Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

5 อันดับ ปริศนาการหายสาบสูญที่เราไม่ค่อยรู้จัก

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

5 อันดับ ปริศนาการหายสาบสูญที่เราไม่ค่อยรู้จัก

5. Time Tunnel

ในปี 1975 มีชายคนหนึ่งชี่อไมเคิ่ล ไรท์ กำลังขับรถโดยมีภรรยามาร์ธ่านั่งมาด้วย พวกเขาขับรถจากนิวเจอร์ซีย์เพื่อยังนิวยอร์ก โดยระหว่างทางพวกเขาต้องผ่านอุโมงค์ลินคอล์น และเมื่อไมเคิ่ลขับรถผ่านอุโมงค์แล้วเขาได้เช็ดไอน้ำที่ติดกระจกหน้ารถออก และภรรยาก็อาสาจะทำความสะอาดกระจกด้านหลังด้วยเพื่อให้รถพร้อมที่จะเดินทางต่อ และเมื่อไมเคิ่ลทำความสะอาดเสร็จเขาก็หันกลับไปก็พบว่าภรรยาของเขาได้หายไป ซึ่งเขาไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรผิดปกติเลย จากการสืบสวนภายหลังไม่พบสิ่งปกติอะไรและในอุโมงค์แห่งนั้น และไม่มีใครพบเห็นมาร์ธ่าอีกเลยไม่ว่าจะเป็นศพหรือตัวเป็นๆ

4. The Norfolk Regiment

ตำนานการหายตัวสาบสูญของกองทัพทหารทั้งกองทัพจากคำบอกเล่าของพยานซึ่งเป็นทหารสามนายยังคงความลึกลับมายาวนานตลอด 50 ปี โดยเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อปี 1915 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยตอนนั้นพยานสามนายซึ่งเป็นสมาชิกของบริษัทนิวซีแลนด์ได้มองดูกองทหาร Norfolk (เป็นกองทหารราบของอังกฤษ) กำลังเดินขบวนสวนสนามอยู่ในตุรกี เดินอยู่แถวหน้า ข้างเทือกเขา Suvla Bay จู่ๆ ก็มีหมอกหรือเมฆประหลาดเคลื่อนตัวลงต่ำปกคลุมอยู่ทั่วอย่างช้าๆ ทำให้มองไม่เห็นกองทัพดังกล่าว หลังจากที่ทหารคนสุดท้ายผ่านเข้าไปในหมอกดังกล่าว และเมื่อหมอกหรือเมฆเลื่อนออกจากข้างภูเขาและหายไปปรากฏว่าทหารหายไปทั้งกองทัพ โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเรื่องแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนแรกรัฐบาลอังกฤษเชื่อว่าทหารของพวกเขาถูกพวกตุรกีจับไป หากแต่ทางการตุรกีปฏิเสธ และจนบัดนี้เราก็ไม่ทราบข่าวกองทัพทหารอังกฤษทั้งกองทัพแม้แต่น้อยเลยนับจากวันนั้น

3. The Legend of David Lang

นี่คือหนึ่งในการหายสาบสูญที่มีชื่อเสียง เมื่อเดือนกันยายน 1880 ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองกัลลาติน มลรัฐเทนเนสซี ได้เกิดเรื่องประหลาดต่อหน้าต่อตาพยานหลายคน เมื่อเด็กน้อยชื่อ ยอร์ช อายุ 8 ขวบ และซาร่าห์ แลง อายุ 11 ขวบ เล่นกันอยู่บ้านของพ่อแม่พวกเขาเดวิดและเอ็มม่า ตอนนั้นเดวิดได้ออกมาทางประตูหน้าบ้านและเดินผ่านข้ามทุ่งเลี้ยงสัตว์ โดยบอกกับภรรยาว่าอีก 2-3 นาทีเขาจะกลับ ในตอนรถม้าที่เพื่อนของเดวิดซึ่งเป็นผู้พิพากษา ชื่อออกัสท์ เป็ค มุ่งหน้ามายังบ้านเขาเห็นเดวิดโบกมือให้ออกัสท์ แล้วเขาก็เดินกลับบ้าน เพื่อเตรียมต้อนรับเขา และเวลานั้นเองร่างทั้งร่างของเดวิด แลง ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาบุคคลทั้งหมด ราวกับล่องหนไปเฉยๆ นางแลงร้องกรี๊ดสุดเสียง ในขณะที่บุตรของนางทั้งสองคนยืนตะลึงจังงังพูดไม่ออก แต่แล้วโดยสัญชาตญาณ ทุกคนออกวิ่งไปยังจุดที่เห็นแลงยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ผู้พิพากษาเป็คและน้องเขยซึ่งมากับรถม้ารีบก้าวลงและวิ่งข้ามทุ่งนาไปเกือบจะพร้อมๆกัน ในจุดที่เดวิดหายไม่มีหลุมอะไรเลยแม้แต่น้อย จากการค้นหาก็ไม่พบอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับเดวิดแม้แต่น้อย เรื่องราวยังไม่จบเวลาผ่านไป 7 เดือน เหตุประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในเดือนเมษายน 1881 ลูกชายหญิงทั้งสองของเดวิด แลง ออกไปเล่นยังจุดที่พ่อของพวกเขาหายตัวไป ได้สังเกตว่ามีวงหญ้าสีเหลืองบริเวณบริเวณดังกล่าวที่ล้มและร่วงจนกลายเป็นวงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 ฟุต เห็นได้ถนัดชัดเจนอย่างประหลาด แล้วเด็กทั้งสองก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังจากวงหญ้าสีเหลืองดังกล่าวว่า "ซาร่าห์...ยอร์ช ช่วยพ่อด้วย...ช่วยด้วย"

2. The Stonehenge Disappearance

กองหินประหลาด Stonehenge ของประเทศอังกฤษเองก็มีเรื่องราวการหายสาบสูญลึกลับเหมือนกัน โดยในเดือนสิงหาคม ในปี 1971 ซึ่่งในช่วงเวลานั้น Stonehenge ยังไม่ได้รับคุ้นครองจากทางการ ทำให้มีหลายคนเข้ามายุ่งย่ามกับกองหินดังกล่าวหลายครั้ง จนกระทั้งวันหนึ่งมีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "Hipples" ได้เข้ามากางเต็นท์ที่กองหินดังกล่าว ตรงจุดศูนย์กลาง และ พวกเขาได้ตั้งหม้อทำอาหารและนั่งรอบๆ สูบบุหรี่ และเล่นเกมรอบกองไฟ จนกระทั้งเวลาประมาณสองทุ่ม จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องรุนแรง ลมแรง และฟ้าผ่าลงในพื้นที่ตรงจุดศูนย์กลางของกองหิน ทำให้ต้นไม้บริเวณดังกล่าวเสียหาย และตอนนั้นเองมีพยานสองคนซึ่งเป็นชาวนาและตำรวจได้เห็นกองหินประหลาดมีแสงสว่างสีน้ำเงินจ้าจนแสบตา และพวกเขาก็ได้สินเสียงกรีดร้องจากกองหินประหลาดดังกล่าว ซึ่งตอนแรกพวกเขานึกว่าเป็นเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือเพราะได้รับบาดเจ็บจากฟ้าผ่าดังกล่าว และเมื่อทำการสำรวจดู ปรากฏว่าพวกเขาไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียวในกองหินประหลาดดังกล่าว พวกเขาหายตัวไปราวกับอากาศธาตุ ไม่มีแม้แต่ชิ้นส่วนศพใดๆ ปรากฏเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่พวกเขายืนยันว่าในเวลาดังกล่าวพวกเขายังเห็นคนทั้งกลุ่มอยู่กลางกองหินประหลาดก่อนที่จะหายไป

1. The Village That Disappeared

ไม่มีเรื่องราวหายสาบสูญไหนที่จะลึกลับประหลาดและน่ากลัวเกินไปกว่าการหายสาบสูญของคนทั้งหมู่บ้านกว่า 2,000 คน ที่มีทั้งผู้ชาย เด็กและผู้หญิง โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1930 เมื่อนายพรานคนหนึ่งชื่อ Labelle ได้นำขนสัตว์ที่ล่ามาได้มาขายในหมู่บ้านชาวเอสกิโมที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบ Ankikuni ในแคนาดาตอนเหนือ นายพรานคนดังกล่าวคุ้นเคยกับหมู่บ้านนี้ดีว่ามีชาวบ้านกี่คน แต่ละคนมีนิสัยอย่างไร อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไปถึงกลับพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวรกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเลย จากการสำรวจกระท่อมก็ยิ่งน่าตกใจของว่าบางกระท่อมปรากฏว่าเคยมีหลักฐานว่ามีคนอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน บางกระท่อมมีไฟกำลังเผาไหม้บนหม้อที่กำลังตุ๋นเนื้อจนดำ นายพรานคนดังกล่าวตกใจเรื่องนี้มากจึงแจ้งทางการให้ลงมือสืบสวนและตรวจสอบ หากแต่เมื่อทำการค้นหาพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดพวกเขาไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั้งซากศพชาวเอสกิโมที่ฝังอยู่ในใต้หิมะหรือรอยเท้าแต่อย่างใด หลักฐานที่พอเป็นไปได้ก็คือซากศพสุนัขเลี้ยงที่ถูกอดอาหารจนตายที่ถูกฝังใต้พื้นหิมะ 15 ฟุตเท่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพวกเขาได้สละหมู่บ้านอย่างเร่งด่วนจนลืมแม้กระทั้งสุนัขตนเอง หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คนหายไปจากหมู่บ้านกะทันหัน และที่น่าสุดพิศวงที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาทำการสำรวจสุสานบรรพบุรุษของหมู่บ้านเอสกิโมปรากฏว่าว่างเปล่า โดยทฤษฏีที่น่าเชื่อที่สุดก็คือถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แต่จนบัดนี้ปริศนาการหายสาปสูญหมู่บ้านเอสกิโมก็ไม่มีคำตอบแต่อย่างใด



จริงๆเรื่องทั้งหมดมันมีอยู่ 10 อันดับนะคะ ใครที่อยากอ่านอันดับที่ 6-10 ต่อก็ไปตาม เครดิตเลยนะคะ พอดีมันลงทั้งหมดไม่พอ T^T

Cradit :  http://www.toptenthailand.com/1187-top.html


แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น