Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เก็บเก่าเล่าเรื่องแต่แรก......กุหลาบดอกนี้มีตำนาน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
 เก็บเก่าเล่าเรื่องแต่แรก......กุหลาบดอกนี้มีตำนาน

                       
               กุหลาบคือชื่อของไม้พุ่มชนิดหนึ่งว่ากันว่าอยู่ในสกุลของ Rosa กุหลาบบ้างก็มีลำต้นตรง บ้างก็มีลำต้นทอดเลื้อย ที่สำคัญตรงลำต้นและกิ่งมีหนามแหลม มีขอบใบจัก ดอกมีสีต่างๆและมีกลิ่นหอมมากน้อยแล้วแต่ชนิดและสายพันธุ์ เชื่อกันว่ากุหลาบเป็นราชินีแห่งดอกไม้ทั้งปวงดังมีตำนานบทหนึ่งเล่าขานเอาไว้ว่า เช้าวันหนึ่งชายาของลมตะวันตกเซไฟรัส อันมีนามว่า คลอรีส ไปพบนางกินรีนางหนึ่งนอนสิ้นใจอยู่ในป่า ด้วยความเสียดายในรูปโฉมอันงดงามของนาง ครอรีสจึงประทานชีวิตให้แก่นางกินรีเสียใหม่ โดยเสกให้นางกลายเป็นดอกไม้ที่มีความงดงามที่สุดเหนือกว่าดอกไม้ใดในพื้นพิภพ

 

                ขณะนั้นเอง อโฟรไดท์ (เทพแห่งความงาม) ก็เดินย่างเข้ามาให้พรแก่ดอกไม้เกิดใหม่ว่า “ ขอให้ดอกไม้ดอกนี้มีความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ยิ่งกว่าดอกไม้ชนิดใดใด ” หลังจากนั้นไม่นานสายฝนก็กระหน่ำเทลงมาให้ความชุ่มชื่น   จนถึงเวลาอันสมควรสายลมตะวันตก “ เซไฟรัส ” ก็ช่วยเบิกฟ้าขับไล่เมฆฝนดำมืดออกห่างไกลไป ครานั้นเองที่สุริยะเทพ “ อพอลโล ” ได้สาดส่องแสงแห่งความเป็นอมตะลงมา ปรากฏว่าดอกไม้กำลังเบ่งบานชูช่อกิ่งก้านใบอย่างสวยงาม  และดอกของนางกำลังผลิออกมาอย่างช้าๆ วินาทีนั้นเองที่ “ เทพไดโอนีเซีย ” (เทพแห่งเหล้าองุ่น) ได้มาประทานกลิ่นหอมของน้ำอมฤต(เหล้า)ให้แก่ดอกที่กำลังเบ่งบาน จนเมื่อดอกไม้ดังกล่าวผลิดอกออกมาอย่างสมบูรณ์ ทวยเทพ ณ ที่นั้นจึงขนานนามดอกไม้งามดอกนั้นว่า “ โรซ่า ” (Rosa)

 

                หลังจากเสร็จกรรมพิธีในการสร้างกุหลาบแล้วนั้น “ ครอรีส ” เทพธิดาแห่งดอกไม้ก็ได้มอบดอกกุหลาบขาวดอกหนึ่งแก่ “ อีโรส ” (เทพแห่งความรัก) นับแต่วันนั้นเป็นต้นมากุหลาบขาวจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความใคร่ ต่อมาดอกกุหลาบได้ถูกส่งมอบมาให้แก่ “ ฮาร์โพเครติส ” (เทพแห่งความเงียบ)กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเงียบ การซ่อนความอ่อนแอของเหล่าทวยเทพ อันยังคงไว้แต่เพียงความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว บัดนั้นกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเงียบและความเร้นลับด้วย ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ที่แสดงถึงความสูงส่ง สง่า เป็นดอกไม้ของเทพเจ้าที่ประทานมอบมาให้แก่มวลมนุษยชาติอย่างประณีตบรรจง หวังเพียงให้แลเห็นถึงความงดงามร่วมกัน เหล่าเทพและมนุษย์ทั้งหลายจึงพร้อมขนามนามดอกกุหลาบว่าเป็น “ ราชินีแห่งบุปผชาติทั้งมวล ”  ตราบปัจจุบัน 

 

                ในประเทศไทยคำว่ากุหลาบเพี้ยนมาจากคำว่า “ คุล ”  ในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งแปลว่า “ สีแดง ” หรือ “ ดอกไม้สีแดง ”  ดอกกุหลาบได้เดินทางเข้ามาในผืนแผ่นดินของสยามประเทศแต่ครั้งใดนั้นไม่มีปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ประการใด นอกจากในรายงานการบันทึกของ “ ลา ลูแบร์ ” ราชทูตของประเทศฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชบันทึกเอาไว้ว่า  “ ตนได้เห็นดอกกุหลาบครั้งแรกในผืนแผ่นดินของสยามประเทศในกรุงศรีอยุธยา ” 

 

                 นอกจากนี้ยังมีตำนานของการกำเนิดดอกกุหลาบในแบบไทยๆซึ่งเป็นเรื่องเล่าพระราชนิพนธ์ของรัชการที่ 6 เรื่อง “ มัทนา ”  กล่าวเอาไว้ว่ามีเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ “ มัทนา ” อันเป็นที่หมายปองของเทพบุตรชื่อ “ สุเทษณะ ”  แต่นางมัทนาไม่สู้จะมีใจรักในตัวของเทพบุตรเสียเท่าไรจึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจวบจนกำเนิดลูกหลานหลากหลายรุ่นพันธุ์ตราบปัจจุบันปรากฏ  ดอกกุหลาบมีหลากหลายสีสันซึ่งในแต่ละสีเหล่านั้นก็แฝงเอาไว้ด้วยความหมายต่างๆเป็นอาทิ เช่น

               1.ดอกกุหลาบสีขาว  หมายถึง  ความรักอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง และความใคร่
               2.ดอกกุหลาบสีแดง  หมายถึง  ความรักอันร้อนแรง
               3.ดอกกุหลาบสีแดงเข้ม  หมายถึง  ความงามที่เจ้าตัวไม่ตระหนัก
               4.ดอกกุหลาบสีเหลือง  หมายถึง  การขอให้ท่านหายป่วยในเร็ววัน หรือการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน(ประมาณว่าเป็นดอกไม้สำหรับเยี่ยมผู้ป่วย)
               5.ดอกกุหลาบสีชมพู  หมายถึง  ความสุข ความสดใส ความชื่นชม  มิตรภาพ  และความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
               6.ดอกกุหลาบสีชมพูอ่อน  หมายถึง  ความนิ่มนวล  ความเริงร่า  และความชื่นชม
              7.ดอกกุหลาบสีชมพูเข้ม  หมายถึง  ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ
                         

               กุหลาบดอกสวยหนามย่อมแหลมตามไปด้วยเป็นปกติเพื่อป้องปกความงดงามอันเสาะแสวงหาของมวลหมู่แมลง แม้นว่าต้องเสี่ยงแลกกับปลายหนามที่แหลมคมก็สมยินยอมพร้อมด้วยทั้งกายและใจ และนี่ก็คือเรื่องราวและตำนานทั้งหมดของ “ กุหลาบ ดอกไม้ราชินี ”

 

                อนึ่ง  มีความเชื่อกันว่า  “ กามเทพ ” คือเทพแห่งความรักอันสามารถมีฤทธิ์ดลบันดาลให้ชายหญิงรักกันได้ ทั้งทางยุโรปและเอเชียต่างก็มีความเชื่อในเรื่องดังกล่าวสอดคล้องสัมพันธ์กันความเชื่อเรื่องกามเทพของทางยุโรปเรียกว่า  “ คิวปิด ”  มีลักษณะเป็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู มีปีกสีขาว 1 คู่ โดยไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีคิวปิดจะยังคงรูปลักษณ์ของเด็กน้อยอยู่ตลอด และที่สำคัญคิวปิดมีธนูที่ปลายลูกดอกเป็นรูปหัวใจ กล่าวกันว่าหากใครก็ตามโดนธนูดอกนี้ยิงเข้าก็จะหลงรักคนที่พบเจอเป็นคนแรกในทันทีทันใด ซึ่งคันธนูและดอกศรนี้เองประดิษฐ์โดย “ เทพเจ้าวัลแคน ” (เทพเจ้าแห่งทั่งเหล็ก) อันเป็นเทพที่มีความคุ้นเคยและใกล้ชิดกับคิวปิดมาก่อน นอกจากนี้คิวปิดยังถือเป็นบุตรชายของเทวีวีนัส (เทพแห่งความรัก) คิวปิดมีภรรยานางหนึ่ง เธอมีชื่อว่า “ ไซคี ” โดยภาระหลักของคิวปิดก็คือการทำให้ชายหญิงที่เหมาะสมกันรักกัน เป็นต้น 

 

                กามเทพเอเชีย เรียกกันว่า “ พระกามเทพ ” เป็นบุตรของพระพรหม มีเทพพาหนะเป็นนกแก้ว พระกามเทพมักใช้อำนาจของดอกศรที่พระองค์ทรงมีอยู่ทำให้ชายหญิงรักกัน ปกติเรามักไม่ค่อยเห็นรูปงานประติมากรรมหรืองานจิตรกรรมรูปพระกามเทพตามสถานที่ต่างๆเนื่องด้วยเชื่อกันว่าพระองค์นั้นไม่มีตัวตน โดยเหตุที่พระองค์ไม่มีตัวตนนั้นเชื่อกันว่ามาจากการแผลงศรครั้งสุดท้ายของพระกามเทพก็คือการแอบไปยิงดอกศรแห่งความรักใส่พระอิศวรให้กลับมารักกับพระแม่อุมาอีกครั้งตามคำขอของเหล่าทวยเทพ การแผลงศรในครั้งนั้นเองทำให้พระกามเทพถูกพระอิศวรเผาด้วยเนตรดวงที่สามจนกายร่างสูญสลายหายไป ด้วยเหตุนี้เองพระกามเทพทางฝั่งความเชื่อของชาวเอเชีย (ส่วนใหญ่) จึงไม่มีตัวตนและเรียกพระองค์ว่า “ อนงค์ ” (ผู้ไม่มีตัวตน)

 

 

เครดิตบทความ  http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0


แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น