านับถือมากกกก

เราก็เคยคิดอยากเป็นหมอนะ เราชอบช่วยเหลือคนอื่น

แต่เราไม่ชอบเสียสละเวลาส่วนตัวให้ใคร 

เราคิดว่าเราคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นหมอที่ดีได้

0
Michiyo 11 มี.ค. 53 เวลา 19:56 น. 7

เคยคิดเหมือนกันนะ...ว่าถ้าทำงานสายอาชีพนี้
...แล้วเจอกรณีเข็มฉีดยาเช่นนี้...จะทำเช่นไร...

คนรอบข้างก็เข้าใจ  คุณหมอคนนี้เข้มแข็งมากค่ะ...


PS.  ไม่!...ไม่!...ลูกอยากARTอ่ะ...
0
CassyP 11 มี.ค. 53 เวลา 19:58 น. 8

 ไม่มีไรจะพูด รู้เเต่ยังไงก็ยังอยากเป็นหมอ  นับถือจริงๆค่ะ


PS.  ผู้ชายดีๆในโลกนี้หนึ่งตายไปแล้ว...สองมีเจ้าของแล้ว
0
sugar - rolly 11 มี.ค. 53 เวลา 20:06 น. 9

นับถือในมุมมองความคิด ทัศนะคติในการใช้ชีวิต&nbsp และการที่มีกำลังใจขนาดนั้นได้ รับมือกับเรื่องแบบนี้ได้

เป็นคุญหมอที่น่านับถือที่สุดเลยค่ะ

0
jomplom 11 มี.ค. 53 เวลา 20:19 น. 10

สู้ๆนะค่ะ ชอบคุณหมอมากเลย

คุณหมอเป็นคนที่มี่ค่าค่ะ

อย่าเพิ่งท้อนะค่ะ เชื่อเถอะว่าปาฏิหารมีจริง

ถึงไม่มี แต่ใจคุณหมอที่กลับมาสู้คือปาฏิหารค่ะ

0
นัด 11 มี.ค. 53 เวลา 20:21 น. 11

การที่เข็มทิ่มตำมือ และคนไข้มีเชื้อHIV โอกาสติดเชื้อน้อยมากๆ ไม่ถึง1% แต่พอโดนเข้มทิ่มทุกคนจะเครียดมาก ต้องกินยาป้องกันเลย โดยเฉพาะนักศึกษาแพทย์ซึ่งมีประสบการณ์น้อยมักเกิดอุบัติเหตุได้บ่อย แต่จิงๆแล้วหัตถการส่วนใหญ่ถ้าทราบว่าผู้วยมีHIV positive มักไม่ให้นศพทำ104

0
My HIV 11 มี.ค. 53 เวลา 20:29 น. 12

พวกเรียนหมอก็โดนเข็มตำกันทุกปีครับ..ซวยหน่อยก็เจอเข็มจากผู้ติดเชื้อHIVตำเอา(จากการประหม่า+ประมาท)

ถ้ารู้ตัวและไม่ตระหนกเกินไป(ไม่เกิน24ชม.)ก็จะรีบติดต่ออาจารย์..ทานยาต้านไวรัสต่อเนื่อง 6 เดือนก็ตรวจเชื้อเป็นลบได้ครับ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณเลือดที่ปลายเข็มด้วย..เพราะถ้าเลือดเยอะๆก็รอดยากเหมือนกันตัวอย่างเช่นเจอหลอดที่เก็บตรวจHematocritจิ้มครับ..เพราะหลอดบ้านี้ถ้าเข้าเนื้อหน่อยมันจะปล่อยเลือดของผู้ป่วยออกมาเยอะมาก..ถ้าโดนก็สวดมนต์ครับ ลุ้นกับการทานยาเอาอีก 3เดือนตรวจทีนึงถ้าเป็นลบก็กินต่อไปรอดูอีก 3 เดือนถ้ายังลบอยู่ก็รอดไป 

บางคนกลัวที่จะมาพบอาจารย์คิดว่าตัวเองติดแน่ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าต้องมาหาอาจารย์ก็สายไปแล้ว=ก็เลยติดจริงๆ(ร้องไห้ไป)

0
15 เม.ย. 53 เวลา 00:04 น. 14

คนเป็นหมอ หมอคนนี้มีหัวใจที่เข้มแข็งจัง
น่านับถือๆๆ


PS.  BIGBANG IS NUMBER1>>>ร๊ากกกกพวกนายที่สู้ดดดดด^^
0
เฟย่า 17 ม.ค. 54 เวลา 01:19 น. 15

สู้ๆ ต่อไปน่ะคร้าบบบ วันนึงมันต้องมียารักษาให้หายขาด แต่ตอนนี้กำลังใจและจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะชนะทุกอย่างได้ ขอแค่มีความสุขกับชีวิตให้มากๆ ดูแลตัวเองให้ดี รักตัวเองให้มากๆ ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ มีอะไรก็ป้องกัน แค่นี้เองครับ แล้วคุณหมอ และทุกคนที่เจอเหตุการแบบนี้ ก็จะมีชีวิตที่ดีไปอีกนานจนแก่จนเฒ่า เป็นกำลังใจให้ทุกคนน่ะครับ

0
Hawk 10 ธ.ค. 55 เวลา 21:01 น. 16

ผมพยายามฆ่าตัวตาย 3 ครั้ง ไม่เป็นผล พ่อผม จับผมมัดไว้ในห้อง อาทิตย์กว่า เพื่อไม่ให้ทำร้ายตัวเอง&nbsp  น่ะ ตอนนี้เป็นอยู่ครับ ไม่ทำอะไรแล้ว ออกจากมหาลัย ทุกอย่าง หมด แต่อย่างน้อยก็ยังมีพ่อกับแม่ครับ ทีี่่คอยดูแลเรา บางทีก็คิดมากนะครับ เราพยายามขลุกอยู่ในห้องคนเดียว ไม่ยุ่งกับใคร น้อง พี่สาว ผมอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ทำอะไร เล่นอินเตอร์เน็ต เหมือนเป็นตัวถ่วง แต่น้องชายผมเค้าก็ มักจะมาเล่นกับผม คุยกับผม ทุกเรื่องเสมอๆ เค้าให้กำลังใจ แต่ตอนนี้น้องชายผมเค้าไม่อยู่แล้ว กำลังใจของผม หมดไปแล้วครึ่งนึง ยังมีพ่อกับแม่ และพี่สาวครับที่คอยเป็นกำลังใจ เคยคิดนะว่าเราจะทำร้ายคนอื่นให้ติดเชื้อแบบเราบ้าง ... แล้วผมจะทำไปทำไม เกลียดตัวเองมากที่คิดแบบนี้ ผมอยากตายไปเร็วๆจัง........ ตอนนี้ผมมีแค่หมาพุดเดิ้ลตัวเล็กๆ ที่พ่อซื้อไว้ให้เป็นเพื่อน ผมอยู่ผมอยากทำประโยชน์ มากๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ครับ นอกจากกวาดบ้านถูบ้าน....

0
โลกสวย 2 มี.ค. 57 เวลา 16:02 น. 17

อ่านแล้วมันดูขัดๆ ด้วยความที่แฟนดิฉันก็เป็นหมอ มีกรณี เข็มคนไข้ตำแบบนี้แหละ แต่มันมียากันภายได้ 72 ชั่วโมงถ้าจำไม่ผิด ก็ไม่ติด ดิฉีนเป็นผู้ติดเชื่อจากแฟนคนแรกค่ะ ไม่เคยเสี่ยง แต่ก็ติด ติดมา อายุประมาณ20 เพิ่งมารู้ ตอนอายุ28 ตอนพาไปเจาะเลือดค่ะ ดิฉันติดเชื้อ มา เกือบ 10 ปี โดยที่ดิฉันไม่เคยรู้ตัวเลย ฉันไม่เคยป่วยไม่มีเคยมีอาการอะไรแสดงออกมาเลย หรือเพราะดิฉันไม่ทานค่อยดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ดิฉันเป็นคนดื่มไม่เก่งค่ะเลยไม่ชอบ แต่จะเสียตรงที่นอนดึกค่ะ หน้าของดิฉันที่เคยสดใส เริ่มมีอาการเซปเดิม หรือ อาการหน้าลอก จากเบาๆไม่หนัก มาหลังๆนี้ละค่ะที่ผิดผกติคือ ผิวหน้าลอกมากๆ หน้าใส่ได้ 2 วันลอกยาวเป้นเดือน ตอนไปตรวจเลือดก็แค่ไปตรวจขำๆ ไม่คิดว่าจะเป็นเลยค่ะ พอผลเลือดออกมา คุณหมอพูดว่า อุ้ยเจอด้วย ไปเสียงมาหรือ ดิฉันบอกว่าเปล่า ดิฉันมีแต่แฟนคนเดียว และเลิกกับแฟนเก่ามา ดิฉันก็คบคนนี้มา จะ 2 ปีแล้ว ถ้าดิฉันติดเค้าก็ต้องติดจากฉัน คุณหมอบอกว่าคุณจะตรวจยืนยันไหม ตอนนั้นดิฉัน อยากเจาะใหม่ค่ะ แต่ไม่ได้เจาะ ยังมีความหวังว่าตัวเองไม่เป็น ดิฉันบอกกับคุณหมอให้บอกผมเลือดกับแฟนดิฉันด้วย ซึ้งคุณหมอบอกว่า มันเป็นสิทธิขิงเราน่ะ จะไม่บอกเค้าก็ได้ ดิฉันยืนยันให้บอกค่ะ ผมเลือดของแฟนดิฉันเป็นลบค่ะเค้าไม่ติดโรคจากฉัน ยิ่งทำให้ฉันมีหวังว่าผลเลือดอาจจะผิด แต่พอไปตรวจอีกครั้งดิฉันก็เป็นค่ะแถมCD4 เหลือ แค่ 92 มีจำนวนไวรัสในตัวดิฉันถึง2แสนตัวจาก10ล้านตัว ช๊อคน่ะค่ะ หลังจากนั้นก็รับยาต้านมาทานค่ะ วันแรงเมายาค่ะ เมามาก จนต้องทานพารา ทานวันละเม็ด ยาเดียวนี้พัฒนาแล้วค่ะ ไม่ต้องทานเยอะแยะ ทานได้1 อาทิตยร์ ผืนไม่มี ไม่แพ้ยา แต่หลังจากนั้น 2 วัน ผืนเริ่มขึ้นค่ะ พรุ้งนี้ หมอนัดไปดู ค่ะ ^^ ถามว่าทำใจได้ไหม ได้ค่ะ แฟนก็สัญญาจะอยู่ด้วยกันจนแก่ตาย แฟนชวนไปจดทะเบียนแต่ดิฉันยังสวยเลือกได้ไม่จดค่ะ อิอิอิ ใจนึงก็โล่งอกน่ะค่ะ ได้ทราบสาเหตุหน้าลอก ได้สักทีวันนึงที่ฉันทานยาแล้วCD4 ฉันขึ้่นมาเยอะๆ ภูมิต้านทานฉันดี ผิวฉันก็จะสวยเหมือนเดิม ดิฉันจะเป็นผู้ติดเชื้อที่สวยและมีความสุขที่สุดในโลกดิฉันสัญญาค่ะ ฉันไม่เคยโกรษคนที่เอาเลือด + มาให้ดิฉัน เพราะฉันก็หวังว่าตัวเค้าก็ไม่รู้ว่าเค้า ติดเชื้อ ฉันอโหสิกรรมให้เค้า ค่ะ

0
โลคสวย 2 มี.ค. 57 เวลา 16:04 น. 18

สู้ๆ น่ะค่ะ มันไม่เลวร้ายหรอกค่ะ ไม่มีใครตายเพราะเอสด์ค่ะ เอดส์มันลายเม็ดเลือดขาวเรา เราก็กินยา สู้กับมันค่ะ พอcd4เราสูงเราก็ไม่ต้องทานยาไปเป็นปีๆเลยค่ะ ^^ อย่าท้อน่ะ

0