คุณถาม อิสลามตอบ :)
ตั้งกระทู้ใหม่
เปิดโอกาสสำหรับผู้สงสัย ทำไมอิสลามต้องเป็นอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องนั้น ทำไมต้องนี่ .. วันนี้เรามาให้คุณซักถึงที เพื่อความกระจ่าง
:)
เพราะบางอย่างก็ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด เพราะบางสิ่งก็ลึกซึ้งกว่านั้น .. การเรียนรู้แบบผ่านๆ อาจทำให้คุณเข้าใจคลาดเคลื่อน อิสลามไม่ได้มีแค่หลักศรัทธา 6 หลักปฏิบัติ 5 อิสลามไม่ได้สอนคนให้ฆ่าใคร คำสอนของอิสลามไม่รุนแรง เพียงแค่คุณเปิดใจรับฟัง
อย่าปล่อยใจให้สื่อครอบงำ !!
ณ บัด now
PS. เค็มแล้วนิยายตู
38 ความคิดเห็น
ถ้าแรงไป ไม่ตอบก็ได้นะคะ
เคยได้ยินว่าในบางประเทศ(ที่ใช้กฏหมายอิสลามในการปกครอง) บางข้อนั้น ใครที่เปลี่ยนศาสนาจากอิสลามเป็นศาสนาอื่นจะถูกประหารชีวิต ซึงเราก็เคยดูวีดีโอของผู้หญิงคนนึงเป็นเขาจะเปลี่ยนเป็นคริสต์แล้วถูกแขวนคอ (อันนี้เคยอ่านเจอในเวบพันทิบมาค่ะ)
สิ่งที่จะถามคือ ในคัมภีร์อัลกุรอาน มีบทลงโทษเกี่ยวกับการเปลี่ยนศาสนาหรือไม่ อย่างไร
PS. group dhamma wa wa wow http://group.dek-d.com/autto002/
นึกได้อีก
1.อะไรคือศรัทธา 6 ปฏิบัติ 5 คืออะไรคะ (อันนี้โง่จริง ไม่เข้าใจอะค่ะ)
2.ผู้หญิงที่นับถืออิสลาม หรือมุสลิมะห์ ทุกคนตามหลักของมุสลิมจำเป็นจะต้องคลุมผ้าทุกคนหรือเปล่าคะ (เห็นบางคนที่เรารู้้จักเขาก็ไม่คลุมกัน)
3.เคยได้ยินว่าชาวมุสลิมต้องละหมาดวัน 5 ครั้งจริงหรือเปล่าคะ วันก่อนไปดูในยูทูปเห็นที่เขาละหมาดกันทุกวันศุกร์อะไรนี่แหละค่ะ คืออยากถามว่ามันแตกต่างจากการละหมาดวันละ 5 ครั้งยังไง หรือว่าเป็นพิธีเดียวกัน
4.วันก่อนไปเถียงกับพี่คนนึงเรื่องอิสลามกินหมูได้หรือไม่ พอดีเราเคยอ่านเจอว่าชาวมุสลิมจะต้องทานอาหารที่เป็นฮาลาล เวลาฆ่าสัตว์ก็ต้องฆ่าตามหลักศาสนา แต่พี่คนนั้นบอกเราว่า ชาวมุสลิมบางนิกายเขากินหมูได้
5.นิกายในอิสลามมี 2 นิกายใหญ่ที่เคยได้ยินคือชุนหนี่ กับชีอะ(เขียนผิดก็ขออภัย) อยากถามว่าสองนิกายนี้ต่างกันยังไงคะ แล้วในเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายอะไร
พอดีเราเป็นพุทธอะ เลยงง หลายเรื่องไปหน่อย ขอยอมรับตามตรงว่าเมื่อก่อนเรามองอิสลามในมุมที่ว่าเป็นศาสนาที่รุนแรงจริงๆนะ แต่ตอนหลังเรารู้สึกสงสารพี่น้องมุสลิมมากว่าเพราะว่าบางเรื่องชาวมุสลิมก็ถูกใส่ความจริงๆ(ถ้าดูจากข่าว)
พี่น้องมุสลิมที่เจอบางคนใจดีมาก แม้กระทั่งในบอร์ด บางครั้งก็ตอบคำถามได้ดูจะใจเย็นกว่าบางศาสนาเยอะ
ที่กล้าถามแรงเพราะเรามั่นใจว่าคุณสามารถอธิบายให้เราฟังได้จริงๆ เพราะเราดูจากการอธิบายจากพี่น้องมุสลิมที่เคยมาโพสในบอร์ดนี้ เขาไม่เคยหาเรื่องใครเลย แถมอธิบายได้ดี
ปล. ดูข่าว เป้ย ปานวาดแล้ว อยากบอกว่าชุดแต่งงานแบบอิสลามสวยมากๆ เพิ่งเห็นชุดเจ้าสาวตามแบบอิสลามก็คราวนี้แหละ โทษทีนะคะที่พิมยาวไปหน่อย
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 1 พฤษภาคม 2555 / 14:56
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 1 พฤษภาคม 2555 / 14:50
PS. group dhamma wa wa wow http://group.dek-d.com/autto002/
หลักศรัทธา 6
- ศรัทธาในอัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ
อิสลามถือว่าในสากลจักรวาลทั้งหลายมีพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว
** เป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและเป็นผู้บริหารควบคุม
** โลกนี้มิใช่เกิดมาด้วยความบังเอิญ ถ้าเกิดมาโดยบังเอิญ มันจะมีระบบระเบียบแบบแผนในการโคจรไม่ได้ โลก ดวงอาทิตย์ และ ดวง จันทร์ ได้หมุนโคจรอย่างมีระบบ รักษาตำแหน่งหน้าที่ของมัน อย่างคงเส้น คงวา นับเป็นเวลานานไม่รู้กี่ล้านปี โดยที่มันไม่เคยชนกันเลย นี่ต้องแสดงว่ามีผู้บริหาร และ ต้องมีผู้ควบคุมมัน
- ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์
** มลาอิกะฮฺคือบริวารของพระองค์ ถูกสร้างมาจากรัศมี ไม่มีเพศ ไม่ขัดขืนคำสั่งของอัลลลอฮฺ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน มลาอิกะฮฺ คือ อำนาจแห่งความดี
** มลาอิกะฮฺปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล เท่าที่มีระบุชื่อและหน้าที่เฉพาะก็มีอยู่ 10 มลาอิกะฮฺ คือ
1. ยิบรออีล ทำหน้าที่นำโองการ (คำพูด) ของพระเจ้าแก่ศาสดา
2. มีกาฮีล ทำหน้าที่นำโชคลาภจากพระเจ้าสู่โลก
3. อิมรอพีล ทำหน้าที่เป่าสังข์ในวันสิ้นโลก
4. อิสรออีล ทำหน้าที่ถอดวิญญาณของมนุษย์และสัตว์
5. รอกีบ ทำหน้าที่บันทึกความดีและความชั่วของมนุษย์
6. อะติด ทำหน้าที่บันทึกความดีและความชั่วของมนุษย์
7. มุงกัร ทำหน้าที่สอบถามคนตายในกุบูร (หลุมฝังศพ)
8. นะกีร ทำหน้าที่สอบถามคนตายในกุบูร (หลุมฝังศพ)
9. ริดวาน ทำหน้าที่ดูแลกิจการของสวรรค์
10.มาลิก ทำหน้าที่ดูแลกิจการของขุมนรก
- ศรัทธาในบรรดานบี (ศาสดา) ทั้งหลาย
** นบี หรือ ศาสดาคือทูตของอัลลอฮฺที่พระองค์ส่งลงมายังหน้าแผ่นดินเพื่อเผยแพร่สัจธรรมแก่มนุษย์ เพื่อเผยแพร่คำสอน เพื่อสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เท่าที่พระองค์ทรงประสงค์
** จำนวนนบีและรอซูลของอัลลอฮฺมีมากมายหลายท่าน แต่ที่ถูกกล่าวชื่อในอัลกุรอานและอัลลอฮฺได้เล่าประวัติของพวกเขาให้พวกเราได้รับรู้มีจำนวน 25 คน
1. อาดัม (อ.ล.)
2. อิดริส
3. นุฮฺ
4. ฮูด
5. ศอและฮฺ
6. อิบรอฮีม
7. อิสมาอีล
8. ลูฏ
9. อิสฮัก
10. ยะโกบ
11.ยุซุฟ
12.อัยยูบ
13.ซุอีบ
14.มูซา
15.ฮารูน
16.ซุลกิฟลี่
17.ดาวูด
18.สุไลมาน
19.อิลยาส
20.อัลยาชะอ์
21.ยูนุส
22.ซะการียา
23.ยะฮ์ยา
24.อีซา
25.มูฮัมมัด(ซ.ล.)
** ลักษณะที่สำคัญของ รอซูล มี 4 ประการ คือ
1. ศิดกุน คือ วาจาสัตย์ ไม่พูดเท็จ
2. อะมานะฮ์ คือ ไว้วางใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำความชั่ว ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ
3. ตั๊บลีฆ คือ นำศาสนา ออกเผยแพร่ โดยทั่วถึง และไม่ปิดบังอำพราง
4. ฟาตอนะฮ์ คือ เฉลียวฉลาด ทันคน ไม่โง่เขลา
- ศรัทธาในคัมภีร์
อัลเลาะห์ได้ทรงประทานคัมภีร์มายังรอซูล ที่ระบุอยู่ในคัมภีร์ อัลกุรอานมีดังต่อไปนี้
1. คัมภีร์เตารอต พระองค์ได้ทรงประทานมายังนบีมูซา (Moses) อลัยฮิสลาม เป็นภาษาฮิบรู คัมภีร์เล่มนี้ประกอบด้วยบัญญัติศาสนาและหลักการศรัทธาที่ถูกต้อง และบอกข่าวการมาของท่านนบีมูฮัมหมัด คัมภีร์นี้บางครั้งรู้จักกันในนามของคัมภีร์โตราห์ (Tohra) เนื้อหาบางส่วนของคัมภีร์นี้อยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาเก่าของศาสนาคริสต์ (Old Testament) และในคัมภีร์ทัลมูล (Talmud) ในศาสนายิว
2. คัมภีร์อินญีล เป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมายังนบีอีซา (Jesus) อลัยฮิสสลาม เป็นภาษากรีกโบราณ คัมภีร์อินญีลได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักการศรัทธา และเชิญชวนให้มนุษย์ภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียว และยกเลิกบัญญัติบางส่วนในคัมภีร์เตารอต พร้อมกันนั้นก็ได้บอกข่าวเกี่ยวกับการมาของนบีมูฮัมหมัด คัมภีร์อินญีลบางส่วนมีอยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาใหม่ (New Testament)
3. คัมภีร์ซาบูร เป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมายังนบีดาวูด (David) อลัยฮิสสลาม เป็นภาษาซีเรียโบราณ คัมภีร์ซาบูรซึ่งประมวลถึงคำวิงวอน คติธรรม ศาสโนวาท โดยไม่มีบัญญัติศาสนา เพราะอัลเลาะห์ได้ทรงใช้ให้นบีดาวูดดำเนินตามบัญญัติของนบีมูซา อลัยฮิสสลาม
4. คัมภีร์อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด เป็นภาษาอาหรับ โดยมีคุณลักษณะพิเศษดังนี้คือ
- เป็นคัมภีร์ที่มีความประเสริฐสูงสุดที่ได้ถูกประทานมายังบรรดาศาสดา
- เป็นคัมภีร์สุดท้ายที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา
- คัมภีร์อัลกุรอานได้ยกเลิกบัญญัติต่างๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาในคัมภีร์ก่อนๆ
- คัมภีร์ อัลกุรอานจะคงอยู่จนถึงวันกิยามะห์ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะอัลเลาะห์ได้ทรงตรัสว่า
แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน (อัล หิจร์ : 9)
- ศรัทธาในวันสุดท้ายและการเกิดใหม่ในวันปรโลก
** อิสลามถือว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นเพียงวัตถุธาตุชิ้นหนึ่ง ซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือนๆ กับวัตถุหรือสิ่งอื่นๆ แน่นอนโลกของเรา ต้องถึงจุดจบไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อโลกแตกสลายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับสิ้นเว้นแต่อัลลอฮฺเท่านั้นที่ยังดำรงอยู่ และมนุษย์ทั้งหลายก็จะไปฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งในโลกหน้า แต่จะไปเกิดในสภาพใดนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้ได้
** การฟื้นขึ้นใหม่อีกในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามที่เขาได้กระทำไว้เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเขาในโลกนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าขาจะเป็นผู้ได้รับสวรรค์หรือนรก ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีการกลับชาติมาเกิด
- ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวะของพระองค์
** ต้องศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้ล้วนเกิดขึ้นมาและดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ทั้งสิ้น เช่น ไฟมีคุณสมบัติร้อน น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แพะ แกะ วัว ควาย สุนัข ออกลูกเป็นตัว นก เป็ด ไก่ ออกลูกเป็นไข่ ต้นมะม่วงต้องออกลูกเป็นมะม่วง ต้นกล้วยจะออกผลเป็นลูกแอปเปิลไม่ได้ ทุกๆ ชีวิตต้องตาย นี่คือกฎกำหนดสภาวะของอัลลอฮฺ
** หมายความว่า กฎ ธรรมชาติทั้งหลายนั้นอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างและควบคุมมัน ส่วนการกำหนดสภาวะในหลักจริยธรรมความดีความชั่วนั้นพระองค์จะเป็นผู้บอกเราเองว่าอะไรคือดีและอะไรคือชั่ว แล้วก็เลือกเองว่าจะทำความดีหรือความชั่ว
** แต่สิ่งที่ใช้วัดความดีความชั่วนั้นในอิสลามถือว่ามันไม่ได้มาจากมติบุคคลหรือมติของมหาชนมิได้อาศัย ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือความนิยมหรือสิ่งแวดล้อมเป็น เครื่อง กำหนด เพราะถ้ามนุษย์เป็น ผู้กำหนดความดีความชั่วแล้วมาตรฐานความดีของมนุษย์ก็จะแตกต่างกัน
** การที่มนุษย์ได้กระทำความดีความชั่วนั้นอัลลอฮฺไม่ได้เป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของเขาไว้ล่วงหน้ามาก่อน สิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับการกระทำหรือการตัดสินใจของมนุษย์เอง เพราะอัลลอฮฺ ได้ให้ความคิด อิสรเสรีแก่เขาในการที่เขาจะเลือกทางเดินของเขาเอง
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 1 พฤษภาคม 2555 / 16:56
PS. เค็มแล้วนิยายตู
ตอบ
- มุสลิมะต้องคลุมผ้าทุกคน ขอย้ำว่าทุกคน ไม่คลุมไม่ได้
- ละหมาดวันศุกร์ อันนี้คือให้ชายทุกคนไปละหมาดที่มัสยิดรวมกัน เอาเป็นว่ามันเป็นคำสั่ง ขอโทษครับอันนี้ผมอธิบายไม่ได้จริงๆ :(
- กินหมูไม่ได้ อาหารที่มุสลิมกินได้จริงๆ คือ ต้องทำจากมุสลิมด้วยกันเท่านั้นครับ เพราะว่าต้องผ่านพิธีกรรมครับ
- คือ จริงๆแล้วมุสลิมไม่มีนิกายนะครับ ศาสนาบอกให้เคารพอัลเลาะห์องค์เดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการแบ่งแยกครับ พวกท่ี่แบ่งออกไป ผมว่าไม่ใช่อิสลามแล้วละครับ
ก็อยากจะถามว่า ที่ทางหลักของศาสนาอิสลามห้ามเป็นนักแสดง น่ะค่ะ
เพราะอาจจะมีฉากที่ไปจับเนื้อต้องตัวกัน (ใช่ไหมคะ ??) แล้วชาวมุสลิมสามรถดูละครได้ไหมคะ
และสามารถเป็นนักร้อง ดีเจ ผู้ประกาศข่าว หรืออื่นๆที่เกี่ยวกับวงการบังเทิงได้หรือเปล่าคะ
จะผิดหลักศาสนาไหมเอ่ย ค้างคาใจมานานแล้ว ถามเพื่อนๆมาแล้วเราก็ไม่เข้าใจ
อีกเรื่องนะคะ คือว่าเวลาชาวมุสลิมละหมาดน่ะคะ คล้ายๆกับสวดมนต์ของชาวพุทธหรือเปล่าคะ
แล้วชาวพุทธอย่างเราสามารถเรียนรู้การละหมาดได้ไหมคะ หรือต้องนับถือศาสนาอิสลาม
เท่านั้น ถึงจะสามารถเรียนรู้ได้ รบกวนหน่อยนะคะ
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ เราจะได้ปรับตัวให้เป็นเพื่อนที่ดีกับชาวมุสลิมได้
PS. คุยได้ไม่ว่า อย่าด่านะเธอ ถ้ายังไม่เจอ อย่าเผลอรักกัน 5555
รบกวนถามอีกรอบนะคะ ที่มุสลิมะต้องคลุมผ้าทุกคน แล้วมีใครสามารถเห็นเส้นผมได้หรือไม่คะ
PS. คุยได้ไม่ว่า อย่าด่านะเธอ ถ้ายังไม่เจอ อย่าเผลอรักกัน 5555
คนที่สามารถเห็นเส้นผมได้คือหญิงด้วยกันเองและผู้ชายที่ไม่สามารถแต่งงานกับหญิงคนนั้น
ผมก็ เป็นมุสลิมคนนึงนะครับ แต่ขอตอบเกี่ยวกับซุนนี และ ชีอะฮฺ (เรื่องอื่นๆ รู้ไม่ลึกเลยไม่อยากตอบครับ)
คหสต
ผมคิดว่า ชีอะ ไม่ใช่นิกายมุสลิมนะครับ เพราะ ผมลองศึกษาเกี่ยวกับ หลักคำสอน หลักปฏิบัติ มันขัดต่อ บทบัญญัติของอิสลามมากครับ (อัลกุรอาน,อัลฮะดิศ)
อันนี้เล่าให้ฟังครับ ข้อดีของการอยู่ใกล้สุเหล่า
คือเพื่อนผมเช่าห้องพักอยู่ใกล้ๆสุเหล่า เขาบอกไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลยครับ
เช้ามืดทางสุเหล่าจะสวดมนต์ออกทางลำโพง ดังไปถึงห้องพัก ปลุกให้เขาตื่นเอง
PS. เมตตา และ ปัญญา เป็นที่มาของความสุข
เพิ่มเติมครับ (คนเดียวกันกับ คห7)
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
ทัศนะที่หลายฝ่ายมีต่อชีอะฮ์ ผู้ยึดตามครอบครัวของท่านศาสดา(ศ.) กล่าวหาว่า ชีอะฮ์นั้นเป็นคนละศาสนา โดยมีเหตุผล 2 ประการใหญ่ ๆ ดังนี้
1. พวกชีอะฮ์ได้สาปแช่งบรรดาสหายผู้ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคเมื่อครั้งท่านศาสดาอยู่เมื่อง มักกะห์ ว่าตกศาสนา
2. พวกชีอะฮ์ไม่ยอมรับว่า คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ถูกต้องสมบูรณ์ เนื่องจากตอนที่อัลกุรอานถูกประทานลงมาในช่วงแรก ๆ เหล่าสาวกที่ชีอะฮ์บอกว่าเป็นคนตกศาสนา ที่เป็นคนบันทึกอัลกุรอานไว้ เนื่องจากท่านศาสดาไม่รู้หนังสือไม่สามารถเขียนหนังสือได้
พวกชีอะฮ์ตอบเหตุผลแรกว่า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธบรรดาสหายศาสดาทุกคน แต่พวกเขาเชื่อว่าบรรดาสาวกศาสดาที่ทรงธรรมเท่านั้นที่ควรได้รับการยกย่อง ไม่ไช่ทั้งหมด ส่วนเหตุผลที่สอง พวกเขาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการกล่าวหาโดยอาศัยคำพูดของบางคน ไม่อาจนำมาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ดีที่สุดก็คือการพิจารณาจากคัมภีร์อัลกุรอานที่ชีอะห์อ่านอยู่เป็นประจำว่าแตกต่างจากกุรอานของมุสลิมอื่น ๆ หรือไม่ และที่จริง ชีอะฮ์นั้นไม่ใช้อิสลาม
และที่ได้ยินมานะครับ(ผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้)
ชีอะ เกิดขึ้นเพราะการเมืองโดยมี ยิว อยู่เบื้องหลัง ทำให้มุสลิมแตกแยกกัน คือ กลุ่ม ซุนนี (ตามแบบ นบีมูฮัมหมัด ) และ ชีอะ (พวกที่ นับถืออาลี (คอลีฟะ สมัยนั้น) เสมือนพระเจ้า และกล่าวหาว่า ผู้ที่ตามนบีมูฮัมหมัด คือผู้ที่ตกศาสนา และ ยังเอาอัลกุรอ่าน มาแก้ใหม่โดยบอกว่า แบบเก่า พระเจ้าประทานลงมาผิด ซึ่งไม่จริงเลย)
ขอบคุณครับ
อยากรู้ว่าแบบนาเดียร์ พิ้งกี้เขาเป็นอิสลาม
เขาไม่คลุมผ้านี่บาปมั้ยหรือเป็นข้อยกเว้นยังไง?
ขอบคุณค่ะ (_ _)
สงสัยมานาน
ขอบคุณค่ะ ที่มาอธิบายให้ฟัง
PS. group dhamma wa wa wow http://group.dek-d.com/autto002/
ถึง คห.10 ครับ
ไม่ว่าใครที่ไม่คลุมก็ถือว่าบาปครับ (อยู่ที่อีหม่านของตัวเขาว่าจะเข้มแข็งแค่ไหน)
ผมเป็นมุสลิมครับข้อตอบเรื่องของการกินหมู
เรื่องหมูนะครับ :--
มันเป็นคำบัญชาของอัลลอฮ(พระเจ้า)ดังนั้นผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮก็จะไม่กินหมูเพราะรู้อยู่แล้วว่าพราะเจ้า          ทรงหวังดีต่อมนุษย์อยู่แล้ว ผู้ศรัทธาจึงไม่มีคำถามต่อการกินหมู
แต่พอเทคโนโลยีก้าวไกลมนุษย์จึงอยากรู้ว่าทำไมพระเจ้าจึงห้ามการกินหมู
https://www.youtube.com/watch?v=mL_48wUQeXQ
จากวีดีโอนี้ก็คงเป็นข้อพิสูจได้แล้วว่าคำบัญชาของพระเจ้าเมื่อ 1400 กว่าปีก่อนนั้นเป็นเรื่องจริง
ประเด็นเรื่องไม่กินหมูที่ถามกันบ่อยมากนั้น พอสรุปใจความได้ประมาณนี้น่ะครับ
เป็นการอธิบายหให้ฟังสั้นๆ
http://www.islamhouse.com/p/206172
พอจะเข้าใจมั้ยครับ
4. ความผิดฐานพ้นจากศาสนา
          เมื่อมุสลิมละทิ้งศาสนาอิสลามจะมีความผิดฐานพ้นจากศาสนา ความผิดฐานพ้นจากศาสนาจะเกิดขึ้นกับมุสลิมเท่านั้น ไม่ว่าจะโดยการกระทำ เช่น การบูชาเจว็ด หรือดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ เป็นต้น หรือปฏิเสธความเชื่อ หรือไม่ยอมรับปฏิบัติตามหลักการอิสลาม เช่นความเชื่อในวันปรโลก (กิยามะฮ์) ไม่ยอมรับการละหมาด การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน หรือดูหมิ่นศาสนาอิสลามและหลักคำสอน หรือเชื่อในสิ่งที่ขัดกับหลักการอิสลาม เช่น เชื่อการเป็นนิรันดร์ของจักรวาลและเชื่อว่าจักรวาลนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
          แต่มุสลิมจะไม่พ้นจากศาสนาด้วยการปฏิบัติหรือมีความเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญตามหลักคำสอนของอิสลาม และมุสลิมจะไม่พ้นจากศาสนาในกรณีที่ปฏิเสธหรือเชื่อในประเด็นที่บรรดามัซฮับหรือสำนักคิดทางกฏหมาย  อิสลามมีความเห็นแตกต่างกัน ดังนั้นนักกฏหมายอิสลามให้ทัศนะว่าจะต้องเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่พ้นจากศาสนาในการอธิบายความหมายของคำหรือประโยคที่เขาได้กล่าวออกมาและทำให้เขาพ้นจากศาสนาอิสลาม
          ส่วนบทลงโทษฮัดของความผิดฐานพ้นจากศาสนาคือการประหารชีวิตหลังจากที่เปิดโอกาสให้แก่ผู้กระทำความผิดสำนึกบาป ดังที่นะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า "จงฆ่าผู้(มุสลิม) ที่ละทิ้งศาสนาของเขา" นักกฏหมายอิสลามส่วนใหญ่ให้ทัศนะว่าการประหารชีวิตเป็นบทลงโทษของความผิดฐานพ้นจากศาสนาไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ส่วนนักกฏหมายอิสลามส่วนน้อยให้ทัศนะว่าผู้ที่พ้นจากศาสนาที่เป็นหญิงไม่ต้องรับโทษฮัด แต่นางจะถูกจำคุกหรือจนกว่าจะสำนึกผิด โดยอ้างหะดีษที่นะบีมุฮัมมัด  สั่งมิให้ฆ่าหญิงที่มิใช่มุสลิมในระหว่างสงคราม
อัลมุรตัด  คือ  ผู้ที่ได้ปฏิเสธโดยสมัครใจหลังจากเข้ารับอิสลาม
บทบัญญัติว่าด้วยที่ผู้ออกนอกศาสนา
        ผู้ออกนอกศาสนานับว่าเป็นการปฏิเสธที่ร้ายแรงยิ่งกว่าผู้เป็นกาฟิรดั้งเดิม  และการออกนอกศาสนานั้นคือการปฏิเสธ ที่ทำให้หลุดออกจากแนวทาง  และต้องพำนักอยู่ในนรกตลอดกาลหากเขาตายไปโดยไม่ได้กลับตัว  และเมื่อผู้ออกนอกศาสนาได้เสียชีวิตหรือถูกประหารก่อนที่ได้กลับตัวเขาคือกาฟิร  ไม่ต้องอาบน้ำศพ  ไม่ต้องละหมาดให้  และจะไม่ถูกฝังในสุสานของบรรดามุสลิม
อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
ความหมาย  และผู้ใดในกลุ่มพวกสูเจ้าออกนอกศาสนาของเขา  แล้วเขาได้เสียชีวิตลงขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา  ชนเหล่านี้แหละที่บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ  และชนเหล่านี้คือชาวนรกซึ่งพวกเขาจะต้องอยู่ในนั้นตลอดกาล  (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 217)
จากอิบนิ อับบาส เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา  แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«مَنْ بَدَّلَ دِيْنَـهُ فَاقْتُلُوهُ»
ความหมาย  ผู้ใดที่ได้เปลี่ยนศาสนา  ดังนั้นจงประหารชีวิตของเขา
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 3017)
การบัญญัติโทษประหารชีวิตแก่ผู้ออกนอกศาสนา
        อิสลาม คือ ครรลองที่ครบถ้วนสมบรูณ์สำหรับการดำเนินชีวิต  และเป็นกฏระเบียบที่คลอบคลุมทุกอย่างที่มีความจำเป็นต่อมนุษย์สอดรับกับธรรมชาติและสติปัญญา  ดำรงไว้ซึ่งหลักฐานและข้อเท็จจริง  ขณะเดียวกันนับว่าเป็นความโปรดปรานที่ใหญ่หลวงและด้วยกับการดำเนินชีวิตตามครรลองอิสลามจะทำให้บรรลุถึงความสุขทั้งโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
          และผู้ใดที่ได้เข้ารับอิสลามหลังจากนั้นเขาก็ออกนอกศาสนาเท่ากับเขาได้ลดระดับสู่ชั้นที่ต่ำลงและเขาปฏิเสธศาสนาของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงพอพระทัยแก่พวกเรา  และเขาได้คดโกงต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์  ดังนั้นจำเป็นต้องประหารชีวิตเนื่องจากเขาได้ปฏิเสธสัจธรรม  และด้วยหลักการอิสลามเป็นสิ่งที่มาสร้างดุลยภาพให้แก่โลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
ประเภทของการออกนอกศาสนา
การออกนอกศาสนาสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท  ดังต่อไปนี้
          1.  การออกนอกศาสนาโดยความเชื่อ เช่น  การที่มนุษย์เชื่อว่ามีหุ้นส่วนภาคีร่วมกับอัลลอฮฺในด้านการเป็นพระเจ้า หรือในด้านการทำอิบาดะฮฺ  หรือปฏิเสธการเป็นพระเจ้าของพระองค์หรือความเป็นเอกะของพระองค์  หรือปฏิเสธคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์  หรือเชื่อว่าบรรดาศาสนทูตนั้นเป็นเท็จ  ปฏิเสธบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมา  ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ ปฏิเสธการมีของสวนสวรรค์และนรก  ตำหนิสิ่งหนึ่งสิ่งใดของศาสนาถึงแม้ว่าเขาจะปฏิบัติอยู่ก็ตาม 
        หรือเชื่อว่าการผิดประเวณี  การดื่มสุรา  หรืออื่นๆ ที่ศาสนาห้าม (หะรอม) อย่างจัดเชนว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ (หะลาล)  หรือปฏิเสธการละหมาด  การจ่ายซะกาต  และสิ่งที่เป็นวาญิบอื่นๆ โดยที่เขาไม่รู้ หากว่าเขาไม่รู้ก็ถือว่าปฏิเสธ  แต่หากเขารู้ถึงบทบัญญัติของมันแต่ยังยืนกรานอีกถือว่าเขาปฏิเสธ  หรือเขาสงสัยสิ่งที่วาญิบในศาสนาหรือของในทำนองเดียวกันโดยที่เขารู้  เช่น  การละหมาด เป็นต้น
          2.  การออกนอกศาสนาโดยการพูด  เช่น  การด่าทออัลลอฮฺ  บรรดาเราะสูล  บรรดามะลาอิกะฮฺ  บรรดาคัมภีร์  หรือการอ้างว่าเป็นนบี  หรือการวิงวอนขอต่อสิ่งอื่นพร้อมอัลลอฮฺ  หรือการกล่าวว่าอัลลอฮฺทรงมีบุตรหรือมีภรรยา  หรือการปฏิเสธสิ่งที่ศาสนาห้ามอย่างชัดเจน  เช่น  การผิดประเวณี  การดื่มสุรา  หรืออื่นๆ  และการเยาะเย้ยต่อศาสนา  เช่น  การสัญญาหรือการลงโทษของอัลลอฮฺ  หรือการด่าทอต่อบรรดาศอฮาบะฮฺ  ฯลฯ
          3.  การออกนอกศาสนาโดยการกระทำ  เช่น  การเชือดสัตว์เพื่อสิ่งอื่นจากอัลลลฮฺ  หรือการกราบไหว้ (สุญูด) ต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ  หรือการละทิ้งละหมาด  หรือการหันหลังให้ศาสนาของอัลลอฮฺโดยไม่เรียนรู้และไม่ปฏิบัติ  หรือสนับสนุนพวกมุชริกีนต่อสู้กับบรรดามุสลิม  ฯลฯ
ข้อปฏิบัติต่อผู้ที่ออกนอกศาสนา
          ผู้ใดได้ออกจากศาสนาอิสลามขณะที่เขาบรรลุศาสนภาวะ  มีสติสัมปชัญญะ  สมัครใจ จะต้องเรียกร้องให้เขากลับคืนสู่ศาสนาอิสลามและเสนอโอกาสให้เขากลับตัว (เตาบะฮฺ) เพื่อว่าเขาจะได้กลับตัวอีกครั้ง  หากเขากลับตัวก็ถือว่าเป็นมุสลิม  หากไม่กลับตัวพร้อมทั้งยังยืนกรานที่จะปฏิเสธเช่นเดิม ก็ให้ประหารชีวิตด้วยคมดาบ อันเนื่องเพราะการปฏิเสธของเขา ไม่ใช่เพราะเป็นบทลงโทษ
จากอบีมูซา เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ  กล่าวว่า :
أنَّ رَجُلاً أسْلَـمَ ثُمَّ تَـهَوَّدَ، فَأتَى مُعَاذُ بْنُ جَبَلٍ وَهُوَ عِنْدَ أبِي مُوسَى، فَقَالَ: مَا لِـهَذَا؟ قَالَ: أسْلَـمَ ثُمَّ تَـهَوَّدَ، قَالَ: لا أجْلِسُ حَتَّى أقْتُلَـهُ، قَضَاءُ الله وَرَسُولِـهِ؟
ความหมาย : แท้จริงมีชายคนหนึ่งรับอิสลามหลังจากนั้นเขาได้กลายเป็นยิว  แล้วเขาก็ได้ไปหามุอาซ บิน ญะบัล ขณะที่เขาอยู่กับอบีมูซา  เขาได้กล่าวว่า  นี่มันคืออะไร?  เขากล่าวว่า  เขาได้รับอิสลามแล้วต่อมากลายเป็นยิว  เขากล่าวว่า  ฉันจะไม่นั่งจนกว่าจะได้ประหารเขาเสียก่อน  นี่คือการกำหนดของอัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 7157  สำนวนหะดีษเป็นของท่าน  และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1824 ในกิตาบอัลอิมาเราะฮฺ)
        ผู้ที่ออกจากศาสนาเพราะการปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใดของศาสนา  ดังนั้น การกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของเขาก็คือ การยืนยันยอมรับต่อสิ่งที่เขาปฏิเสธนั้นพร้อมกับให้กล่าวปฏิญาณตนใหม่
บทบัญญัติว่าด้วยการออกจากศาสนาของสามี
          เมื่อสามีได้ออกจากศาสนา  ภรรยาก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาต่อไป และให้เขาคืนดีกับนางหลังจากกลับตัวหากว่ายังอยู่ในช่วงอิดดะฮฺ (ระยะที่รอคอย)  หากผ่านช่วงเวลาอิดดะฮฺไปแล้วเขายังไม่ได้คืนดี นางก็จะพ้นจากการเป็นภรรยาของเขา  ดังนั้นนางจึงไม่เป็นที่อนุญาตแก่เขา นอกจากนางจะยินยอมด้วยการสมรสใหม่และสิดสอดใหม่อีกครั้งเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 8
เสียงที่ดังออกมาจากสุเหร่านั้นเรียกว่า "อะซาน" ไม่ใช่การสวดมนต์น่ะครับ แต่เป็นการประกาศให้รู้ว่าถึงเวลาละหมาดแล้ว และยังเป็นการเรียกร้องเชิญชวนให้ไปละหมาดเพื่อเข้าสู่ความสงบด้วยการยืนละหมาดต่อพระเจ้า 5 ครั้งในแต่ละวัน ที่มัสยิด หรือสุเหร่าครับ โดยจะใช้เป็นภาษาอาหรับ ส่วนความหมายว่าเค้ากล่าวอะไรนั้น ตามนี้ครับ
อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่
ข้าขอปฏิญานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
ข้าขอปฏิญานว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ
มาละหมาดกันเถิด
มาสู่ความสำเร็จกันเถิด
อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
มีเรื่องอะไรสงสัย ถ้าผมพอจะช่วยอธิบายได้ จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดน่ะครับ
มีอะไรก็มาแลกเปลี่ยนกันน่ะครับ ^^
+++++  ขอแก้ไขให้พี่น้อง ความเห็นที่ 4 น่ะครับ เรื่องอาหาร +++++
ความเข้าใจที่ว่าต้องเป็นมุสลิมทำเองเท่านั้นจริงๆแล้วคนทำไม่ได้เป็นองค์ประกอบพิจารณา ว่าทานได้หรือไม่ เพราะเรื่องหลักที่พิจารณาคือสิ่งที่เราจะทานเข้าไป และทุกอย่างที่เข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการทำ โดยหลักการฮาลาลในเรื่องอาหารจะค่อนข้างมีความเข้มงวด อยากให้มองง่ายๆเหมือนมาตรฐานอาหารชนิดหนึ่ง เหมือน อย. อะไรประมาณนี้ คือเน้นเรื่องความสะอาด มีประโยชน์  ปลอดภัย ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ไม่มีส่วนผสมที่ศาสนาไม่อนุมัติ มีกระบวนการผลิตที่ผ่านมาตรฐาน ฯลฯ
ประมาณนี้น่ะครับ อธิบายยากไปมั้ยเอ่ย
ต่อจาก ความคิดเห็นที่ 19 ยกเว้นกระบวนการในการเชือดสัตว์น่ะครับ จำเป็นต้องเป็นมุสลิมครับผม
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?