เราทำแบบนี้ เสี่ยงติดHIV มั้ย??
ตั้งกระทู้ใหม่
เลยไม่แน่ใจพอ เราก็เอามือไปลูบตาแม่ให้หลับลงโดยไม่ใส่ถุงมืออะ จะติดมั้ย
10 ความคิดเห็น
ต้องไปตรวจเลือดดูค่ะ แม่เราก็เป็นและก็เสียชีวิต เราอายุ 16 ปี เจาะเลือด 2 ครั้งแล้วยังไม่เจอ แต่ต้องรอเจาะให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง ปล.แต่เราสุขภาพแข็งแรงปกติดีนะ เผลอๆถึกกว่าคนปกติด้วยซ้ำ555555555
เดี๋ยวนี้ที่ รพ รัฐเขามีบริการตรวจเลือด HIV ฟรีแล้วนะคะ
ถ้าคุณเป็นคนไทย ลองไปสอบถามที่รพ รัฐแถวบ้านดู
พอดีเราอยุ๋แถวรังสิต รพ ธรรมศาสตร์ รังสิตที่นี่เขาตรวจเลือดให้ฟรีนะ
เขาบอกว่าเป็นนโยบายของรัฐอ่าค่ะ รพ รัฐอื่นๆก็มีให้บริการเหมือนกัน
รพ.ธรรมศาสตร์ตรวจฟรีรึครับ
อาจเป็นเพราะคุณเครียดรึเปล่า จขกท. ลองไปตรวจดูนะ
แค่ลูบตา ไม่ติดหรอกค่ะ : )
แต่ลองไปตรวจเผื่อๆไว้ดีกว่าน่ะค่ะ
แล้วก็พยายามอย่าคิดมากค่ะ
เครียดๆมันส่งผลต่อร่างกายน่ะ อาการต่างๆอาจเกิดจากความเครียดก็ได้ค่ะ
PS. happy
เราไปอ่านมา เค้าบอกว่า เอดศส์พบในเลือด หรือของเหลวอื่น แต่พบเชื้อเอดส์ในน้ำลายน้อยมาก แต่ยังไม่มีใครเคยพบเชื้อเอดส์ในน้ำตาหรือปัสสาวะเลย เธอก็ไม่น่าจะติดเอดส์หรอก แต่ว่าไปตรวจก็ดีนะไม่แพงหรอก คนงานเราก็เป็นเอดส์ ทุกวันนี้มันรับยาต้านเชื้ออยู่ อาการยังไม่เท่าเธอเลย ไปตรวจๆให้หมดเรื่องเถอะ ถ้าเป็นเอดส์จะได้รับยาต้านเชื้อ จะได้ไม่เรื้อรัง
ถ้าแม่ จขกท. เป็นตอนเธออยู่ในท้องก็เป็นแล้วล่ะ
ถ้าไม่ ก็ไม่เป็นจ้า
จะอธิบายเอาง่ายๆนะ  ถือว่าให้ข้อมูลกับคนอื่นๆด้วยแล้วกัน
จากที่ว่า เอามือลูบตาแม่ นั่น ไม่ติดหรอก  การติดเชื้อมันต้องมีช่องทางเข้าสู้ร่างกายโดยตรง ทั้งตัวผู้มีเชื้อ กับ ผู้รับเชื้อ  โดยสารคัดหลั่ง  เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด  นมมแม่ลูกอ่อนที่มีเชื้อ  อะไรประมาณนี้  มือเราก็ไม่ได้มีแผลสดขนาดเลือดออก และตัวแม่ก็ไม่ได้มีแผลอะไรตามที่เราไปลูบ ช่องทางเข้าไม่มี ก็ไม่มีทางติด
ปัจจุบันอาการของ การติดเชื้อ hiv ดูจากอาการภายนอกไม่ได้นะ ให้ดูจากผลเลือดเท่านั้น
เพราะมีหลายต่อหลายเคสเหลือเกินที่ มีอาการเป็นเหมือนคนติดเชื้อ ที่ อ่านเจอจากตำราเก่าๆ แต่ไปตรวจแล้วก็ไม่เห็นจะมีเชื้อ อาการอย่างว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น    การที่ติดเชื้อ hiv มันจะทำให้ภูมิต้านทานเราต่ำลง จนรภูมิต้านร่างกายไม่แข็งแรง  ก็จะทำให้แพ้ หรือ มีอาการต่างๆนาๆได้ แต่ก็ไม่ควรสรุปเอาเองว่าติดhivเข้าแล้ว ถ้ามีอาารอย่างว่า เพราะอย่างที่บอก มีหลายคนนะที่มีอาการแล้วแต่ไปตรวจก็ไม่พบ    เพราะอาการที่เกิดอาจเกิดจากสาเหตุอื่น      หลายคนจิตตกเพราะมีอาการแล้วไปอ่านตำราสมัยโบราณกับข้อมูลในเยตซึ่งมันเป็นข้อมูลเก่ามากๆแล้ว    สรุปคือให้ดูที่ผลเลือดอย่างเดียว ไปตรวจซะ
ถ้าจะไปตรวจ ต้องดูรับจากที่มีการเสียงมากี่วันแล้ว
ตามปกติถ้าไปตรวจ ตาม โรงพยาบาลหรือ แล็ปเอกชน ไหน บอกเขาว่าขอตรวจเลือดhiv เขาก็จะ ตรวจ  anti hiv  โดยหา antibody ให้  ซึ่งมีหลายวิธี ซึ่งการจะตรวจหา antibody นั้นโดยทั่วไปจะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ 1 เดือน จนถึง 3 เดือนเพื่อยืนยันผล ในปัจจุบันโดยใช้น้ำยา รุ่น 3gen
-แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็จะใช้น้ำยา 4gen กันแล้ว ซึ่ง 4 gen เนี่ย สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 2 อาทิตย์จนถึง 1เดือนครึ่งเพื่อนยืนยันผล ซึ่งมันจะหาได้ทั้ง antibody และ antigen  อยากรู้ว่าที่ไหนตรวจแบบนี้และระยะเวลาของเราสามารถตรวจได้ยังไง ก็ลองถามเขาที่ๆไปตรวจดูก็ได้
มีวิธีอื่น เบื้องต้น  ก็อย่างเช่น
-ตรวจหาเฉพาะ antigen  ก็สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 2 อาทิตย์ จนถึง 6 อาทิตย์ หลังเสี่ยง ตามตำราส่วนใหญ่
-PCR สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 1 อาทิตย์หลังเสี่ยง
แนะนำให้ไปตรวจที่ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ คลินิกนิรนาม สภากาชาติไทย  ตรงสวนลุม ข้างสนามม้านางเลิ้ง
ยื่นบัตรประชาชนตรวจฟรี แต่ถ้าจะไม่ยื่น(ใช้อักษรย่อ หรือชื่อปลอมๆ)ก็ 200บาท
ขั้นตอนแรกเขาจะตรวจด้วยวิธี CMIR  น้ำยาตรวจเป็น 4 gen(ปกติสามารถตรวจได้ตั้งแต่2อาทิตย์หลังมีความเสี่ยง) รอผลประมาณ ชั่วโมงนึง
แต่เขาจะตรวจ ด้วย วิธี NAT ให้ด้วยซึ่ง สามารถตรวจได้ตั้งแต่5วันหลังเสี่ยง ความแม่นยำเชื่อถือได้ 98% เป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้ว (รอผลตรวจ3วัน)
ซึ่งถ้าเธอมีความเสียงเกิน5วันก็ไปตรวจได้แล้ว  ซึ่งถ้าภายใน3วันไม่มีคนโทรมาหาเธอก็แสดงว่าปลอยภัยจากเชื้อhivชัวร์ๆ แต่ถ้ามีคนโทรมาหาซึ่งเขาจะโทรมาให้ไปตรวจใหม่ในกรณีที่ตรวจแล้วพลเชื้อ ซึ่งจะตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่นเพื่อยืนยันว่าผลมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
เอาเป็นว่าขอให้โชคดีนะ
ไม่ตรวจดีกว่าค่ะ จะได้จบๆไป ถ้าเป็นจริงๆแล้วจะหนัก
อาการติดเชื้อเอดส์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1
          ระยะไม่ปรากฎอาการ (Asymptomatic stage) หรือระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมา จึงดูเหมือนคนมีสุขภาพแข็งแรง เหมือนคนปกติ แต่อาจ จะเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ จากระยะแรกเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี แต่บางคน อาจไม่มีอาการนานถึง 10 ปี จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อต่อไปให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจาก ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ
ระยะที่ 2
                   
          ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) หรือระยะเริ่มปรากฎอาการ (Symptomatic HIV Infection) ในระยะนี้จะตรวจพบผลเลือดบวก และมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นในเห็น เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน , มีเชื้อราในปากบริเวณกระพุ้งแก้ม และ เพดานปาก, เป็นงูสวัด หรือแผลเริมชนิดลุกลาม และมีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ผิวหนังอักเสบ น้ำหนักลด เป็นต้น ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นปีก่อนจะกลายเป็น เอดส์ระยะเต็มขึ้นต่อไป
ระยะที่ 3
       
          ระยะเอดส์เต็มขั้น (Full Blown AIDS) หรือ ระยะโรคเอดส์ ในระยะนี้ภูมิคุ้มกันของ ร่างกาย จะถูกทำลายลงไปมาก ทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย หรือที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" ซึ่งมีหลาย ชนิด แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใด และเกิดที่ส่วนใดของ ร่างกาย หากเป็นวัณโรคที่ปอดจะมีอาการไข้ เรื้อรัง ไอเป็นเลือด ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมอง อักเสบจากเชื้อ Cryptococcus จะมีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้อาเจียน หากเป็นโรคเอดส์ ของระบบประสาทก็จะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า แขนขา อ่อนแรงเป็นต้น ส่วนใหญ่เมื่อผู้ เป็นเอดส์ เข้าสู่ระยะสุดท้ายนี้แล้วโดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี
การป้องกัน
    โรคเอดส์สามารถป้องกันได้ถ้ามีความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ซึ่ง พฤติกรรม เสี่ยงนั้นเกิดขึ้น ได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เอื้อ ต่อการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งวิธีที่จะป้องกันให้ปลอดภัย จากการติดเชื้อเอชไอวี มีหลายวิธีเช่น การไม่มีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะสามารถรับผิดชอบผลจากการมีเพศสัมพันธุ์ได้ ควรละเว้นการใช ้สารเสพติดทุกชนิด
         
      โรคเอดส์มิได้ติดต่อกันได้ง่าย ๆ จากการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันแต่ติดต่อจากพฤติกรรม หรือการกระทำ บางอย่าง ไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไปสามารถป้องกันได้ ถ้ามีความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง พฤติกรรมวิธีที่จะป้องกันให้ปลอดภัย จากการติดเชื้อเอชไอวี ดังต่อไปนี้
         
          ไม่มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะสามารถรับผิดชอบผลจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ เช่น ปัญหา ครอบครัว ปัญหาทาง เศรษฐกิจและสังคม การตั้งครรภ์เมื่อยังไม่พร้อม การติดเชื้อ โรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์และเอดส์
          ควรละเว้นการใช้สารเสพติดทุกชนิด รวมทั้ง เหล้าและเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ เพราะ อาจนำไปสู่การขาดสติ ไม่สามารถป้องกันตัวได้อย่างถูกต้อง
          ควรศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และวิธีป้องกันจนเข้าใจ และสามารถนำไป ปฏิบัติได้จริง
          หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์แบบฉายฉวย ไม่ควรมีคู่นอนหลายคน
          เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มิใช่สามีภรรยาต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
          หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะมีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ เอชไอวี สูงกว่าทางช่องคลอด เนื่องจากฉีกขาดได้ง่ายและรับเชื้อได้มากกว่า หากเป็นการมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างชายกับชายควรใช้ถุงยาง อนามัยทุกครั้ง
          ต้องมีการตรวจสุขภาพและตรวจเลือดก่อนแต่ง/ก่อนท้อง ในกรณีที่ตัดสินใจจะมี ครอบครัว เพื่อจะได้ทราบสถานะสุขภาพ ของตนเองและคู่รักก่อนมีเพศสัมพันธ์รวมทั้งเพื่อ ประกันความปลอดภัยของทารกที่จะเกิดใหม่ด้วย
          หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยาและของมีคมร่วมกัน
          การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เช่น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง การกอดรัด การ เสียดสี ร่างกายซึ่งกันและกัน การจูบเป็นต้น
          การใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศทุกรูปแบบ เช่น ร่วมเพศด้วยปาก ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก
          การใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี เช่น การใช้ถุงยางอนามัยที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ การใช้ถุงยางอนามัย ที่ไม่หมดอายุ การเก็บรักษาที่ถูกต้อง การสวมใส่อย่างถูกวิธี
          การพูดคุยเรื่องเอดส์และเพศระหว่างบุคคลในครอบครัว จะสามารถช่วยลดความเข้าใจผิด ๆ ในเรื่องเพศ และให้แนวทางที่ถูกต้องในการป้องกัน
          หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อแต่ละคนมีแผลที่อวัยวะเพศหรือเป็นโรคทางเพศ สัมพันธ์
          งดเว้นการ่วมเพศอย่างรุนแรง หรือการทำร้ายร่างกายจนเกิดบาดแผล เลือดตก ยางออก
          หลีกเลี่ยงการใช้ปากกับอวัยวะเพศ เมื่อมีแผลในปากหรืออวัยวะเพศ
          ควรมีการสร้างทัศนคติให้ผู้ชายมีบทบาทรับผิดชอบในการป้องกันดรคไม่ให้เข้าสู่ บุคคล หรือสมาชิกในครอบครัว
PS. คห.นี้ไม่มีสาระ ๕ ๕ ๕+
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?