Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[Y] ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศที่ 3 ในพระพุทธศาสนา

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับ กระทู้นี้อาจจะยาว(มากกกกกกกก) แต่ก็อยากจะให้เพื่อนๆทุกคนอ่านจนจบนะครับ รับรองว่าจะได้ประโยชน์ล้นหลามและมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกับเพศที่ 3 แน่ๆ


ก่อนอื่นตัวผมไม่ได้มีอคติใดๆกับเพศที่ 3 ทั้งชายและหญิง และเจตนาของกระทู้นี้คือต้องการให้เพื่อนๆทุกคนที่นับถือพระพุทธศาสนา(หรือศาสนาอื่นด้วยก็ได้) เข้าใจความหมายของเพศที่ 3 ให้ถูกต้องจริงๆตามหลักของพระพุทธศาสนา เพราะจากหลายๆกระทู้ที่ผ่านมา เห็นมีการยกเอาพระไตรปิฏกและการจำแนกกระเทยออกมาพูดกันบ้างประปราย แต่ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่มาก


ด้วยตัวผมเป็นผู้ศึกษาพระพุทธศาสนามานานแล้ว จึงขอมาโพสกระทู้นี้เพื่อต้องการให้ทุกคนมีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้นตามที่พระพุทธศาสนาสอนไว้จริงๆ ส่วนท่านใดจะเชื่อตามหรือไม่อย่างไรก็ตามควรแต่วิจารญาณครับ

----
บัณเฑาะก์ [บันเดาะ] กะเทย,
คนไม่ปรากฏว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ได้แก่
กะเทยโดยกำเนิด ๑
ชายผู้ถูกตอนที่เรียกว่าขันที ๑
ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น ๑
-----

ในพระพุทธศาสนานั้นแบ่งบัณเฑาะว์ไว้เป็น 5 ประเภท อย่างที่หลายๆคนอาจจะเห็นกันแล้วในกระทู้ก่อนๆ คือ

อาสิตตาบัณเฑาะก์ ๑
อุสุยยบัณเฑาะก์ ๑
โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ๑
ปักขบัณเฑาะก์ ๑
นปุงสกบัณเฑาะก์ ๑.

และมีอีกประเภทคือ อุภโตพยัญชนกะ หรือบุคคลที่มี 2 เพศในคนเดียวกัน

ทั้งนี้ในพระพุทธศาสนานั้น โดยนัยยะตรง หมายเอาเฉพาะบัณเฑาะว์ชนิดที่เรียกว่า นปุงสกบัณเฑาะว์ และอุภโตพยัญชนกะ เท่านั้น นปุงสกะบัญเฑาะว์คือบุคคลที่เกิดมา ไม่มีเครื่องหมายเพศแต่กำเนิด คือไม่มีทั้งอวัยวะเพศชายและอวัยเพศหญิง และอุภโตพยัญชนกะ คือบุคคลที่มีอวัยวะของทั้งสองเพศในคนคนเดียว


ซึ่งนี้แหละครับคือบัณเฑาะว์โดยตรง ที่เป็นผู้กำเนิดด้วยกุศลกรรมอย่างอ่อนมากๆ จึงเกิดมามีอวัยวะเพศบกพร่อง ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกว่าเป็นเพศอะไรกันแน่ (เช่นเดียวกับบุคคลที่ตาบอดแต่กำเนิด หูหนวกแต่กำเนิด บ้า ใบ้ หรือพิการต่างๆ ไม่ใช่ด้วยผลของบาป แต่ด้วยผลของบุญอย่างอ่อน เพราะการถือกำเนิดในภพภูมิมนุษย์ ต้องเป็นผลของบุญเท่านั้นครับ จะเป็นผลของบาปไม่ได้เลย เพราะเป็นสุคติภูมิ ไม่ใช่อบายภูมิอย่างนรก เปรต อสุรกาย หรือเดียรัจฉาน จึงต้องเกิดมาด้วยผลของบุญเท่านั้น แต่จะอย่างอ่อน อย่างกลาง อย่างแรง ก็แล้วแต่บุคคลทำบุญแบบไหนต่างๆกันมา แล้วบุญนั้นนำเกิด ก็ได้เกิดในสุคติภูมิครับ ส่วนการได้รับทุกข์ของมนุษย์ นั้นจึงเป็นผลของบาป แต่เป็นหลังจากเกิดแล้ว แต่ในขณะที่เกิดลงในครรถ์มารดาให้ถือชีวิตความเป็นมนุษย์ได้ ต้องเป็นผลของบุญก่อนครับ)


ส่วนกระเทย ทอม ดี้ ตุ๊ด เกย์ ไบ หรือจะเรียกด้วยกำอะไรก็ได้สำหรับบุคคลที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งที่ชอบทำตัวเป็นเพศตรงข้าม หรือมีความชอบพอใจเพศเดียวกัน นี้ ไม่ใช่บัณเฑาะว์โดยตรง แต่เรียกว่าบัณเฑาะว์โดยอ้อม เพราะไม่ได้มีเครื่องหมายบ่งบอกเพศผิดบกพร่องแต่อย่างใด มีอวัยเพศเพศปรกติสมบูรณ์ดีในเชิงร่างกาย ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือว่า ปรกติ นะครับ คือเกิดมาด้วยกุศลกรรมหรือผลของบุญปรกติ ไม่ได้เป็นผลมาจากบาปกรรมอะไรที่ไหน


ทั้งนี้ที่มีอาการเบี่ยงเบน และชอบพอในเพศเดียวกัน เพราะอาศัยการเกิดมาหลายๆชาติ(ต้องยอมรับก่อนว่าตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว เราไม่ได้เกิดมาชาติเดียวสิ้นสุดชาติเดียว แต่เกิดมาแล้วหลายชาตินับไม่ถ้วน เพราะกรรมทั้งดีและชั่ว) อาจจะเคยเกิดเป็นผู้ชายติดต่อกันมาหลายชาติมา ก็สั่งสมอุปนิสัยเป็นชายมาเรื่อยๆ พอมาถึงชาตินี้ มีกรรมบางอย่างทำให้เกิดเป็นหญิง(ซึ่งการเกิดเป็นหญิงเป็นชายในภพมนุษย์ซึ่งเป็นสุคติภูมิ คือภูมิที่เกิดด้วยผลของกุศลกรรม  เพราะงั้นก็ต้องล้วนเป็นกุศลกรรม คือผลของบุญนะครับ ไม่ใช่ว่าเป็นชายแล้วเป็นผลของบุญ เกิดเป็นหญิงแล้วผลของเป็นบาป ไม่ใช่อย่างนี้ แต่ได้เกิดเป็นมนุษย์ จะชายหรือหญิง จะคนตาบอด บ้าใบ้ อะไรก็แล้วแต่ ล้วนต้องเป็นผลของบุญ แต่ด้วยบุญมากหรือน้อยเท่านั้นเอง)


เมื่อเคยเกิดเป็นชายมาหลายชาติ แต่มาชาตินี้ได้เกิดเป็นหญิง อุปนิสัยที่สั่งสมมาตลอดหลายชาติที่เป็นชาย ไม่ได้หายไปไหนครับ ยังอยู่ จึงทำให้ผู้นั้นมีอาการเบี่ยงเบนไปเป็นทอม เพราะอาศัยว่าเคยเกิดมาเป็นชาย และสั่งสมอุปนิสัยแบบนั้นๆมามาก ก็เลยเป็นอย่างนั้น มีอาการอยากเป็นชาย ชอบผู้หญิง เป็นต้น


เช่นเดียวกับเกย์ กระเทย เพราะเคยเกิดเป็นหญิงมาหลายชาติ พอมาชาตินี้เป็นชาย ก็ยังไม่ละทิ้งอุปนิสัยเดิมของหญิง ที่ชอบแต่งตัวสวยๆ และชอบผู้ชายเป็นต้น


เพราะจิตของเราไม่มีเพศ เพศเกิดขึ้นโดยอาศัยรูปร่างกายที่แตกต่างกันของชายกับหญิงนั่นเองครับ (เพศชายเราเรียกว่าปุริสภาวรูป ส่วนเพศหญิงเราเรียกว่าอิตถีภาวรูป)  ส่วนจิตนั้นไม่มีเพศใดๆ ด้วยอำนาจการสั่งสมมาหลายๆชาติในอดีต จึงทำให้คนเรามีอุปนิสัยแตกต่างกัน อย่างเช่นบางคนพูดมาก บางคนพูดน้อย บางคนชอบสีส้ม บางคนชอบสีฟ้า บางคนชอบกินรสอย่างนี้ บางคนชอบกลิ่นแบบนี้ บางคนชอบโน่นนี่ไม่เหมือนกันสักคน เพราะสั่งสมมาแตกต่างกัน


เพราะฉะนั้นการชอบในผู้ชาย หรือผู้หญิง ชอบแต่งตัวต่างๆกัน ก็เพราะคนเราสั่งสมอุปนิสัยมาต่างๆกัน จึงเป็นอย่างนี้



ฉะนั้นแล้วเกย์ ตุ๊ด ดี้ ทอม ต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นนปุงสกบัณเฑาะว์(ไม่มีเพศ) หรืออุภโตพยัญชนกบุคคล(มีสองเพศ) ก็ล้วนเกิดมาด้วยผลของบุญอย่างปรกติทั้งสิ้น ไม่ได้ผลของบาปแต่อย่างใด แต่เพราะสั่งสมมาต่างๆกัน


ส่วนการที่กระเทยถูกปิดกั้นโอกาสในสังคม หรือถูกดูถูกเหยียดหยาม อันนี้เป็นผลของกรรมอื่นๆครับ เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นกระเทย ก็ถูกเหยียดหยามได้ ถูกปิดกั้นได้ ไม่ได้สงวนแต่กระเทยถูกไหมครับ แล้วกระเทยบางคนก็ไม่ได้ถูกปิดกั้น หรือบางคนบ้านรวยด้วยซ้ำอยู่กินสบายทั้งชาติ สวยอีก มีแต่คนชม ก็มีมาก หรือจำต้องอาภัพรัก อันนี้ก็เป็นผลของกรรมอื่น หรือเป็นเพราะอุปนิสัยของเราเอง เพราะผู้ชายปรกติ หญิงปรกติ ที่ไม่มีแฟน หาแฟนไม่ได้ อยู่เป็นโสดตลอดชีวิต ก็มีถมเถ ไม่ได้สงวนเฉพาะกระเทย ทอม ดี้


ทั้งนี้ จะเป็นอะไรไม่สำคัญจริงๆครับ สำคัญที่เราเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเป็นคนดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร หน้าตาอย่างไร จน รวย ก็ล้วนมีแต่คนรักคนชอบทั้งนั้น เพราะความดีย่อมหอม ความชั่วย่อมเหม็น เป็นของปรกติ ใครก็ตามที่ทำความดี ย่อมเป็นสุขทั้งในจิตใจตัวเอง และนำสุขให้กับผู้อื่น ไม่สำคัญว่าจะเป็นอะไร ขอให้ทำดีเข้าไว้ ผลของกรรมดีย่อมมี แต่ที่ยังไม่ได้รับผลของกรรมดี ก็เพราะผลของกรรมชั่วเก่ายังมีมาก ยังให้ผลไม่หมด แต่กรรมดีก็ไม่หายไปไหน รอการให้ผลในอนาคต เช่นเดียวกับกรรมชั่วที่ทำ ก็ไม่หายไปไหน รอการให้ผลในอนาคตเช่นกัน จึงจะเห็นได้ว่า บางคนคนทำไมทำชั่ว แต่ยังรวยยังอยูสุขสบาย อันนั้นเพราะกรรมดีแต่ก่อนเขามีมาก ยังให้ผลอยู่ หมดกรรมดีเมื่อไหร่ กรรมชั่วก็ให้ผลแน่นอน(ก็ควรจะเมตตาเขาครับ) และคนที่ทำกรรมดี แต่ยังลำบาก เพราะกรรมชั่วมีมากให้ผลอยู่ แต่กรรมดีก็ไม่หายไปไหน ให้ผลในอนาคตแน่นอนครับ


เพราะงั้นอย่าประมาท พึงกระทำแต่กรรมดี คือการทำบุญประการต่างๆ และละเว้นกรรมชั่ว อันได้แก่การผิดศีล 5 เป็นต้น


สรุปก็คือกระทู้นี้มีเจตนาต้องการให้ชาวพุทธในเด็กดีเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับเพศที่ 3 ในทางพุทธศาสนาจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ไม่ใช่อย่างอื่น และผู้ที่รังเกียจ จะได้มีทัศนคติดีขึ้นกับเพศที่ 3 ส่วนผู้ที่เป็นอยู่แล้ว จะได้ไม่น้อยเนื้อน้อยใจว่าตัวเราเป็นคนบาป แต่ต้องไม่ลืมนะครับ สำคัญที่เราต้องเป็นคนดี จึงจะได้รับความรักจากผู้อื่น ไม่ว่าจะใครก็ตาม



ส่วนทั้งนี้ผู้ใดจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ก็ตามแต่วิจารนญาณ เจตนาของผมได้กระทำแล้ว เพื่อให้ทุกๆคนที่นับถือพระพุทธศาสนา เข้าใจมากขึ้นในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ตรงตามที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ครับ

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

นิรนาม 14 ก.ย. 55 เวลา 23:48 น. 1

เพิ่มเติมเล็กน้อยครับ

จึงจะเห็นได้ว่า บางทีก็มีคนที่เบี่ยงเบนมาก เบี่ยงเบนน้อย ก็ตามที่สั่งสมกันมาต่างๆกัน

หรือบางคนเคยเบี่ยงเบน แล้วพอมาตอนหลังก็กลับไปชอบเพศตรงข้าม กลับเป็นหญิงปรกติ กลับเป็นชายปรกติ ก็สามารถทำได้เช่นกัน(อย่างเช่นตัวอย่างในตีสิบ) แต่กระนั้นไม่ใช่ว่าจะทำได้เสมอไป หรือทำได้ทุกคน เพราะอำนาจสั่งสมมามากน้อยต่างๆกัน รวมถึงปัจจัยอื่นๆ


ส่วนการเกิดเป็นกระเทยจริงๆ ที่เป็นนปุงสกบัณเฑาะว์และอุภโตพยัญชนกะ นั้นจึงเป็นผลของเศษกรรมข้อที่ล่วงศีลข้อ 3 ครับ(หรือการประพฤติผิดในกาม) ซึ่งตอนเกิด ต้องเกิดด้วยผลบุญก่อน แล้วพอเกิดแล้วจึงมีผลบาปในส่วนนี้เบียดเบียนให้มีร่างกายเป็นบัณเฑาะว์ที่เป็นนปุงสกบัณเฑาะว์(ไม่มีเพศ)หรืออุภโตพยัญชนกะ(มีสองเพศ)

0
Life is Precious ! keep the faith 15 ก.ย. 55 เวลา 15:17 น. 3

เข้ามาสาธุนะครับ ได้ประโยชน์มากเลย


PS.  ออ มี ทอ ฝอ บุคคลที่พึงระลึกถึงพระอมิตตาภพุทธ และพระแม่กวนอิมจักได้จุติ ในสุขาวดีพุทธเกษตร http://dangsuka.blogspot.com/
0
หนุ่มรีโทร 26 ส.ค. 56 เวลา 17:32 น. 5

การเกิดเป็นกะเทย ทอม เกย์ ดี้ ถ้าเป็นไปใด้อย่าพยามมีคู่ เช่นเป็นกะเทยอย่าคิดมีผัวมันจะเป็นการสร้างกรรมใหม่ สืบต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ ทอมก็เหมือนกันอย่าคิดมีเมีย เกิดมาเพราะบุญแต่มาสร้างกรรมใหม่ มันจะวนไปไม่สิ้นสุด ถ้าอยูคนเดียวใด้จะดีมาก และสร้างกรรมใหม่เพื่อภพชาติหน้าจะใด้เกิดไม่ผิดเพศ

0