Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

กลวิธี่อานใจคนง่ายๆ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
กลวิธีอ่านใจคน

สังเกตจากประวัติการเจริญเติบโต
1. บุตรชายคนโตโดยมากจะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต   ไม่เป็นตัวของตัวเอง.
2. บุตรชายคนรองจะเป็นคนชิงดีชิงเด่น   มีความทะเยอทะยาน.
3. บุตรชายที่ถูกตามใจมาตั่งแต่เด็ก   โดยมากจะเป็นผู้ที่ชอบพึ่งพาอาศัยคนอื่น   อารมณ์ไม่มั่นคง.
4. บุตรคนเดียวของบิดามารดา   โดยมากเป็นคนเฉลียวฉลาด   แต่ยากที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น.
5. ผู้คนที่เติบโตในครอบครัวที่ขาดมารดา   จะเป็นคนไม่มีมนุษย์สัมพันธ์
และผู้ซึ่งเติบโตในครอบครัวที่ขาดบิดา   จะเป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบในการงาน.
6.ผู้คนที่เกิดในครอบครัวที่ยากจน   จะเห็นความสำคัญของเงินทอง
และอำนาจมากกว่าผู้ที่เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย.
7. ผู้คนที่เติบโตในที่ซึ่งอากาศดี   อาหารการกินอุดมสมบูรณ์
โดยมากจะเป็นคนหนักแน่นมีเหตุมีผล.

สังเกตจากท่าทีการทำงาน
1. ผู้ทำงานมากเกินไป   มักมีปรัชญาการทำงานของตนเอง
2. ผู้ซึ่งนำความรับผิดชอบมัดติดกับตัวเอง   คิดว่าทุกอย่างมีความเกี่ยวพันธ์กับเขาเป็นอย่างยิ่ง
ยามใดที่ระดับการตำหนิตัวเองสูงเกินไป   เขาก็อาจป่วยเป็นโรคประสาท.
3. ผู้ที่พยายามหาคำแก้ตัวเพื่อให้ตนเองพ้นผิด   คนประเภทนี้จะเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ยาก.

สังเกตจากการใช้จ่ายเงินทอง
"ผู้ที่ตกเป็นทาสของเงินทอง   จะมีความรู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำ "
1. คนขี่ตระหนี่   คิดคำนวนก่อนใช้เงิน   พิถีพิถันเรื่องความเชื่อถือ
แต่ขาดมนุษย์สัมพันธ์   ทำให้คนอื่นเห็นว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว.
2. คนซึ่งใช้เงินอย่างอีลุ่ยฉุยแฉกขณะมี   และเขาจะไม่เสียใจเมื่อไม่มีเงินใช้
คนเช่นนี้โดยมากจะเป็นคนมีนิสัยมุทะลุ.
3. คนที่ชอบยืมเงินผู้อื่นซื้อสิ่งของ  โดยมากจะเป็นคนไม่สามารถซุกซ่อน
ความปรารถนาของตนเอง มีความทะเยอทะยานในความรุ่งเรืองหรูหรา.

สังเกตจากการแข่งขัน
" การแข่งขันคือสนามทดสอบส่วนลึกของจิตใจ "
1. ขณะแข่งขัน   ผู้ซึ่งแสดงสีหน้าไมีชื่นชมยินดี   แสดงว่าเป็นคนไม่มีความสามารถ
บังคับความไม่พอใจในความหวัง   ไม่ทราบว่าจะเผชิญกับอุปสรรคอย่างไร.
2. ผู้วึ่งเล่นได้ไม่ดีในเกมต่อไปอันเนื่องมาจากได้รับความพ่ายแพ้ในเกมแรก
ผู้คนเช่นนี้โดยมากจะเป็นคนปฎิภาณเสื่อมถอย.
3. ผู้ซึ่งคิดว่าความพ่ายแพ้ของตนเองขึ้นอยู่กับความสามารถ   คนเช่นนี้
คือผู้มีจิตใจคอคับแคบ   มีความเคารพตนเองอย่างกล้า.
4. ผู้ซึ่งคิดง่าความพ่ายแพ้ของตนเองขึ้นอยู่กับโชค   คนเช่นนี้มีอาการของ
โรคประสาทพิการ   มีความทะเยอทะยานในความรุ่งเรืองหรูหาร.
5. ผู้คนซึ่งแกล้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจกับชัยชนะหรือความพ่ายแพ้
คนเช่นนี้คือคนที่กลัวตนเองถูกทำร้าย   มีการป็องกันตัวเอง.
สังเกตจากการชอบ
1. ผู้ซึ่งมีความรำคาญใจกับการงานหรือครอบครัว   จะมีความเร่าร้อนต่อการชอบอย่างผิดปกติ.
2. สตรีซึ่งอยู่ในวัยรุ่นแต่ชอบคนตรีแบบโบราณ   โดยมากอารมณ์จะไม่แน่นอน
ส่วนผู้ชอบเพลงพื้นบ้าน   โดยมากร่างกายจะแข็งแรง   ชอบช่วยเหลือผู้อื่น.
3. ผู้ลุ่มหลงกับการเก็บสะสม   โดยมากจะมีนิสัยยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเอง.
4.ผู้ชอบออกกำลังกาย   จะมีความสมดุลทางจิตใจ.

สังเกตจากการชอบสัตว์เลี้ยง
1. ผู้ซึ่งชอบเลี้ยงแมว   คือผู้ชอบอยู่อย่างอิสระ
เอาแต่ใจตนเอง   ควบคุมตนเองอย่างเคร่งครัด.
2. ผู้ซึ่งชอบเลี้ยงสุนัข   ส่วนใหญ่จะเป็นคนสุภาพอ่อนโยน
และชอบความครึกครื้นสนุกสนาน
3. ผู้ซึ่งชอบเลี้ยงสุนัขที่มีหน้าตาน่าเกลียด
โดยมากจะเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในรูปโฉมของตนเอง.
4. ผู้ซึ่งชอบเลี้ยงสุนัขพุนธ์ต่างประเทศที่มีลักษณะสูงใหญ่   มองดูแล้วน่าเกรงขาม
ผู้คนประเภทนี้มีความทะเยอทะยานในความรุ่งเรืองหรูหรา.
5. ผู้ซึ่งชอบเลี้ยงปลาและนก   เป็นคนไม่มีมนุษย์สัมพันธ์   ถือแต่ความเห็นของตนเข้าใครไม่ติด.

สังเกตจากความเกี่ยวพันธ์กับเพศตรงข้าม
" ผู้คนต่างแสวงหาในสิ่งที่ตัวเองมีไม่เพียงพอ "
1. ในตัวของเพศตรงข้ามที่ตัวเองชอบ   สามารถค้นพบสิ่งซึ่งตนเองขาด.
2. สตรีร่างเตี่ยชอบชายรูปร่างสูง.
3. ชายซึ่งมีความรู้สึกสนุกกับสาวสังคมชั้นสูง
แสดงว่าเป็นคนมีความรู้สึกว่าตนเองมีความต่ำต้อยทางชนชั้น.
4. ชายซึ่งไม่ยอมแต่งงาน   สาเหตุอาจเนื่องมาจากความรักซึ่งมีต่อมารดา.
5. สตรีซึ่งรักบิดา   ชอบเลือกหาชายซึ่งมีความคล้ายคลึงกับบิดา.
6. ผู้คนซึ่งมีความรู้สึกเฉียบพลัน   ตามแต่อารมณ์จะคิดฝันว่าความเกี่ยวพันธ์
กับเพศตรงข้ามเต็มไปด้วยความโรแมนติก.
7. ผู้มีนิสัยตามแต่อารมณ์   การคบค้ากับเพศตรงข้ามมักจะสนใจประวัติการศึกษา
ฐานะและเกียรติยศทางครอบครัว.

สังเกตจากท่าทีการพูดจา
" เพียงแต่ฟังเขาพูดก็รู้ใจเขา "
1. ขณะที่ความเร็วของการพูดจาช้ากว่าปกติ   แสดงว่ามีความไม่พอใจฝ่ายตรงข้าม.
2. ขณะที่ความเร็วของการพูดจาเร็วกว่าปกติ   ต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม
จะมีความรู้สึกว่าตัวเองต้อยต่ำ   เต็มไปด้วยจุดอ่อน   พูดจามีการปิดบัง.
3. ผู้ซึ่งปกติเงียบขรึมไม่ค่อยพูด   แต่เปลี่ยนเป็นคนพูดเก่งอย่างฉับพลัน
แสดงว่าภายในจิตใจของเขามีความลับซึ่งไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบ.
4. ผู้ซึ่งพูดจาเฉียบขาด   แสดงว่ามีความเชื่อมั่นในคำพูดของตนเอง.
5. ผู้ซึ่งพูดจาซุบซิบคล้ายกับว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น   แสดงว่าขาดความเชื่อมั่นในเรื่องของตนเอง.
6. ผู้ซึ่งพูดจาเยิ่นเย้อยืดยาด   แสดงว่ากลัวผู้อื่นคัดค้านคำพูดของตนเอง.
7. ผู้ซึ่งพูดจาเคลือบคลุม   คือผู้มีความตั่งใจจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบคำพูดของตน.
8. ผู้ซึ่งพูดจาในลักษณะจำกัดคำพูด   แสดงว่าอารมณ์ไม่แน่นอน.
9.   ผู้ซึ่งสายตามองไปทุกหนทุกแห่งโดยไม่ได้มองผู้พูด   หรือนิ้วมือเคลื่อนไหวขยุกขยิก
แสดงว่าผู้ฟังคนนั้นอดทนไม่ไหวแล้ว.

สังเกตจากการทักทาย
" ความรู้สึกดีชั่วของจิตใจไร้สำนึกก็แสดงออกทางพิธีรีตอง "

1. ผู้สังเกตการทำความเคารพของฝ่ายตรงข้าม   คือผู้มีความระมัดระวังตัว.
2. ผู้ก้มศีรษะหลบสายตาของฝ่ายตรงข้าม   โดยส่วนใหญ่แล้วคือผู้มีความรู้สึกว่า
ตนเองต่ำต้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม.
3. ผู้จงใจดึงชวงระยะของการทำความเคารพให้ห่างออกไปทำให้ผู้คนมีความรู้สึกว่า
มีการป้องกันฝ่ายตรงข้ามและมีความเกรงใจ.
4. ผู้ทักทายด้วยการตบไหล่ฝ่ายตรงข้ามเบา ๆ  ขณะพบกันครั้งแรก
คือผู้ที่มีความจงใจที่จะบิดเบือนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเขา.
5. ผู้จับมือแรง ๆ   คือผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง.
6. ผู้จับมือเบาและนิ่มนวล   คือผู้มีนิสัยขี้ขลาดอ่อนแอ.
7. ผู้มีเหงื่อบนฝ่ามือขณะจับ   อาจคือผู้ได้รับการเสียดแทงหัวใจ
ภายในจิตใจมักจะสูญเสียความสมดุล.
8. แม้ว่าจะไม่ใช่การพบกันครั้งแรก   แต่ก็ยังคงใช้วิธีการทักทายเหมือนกับการพบกันครั้งแรก
แสดงว่าผู้นี้มีการป้องกันตัวเอง.

สังเกตจากการนั่ง

"...รอบ ๆ ตัวของมนุษย์ต่างก็ต้องการที่ว่างเป็นของตนเอง   นั่นก็คือเขตแดนของร่างกาย
ยามใดที่ว่างนี้ถูกบุกรุกก็จะเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ   ไม่ปลอดภัย
โดยปกติแล้วผู้คนซึ่งไม่บุกรุกซึ่งกันและกัน   จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข..."

1. การบุกรุกเขตแดนของร่างกายซึ่งกันและกันอยู่ในระดุบยิ่งมากเท่าไร
ความสัมพันธ์ก็ยิ่งมากเท่านั้น.
2. ผู้ซึ่งแกล้งหลีกห่างออกจากเขตแดนของร่างกาย   แสดงว่า
จิตใจมีความรู้สึกต่อต้านฝ่ายตรงข้าม.
3. แม้การบุกรุกเขตแดนของร่างกายของผู้อื่นจะไม่มีเจตจำนง
แสดงว่าหากไม่คิดข่มขู่ก็คิดตีสนิท.
4. นั่งข้าง ๆ จิตใจจะยิ่งมีความรู้สึกแบบเดียวกันกับฝ่ายตรงข้าม   มากกว่านั่งตรงกันข้าม.
5. ผู้นั่งตรงกันข้าม   คือผู้ซึ่งคิดอยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจคุณ.
6. ผู้ซึ่งนั่งลงแล้วรีบยกขาขึ้น   คือผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง.
7. สตรีซึ่งนั่งยกขาขึ้น   คือผู้คิดดึงดูดความสนใจของสุภาพบุรุษให้สนใจรูปโฉมของตนเอง.
8. หญิงชายที่มีจิตใจตรงกันจะไม่นั่งตรงกันข้าม.

สังเกตจากการแสดงสีหน้า

"...มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเผยอารมณ์ออกมาโดยตรง
ใบหน้าไม่แสดงสีหน้าใช่ว่าจะไม่มีอารมณ์ ..."
1. ใบหน้าไม่แสดงสีหน้า   คือสื่อของการคิดอยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามทราบว่า
ภายในจิตใจของตนเองมีความไม่พอใจ   หรือจิตใจมีการต่อต้าน.
2. การไม่แสดงสีหน้าของสตรี   แสดงว่ามีความรู้สึกที่ดีต่อฝ่ายตรงข้าม.
3. ภายในใบหน้าที่ยิ้มแย้ม   บางครั้งก็มีความเกลียดชังซ่อนเร้นอยู่.
4. ยิ้มอย่างคลุมเคลือ   แสดงออกถึงการระมัดระวังตัว.

สังเกตจากกิริยาท่าทางของมือ
"หากว่าไม่แสดงสีหน้า   ส่วนลึกของจิตใจก็จะแสดงออกทางมือ "

1.   การกอดอกหมายถึง การป้องกันตนเอง และการปฏิเสธของจิตใจ.
2.   การกอดอกคือ สัญลักษณ์ของความเย่อหยิ่ง คือท่าทางที่ไม่อ่อนน้อม.
3.   สตรีซึ่งใช้ข้อศอกเท้าโต๊ะแล้วใช้มือทั้งสองประสานกัน แสดงถึงการปฏิเสธฝ่ายตรงข้าม.
4.   กางฝ่ามือต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม แสดงถึงการปฏิเสธอย่างแรงกล้า.
5.   ผู้ใช้มือเกาศีรษะหรือเคาะศีรษะ คือผู้กำลังใช้ความคิด.
6.   ขณะใช้มือเท้าแก้ม โดยมากจะใจลอย.
สังเกตจากความเคยชิน
1. มีความเคยชินในการลูบเส้นผม   แสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์ไม่แน่นอน และมีความรู้สึกเฉียบพลัน
2. สตรีใดชอบเกาเส้นผมขณะพูดคุย แสดงว่าเป็นคนตามแต่อารมณ์.
3. ความเคยชินในการดึงติ่งหูปรากฏออกมา แสดงว่าหวังอยากให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดพูดกลางคัน.
4. ชายใดมีความเคยชินในการกัดดินสอแทะเล็บมือหรือสูบบุหรี่จนก้นกรองบุหรี่เปียกชื้น
แสดงว่ายังไม่ถึงโอกาสอันควรในเรื่องเพศ.     
5. สตรีใดใช้มือปิดปากขณะพูดคุย แสดงว่าคิดอยากจะดึงดูดให้ฝ่ายตรงข้ามสนใจตนเอง.
6. ผู้มีความเคยชินในการลูบคลำบริเวณใบหน้าบ่อยๆ
แสดงว่าเป็นผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองกังวลกับการถูกชี้จุดบกพร่องของตนเองออกมา.   
7. ผู้มีความเคยชินในการเท้าคาง แสดงว่าหวังจะปิดบังจุดอ่อนของตนเอง.
8. ชายใดมีความเคยชินในการยกขาขึ้นและวางลงอย่างรวดเร็วแสดงว่าจิตใจไม่มั่นคง.
9..สตรีใดมีความเคยชินเหมือนกับข้อแปด   แสดงว่ามีความสนใจฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นเพศชาย.

สังเกตจากเครื่องแต่งกาย
" การแต่งกายสะท้อนให้เห็นส่วนลึกของจิตใจ "
1. ผู้คัดเลือกเครื่องแต่งกายโดยไม่คำนึงถึงสมัยนิยม คือผู้มีความรู้ดีเด่นในตัวอย่างแรงกล้า.
2. ผู้แต่งกายสวยงามหรูหราเกินขอบเขต คือผู้มีตัณหาจัดและเป็นโรคประสาทพิการ
เป็นเหตุให้อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย.
3. ผู้แต่งกายแบบเรียบง่าย คือผู้คล้อยตามแบบอย่างแต่ขาดความเป็นตัวของตัวเอง.
4.ผู้แต่งกายแบบเรียบง่ายทั้งตัวแต่มีเครื่องแต่งกายที่สวยหรูบางอย่างเป็นสิ่งประกอบ
จัดอยู่ในประเภทคล้อยตามแบบอย่าง   แต่เป็นคนยึดมั่นในความคิดของตนเอง.
5. ผู้ซึ่งมีความรู้สึกเร็วไวต่อสมัยนิยมคือผู้คล้อยตามแบบอย่าง   
แต่เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในตนเองจึงคิดที่จะเพิ่มการตกแต่งเพื่อให้ทันสมัย.
6. ผู้ซึ่งไม่อาศัยความชอบของตนเอง ได้แต่ตามสมัยนิยม คือผู้โดดเดี่ยวและอารมณ์ไม่มั่นคง.
7. ผู้ไม่สนใจสมัยนิยม คือผู้มีนิสัยแข็งกล้า   
โดยมากจะมีบางสิ่งบางอย่างทำให้มีความรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย.
8. ผู้ชอบเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายอย่างไม่หยุดหย่อน
9. คือผู้มีอารมณ์ไม่มั่นคง คิดจะหลบหนีความเป็นจริงอย่างเต็มที่.
10. ผู้เปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายซึ่งตนเองชอบอย่างฉับพลัน
โดยมากคือผู้เกิดการแปรปรวนทางจิตใจหรือมีการตัดสินใจใหม่.   

สังเกตจากหัวข้อสนทนา
1. หัวข้อสนทนาหันเหมาทางตนเองหรือคนในครอบครัวมีความโน้มเอียงไปทางหลงตัวเอง
และมีนิสัยของการใช้ตนเองเป็นศูนย์กลาง. 
2. ชอบไต่สวนเรื่องราวของฝ่ายตรงข้ามจนทราบจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
คือผู้มีความต้องการจะครอบงำ.
3. ผู้ชอบพูดเรื่องไร้สาระของผู้อื่น จะไม่ได้รับการพูดปลอบใจจากเพื่อน.
4.ผู้ซึ่งบ่นว่าเงินเดือนน้อยเกินไป โดยมากจะขาดความจริงใจในการทำงาน.
5. ผู้ซึ่งคิดว่าผู้บังคับบังชาไร้ความสามารถ คือผู้มีความปรารถนาจะได้ดิบได้ดีกว่าผู้อื่น.
6. การพูดโกรธแค้นในลักษณะของการพูดตลกขบขัน
บางครั้งก็เปิดเผยความไม่พอใจซึ่งสะสมไว้ในใจมานาน.
7. ผู้บังคับบังชาซึ่งชอบพูดโอ้อวดเรื่องราวในอดีต
คือผู้ไม่ทันสมัยหรือผู้ไม่สมปรารถนาในการงาน.

แสดงความคิดเห็น

>