การศึกษาไทยกับการศึกษาที่อเมริกาแตกต่างกันยังไง
ตั้งกระทู้ใหม่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ระบบการศึกษาของเค้าต่างจากเรามาก การศึกษาในระดับม.ปลายของไทยนั้น ใช้วิธีโดยการเลือกแผนกการเรียนเช่น วิทย์ -คณิต, ศิลป์ - คำนวณ, ศิลป์ - ภาษา เป็นต้น ต่างจากอเมริกาที่เค้าไม่มีแผนกให้เราเลือก แต่เราเลือกลงจากวิชาที่เราต้องการจะเรียน โดยแต่ละวิชามีระดับความยากง่ายตั้งแต่เบสิคไปจนถึระดับสูง ทั้งยังมีสาขาย่อยที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะเรียนด้านไหน
วิชาคณิตศาสตร์มีให้เลือกตั้งแต่เลข บวก ลบ คูณ หาร ไปจนถึง แคลคูลัส วิชาทางด้านภาษาได้แก่ ภาษาอังกฤษเบสิคจนถึงระดับสูง, ภาษาสเปน, ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น วิทยาศาสตร์ได้แก่ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ เหมือนกับไทย ต่างกันแค่เค้ามีให้เลือกเรียนตั้งแต่เบสิคชีวะไปจนถึงเรียนอนาโตมีเลย สังคมก็เช่นกัน มี 4 สาขาใหญ่ ๆ ได้แก่ รัฐศาสตร์, ประวัติศาสตร์อเมริกัน, เศรษฐศาสตร์, สังคมศาสตร์
วิชาทางด้านสายศิลป์ ดนตรีก็มีให้เลือกหลายสาขา เช่น Jazz band, Choir, Symphonic band, Marching band, วิชาเต้นโคฟเวอร์เพลง, ศิลปะก็มีให้เลือกหลายระดับตามความอาร์ทของแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีวิชาอื่น ๆ เช่น วิชาการแก้ไขปัญหาภาวะเรือนกระจก, วิชาภาวะการเป็นผู้นำ, วิชาทำอาหาร, วิชางานประดิษฐ์ เป็นต้น นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของวิชาทั้งหมด ซึ่งจำนวนวิชาที่สามารถลงได้ในระดับมัธยมปลายมีทั้งหมดประมาณ 100 วิชา !!
นี่คือความแตกต่างระหว่างระบบการศึกษาไทยกับระบบการศึกษาของอเมริกัน ถ้าถามว่าแล้วเวลาเรียนจะพอหรอเรียนแค่ครึ่งวันเองนะ ? พอแน่นอนเพราะว่าวิชาที่เลือกจะเรียนซ้ำ ๆ อยู่ทุกวันใน 1 ปีการศึกษา ทำให้มีเวลาที่จะเจาะลึกในวิชานั้น ๆ มาก ตอนบ่ายก็ให้เด็กผ่อนคลายโดยมีกิจกรรมต่างกันในแต่ละฤดูเช่น ในในฤดูใบไม้ร่วงได้แก่ เชียร์ลีดเดอร์, อเมริกันฟุตบอล, มาร์ชชิงแบนด์ , กอล์ฟ, ฟุตบอล ในหน้าหน้าวก็จะเปลี่ยนไปเล่น บาสเก็ตบอล, โบวลิ่ง, ว่ายน้ำ พอหมดหน้าหนาวก็มีรักบี้ มาให้เล่นอีก
เด็กไทยหลายคนมักจะพูดว่าอย่างภาคภูมิใจว่า เราเก่งเลขกว่าฝรั่งเยอะ ที่หลายคนคิดเช่นนั้นเนื่องจากเด็กฝรั่งส่วนใหญ่มักเรียนเลขถึงแค่พีชคณิตขั้นสูง แก้สมการเป็น เรียนตรีโกณพื้นฐานก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากในระดับมหาวิทยาลัย พวกเค้าเหล่านั้นไม่ได้ใช้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียน ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนวิชาขั้นสูงเช่น แคลคูลัสเพราะว่า คนกลุ่มนี้เมื่อเรียนแคลคูลัสจบแล้ว สามารถเอาวิชานี้ไปยื่นต่อมหาวิทยาลัยเพื่อขอเก็บหน่วยกิตได้เลยโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนซ้ำใหม่ในมหาวิทยาลัย คนที่อยากจะเข้าหมอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนฟิสิกส์ หมอคงไม่มานั่งคำนวณอัตราเร่งการเดินของคนไข้หรอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า ระบบการศึกษาไทยนั้นจัดวิชาหนักเกินความจำเป็นให้เด็กเรียน หากจะเปรียบก็คงเหมือนเป็ดที่มีปีก ว่ายน้ำเป็น แต่ก็บินไม่ได้เหมือนนกและว่ายน้ำไม่เก่งเหมือนปลา จะเห็นได้ว่าเด็กที่นี่การเรียนคือความสุขของพวกเค้า ทุกวันที่ไปโรงเรียนคือความสุข ตื่นเช้าขึ้นมาเรียนในสิ่งที่ใจรัก พอภาคบ่ายทำกิจกรรมในสิ่งที่อยากจะทำ ไม่เหมือนไทยที่ต้องนั่งเรียนตั้งแต่ 8 โมงยัน 4 โมงเย็น พอตอนค่ำ ๆ ก็ต้องมานั่งเรียนพิเศษ บางทีเรียนถึง 3 ทุ่ม เนื่องจากกลัวว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เรียนไปซักพักก็โดดเรียนบ้าง หลับบ้าง ร่างกายคนเรามันรับไม่ไหวหรอก อย่าว่าแต่เด็กอายุ 15 เลย ผู้ใหญ่บางคนเห็นยังเหนื่อยแทน
พูดถึงเรื่องคะแนนจิตพิสัย คะแนนจิตพิสัยคุณมีอะไรเป็นตัววัดว่าคุณควรจะได้คะแนนมากหรือน้อย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนบางคนประจบครูเก่ง ๆก็ได้คะแนนจิตพิสัยมาก ในขณะที่คนอีกกลุ่มเกเรแต่ได้คะแนนดีกลับมีจิตพิสัยต่ำ มันแฟร์กับพวกเค้าเหล่านั้นแล้วหรอ จะบอกว่าจิตพิสัยมีไว้เพื่อตัดคะแนนเด็กเวลาเด็กเข้าห้องเรียนสาย ส่งงานไม่ตรงเวลา ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก การที่เด็กจะเข้าห้องเรียนสาย ผมว่ามันเป็นเรื่องของฝ่ายระเบียบวินัย เด็กที่นี่หากเข้าห้องเรียนสายจะมีมาตรการลงโทษตามลำดับขั้นตอนไป ซึ่งจะมีตั้งแต่ตักเตือน เรียกผู้ปกครอง เป็นต้น ส่วนเรื่องส่งงานไม่ตรงเวลาคุณสามารถที่จะตัดคะแนนในส่วนของผลงานได้เลย ไม่ใช่มาตัดในส่วนของจิตพิสัย ถ้าจะบอกว่าเพื่อช่วยเด็กที่ได้เกรดน้อย อย่างนี้มันก็มี 2 มาตรฐาน มันก็ไม่แฟร์กับเด็กที่ได้คะแนนมาก เหมือนคะแนนเปล่าฟรี ๆ ถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ ทำไมไม่ชี้ข้อบกพร่องของงานเก่าที่ส่ง แล้วให้เด็กไปแก้งานมาส่งใหม่ไม่ดีกว่าหรอ ถ้าอย่างนั้นจิตพิสัยคือคะแนนส่วนไหนหละ ? อีกทั้งครูที่นี่ยังไม่สั่งงานพร่ำเพรื่อ เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ มานั่งให้เด็กวาดรูป แทนที่จะมีเวลาให้เด็กไปอ่านหนังสือ ทบทวนเนื้อหาที่เรียน อีกทั้งในแต่ละงานยังมีคะแนนความสวยงามและคะแนนลายมือให้มันแฟร์แล้วหรอ อะไรเป็นตัววัดว่าสวยไม่สวย ? อะไรเป็นตัววัดว่าลายมือดีหรือแย่ ? เด็กชาย A วาดรูปเก่งแต่มีความรู้ไม่เท่ากับเด็กชาย B ซึ่งวาดรูปไม่เก่งแต่มีความรู้ในวิชานั้นมาก คะแนนออกมาปรากฎว่าเด็กชาย A มีคะแนนสูงกว่าเด็กชาย B !!! มันคือสิ่งที่เห็นได้ทั่ว ๆ ไปในระบบการเรียนการสอนของไทย ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีแฟ้มสะสมผลงานของครู ครูบางคนสั่งงานเด็กเพื่อที่ตนเองจะได้มีผลงาน แทนที่จะเอาเวลาส่วนนี้ไปสอนเนื้อหาให้เด็กมีความรู้มากยิ่งขึ้น ผมคิดว่ามันไม่แฟร์กับเด็กเช่นกัน
เวลาเด็กที่นี่มีข้อสงสัยการยกมือเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ๆ แตกต่างจากที่ไทย คุณยกมือถามครู ครูบางคนไม่อยากจะตอบเด็กด้วยซ้ำโดยให้เหตุผลว่า พูดไปแล้ว !!! ผมก็รู้ว่าครูพูดไปแล้วแต่ผมไม่เข้าใจนี่ถามใหม่ไม่ได้หรอ ? หรือบางคนไม่กล้าถามเพราะกลัวถูกเพื่อนมองว่าโง่ แค่นี้ก็ไม่รู้ จะถามทำไมเสียเวลาขัดจังหวะการเรียนหมด บางคนกลัวสายตาจากคนรอบข้างเวลาถาม ทำให้เค้าไม่กล้าที่จะยกมือถามในสิ่งที่เค้าสงสัย ? ซึ่งมันเป็นค่านิยมที่ผิด ที่พูดมาทั้งหมดไมได้แปลว่าครูดี ๆ ไม่มีในเมืองไทย ครูหลายนั้นก็มีที่ดีมากเช่นกัน นี่เป็นเพียงแค่ครูส่วนหนึ่งเท่านั้น
การสอบ GAT-PAT ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ผมได้ยินจากเพื่อนว่าเค้ามีโพย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่ข่าวลือ นี่คือการสอบระดับชาติ แต่กลับพบว่านักเรียนมีโพยข้อสอบ ? ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าข้อสอบนั้นจะรั่วจากไหนถ้าคนออกข้อสอบไมได้เอาเฉลยไปบอกลูกบอกหลาน ? สาเหตุก็เพราะว่าผู้ใหญ่เองนั่นแหละที่เป็นปัญหาของระบบการศึกษา การศึกษาถึงได้ไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ใหญ่ในสังคมไม่เป็นแม่แบบที่ดีแล้วจะให้เด็กเอาตัวอย่างดี ๆ จากไหน ? ผมได้เล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อน ๆ ฟังว่า เนี่ยถ้าเกิดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเอ็งจะจำโพยปะ เพื่อนผมบอกเลยว่าไม่ ผมก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก แต่คนที่นี่เค้ามีความซื่อสัตย์สูงมาก เด็กที่นี่ไม่มีลอกกันแม้กระทั่งครูคุมสอบไม่อยู่ในห้อง เพราะบทลงโทษเค้าร้ายแรงมาก ๆ ตั้งแต่ทำข้อสอบมาบอกได้เลยว่าไม่มีจริง ๆ ในขณะที่ไทยทำไม่ได้ ก็หันซ้ายหันขวาเป็นเรื่องปกติมาก ๆ เพราะการที่เราทำเรื่องเหล่านี้ให้เคยชินมันจึงปกติ ในขณะที่เค้านั้นไม่ค่อยจะมีการทุจริตการสอบมากเท่าไรมันจึงเป็นเรื่องร้ายแรง
ถ้าถามผมว่าหากเป็นผมผมจะจำโพยไม้ ผมบอกเลยว่าจำแน่นอน และผมก็มั่นใจว่าเด็กที่จะแอดมิชชั่น 70 เปอร์เซนต์ก็จะตอบว่าจำชัวร์ ๆ ถ้าหากคุณเป็นพ่อเป็นแม่คน ลูกกำลังจะสอบแอดมิชชั่นในวันพรุ่งนี้ ลูกคุณแทบไม่มีอะไรในหัวเลย แต่ปรากฎว่าคุณมีโพยข้อสอบ คุณจะเอาโพยให้ลูกคุณไหม ? ถามจริง ๆ จะมีซักกี่คนที่ไม่ทำ !! เรื่องคอรัปชั่นในปัจจุบันกำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย หลายคนมักจะพูดว่าเกลียดนักการเมืองโกง ๆ แต่เราลืมหันมาย้อนมองตัวเองว่า เราเองนั้นก็คอรัปชั่นด้วยเช่นกัน เพราะเรามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จนกระทั่งมันเป็นเรื่องปกติของสังคมไทยไปโดยปริยาย
วิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของคนที่นี่จะสอบโดยใช้ข้อสอบ ACT และ SAT เป็นตัววัด ซึ่งข้อสอบ GAT PAT ของเรานั้นเทียบไม่ได้เลย เด็กที่นี่เลือกมหาวิทยาลัยจากคะแนน ACT SAT ที่ได้แล้วค่อยเลือกคณะ ทำให้เด็กที่นี่มีอิสระในการเรียน อยากจะเรียนอะไรก็ได้ อยากจะเป็นอะไรก็ได้เป็น จบไฮสคูลได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ทำงานในสิ่งที่ใจรัก จึงไม่แปลกที่บ้านเมืองของเค้ามีความเจริญ เพราะเค้าใช้คนทำงานอย่างถูกต้อง ไม่ได้เอาคนที่อยากจะเป็นวิศวะมาเป็นหมอ หรือเอาคนที่อยากเป็นหมอมาเป็นวิศวะ ไม่มีค่านิยมว่าคนฉลาดต้องเรียนหมอเท่านั้น ไม่ใช่เลย !! อีกทั้งบ้านเราบังมีสถาบันทำลายการศึกษาไทย ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสถาบันนี้ตัดสินใจโดยยึดตนเองเป็นที่ตั้ง อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน อยากจะทำอะไรก็ทำโดยอ้างว่าเพื่อพัฒนาการศึกษาให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ผมถามจริง ๆ ว่าคุณเปลี่ยนแปลงกี่รอบแล้วมันดีขึ้นบ้างรึเปล่า ? ผมคิดว่าระบบที่คุณเปลี่ยนมันยังไม่ได้ครึ่งของอเมริกาเลย มันไม่ได้ดีขึ้นเลย ซ้ำกับแย่ลงทุกวัน ๆ เด็กไทยสมัยนี้เหมือนหนูทดลองที่โดนทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันแฟร์กับเด็กแล้วรึเปล่า ?
เพราะสถาบันนี้มีอีโก้สูง จึงไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงว่าสิ่งที่เค้าทำมันเป็นตัวทำลายระบบการศึกษา คนทั้งชาติเห็นแล้วว่าสิ่งที่พวกเค้าทำมันเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ใช่แนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษา มีแต่พวกเค้าเท่านั้นที่คิดว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำมันเป็นการทำเพื่อประเทศชาติเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย
ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่จะพูดว่าเห้ย !! เอ็งพูดแล้วเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างอะ สทศ เค้าจะรับรู้ไหม ? ถ้าเกิดคิดกันแบบนั้นก็คงไม่มีใครคิดที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไร งั้นก็ก้มหน้ารับชะตากรรมกันต่อไปแล้วกัน บางคนก็อาจจะพูดว่า เห้ย !! พูดแบบนี้มันก็เหมือนด่าประเทศไทยอ้อม ๆ รึเปล่า เด็กนอกมันเป็ยก็แบบนี้แหละ พออยู่นอกก็ลืมตังว่าบ้านเกิดเป็นยังไง ? ผมก็จะบอกว่าแล้วมันเป็นยังไงหละ สิ่งที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า บางคนก็อาจจะพูดต่อไปว่า บางเรื่องเอ็งคิดได้แต่พูดไม่ได้ ? เพราะการที่คิดได้แต่พูดไม่ได้นี่แหละ จึงทำให้พวกเราย่ำอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำให้พวกเราอยู่แต่ในกรอบไม่กล้าคิดนอกกรอบ พวกคุณลืมไปรึเปล่าว่าเรามีประชาธิปไตยก็เพราะเด็กนอก เราไม่เป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เพราะเด็กนอกเช่นกัน !! ตราบใดที่พวกคุณยังคงคิดแบบนั้น พวกเราเด็กไทยก็คงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป
credit: Facebook: Apisit Tangsinmonkong
25 ความคิดเห็น
อยากให้พี่เป็นนายกจัง
คนที่อยากจะเข้าหมอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนฟิสิกส์ หมอคงไม่มานั่งคำนวณอัตราเร่งการเดินของคนไข้หรอก
#เห็นด้วยคะ
PS.
อยากให้เปลี่ยนรูปแบบการศึกษาจัง!! มันล้าหลังไปแล้ววว
เห็นด้วยอย่างมาก
  เรียนในสิ่งที่ชอบ ทำงานในสิ่งที่ใจรัก#
ไม่ใช่ยัดๆ มา กุรับไม่ไหววว
(แม่งก่ให้ 0 ให้ ร กุ )
ฉันกำลังรอวันที่ผู้ใหญ่บ้าอำนาจของประเทศไทยจะสิ้นอายุขัยสักที -_-
#แรงไปไหม? #แต่จากใจจริง
เด็กสมัยนี้ถึงจะเติบโตมาในสภาพที่ผู้ใหญ่แย่แค่ไหน
แต่ก็สามารถแยกได้ว่าอะไรดีไม่ดี
บางทีความคิดเด็กอาจจะดีกว่าผู้ใหญ่บ้าอำนาจบางคนก็ได้
มันดีที่เรามีระบบที่ให้ความเคารพผู้ใหญ่
แต่ไม่ได้แปลว่าผู้ใหญ่ถูกเสมอไป
การฟังเด็กบ้าง ยอมสละผลประโยชน์ของตัวเองบ้าง
มันไม่ได้ทำให้ใครมองคุณแย่ลง
หนำซ้ำอย่างน้อยๆ พวกเด็กๆ นี่แหละ
ที่จะยกย่องชื่นชมคุณ
เปลี่ยนเถอะผู้ใหญ่ไทย
ฟังเด็กอย่างพวกเราบ้างเถอะนะ...
ปล.มันคือมุมมองฉัน (อาจจะแค่ฉันคนเดียว)
PS. สิ่งที่สอนใน ร.ร. หรือ ม. ไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษาต่างหาก! :(
อืมๆๆ ใช่ เปลี่ยนสักทักทีเถอะ เราเห็นด้วยอะ
เราชอบและคิดว่าเรียนชีวะกับเคมีได้ดี แต่คณิตกับฟิสิกส์มันดึงคะแนนเรา
ดิ่งวูบบบเลยT^T บอกตรงๆว่าอยากเรียนแต่ในสิ่งที่ตัวเองชอบ
และมุ่งไปทางนี้เลยโดยเฉพาะ เหมือนที่เมกาหรือประเทศอื่นๆเค้าทำกัน
GAT-PAT มันทำร้ายเด็กมากนะ คนเราไม่ได้เก่งทุกอย่างสักหน่อย มันทำออกมาไม่ได้ดีทั้งหมดหรอกนะ คนที่บอกว่าทำได้อะ เค้าต้องแลกกับอะไรหลายๆอย่างในชีวิตวัยนี้เลยนะ เพื่อนเราที่มุ่งมั่นเรียนพิเศษทุกอย่าง อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ถ้ามองในมุมผู้ใหญ่คงเห็นว่าเด็กคนนี้ทำดีแล้ว แต่เค้าเป็นเด็กนะ เพื่อนเราคนนี้ไม่เคยดูหนังกับเพื่อน เวลาทุกนาทีเธอทุ่มกับการเรียน ทั้งดารา เพลง เธอไม่รู้จักอะ facebookก็ไม่เล่น แล้วถ้าเพื่อนเราไม่ได้อย่างที่หวังละ จะอะไรก็แล้วแต่ ตกจากที่สูงเราว่ามันเจ็บนะ เรากลัวแทนอะว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีใครมารับผิดชอบมั้ย เบื่อการศึกษาไทย มีแต่คนเห็นแก่ตัว
ป้ะ!! ไปเรียนต่อที่อเมริกากัน
^
^
เราก็อยากไป... แต่ไม่มีตังค์ = ='
PS. quote: In the real world, if you have something about yourself thats different, youre lucky - Taylor Swift
ขนาดห้องผม(ม.6)เป็นห้องTopที่สุดในโรงเรียน
90%ของคนในห้อง
เรียนไปยังไม่ค่อยมีเป้าหมายที่แน่นอนเลย
เรียนๆไป ทำเกรดๆ แค่นั้น! ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
|
จะให้ไปคิดอะไรล่ะ
เช้ามาโรงเรียน
เย็นเลิกเรียน
กลางคืนทำการบ้าน
แล้วก็นอน
เวลากิจกรรมน้อยสุดๆ
แค่ประชุมกีฬาสี
ต้องหาเวลากันเป็นเดือนๆ
เสาร์-อาทิตย์ก็ทำโครงงาน การบ้าน
ทั้งปี!!!
(ยกเว้นเด็กสายศิลป์ โครตอิจฉามันเลย!!)
ใครก็ได้เอากระทู้ไปให้ ระบบการศึกษาของไทยสิ = =!!!!
PS. ชอบสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นถ้าโลกนี้มีแต่สีแดงก็จงปลดปล่อยสิ่งที่อยากทำมากที่สุดถึงจะเป็นการฆ่าคนก็ตาม หึ...หึ.....หึ
ชอบกระทู้นี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกก
เจ้าของกระทู้เขียนใด้ดีมากกกกก
ถ้าเลือกใด้เด็กคงอยากไปเรียนที่USAกันหมด เเต่ที่ไปก็มีเเต่ลูกคนรวยลูกคนจนก็ต้องจมปรักอยู่กับระบบการศึกษาที่มันย่ำแย่ เราชอบที่เค้าเลือกคนทำงานที่รักงานนั้นจริงๆถามหน่อยเถอะคะเเนนดีเเต่งานนี้มันไม่ใด้รักทำไปก็ชิบหาย จะเอาไปทำไมเราไม่เชื้อหรอกว่าผู้ใหญ่เค้าจะไม่รับรู้กระทู้เเบบนี้มีตั้งเยอะเเยะมันอยู่ที่ว่าเค้าเข้ามาดูเเล้วจะเอาไปพัฒนาหรือเปล่า
ปี 2558 อาเซียนเข้าไทยแล้ว แล้วปีนั้นเราก็อยู่ ม.6 - -
เราก็รอคอยการเป็นหนูทดลองของพวกเขา
PS. You are important to me.
PS. ไม่อยากเจอเพื่อนนิสัยไม่ดี ที่ห้องเรียน เกลียดมัน
พูดถูกทุกประเด็น
เราอยากเป็นสัตวแพทย์ เราไปสอบเข้าม.4 เข้าสายวิทย์คณิต
เราสอบไม่ติด เลยย้ายไปอยู่ศิลป์-คำนวณ เราร้องไห้ไปสามวันเจ็ดวัน
เราระบายให้พี่เราฟัง แล้วเพื่อนพี่เราพูดขึ้นว่า
น้องคะ ถ้าน้องรู้ว่าเรียนไม่ไหว ก็อย่าเรียนเลย (พูดประมาณว่าถ้าโง่ก็อย่าเรียน)
เรียนศิลป์-คำนวณก็ดีแล้ว เป็นอย่างอื่นดีกว่า  อย่ามาเป็นหมอสัตว์เลย
แบบเราเจ็บใจคำพูดพี่เขามาก
ที่เจ็บใจยิ่งกว่านั้น คนที่เรียนสายวิทย์มา สอบคณะเข้าของสายศิลป์ หมดเลย
จะหาว่าเราเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แบบในเมื่อคุณเรียนสายวิทย์มา  คุณก็ควรที่จะเข้าคณะพวกสายวิทย์สิ
มาแย่งที่ของสายอื่นๆได้ยังไง ในเมื่อสายอื่นๆเขาก็ไม่สามารถแย่งพวกสายวิทย์ได้
และก็ไม่สมควรเรียนสายวิทย์ ให้เปลืองสมอง
เพราะยังไงสายอื่นๆเขาก็ต้องมาแย่งกันเองอยู่แล้ว
และไม่สมควรที่จะแย่งที่ของคนที่เขาอยากเรียนสายวิทย์กัน 
คนเขาอยากเป็นหมอ เป็นเภสัท เป็นพยาบาล เป็นสัตวแพทย์ บลาๆ เขาไม่ได้เป็น
อย่ามองว่าคนที่เขาเข้าสายวิทย์ไม่ได้ ว่าโง่นะคะ เขาอาจจะเรียนเพราะใจรัก
แต่ไม่เหมือนใครบางคน ไม่ใจรัก หวังเพราะเงินทอง ในอนาคต แต่บริการผู้อื่นไม่ดี
ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเรียน
คุณควรเตรียมตัวมาอย่างยิ่ง ในการเลือกที่จะเข้าสายไหน ไม่ใช่ว่า
เรียนเพราะมีทางเลือกมากกว่า เพราะนั้นคุณคิดผิด
***the end ***
เราจะส่งลิ้งค์ไปให้ สทศ
" เด็กนักเรียนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่โคลนนิ่งที่ต้องเหมือนกัน
นี่เป็นคำพูดของฝรั่งคนนึงค่ะ เค้าเป็นศาสตราจารย์มั้งคะไม่แน่ใจ
จำไม่ได้ว่าเอามาจากเว็บไหน ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ให้เครดิต :)
PS. It is never too late to be what you might have been.:)
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?