Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรียนแพทย์ชั้นปรีคลินิกมา 1 ปี มีอะไรอยากเล่าสู่กันฟังครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เมื่อก่อน ก่อนที่จะสอบติดแพทย์ พี่ก็เข้ามาขอความช่วยเหลือในเวปบอร์ดนี้ประจำครับ เข้าแทบจะทุกวันก็ว่าได้
พอเข้าไปเรียนก็ไม่ได้มีเวลาเข้ามาแชร์อะไรเท่าไหร่ครับ ไม่ใช่ว่าเรียนหนัก แต่ในมหาวิทยาลัยมันมีอะไรให้เล่นหลายอย่าง
จนยอมรับว่าลืมบอร์ดนี้ไปเลย

ตอนนี้คิดถึงก็เลยอยากกลับมาแชร์อะไรบ้าง
หลังจากกอบโกยจากที่นี่ไปมากมายอยู่

ขอแนะนำตัวก่อนว่าพี่จบปริญญาตรีมาแล้วใบหนึ่ง ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ
จบมาแล้วก็นึกอยากเรียนหมอ ก็เลยพยายามสอบ

สอบปีแรก กสพท. เฉียดไป 2 คะแนน ไม่ติด
สอบปีที่สอง กสพท. เฉียดไป 2.5 คะแนน ไม่ติดอีก
สอบปีที่สาม กสพท. เฉียดไป 1.7 คะแนน ไม่ติด (และคณิตศาสตร์ก็ไม่ถึง 30 T_T)

แต่ในปีที่สามนี่เอง พี่ได้สมัครของ มหาวิทยาลัยนเรศวร โครงการ New tract ไว้ด้วย ปรากฎว่าติดครับ
ได้เข้ามาเรียนหมอสมใจ
และที่ดีมากๆคือ ไม่ต้องเรียนปีหนึ่งครับ พวกวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานต่างๆ ข้ามไปได้เลย

มาเริ่มเรียนปี 2 ซึ่งจะเป็นวิชาที่เป็นพื้นฐานของวิชาแพทย์แล้ว เช่น ประสาทวิทยา, กายวิภาคศาสตร์, สรีระวิทยา
ซึ่งการเรียนของคณะแพทย์ในชั้นปีที่ 2 เป็นต้นไปนี้จะเรียนแบบบล๊อก ครับ

เรียนแบบบล๊อก คือ เรียนทีละวิชา เช่น เรียนกระดูก ก็เรียนไปทั้ง 3 สัปดาห์ แล้วก็สอบ ตัดเกรด จบ ... เรียนบล๊อกต่อไป กล้ามเนื้อ เรียนไปอีก 3 สัปดาห์ ตัดเกรด จบ แล้วเรียนเรื่องต่อไป เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ฟังดูน่าสนุกนะครับ ไม่ต้องเรียนพร้อมกันหลายเรื่อง สนใจอยู่เฉพาะเรื่องเดียว แล้วก็สอบ
แต่มันยากตรงที่จะโดนเวลาบีบครับ เช่น เรื่องระบบประสาทซึ่งยากและเยอะ แต่ให้เรียนแค่ 2 สัปดาห์ แล้วสอบ หายใจหายคอกันไม่ทันเลยทีเดียว

หรือระบบกล้ามเนื้อ เรียนทั้งเลคเชอร์ ทั้งผ่าอาจารย์ใหญ่ ต้องท่องจำอะไรมากมาย และการผ่าอาจารย์ใหญ่ก็หมดแรงใช่เล่น แถมเรียนแค่ 3 สัปดาห์ ก็สอบแล้ว ถือเป็นบล๊อกที่โหดอีกอันนึงเลยครับ

แต่ที่ไหนๆ ก็เรียนกันแบบนี้ เราเข้ามาแล้วก็ต้องเีรียนให้ได้
แต่เห็นบ่นๆ กันแบบนี้ คะแนนสอบออกมาสูงมากครับ แต่ละบล๊อกนี่ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 70 ขึ้นทั้งนั้น (คะแนนเฉลี่ยนะ!!!)

***ฉะนั้นคุณสมบัติสำคัญที่สุดของคนที่จะเรียนหมอได้ดี (ในชั้นปรีคลินิก) อันดับแรก คือ ต้องเป็นคนขยันอ่านหนังสือมาก***

แต่บางคนไม่ขยันอ่านหนังสือ ก็เรียนได้ดีเช่นกันครับ แต่สมองเค้าก็ต้องระดับเทพเลยคือ เรียนในห้องได้เข้าใจ จำได้เกือบหมด อ่านเพิ่มอีกนิด ก็ชิวแล้ว เอาเวลาไปตีดอท อ่านการ์ตูนสบายๆ ในขณะที่เพื่อนๆที่สมองกลางๆ อ่านกันแทบตายก็ได้ไม่ไม่เท่ามัน....

หรือบางคน ไม่ขยันอ่าน และสมองก็กลางๆ พวกนี้ก็พอไปได้ครับ แต่ว่าคะแนนก็จะออกมาแบบคาบลูกคาบดอก ให้เสียวใส้เล่นเป็นระยะๆ ตกมีนบ้าง  ถ้าพอเอาตัวรอดไปได้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงครับ

** แต่สิ่งที่น่ากลัวของคณะแพทย์คือ ติด F ตัวเดียว คือเรียนซ้ำใหม่หมดทุกวิชาในปีนั้นไม่มีสิทธิ์ไปต่อ หรือถ้าเกรดรวมในปีนั้นไม่ถึง 2.00 ก็ไม่ได้ไปต่อเช่นกัน อยู่เรียนซ้ำของเดิมใหม่ทั้งหมด***

สยองมั้ยล่ะครับ
ความกลัวต้องเรียนซ้ำนี่แหละ ถึงทำให้ทุกคนอ่านหนังสือกันตาเขียว คะุแนนสอบมันถึงออกมาสูงปริ๊ดแบบนี้ไงครับ

หลายคนถามว่าเรียนแพทย์ยากไหม
เท่าที่เรียนๆมา ผมว่ามันไม่ยากนะ แทบไม่มีอะไรยากเลยด้่วยซ้ำ
เพราะเนื้อหาทุกอย่าง มันมีอยู่แล้วในหนังสือ มีการอธิบายไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ยิ่งกว่าตอนเราเรียนพวกฟิสิกส์ เคมี ชีวะตอนมอปลายซะอีก

แถมอาจารย์ที่สอนในห้อง เค้าก็ออกข้อสอบตามที่สอน ไม่ได้ออกเกินเนื้อหาหรือข้อสอบพิสดารแบบ GAT PAT แต่อย่างใด
อ่านหนังสือไทยไม่เข้าใจ ก็มี Text ของต่างประเทศเอาไว้ให้ค้นคว้าศึกษาเป็นตันๆ ในห้องสมุด

จะเลือกเอาสำนักไหน อังกฤษ อเมริกา เยอรมัน มีให้อ่านหมด ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆก็อ่านได้ เพราะศัพท์มันไม่ได้ยากเหมือนอ่านหนังสือพิมพ์ เพราะส่วนใหญ่เป็นศัพท์เฉพาะ มีคำเชื่อมที่ต้องรู้ไม่มาก อ่านไปไม่กี่บทก็จับทางได้ครับ ต่อไปก็อ่านคล่องปรื๋อเลย

**แล้วที่ยากคืออะไร***

ที่มันยาก เพราะว่ามัน "เยอะ" ครับ
เยอะแบบสัสๆเลย เนื้อหาที่อัดมาใน 2 สัปดาห์นั้น แทบจะทำลมแทบใส่ มันต้องจำเยอะมาก จนบางครั้งสอบเสร็จแล้วหันกลับมามองสิ่้งที่เรียนไป ยังสงสัยอยู่เลยว่ากรุอ่านเข้าไปได้ยังไงวะ เยอะแยะขนาดนี้ แถมต้องจำให้ได้อีก

แต่อารมณ์ "หนีตาย" มันทำให้เราทำได้ทุกอย่างครับ เหมือนคนแบกโอ่งหนีไฟใหม้อ่ะ ไม่ต่างกัน

**บางคนกลัวผี จะเรียนหมอได้ไหม ผ่าอาจารย์ใหญ่น่ากลัวหรือเปล่า**

คือถ้าใครกลัวผี แรกๆก็จะกลัวแหละ อาจจะมีอาการคลื่นเยน อาเจียนกลับกลิ่นน้ำยาดองที่ไม่คุ้นเคย เบื่ออาหารกินเนื้อไม่ลง เพราะหลับตาก็เห็นภาพร่างอาจารย์ หรือไม่ก็ต้องหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนกับเพื่อน เพราะหลอนกับชิ้นส่วนอวัยวะที่เห็น

แต่ผ่าไปซักพัก ทุกคนก็จะพบว่า อาจารย์ใหญ่นั้นแสนใจดี เอามีดแทงเฉือน ผิดที่ผิดทาง ตัดเส้นเืลือดผิด กรีดกล้ามเนื้อผิดมัด แทงปอดทะลุ ท่านก็ไม่เคยบ่น นอนนิ่งๆให้เราศึกษาได้อย่างสบายใจ

แต่คนที่น่ากลัวกว่าคือ "อาจารย์เป็น" ที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวโต๊ะผ่านี่แหละ เพราะเค้าคือคนที่สามารถด่าเรา และให้ F เรา ทำให้เราไม่ได้ไปเรียนกับเพื่อนๆต่อไปได้

อาจารย์เป็นๆ น่ากลัวกว่าอาจารย์ใหญ่เยอะครับ

**เรียนเนื้อหาอะไรกันมั่ง**

ในชั้นปีที่ 2 เราก็จะเรียนเนื้อหาหลักๆ คือ

1.สรีรวิทยา (อันนี้ยากสุดละ) เพื่อธิบายว่ากลไกการทำงานของร่างกายทำงานประสานกันอย่างไร ในภาวะปกติ ถ้าใครชอบอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นกระบวนการ จะชอบวิชานี้มากๆ แต่ถ้าใครชอบจำแบบไม่มีเหตุผล จะเกลียดเข้าใส้ และเข้าใจยาก ทำคะแนนได้ไม่ดี เห็นกันชัดๆเลยครับ

2.กายวิภาคศาสตร์ (เหมาะสำหรับลูกอีช่างจำ) เป็นการเรียนเพื่อจำๆๆๆๆๆ ชื่อกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นประสาท ท่อน้ำเหลือง กระดูกทุกชิ้นทุกปุ่มทุกร่อง .....จำไปเลย จำไป มีแรงเท่าไหร่จำไปให้หมด อันนี้วัดที่ความถึกกันอย่างเดียวครับ ใครถึกอ่านได้หลายรอบ ท่องได้มากกว่า ก็เอาคะแนนไปเลย  ซึ่งวิชานี้จะแบบเป็น 2 แบบคือ Gross anatomy จำในสิ่งที่มองเห็นได้ และ Histology คือจำในสิ่งที่มองเห็นจากกล้องจุลทรรศน์

3.Clinical คือ โรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียน ในปี 2 จะยังไม่เน้นมาก แต่ก็เป็นส่วนที่ยากพอควร เพราะมันต้องขมวดความรู้ต่างๆที่เรียนมาอธิบายการเกิดโรคแล้ว ส่วนนี้จะไปเน้้นในปีที่ 3 ทั้งปีครับ

***********************

อันนี้คือสรุปคร่าวๆ สำหรับคนที่อยากเรียนแพทย์ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 1 ปี ของพี่เอง
เดือนหน้าพี่จะขึ้นปี 3 แ้ล้ว ก็จะเรียนเกี่ยวกับการเกิดโรคต่างๆแล้ว (เพราะเรียนภาวะร่างกายปกติมาหมดแล้ว)

สิ่งสำคัญในการเรียนแพทย์ชั้นปรีคลินิก คือ ห้ามลืมเนื้อหาที่เรียนไปทั้ง 2 ปีเด็ดขาดครับ เพราะว่ามันจะต้องนำไปทำการสอบวัดความรู้ หรือที่เรียกว่า National lisense หรือใบประกอบวิชาชีพแพทย์ขั้นที่ 1 หลังจากจบปีที่ 3 แล้ว
หากสอบไม่ผ่าน จะต้องสอบใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน เพื่อไปสอบขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 ต่อไป

ถ้าสอบ National lisense ไม่ผ่านตั้งแต่ขั้นแรก เราก็จะไม่ได้ใบประกอบวิชาชีพแพทย์เมื่อเราเรียนจบ ซึ่งจะทำให้เราไม่มีสิทธิ์ในการตรวจรักษาผู้ป่วยครับ

มันยากก็ตรงนี้......
========================

พี่ขอฝากไว้ว่า ใครที่อยากเรียนวิศวะ ถาปัด การทูต การโรงแรม ก็ขอให้ไปเรียนทางนู้นเถอะครับ อย่ามาเรียนแพทย์ เพียงเพื่อให้พ่อแม่สมหวังเลย พ่อแม่เค้าไม่ได้มาเรียนกับเราด้วย

การเรียนที่หนักหน่วง ในเวลาที่จำกัดแบบนี้ ถ้าใจไม่รัก ไม่ชอบจริงๆ มันจะเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ
เนื้อหาที่ต้องอ่าน ต้องจำ มันเยอะมาก ขนาดคนชอบ ก็ยังบ่นอยู่บ่อยๆ
คิดดูว่าคนที่ไม่ชอบ มันจะทรมานขนาดไหน

อาจารย์แพทย์เคยบอกว่า "อยากจะให้พ่อแม่ที่บังคับลูกมาเรียนหมอ ได้ลองมาเรียนดูซักบล๊อกนึง แล้วดูซิว่าจะยังบังคับลูกมาเีรียนอยู่ไหม".....

พี่เห็นด้วยครับ 5555

แสดงความคิดเห็น

>

46 ความคิดเห็น

^-^g8pk 6 มี.ค. 56 เวลา 23:17 น. 1

ขอบคุณมากค่ะ


PS.  ไม่มีใครยิ่งใหญ่ที่สุดหรอก ขนาดนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ยังต้องฟังวาทยากรเลย...
0
วีรินทร์ 6 มี.ค. 56 เวลา 23:32 น. 2

ขอบคุณมากๆค่ะ

อยากถาม จขกท อีกหน่อยนะค่ะว่า หนังสือtext book เล่มไหนอ่ะค่ะ ที่จำเป็นต่อการเรียนแพทย์นะค่ะ คือเราพึ่งติดหมอปีนี้ อยากทราบนะค่ะ

แล้วก็ พี่เรียน new tract แต่อยากทราบนะค่ะ ว่าปี1นี่เรียนยากมากมั้ย ควรเตรียมตัวยังไงบ้างนะค่ะ เพราะ ปิดเทอมนี้ก็แอบว่างพอตัว อยากเตรียมนะค่ะ แบบอ่านเนื้อหาเนื้อหา ม.ปลาย ทวนดีมั้ยอะไรแบบนี้นะค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ&nbsp ^^

0
ผมต้องเรียนจบหมอให้ได้ 7 มี.ค. 56 เวลา 00:04 น. 4

ขอบคุณพี่มากๆครับ ตอนนี้ผมก็เรียนแพทย์อยู่สถาบันแห่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังจะขึ้นปี 2 แล้ว
&nbsp  มายืนยันอีกหนึ่งเสียงว่าตอนนี้เรียนหนักมาก ไม่ขยันจริงอยู่ไม่ได้คณะนี้ ช่วงใกล้สอบก็เครียดจริง ทำไมเพื่อนเค้าคุยกันเรื่องเนื้อหาที่เรียนแล้วเราไม่รู้เรื่อง 5555 คะแนนสอบออกมามีนสูงมาก เต็ม 100 มีน 84&nbsp บร้ะเจ้าาาา ฆ่ากรูเหอะ
&nbsp  เฮ้ออออ พอจะรู้ชะตากรรมละครับ ว่าปี 2 จะเจออะไร ยังไงก็จะสู้ๆครับ

0
neuRo 7 มี.ค. 56 เวลา 00:05 น. 5

แหม่ขอกดไลค์ตรงตีดอทนี่แหละ

พวกเทพๆอะ ดีแม่_ทั้งวัน แต่คะแนนทอปบล็อคจร้ๅ ฮ่ๅๆ

0
ลุงมอนอ 7 มี.ค. 56 เวลา 08:34 น. 6

ตอบคุณ วีรินทร์ ความเห็นที่ 2 ครับ

Text book ที่ใช้เรียน ส่วนใหญ่ไมไ่ด้ซื้อหรอกครับ เพราะห้องสมุดของโรงเรียนแพทย์จะมีหนังสือเยอะมากๆ ให้เราเลือกอ่านอยู่แล้ว แต่ก็มีบางเล่มที่ถือว่าเด็ดๆจริงๆ ห้องสมุดมีไม่พอก็ต้องซื้อเองบ้าง

อย่างของผมที่ซื้อกัน เพราะสามารถช่วยชีวิตได้ คือ ตำรา Physiology ของป้าลินดา คอสตานโซ่
, ตำราชีวเคมี ของ ม.ขอนแก่น ... แค่นี้อ่ะ นอกนั้นยืมห้องสมุดเลยครับ โดยเฉพาะหนังสือ Anatomy ที่ใช้ในการผ่าอาจารย์ใหญ่ ที่โรงเรียนผมใช้ของ Netter เป็นหลัก ก็ยืมห้องสมุดเช่นกัน กลิ่นนี่แบบว่าสุดๆ เพราะเปื้อนน้ำยามาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น บางคนก็ซื้อเองไว้ที่ห้องอันนึง เพราะทนกลิ่นไม่ไหวก็มีครับ

สรุป อย่าเพิ่งรีบซื้อ ไปดูก่อนว่าโรงเรียนของเรามีอะไรให้ยืมมั่ง แล้วค่อยดูว่าเราอ่านตำราของใครเข้าใจมากที่สุด แล้วค่อยซื้อครับ เล่มนึงมันแพงอยู่ พี่หลวมตัวซื้อไปหลายเล่มตอนก่อนเปิดเทอม เอาเข้าจริงๆ เล่มที่ซื้อมาแทบไม่ได้ใช้เลย เพราะอ่านไม่รู้เรื่องคับ

0
ลุงมอนอ 7 มี.ค. 56 เวลา 08:38 น. 7

ส่วนการเรียนปี 1 เท่าที่ดู สำหรับมันสมองและความขยันแบบเด็กที่สอบแพทย์ติดเข้ามาได้ ไม่มีปัญหาหรอกครับ

ที่มอนอ คณะแพทย์มีกฎอยู่ว่า ใครได้ A ถึง 10 ตัวใน 1 ปีการศึกษา จะได้เงินรางวัล 5000 บาท
ปีที่แล้ว มีน้องปี 1 (ที่กำลังจะขึ้นปี 2) ได้รางวัลกันเยอะมากๆเลย เพราะการเรียนปี 1 ที่นี่จะเอาเกรดไปตัดรวมกับคณะอื่นๆด้วย

เด็กแพทย์ขยันอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงอะไรครับ

มันจะมาโหดเอาตอนปี 2-3 เพราะต้องมาห้ำหั่นกันเองนี่แหละ ล้มหายตายจากไปก็มี

0
กัวง่ะ 7 มี.ค. 56 เวลา 08:54 น. 8

ผมเป็นว่าที่ นสพ ปีนี้ครับ

อ่านที่พี่ว่ามาเสร็จ รู้สึกกังวลโคตรๆ

พี่มีเทคนิคอะไรมาแนะนำมั้ยครับ เรื่องการท่องการจำเนี่ย บอกตามตรงผมไม่ค่อยถนัดอ่ะ ติดแพทย์มา เพราะ อังกิด เลข และฟิสิกส์ คะแนนค่อนข้างสูง เท่านั้นเอง ส่วนวิชาท่องๆแบบเคมี ชีวะ สังคม ไทย ก็แค่เฉียดๆ ครึ่ง

0
ลุงมอนอ 7 มี.ค. 56 เวลา 13:06 น. 9

ตอบความเห็นที่ 8

สำหรับคนที่สอบติดแพทย์มา แล้วท่องจำไม่เก่ง แต่เก่งคำนวน และคิดแบบตรรกะได้ดี น้องจะได้เปรียบเรื่องสรีรวิทยา หรือ Physiology ครับ เพราะมันเป็นกระบวนการทำงานของร่างกายที่ต้องเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน

แต่เบื้องต้น น้องก็ต้องจำให้ได้แหละว่าองค์ประกอบมันมีอะไรบ้าง ก่อนจะมาเชื่อมโยงในภายหลัง

สรุปก็คือต้อง "จำๆๆๆ" อยู่ดี

พี่ก็เป็นคนจำไม่เก่งครับ เทคนิคที่ใช้เอาตัวรอดคือ "อัดรอบ" เข้าไว้ครับ อ่านอัดไปหลายๆรอบ เรื่องนึงนี่อย่าให้ต่ำกว่า 5 รอบ ทั้งอ่านแสกนรอบแรก โน๊ตรอบสอบ รอบสามเริ่มท่อง รอบสี่ รอบห้า ก็ต้องท่องแบบหวังผลแล้ว

ถ้าห้ารอบยังจำไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นครับ ต้องเพิ่มรอบ เป็นรอบที่ 6 7 8... ไปเรื่อยๆ

เทคนิคการจำก็สำคัญครับ ใน Google มีเต็มไปหมด นักเรียนแพทย์ทั่วโลกเค้าช่วยกันคิดค้นวิธีจำมามากมายก่ายกองแล้ว เราเลือกเอามาใช้ได้เลยครับ หรือจะคิดเองก็ไม่มีใครว่า

สำหรับพี่ชอบเอามาโยงกับเรื่องลามกใต้สะดือ จะทำให้จำดีและจำนานมากครับ ท่องทีไรฮาทุกที

สรุปคือ จำนวนรอบเท่านั้นที่จะทำให้เราจำได้ครับ รอบยิ่งมาก จะทำให้เรายิ่งคุ้นเคย และสมองของเรามันจะนึกว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เห็นท่องบ่อยเหลือเกิน มันจะเอาไปเก็บไว้ในความทรงจำระยะยาว เอามาใช้ได้ง่าย ... เค้าเรียกว่าวงจร Papez loop ลองศึกษาดูก็ได้ครับ

0
กัวแต่สู้นะ 7 มี.ค. 56 เวลา 13:41 น. 10

ขอบคุณพี่ ลุงมอนอ มากครับ ผมล่ะ อ่อนใจกับการท่องแล้วท่องอีก จน neuron มันหนาพอที่จะเป็น long term memory ยังไงคงต้องฝึกทำตัวถึกๆ ท่องอัดๆ เข้าไปอย่างที่พี่ว่า

ช่วงเวลาแห่งความสำราญในชีวิต ใกล้จะหมดลงแว้ว..

0
วีรินทร์ 7 มี.ค. 56 เวลา 19:17 น. 11

พี่ค่ะ แล้วที่ว่าปี1แต่ละคนเกรดดีๆนี่ โหดจัง
ได้ยินมาว่า เนื้อหาปี1มันจะคล้ายๆกับม.ปลายหรอค่ะ แล้วแบบถ้าอยากเตรียมตัวไว้ก่อน เพราะลืมเนื้อหาม.ปลายแล้ว อ่านทวนเนื้อหาม.ปลายไปบ้างดีมั้ยค้่ะ&nbsp หรือใช้เวลาที่แสนว่างให้คุ้มที่สุดดี เพราะมันอาจไมม่ว่างแล้วต่อจากนี้ T^T

0
ไอ่อ้วน งี้ล่ะ 8 มี.ค. 56 เวลา 08:05 น. 13

อาจารย์ใหญ่นั้นแสนใจดี เอามีดแทงเฉือน ผิดที่ผิดทาง ตัดเส้นเลือดผิด กรีดกล้ามเนื้อผิดมัด แทงปอดทะลุ ท่านก็ไม่เคยบ่น นอนนิ่งๆให้เราศึกษาได้อย่างสบายใจ <<<< อาจารย์ใหญ่น่ารักดชมากครับบ บบบ ช๊อบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ! >,<

0
กันชน 8 มี.ค. 56 เวลา 09:24 น. 14

พี่อายุเท่าไหร่แล้วคะเนี่ย อยากเรียนหมอเหมือนกันแต่ว่าจะรอให้จบปีสี่ก่อนแล้วไปเรียนต่อ

โดนที่บ้านบ่นว่าเป็นหมอตอนแก่ เรียนตอนแก่แล้ว จะสู้เ็ด็กที่เข้าเรียนแต่แรกได้ไง ฟังแล้วท้อจังเลยค่ะ T^T

0
หลงบอร์ด 8 มี.ค. 56 เวลา 15:46 น. 16

กระทู้แบบนี้น่าอ่านดี...เบื่อพวกที่ตีกันใน board ว่าคณะนี้ของมหาลัยนี้ดีกว่าของที่อื่น,ติดอันดับกลางต่ำของโลก,high-so ไฮหมวย,สอบเข้าได้คะแนนสูงกว่า,สอบต่อได้ที่ดีกว่าคนจบที่อื่น...

0
`kissme .pls* 8 มี.ค. 56 เวลา 17:06 น. 17

ก่อนอื่นต้องขอบคุณมากๆที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา
รอมานานละ กระทู้แบบนี้ น๊านนานจะมีที

ตอนนี้อยู่ม.หกค่ะ กำลังรอแอด 
ซึ่งตัดสินใจแล้วว่าจะต่อสายวิทย์สุขภาพ (ที่ยังไม่ใช่หมอ)
แต่จริงๆอยากเป็นหมอค่ะ ฮ่าๆๆ 

พอเราจบปีสี่มาแล้ว ทำงานอะไรตามที่เค้ากำหนดเรียบร้อย (สมมติว่ามี)
เราสามารถสอบหมอต่อเลยได้ใช่มั้ยคะ
ถ้าสมมติเราสอบของ กสพท. เราจะเริ่มไปเรียนปีไหนคะ
แล้วโครงการแบบพี่ สอบมั้ยคะ แล้วข้อสอบนี่ออกแนวไหนยังไง ยากมากมั้ย
โครงงานที่เปิดสำหรับคนที่จบสายวิทย์สุขภาพนี่มีเรื่อยๆใช่มั้ยคะ
แล้วส่วนใหญ่มีมหาลัยไหนเปิดบ้างคะ 

เราสนใจจะเรียนต่อแบบนี้จริงๆนะ แต่เพื่อนบอกว่าแก่กันพอดีกว่าจะเรียนจบ
แต่เราไม่สนใจอายุเท่าไหร่ 5555555555555555

ปล.ขอถามเรื่องส่วนตัวได้มั้ยคะ
ตอนนี้พี่แต่งงานรึยัง (เอ่อ ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ 5555)

0
ลุงมอนอ 8 มี.ค. 56 เวลา 21:51 น. 18

ตอบความเห็นที่ 17

ตอนนี้โครงการที่รับแพทย์แบบ New tract (แพทย์ที่จบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพมาแล้ว 1 ใบ ... ยังไม่พอใจ อยากเป็นหมอ)

เหลือเปิดรับอยู่แค่ 2 ที่ คือ ม.พะเยา รับปีละ 15 คน
และ ม.นเรศวร รับปีละ 45 คน

แต่ตอนนี้ ม.นเรศวร หมดสัญญากับกระทรวงสาธารณสุข (CPIRD) แต่แว่วๆมาว่าจะต่อสัญญาเพิ่ม ต้องรอการประเมินอีกที

ดังนั้นตอนนี้ความหวังชัวร์ๆ ขอบคนที่อยากเรียนแพทย์ New tract (เรียนแค่ 5 ปี) จะตกไปอยู่ที่ ม.พะเยา ซึ่งจะต้องรับอีกหลายรุ่นครับ เพราะว่าเพิ่งเปิดรับไปไม่กี่รุ่นเอง

กฎ กติกา มารยาท คือ
- ผู้สมัครจะต้องมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว 2 ปี ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุข (บางทีเรียนป.โทจบมายังไม่ทำงานเค้าก็ให้สมัครได้)
- ผู้สมัครจะต้องอายุปี 30 ปี ณ วันสมัคร เกินวันเดียวก็ไม่ได้นะ
- หากเป็นข้าราชการ ผู้สมัครจะต้องได้รับการรับทราบจากต้นสังกัด ว่าจะมาสอบหมอ และหากสอบได้จะยินยอมให้มาเรียน ... ถ้าเป็นบุคคลทั่วไป ก็ไม่ต้องมีอันนี้นะครับ
- ไม่เป็นบ้า
- ไม่ติดคุก
...บลา บลา ที่เหลือก็ตามกฎเกณฑ์ทั่วไปในการสอบ

บางคนที่มาปรึกษาผม บอกว่าไม่อยากเรียน ม.พะเยา เพราะเป็น ม.ใหม่ และแพง (ค่าเทอม 4 หมื่น ในขณะที่ มน. สองหมื่น)
แต่ผมอยากจะบอกว่า เรื่อง ม.ใหม่ ม.เก่า อยากให้เอาทิ้งไปก่อน เพราะการเรียนแพทย์ ไม่ว่าเรียนที่ไหน ก็ใช้ตำราใกล้เคียงกัน เพราะแต่ละหัวข้อ ที่ดังๆ ใช้กันทั้งโลกก็มีอยู่ไม่กี่เจ้า จะเรียนที่ไหน ก็สามารถขวนขวายสิ่งที่อยากรู้ไ้ด้เหมือนกัน

และเวลาขึ้นคลินิก ในชั้นปีที่ 4-5-6 ก็จะได้ไปฝึกกับอาจารย์แพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ
ที่ม.พะเยา เค้าจะให้ไปขึ้นที่ รพ.พะเยา และ รพ.เวียงพิงค์ จ.เชียงใหม่ ด้วย
ซึ่งก็จะไปฝึกกับอาจารย์แพทย์ที่เก่งกาจกันทั้งนั้น
ไม่ต้องห่วงคุณภาพหรอกครับ

แพทย์ที่จบออกไป จากโรงเรียนไหนๆ ก็ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพมาตรฐานของประเทศ
เป็นตัวควบคุมมาตรฐานอยู่แล้ว

ถ้าจะห่วง ห่วงตัวเราเองดีกว่าครับว่าจะได้มาตรฐานเค้าหรือไม่

คิดในแง่ดี การเรียนในโรงเรียนแพทย์ต่างจังหวัด ทำให้เราไม่ต้องไปสู้กับเทพๆ ระดับประเทศที่เค้าอยู่ในโรงเรียนแพทย์อย่างจุฬา รามา ศิริราช ความกดดันอาจจะน้อยกว่า ไม่ต้องกะเกียกตะกายมากเพื่อเอาชีวิตรอดก็ได้นะครับ

ส่วนค่าเทอม ก็คิดว่าการศึกษาคือการลงทุนก็แล้วกัน จบแพทย์ไป ต่อให้ไม่ดิ้นรนโลภมากหาเงิน ค่าเทอมเดือนละ 40,000 บาท ผมว่าทำงานแค่สองปี ก็คืนทุนแล้วครับ ถ้าพอหาแหล่งทุนได้ ก็น่าจะลองสู้ดูนะ

--------------------------------------------

ถ้าคิดว่าจะเรียนแล้ว ก็ลงมืออ่านหนังสือเลยนะครับ ไม่ต้องไปรอนั่นโน่นนี่
เพื่อนพี่ที่เป็นเภสัชกรคนนึง ก็ลงมืออ่านหนังสือทุกวัน เป็นเวลา 10 เดือน ก็สอบติดเข้ามาได้ครับ
แต่ส่วนใหญ่ที่ถามๆ ก็อ่านหนังสือกันเป็นปี
และไม่มีใครเลยที่บอกว่าสอบติดเข้ามาได้แบบชิวๆ
ทุกคนอ่านหนังสือกันหนักหน่วงทั้งนั้นครับ

ถ้าอยากจะเรียน ก็ต้องสู้ เป็นกำลังใจให้นะครับ

0
ลุงมอนอ 8 มี.ค. 56 เวลา 22:06 น. 19

ตอบความเห็นที่ 14

เรื่องแก่แล้วมาเรียนหมอ

พี่อายุ 29 ตอนอยู่ปี 2 กว่าจะจบก็ 34 ปี
ใช้ทุนอีก 3 ปี เป็น 37 ปี
ต่อเฉพาะทางอีก 3 ปี เป็น 40 ปีพอดี

...ถามว่าแกไหม ก็แก่ครับ อายุ 40 ปี มันก็คงเรียกว่าแก่ได้แล้วแหละ
แต่ถ้าถามว่า เหลือเวลาทำงานอีก 20 ปีกว่าจะเกษียน ....มันน้อยไหม

มันไม่น้อยนะครับ 20 ปีเนี่ย

ถ้าเราอยู่ในอาชีพหนึ่ง นานถึง 20 ปี ผมว่ามันไม่น้อยแล้วล่ะ บางคนทำโน่นทำนี่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่เคยทำอะไรถึง 20 ปีเลยก็มี

และการเป็นแพทย์ มันเป็นได้ตลอดชีวิต ต่อให้เกษียนแล้ว อยากรักษาคนต่อ ก็ทำได้
หรืออยากเป็นอาจารย์ในโรงเีรียนแพทย์ เค้าก็เชิญไปสอนได้

มันทำงานได้จนกว่าจะตายนู่นแหละ

เพราะฉะนั้นอยากเรียนก็เรียนเลยครับ
อย่าไปฟังอะไรมาก
ถ้าอยากเรียน แล้วไม่ได้พยายามที่จะเรียน
นั่นสิน่าเสียดายเวลามากกว่าอีก

ใครที่อยากเป็นหมอ เป็นกำลังใจให้จริงๆนะครับ เพราะคนที่มาเรียนด้วยใจ ผมว่ามันจะทำได้ดี และเรียนด้วยความสุข เพราะมันคือสิ่งที่เราไฝ่ฝันมาทั้งชีวิต

---------------------------------------------

เรื่องแก่แล้วเรียนไม่ไหว

อันนี้ขอค้านว่าไม่จริงครับ ที่ ม.นเรศวร นี่ Newtract จะเรียนกับน้องๆ เลย ขอบอกว่าคะแนน Newtract นี่โหดมากนะครับ

เพราะว่ากันตามจริง พวกแก่ๆแล้วมาเรียนนี่ ส่วนใหญ่แล้วจะนิ่งๆ และไม่ค่อยมีเรื่องเวิ่นเว้ออะไรมากมายเหมือนวัยรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องเพื่อน เรื่องแฟน ก็เลยอาจจะมีสมาธิในการเรียนได้มากกว่า

อันนี้เดาเอานะ

สรุปคือแก่แล้ว ไม่ต้องกลัว ถ้าเรามีความพยายามซะอย่าง
แต่ถ้าแก่แล้วขี้เกียจ ก็ตัวใครตัวมันนะครับ

0
นิ้ง 9 มี.ค. 56 เวลา 03:55 น. 20

ขอบคุณพี่มากนะคะ.

หนูติดโควตารับตรงสัตวแพทย์ มหาลัยแห่งหนึ่งค่ะ ซึ่งหนูอยากเรียน แต่ต้องอยู่หอ

แต่คุณพ่อหนูไม่เห็นด้วย อยากให้หนูแอดกลางเข้าคณะที่เรียนสบายกว่านี้จะได้อ่านหนังสือเตรียมซิ่วได้มากกว่า แล้วการอยู่หอทำให้เดินทางลำบาก เวลาจะเรียนพิเศษเพิ่มเติม พ่อก็เลยอยากให้เข้าคณะ มหาลัยที่ใกล้บ้านใกล้แหล่งเรียนพิเศษมากกว่า

หนูเองก็ลังเล หมอคนก็อยากเป็น หมอสัตว์ก็อยากเรียน :(

อยากถามพี่ว่า ถ้าหนูเรียนสัตวะ ซึ่งใช้เวลาเรียน6ปี จบไป ถือว่าเป็นสายวิทย์สุขภาพใช่ไหมคะ?มีสิทธ์สอบแพทย์new tractใช่ไหมคะ?

หลังจบแล้วหนูต้องทำงานสายวิทย์สุขภาพก่อน2ปี(สมมติว่าหางานได้555) รวมเรียน6ปี ทำงาน2ปี รวมเป็น8ปี อยากถามพี่ว่า ตอนนั้น ยังจะมีแพทย์new tractอยู่หรือเปล่าคะ? เขาจะหมดสัญญากันปีไหน ถ้าพี่พอทราบ รบกวนตอบหนูทีนะคะ

ขอบคุณพี่มากๆเลยค่ะ ;)

0