Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

"มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก"เค้าคือผู้ก่อตั้ง"FACEBOOK"เว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยม

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
 



มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก ( Mark Elliot Zuckerberg) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมค.ศ. 1984 ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊กเขาร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊กร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน ขณะกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นิตยสารไทม์ ได้ให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี ค.ศ. 2010
ประวัติ

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเกิดที่ ไวต์เพลนส์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาเติบโตที่เมืองด็อบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก โดยบิดาเป็นทันตแพทย์ คือ เอ็ดเวิร์ด ซักเคอร์เบิร์ก และมารดาจิตแพทย์ คือ คาเรน ซักเคอร์เบิร์ก เขามีพี่น้องสี่คน ในวัยเด็กซักเคอร์เบิร์กถูกเลี้ยงดูอย่างชาวยิว ถึงแม้เขาอธิบายว่าเขาเป็นอเทวนิยม

ที่โรงเรียนอาร์ดสลีย์ไฮสคูล เขาได้มีความสามารถด้านการศึกษาคลาสสิก ก่อนที่เขาจะย้ายไปเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ที่นี่ซักเคอร์เบิร์กได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์ (คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์) และศึกษาด้านศิลปะคลาสสิค เขายังเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเขาสามารถอ่าน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาฮิบรู ภาษาละติน และภาษากรีกโบราณ เขายังเป็นกัปตันทีมฟันดาบ

ในงานสังสรรค์ในช่วงชั้นปีที่ 2 ซักเคอร์เบิร์กพบกับพริสซิลลา ชาน ที่ต่อมาเป็นเพื่อนหญิงของเขา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 ชานซึ่งศึกษาแพทย์ ได้ย้ายมาอยู่บ้านเช่าของซักเคอร์เบิร์กในแพโลอัลโต

ซักเคอร์เบิร์กสามารถมองเห็นสีฟ้าได้ดีที่สุด เพราะเขาเป็นโรคตาบอดสีซึ่งมองสีแดงและสีเขียวได้ไม่ชัดเจน นอกจากนี้สีฟ้ายังเป็นสีหลักในเว็บไซด์เฟซบุ๊กอีกด้วย

ซักเคอร์เบิร์กได้เปิดตัวเฟซบุ๊ก จากในห้องพักของเขาในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004. แรงบันดาลใจแรก ๆ ของเฟซบุ๊กอาจมาจากที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ที่เขาเรียนจบปี ค.ศ. 2002 โดยที่เผยในเว็บไซต์ของเขาคือ สารบัญรูปนักศึกษาของเขา ที่นักศึกษาหมายถึง "เดอะเฟซบุ๊ก" มีสารบัญภาพ ที่มีภาพนักศึกษาทำกิจกรรมในหลาย ๆ โรงเรียน โดยนักศึกษาสามารถเข้ามาให้ข้อมูล อย่างเช่น ชั้นปีที่ศึกษา เพื่อนใกล้ชิด หมายเลขโทรศัพท์

โดยในขณะนั้น เฟซบุ๊ก เริ่มต้นเพียงแค่ "Harvard thing" จนกระทั่งซักเคอร์เบิร์กตัดสินใจที่จะกระจายไปสู่มหาวิทยาลับอื่น โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมห้อง ดัสติน มอสโควิตซ์ โดยเริ่มจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยดาร์ตเมาท์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก มหาวิทยาลัยคอร์เนลมหาวิทยาลัยบราวน์ และมหาวิทยาลัยเยล จากนั้นก็เข้าสู่โรงเรียนอื่น ที่มีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ซักเคอร์เบิร์กได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองแพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย กับมอสโควิตซ์และเพื่อนบางส่วน พวกเขาดัดแปลงบ้านเช่าเป็นสำนักงาน ในฤดูร้อนนั้น ซักเคอร์เบิร์กได้พบกับปีเตอร์ ทีล ที่ได้ให้ทุนกับบริษัท พวกเขาเริ่มก่อตั้งบริษัทแรกในกลางปี 2004 พวกเขาได้ปฏิเสธการเสนอขายเฟซบุ๊กกับบริษัทใหญ่ ๆ โดยในบทสัมภาษณ์ในปี 2007 ซักเคอร์เบิร์กอธิบายไว้ว่า

"ไม่ใช่เพราะเรื่องจำนวนเงิน แต่สำหรับผมและผู้ร่วมงาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างสรรค์ การให้ข้อมูลไหลผ่านของผู้คน การรวมเป็นกลุ่มบริษัทไม่ใช่เป็นแนวคิดที่ดึงดูดผม"

เขาพูดเป้าหมายซ้ำอีกครั้งในนิตยสารไวร์ ในปี 2010 ว่า "สิ่งที่ผมใส่ใจมากเกี่ยวกับภารกิจนี้ ก็คือทำให้โลกเปิดกว้างขึ้น" ก่อหน้านั้นในเดือนเมษายน 2009 ซักเคอร์เบิร์กได้สอบถามคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินของเน็ตสเคป ปีเตอร์ เคอร์รี เกี่ยวกับยุทธวิธีสำหรับเฟซบุ๊ก

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 ซักเคอร์เบิร์กรายงานว่า บริษัทมีผู้ใช้ 500 ล้านบัญชีรายชื่อ และเมื่อถามว่า เฟซบุ๊ก จะสามารถทำเงิน หรือสร้างปรากฏการณ์เพิ่มขึ้น เขาอธิบายว่า...

ผมคิดว่า เราสามารถ... ถ้าคุณดูว่าโฆษณาที่มีในแต่ละหน้ากินไปขนาดไหน เมื่อเปรียบเทียบกับการค้นหาข้อมูล ของเรามีน้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อหน้าและยอดการค้นหาปกติจะมีโฆษณาราวร้อยละ 20 ... นี่เป็นสิ่งง่ายที่ทุกคนจะทำ แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น เราทำเงินให้พอที่เราจะดำเนินงานได้ เติบโตในอัตราที่เราต้องการ

ในปี 2010 สตีเฟน เลวี ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Hackers: Heroes of the Computer Revolution ในปี ค.ศ. 1984 ได้เขียนเกี่ยวกับซักเคอร์เบิร์กไว้ว่า "เห็นชัดว่าเขาคิดว่าตัวเองเป็นแฮ็กเกอร์" ซักเคอร์เบิร์กพูดว่า "มันโอเคที่จะสร้างสิ่งใหม่...ทำให้มันดียิ่งขึ้น" เฟซบุ๊กเริ่มให้มี "แฮ็กคาธอน" ในทุก ๆ 6 ถึง 8 อาทิตย์ เปิดโอกาส 1 คืนให้ร่วมคิดและจบโครงการ 1 โครง โดยบริษัทให้จัดหาเพลง อาหารและเบียร์ สำหรับงานแฮกคาธอน และจะมีเจ้าหน้าที่ของเฟซบุ๊ก รวมถึงซักเคอร์เบิร์ก เข้าร่วมด้วย "แนวคิดคือคุณสามารถสร้างบางสิ่งให้ดีได้ใน 1 คืน" ซักเคอร์เบิร์กบอกเลวี "และเป็นบุคลิกของเฟซบุ๊กในปัจจุบัน...ซึ่งก็คือนิสัยส่วนตัวของผมด้วย"

ในปี นิตยสาร วานิตีแฟร์ ได้ให้ซักเคอร์เบิร์กติดอันดับ 1 ในปี 2010 ของรายชื่อ "100 อันดับ บุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในยุคข้อมูล"ในปี 2010 ยังติดอันดับ 16 ของการสำรวจประจำปีของ นิวสเตตส์เม็น ในหัวข้อ "บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก 50 อันดับ"



*****************************************************************************************************

ชายหนุ่มอายุ24 ผู้เปิดตำนาน Facebook ๑,๕๐๐ ล้านเหรียญ จากสองมือเปล่า

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สุดยอดอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยด้วยอายุน้อยที่สุดในโลก เขาอยู่ในลำดับที่ ๗๘๕ ในรายชื่อ "คนที่รวยที่สุดในโลก" ของนิตยสารฟอร์บส์ 
แต่ถ้าเจาะ เฉพาะอันดับ "คนรวยที่สุดในโลกที่มีอายุน้อยกว่า ๓๐ ปี" เจ้าหนุ่มคนนี้มาแรงแซงขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยผลงานบันลือโลกอย่าง Facebook ทำให้อดีตแฮคเกอร์ฮาร์วาร์ด สามารถสร้างมูลค่าทรัพย์สินจากมือเปล่าได้ถึง ๑,๕๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่ออายุแค่ ๒๔ ปี
เขาทำได้อย่างไร จนถึงวันนี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็ยังพาร่างโย่งใส่สเวตเชิ้ตสีน้ำตาลกับกางเกงสแลกลากรองเท้าแตะอดิดาสเดิน ท่อม ๆ ออกจากอพาร์ตเม้นต์ย่านพาดลอัลโต คาลิฟอร์เนียไปยังสำนักงานที่ห่างออกไปสี่บล็อคทุกเช้า ห้องนอนของซีอีโอ Facebook เว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่ฮอตฮิตที่สุดในโลกมีแค่หนึ่งเตียง หนึ่งโต๊ะ เก้าอี้สองตัว และอาหารเช้าของมหาเศรษฐีพันล้านคนนี้ ยังคงเป็นซีเรียลในชามกระดาษ
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เกิดในครอบครัวเชื้อสายยิว-อเมริกัน เมื่อปี ๑๙๘๔ เขาโตมาในรัฐนิวยอร์ก และมีชีวิตวัยเด็กที่แสนจะธรรมดา แต่ในความธรรมดานั้นแอบไม่ธรรมดา เด็กคนนี้เริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม ถึงช่วงไฉสคูล จึงไม่ยากที่มาร์คกับเพื่อจะสามารถช่วยกันเขียนปลั๊กอินสำหรับโปรแกรม Winamp ในเครื่องเล่น MP3 ที่ช่วยให้ผ้ใช้สามารถสร้างรายการเพลงโปรดส่วนตัวได้โดยอัตโนมัติ หลังจากนำปลั๊กอินตัวนี้ขึ้นอินเตอร์เน็ตให้ดาวโหลดฟรีไม่นาน มาร์คก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัทยักษ์ใหญ่ AOL และไมดครซอฟท์ ชวนไปทำงานด้วย โชคดีที่หนุ่มน้อยปฏิเสธไปเสียก่อน มิฉะนั้นเขาคงงไม่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ อุบัติเหตุพันล้าน Facebook อาจไม่เกิดเรื่องเริ่มต้นขึ้นในปี ๒๐๐๔ เมื่อนักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์วัย ๒๐ ปีคนนี้ พบว่ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งที่เขาเรียนอยู่ ไม่มีเว็บไดเรคเทอรรี่ซึ่งรวบรวมรายชื่อ ภาพถ่ายและข้อมูลนักศึกษาที่เรียกว่า Facebook มาร์คตั้งใจจะสร้างเว็บที่ว่าด้วยตัวเอง แต่ทางมหาวิทยาลัยกลับปฏิเสธข้อมูลที่เขาร้องขอด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีนโยบายให้นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว มาร์คจึง โชว์พาว ด้ววยการ แฮค เข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของฮาร์วาร์ด ดึงรูปนักศึกษาจากฐานข้อมูลมาหาวิทยาลัยมาใส่ในเว็บไซต์ Facemash.com ของเขา ยิ่งกว่านั้นยังชวนนักศึกษามาเล่นเกม Hot or Not โดยขึ้นรูปนักศึกษาที่ละ ๒ คน ให้เพื่อนเข้าไปช่วยกันโหวตว่าใคร Hot หรือใคร Not ปรากฏว่ามีนักศึกษาเข้าไปโหวตถึง ๔๕๐ คน สร้างสถิติคลิกชม ๒๒,๐๐๐ ครั้ง ภายในเวลา ๔ ชั่วโมง ผลของความขี้เล่นครั้งนี้ คือมาร์คถูกกรรมการมหาวิทยาลัยลงโทษระงับการใช้อินเทอร์เน็ต ด้วยข้อหาละเมิดนโยบายและเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัย 
"ผมแค่อยากจะแสดงให้พวกเขารู้ว่ามันทำได้ ก็แค่นั้นเอง" แฮคเกอร์หนุ่มสารภาพ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้มาร์คสร้างเว็บไซต์ Facebook.com โดยให้เพื่อนนักศึกษาช่วยกันส่งรูปและข้อมูลส่วนตัวเข้ามาเอง ปรากฏว่ามีนักศึกษาส่งรูปมาให้เขาถึงห้าร้อยรูป ก่อนสอบปลายภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลป์สองวัน หนุ่มหัวใสกลัวสอบตกเพราะมัวใส่รายละเอียดเองทุกรูป จึง "ยืมมือ" คนอื่นมาใช้ เขาสร้างเว็บเพจที่มีหนึ่งรูปต่อหนึ่งคน แล้วเว้นที่ว่างด้านล่างสำหรับใส่ "ความคิดเห็น" จากนั้นส่งอีเมลถึงเพื่อร่วมชั้น ให้เข้ามาช่วยกันเขียน "ความคิดเห็น" ให้ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงรูปพวกนั้นก็เต็มไปด้วยข้อความ
แล้ว Facebook.com อภิมหาธุรกิจพันล้าน ก็ถือกำเนิดขึ้นแบบบ้าน ๆ ในหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้วยเงินลงทุนค่าบริการโฮสติ้ง ๘๕ เหรียญ สามเดือนหลังจากผู้ก่อตั้งโดนคดีเเฮครูปนักศึกษา มันเริ่มป็อบปูล่าร์ในกลุ่มนักศึกษาฮาร์วาร์ดก่อนกลุ่มแรก จากนั้นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นก็เข้าร่วมภาคี เริ่มจากสแตนฟอร์ด เยล แล้วตามมาด้วยอีกสามสิบสถาบัน
จากเว็บไซต์สร้างสัมพันธ์ในหมู่นักศึกษา เรื่องเริ่มมาพลิกผันเมื่อมาร์คกับเพื่อนไปเที่ยวพาโลอัลโต และได้รับการชักนำให้รู้จักกับผู้ก่อตั้ง PayPal ปรากฏว่าใช้เวลานำเสนอ Facebook แค่สิบห้านาที มาร์คก็ได้เงินลงทุนถึง ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างโอกาสกับปริญญา มาร์คเห็นแต่หน้าบิลเกตส์ ที่สร้างตำนานลาออกจากฮาร์วาร์ดเพื่อมาสร้างไมโครซอฟท์ "ถ้าไมดครซอฟท์เจ๊ง ผมจะกลับไปเรียนทันที" คือการตัดสินใจของมาร์คก่อนลาออกในปีที่สองของการศึกษา
ปรากฏว่าเดือนพฤศจิกายนปีนั้น Facebook มีสถิติผู้เข้าใช้ทะลุหลัก ๑ ล้านคน และทำสถิติผู้ใช้ทะลุ ๕ ล้านคนในอีกแค่หนึ่งปีต่อมา ผลที่ได้รับ Facebook กลายเป็นเว็บไซต์สังคมที่โด่งดังไปทั่วโลก มีผู้ใช้งานแพร่หลายออกไปอย่างไม่จำกัด มันกลายเป็นเครือข่ายสังคมที่ผู้ใช้ติดหนึบ มีการวิจัยพบว่าสมาชิก Facebook ใช้เวลาหมกมุ่นกับการอัพเดทข่าวสารและเพื่อนฝูงเฉลี่ยเดือนละ ๑๖๙ ชั่วโมง ล่าสุดในปี ๒๐๐๙ Facebook สร้างสถิติผู้ใช้พุ่งทะยานถึง ๓๐๐ ล้านคน และมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ ๕ ล้านคน
Facebook ร้อแรงถึงเพียงนี้ ขนาดที่เพียงแค่ Yahoo ยื่นข้อเสนอขอซื้อ Facebook ด้วยมูลค่า ๑ พันล้านเหรียญ และมีข่าวลือว่ามาร์คตกลงขายเท่านั้น ราคาหุ้นของ Yahoo ก็พุ่งขึ้นทันที
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้รับการจัดลำดับจากนิตยสารไทม์ ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกประจำปี ๒๐๐๘
นิตยสารฟอร์บส์ประเมินรายได้ของเขาต่อปีเท่ากับ ๓๐๐ ล้านเหรียญ ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินน่าจะอยู่ที่ ๑,๕๐๐ ล้านเหรียญ"
นี่คืออีกเรื่องราวดี ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับใครก็ได้ที่มีความสนใจในการเรียนรู้และก็คงเป็น ประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งอย่างแน่นอน...




--------------------------------
ที่มาและขอขอบคุณ
http://www.bkk.in.th/NewTopic.aspx?BoardID=5297




PS.  ถ้าเธอไม่รักฉัน แล้วจะมาให้ฉันรักทำไมTT!!!!!!!!!

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

หอยทากบนเฟอร์รารี่ 29 ธ.ค. 53 เวลา 18:11 น. 1

ปัจจุบันมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กมาเที่ยวเมืองไทยช่วงลองวีคเอนด์ครับ

เนื่องจากมีหุ้นส่วนของเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงไทย

:)


PS.  ........เลวก็บอกว่าเลว.......
0
Rinatan. 29 ธ.ค. 53 เวลา 23:15 น. 2

เก่งจังเลย >w< ! 

*อยากดู social network อ้ะ 5555 (ไม่เกี่ยวเลย) 

ขอบคุณสำหรับข่าวนะคะ 


PS.  Don't wanna change myself for other people who comes :)
0