Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

คำเตือน หลังจากภัทรกัปป์นี้ จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติในโลกอีก1มหากัป

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ ประการใด จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่า กัปป์แผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัปนับได้อสงไขยแผ่นดิน จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพระยาจักรผู้ประเสริฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้ จึงมีนามว่าสุญญกัปป์ เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุณหาวาสนาบารมีมิได้ฯ เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมา สูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่าจนถ้วนอสงไขย แผ่นดินล่วงลับไปนับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ

        ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่ามัณฑกัปป์ พระพุทธเจ้าจักได้บังเกิด ๒ พระองค์ คือ
- พระรามโพธิสัตว์ ๑
- พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑
แรกปฐมกัปป์เกิดก็มีอายุยืนได้อสงไขยหนึ่ง แล้วลดน้อยถอยลงมาอยู่เพียง ๙ หมื่นปีฯ ครั้งนั้นพระรามโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อนพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์มีพระชนม์อายุได้ ๙หมื่นปี พระสรีรกายสูงประมาณ ๘๐ ศอก ไม้จันทร์เป็นไม้พระศรีมหาโพธิ มีพระรัศมีส่องสว่างไปในอากาศอยู่เป็นนิจจกาล ปรากฏงามเปรียบด้วยรัศมีของพระจันทร์สว่างทั่วโลกธาตุ ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพนั้น โลกทั้งปวงบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ มหาชนได้อาศัยไม้ทิพย์นั้นประพฤติเลี้ยงชีวิต เป็นบรมสุขทุกเมื่อมิได้ขาด ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาพระรามโพธิสัตว์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายได้บังเกิดในสวรรค์เป็นอันมาก

         ดูก่อนสารีบุตร พระรามโพธิสัตว์เจ้าได้บำเพ็ญกองบารมีทั้งหลายมาช้านานเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีธรรมครั้งหนึ่งนั้น ปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เพราะเหตุดังนั้นพระรามสัพพัญญูเจ้า จึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า ในเมื่อครั้งพระศาสนาพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระรามองค์นี้เป็นบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่านารทมาณพ วันหนึ่งนารทมาณพได้ทัศนาการเห็นองค์พระพุทธกัสสปสัพพัญญูบรมครูเจ้าครั้งนั้น ก็มีความโสมนัสยินดีปรีดา คิดว่าจะกระทำสักการบูชาแก่พระองค์ให้เห็นศรัทธาของอาตมา มิได้คิดแก่ชีวิตอินทรีย์ คิดแล้วจึงเอาผ้า ๒ ผืนชุบน้ำมัน พันสรีรกายตั้งแต่เศียรเกล้าตลอดปลายเท้าทั้ง ๒ แล้วก็จุดไฟขึ้นบนศีรษะเป็นประทีปกระทำสักการบูชา ถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม อันว่าองค์อวัยวะน้อยใหญ่ในสรีรกายของข้าพระพุทธเจ้า คือเลือดเนื้อเป็นอาทิ กระทำเป็นทานถวายแก่พระองค์ในกาลบัดนี้ ปัจจโย โหตุ จงบังเกิดมีเป็นปัจจัย ให้อุปการคุณอุปถัมภกยกชูข้าพระพุทธเจ้าให้ได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเถิด

        ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ทำนายนารทมาณพนั้นในท่ามกลางบริษัททั้ง ๔ มีพระพุทธฎีกาว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ในเมื่อภัทรกัปนี้ฉิบหายไปแล้ว บังเกิดมีกัปป์ตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นสุญญกัปอยู่สิ้นกาลช้านาน นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว ครั้งนั้นจึงบังเกิดมัณฑกัปป์ ในกาลเบื้องหน้าคือตัวของมาณพนี้จะได้บังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระรามสัพพัญญูในมัณฑกัปป์อันนั้น พระองค์ทรงพยากรณ์ทำนายมาณพดังนี้แล้ว ครั้นเวลาราตรียังรุ่ง ก็กระทำกายของมาณพเป็นประทีปถวายต่างเครื่องสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอันดี ครั้นนารทมาณพดับจิต ก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ในที่เผาสรีรกายกระทำสักการบูชาแห่งมาณพนั้นก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา มหาชนเห็นเป็นอัศจรรย์จึงกล่าวสรรเสริญชมว่า จะหามนุษย์ผู้ใดเปรียบเสมอสองหามิได้ นานไปจะได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

ถ้าสนใจจะอ่านต่อ http://www.84000.org/anakot/kan2.html#2-1
PS.  ขอบคุณจ้ะ

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

Bilbert Boisloy 9 เม.ย. 54 เวลา 21:41 น. 1

น่าสนใจจัง

อยากได้ข้อพิสูจน์ ว่า
1. เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเหตุการณ์การสนทนาที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่
2. เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นสาระที่พระพุทธเจ้าได้สอนจริง ๆ หรือว่า ถูกปรุงแต่งด้วยอิทธิพลของฮินดูในภายหลัง

0
จามรมาน 9 เม.ย. 54 เวลา 23:48 น. 2

1.สำหรับคัมภีร์อนาคตวงศ์ที่อ้างอิงจากในลิงค์นั้นเเม้ไม่ใช่พุทธวจนะก็จริง(น่าจะเเต่งขึ้นโดยอาจารย์รุ่นหลัง) เเต่คหสต.การเขียนอะไรเเบบนี้ออกมาได้เเสดงว่าต้องมีเเหล่งข้อมูลจากพระโอษฐ์หรือพระเถระในยุคพุทธกาล เเต่ไม่อาจมีอะไรยืนยันได้ว่าการสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นจริงๆ เพราะถ้าเกิดขึ้นต้องมีในพระไตรปิฎกฉบับเถรวาท(ซึ่งสมบูรณ์ที่สุด)
2.สำหรับเรื่องภพภูมินั้นมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเเต่งเเน่นอน มิได้ถูกบิดเบือนด้วยอิทธิพลฮินดูเเน่นอน มีพุทธพจน์รับรองอยู่จริง ภพอื่นจริง(ถ้าไม่มีเป็นอุทเฉททิษฐิ) โดยคหสต เหตุการณ์เป็นดังนี้
2.1 ศาสนาพราหมณ์+ลัทธิต่างๆที่เเสวงหาโมกขธรรมตลอดจนฝึกฝนกระบวนการทางจิตจนกระทั่งได้ตาทิพย์ หูทิพย์ มีฤทธิ์เดชต่างๆ เกิดขึ้นก่อน ถ้าจำไม่ผิดจุดมุ่งหมาของศาสนาพราหมณ์ในยุคี้คือไปเกิดใหม่เป็นพรหม(น่าจะใช่นะ)
2.2 ศาสนาพุทธอุบัติขึ้น พระพุทธเจ้าทรงเห็นความสำคัญของสมาธิอันมีฌานต่างๆเป็นต้น ที่จะขาดไม่ได้เลยในการเจริญปัญญา  ไม่เเปลกที่จะทรงรองรับการมีอยู่ของภพอื่น เพราะ ศาสนาเรามีกระบวนการทางจิตที่ลึกซึ้งมากกว่าโยคีในยุคเเรก จึงเห็นอะไรๆมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อในเรื่องภพหน้าของ(เเนวๆ)พราหมณ์เเละพุทธจึงต่างกัน
2.3ศาสนาพุทธถึงยุคเสื่อม ฮินดูนิกายไศวะ+ไวษนพ(ซึ่งผ่านการmodifyจากพราหมณ์ยุคเเรก)
ก๊อปพุทธเต็มๆ(ทั้งการเเต่งกายของนักบวช วัตรปฏิบัติ การใช้คำ รวมถึงก๊อปนิพพานไปเป็นโมกษะในทำนองเดียวกัน)จึงไม่เเปลกที่ภพหน้าของพุทธกับพราหมณ์-ฮินดู จึงคล้ายกัน จนบางคนถึงกับเข้าใจไปว่าเรื่องของภพหน้าภูมิอื่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพียงเพราะไม่เคยศึกษาความเป็นมาของหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เเละไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาของตนจริงๆ

0
Raylun 10 เม.ย. 54 เวลา 00:46 น. 3

แม้อาจจะ จะไม่ใช่พุทธวจนะ แต่ถว่า ยังไงก็ดี ท่านทั้งหลายจงไม่ประมาทเถิด เพราะการจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น และสัตว์ในยุคนั้นบังเกิดภพเจอพอดี ถือว่าเป็น ลาภที่ประเสริฐที่สุดจะหาลาภใดประเสริฐเท่านี้ในโลกไม่มีอีก

ในศาสนาพราหมณ์ในยุคแรกๆเชื่อว่าพระอินทร์หรือท้าวสักกะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดเป็นเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็นผู้อภิบาลโลกแต่ต่อมาได้กลายเป็นเทพชั้นรองเพราะ ว่า มหาพรหม ได้เกิดขึ้นมาแทน โดยที่ทุกชีวิตบนโลกนี้ ถูกลิขิตจากท้าวมหาพรหมว่าให้เป็นไปเช่นใดฝืนลิขิตไม่ได้ แต่ทว่า ในสมัยนั้นชนในชมพูทวีป ล้วนแต่แสวงหาที่สุดแห่งสุขทั้งปวงแล้วหาที่สุดแห่งกองทุกข์ คราวเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในโลก ศาสนาพราหมณ์จึงมีคำที่เรียกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกว่า มหาพรหม แต่ทว่าเมื่อยุคนั้น จู่ๆมีข่าวแพร่สะพัดกันไปทั่วทุกแว่นแคว้นว่า องค์รัชทายาทพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์ศากยะ เสด็จออกผนวช ไม่นานเพียง6ปีมีข่าวออกไปทั่วทั้งทวีปอีกว่า บัดนี้เจ้าชายพระองค์นั้น ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระโลกเชษฐ์ ซึ่งคำว่า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้น เป็นคำที่ยิ่งใหญ่มาก  หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าแคว้นต่างๆก็ส่งข่าวไปยังสำนักของพวกพราหมณ์ประกาศมานับถือพระพุทธศาสนาเสียหมด ซึ่งศาสนาพราหมณ์มีรากฐานที่มั่นคงมากเพราะกำเนิดมาแล้วกว่า พันปี แต่ทว่าจู่ๆเพียงเวลาไม่นานนัก เจ้าแคว้นต่างๆก็เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาเสียหมด

ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้ชนทั้งหลายเห็นว่า ความจริงแล้วชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกมหาพรหมลิขิต ภพภูมิที่สูงกว่าพรหมชั้นมหาพรหมยังมีอยู่ ซึ่งการที่มีศาสนาใหม่กำเนิดขึ้นท่ามกลางสังคมที่มีศาสนาเดิมอยู่อย่างมั่นคงแล้ว เหมือนที่มีไฟลุกโพลงขึ้นอยู่ท่ามกลางความมืด แสงสว่างย่อมส่องไปทำลายความมืดโดยเร็ว แต่ความมืดหรือจะสู้แสงสว่างได้ แม้ความมืดจะพยายามเข้าครอบงำ เท่าใดก็โดนแสงไฟสาดไปให้สว่างอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ก็ประดุจว่าศูนย์กลางของกองไฟหายไปเหลือแต่เพียงเถ้า ที่มีความร้อนและแสงอ่อน เหลือเพียงกลุ่มเพลิงที่ลุกเป็นหย่อมๆ ย่อมยังให้ความมืดเข้ามาปนได้ ก็เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ที่ศาสนาพุทธและพราหมณ์ต่างมีความเกี่ยวพันธ์ และมีอิทธิพลซึ่งกันและกันก็เช่นนั้นแหละ


PS.  ขอบคุณจ้ะ
0