แอดมิชชั่นคันมือ ตอนที่ 4 : เห็นด้วยหรือไม่ ? แอดมิชชั่นเข้าคณะข้ามสายได้
ตั้งกระทู้ใหม่
น้องๆ ชาวเด็กดี คิดเห็นกันยังไง มาโต้วาทีกันได้เลย..
เห็นด้วย
ไม่เห็นด้วย
ทุกคน ทุกแผนการเรียนมีสิทธิ์เท่ากัน จะติดไม่ติดอยู่ที่ความรู้ ความมุ่งมานะ
เรียนสายไหน ก็ควรเข้าคณะสายนั้น ไม่งั้นจะแบ่งแผนการเรียนมาทำไม ?
85 ความคิดเห็น
เห็นด้วยค่ะ เพราะว่าเป็นอีกโอกาสนึงของพวกเราที่จะมีสิทธิ์เลือกได้มากขึ้น บางทีตอนเลือกสายเรียนอาจจะยังไม่รู้ตัวเองดีเท่าตอนนี้หรืออยากจะเบนสาย เปลี่ยนใจตอนหลังก็เป็นเรื่องปกติ
ก่อนขึ้นม.4 เด็กที่ไม่รู้ว่าอยากเข้าแอดเข้าอะไรก็ตั้งเยอะแยะ
ถ้าเด็กเพิ่งค้นพบตอนหลัง การบังคับเรียนสายไหนก็เข้าสายนั้น มันส่งผลต่อชีวิตเด็กไปทั้งชีวิตเลยนะ
ตรงๆนะคะ ตอนแรก แรกๆเลยนะคะ หนูไม่เห็นด้วย -3- 5555 แต่พอคิดไตร่ตรองดีๆ แล้ว หนูเห็นด้วยคะ เพราะมันไม่สำคัญว่าเขาจบสายไหนมา สำคัญที่ว่าเขามีความรู้พอที่จะสอบให้ได้ เรียนให้รอด และประยุกต์ใช้ให้เป็น ไม่ว่าใคร ถ้าได้สามอย่างนี้ หนูว่าคุณสมบัติของคนนั้นๆก็ดีมากๆ เลยคะ ^^
เห็นด้วยนะ ขอแค่ใจเราชอบและตั้งใจทำจริงๆก็ไม่ยากหรอก มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนสายวิทย์มาด้วยกัน พอเรียนไปแล้วเค้าเริ่มรู้ตัวละว่าเค้าคงไปด้านวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลยมามุ่งที่มัณฑนศิลป์เพราะว่าเวลาว่างเค้าเอาแต่วาดรูป แล้วแต่ละรูปของเขาก็สวยแถมไอเดียดีด้วยน้า
(ถ้าเด็กศิลป์อยากเข้าหมอ ก็ต้องมีความสามารถด้านวิทย์-คณิตพอที่จะสอบเข้า ก็คือต้องสอบข้อสอบเดียวกันกับเด็กวิทย์-คณิต)
เเต่ไม่เห็นด้วยอย่างนึง ค่ะ! คือ Admission บางคณะ มีระเบียบการรับคะเเนนที่เเบบไม่ตรงกับสายคณะนั้นๆอ่ะ // เช่น คณะที่เกี่ยวกับภาษา เเต่เลือกรับเเต่คะเเนนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เด็กศิลป์ภาษามันหน้าน้อยใจมั๊ยคะ? พื้นฐานวิทยาศาสตร์คือต้องสอบ PAT1 ด้วย เชื่อว่าเด็กศิลป์ภาษาหลายคนที่เลือกเรียนด้านภาษา 1.เพราะรักในภาษา 2.ไม่ถนัดด้านคณิตศาสตร์ ,เเล้วการเเอดมิชชั่นต้องมาสอบวิชาคณิต...มันใช่หรอ? ไม่ได้เรียน(เจาะลึก)ด้านคณิตมาเหมือนเด็กสายวิทย์-คณิต // สอบเข้าไป ก็ไปเรียนภาษา ไม่ได้เรียนคณิต ทำไมต้องใช่คณิตในการคัดเลือกละคะ ถ้าเด็กสายวิทย์เขาอยากเข้าคณะด้านภาษา เขาก็ต้องสอบข้อสอบความถนัดด้านภาษามากกว่าไม่ใช่หรอคะ?
สงสารเด็กศิลป์ภาษาหน่อยเถอะค่ะ
เห็นด้วยครับ เพราะเป็นหนึ่งในนั้น 555 เรียนวิทย์ คณิตฯ แต่ดั๊นนนน อยากเรียนภาษา
ผมเรียน ศิลป์-คำนวณมา แต่อยากเรียนในคณะและสาขาที่เน้นในด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งมีบางสถาบันได้กำหนดคุณสมบัติให้เป็นเด็กสายวิทย์ เท่านั้น และบางสถาบันก็กำหนดให้เป็นเด็กสายวิทย์ และ ศิลป์-คำนวณ ทั้งๆที่ผมเรียนเน้นในด้านคณิตศาสตร์ด้วย แต่ผมก็รู้ว่ามันต้องเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ด้วย แต่ทำไม่บางสถาบันถึงให้เด็กศิลป์-คำนวณ สามารถสมัครได้ หลักสูตรการเรียนไม่เหมือนกันหรอครับ และเด็กสายวิทย์ ที่อยากเรียนเกี่ยวกับภาษา เขาก็ไม่ได้มีพื้นฐานแน่นนัก แต่ทำไม่เขาสมัครเรียนได้ แต่ถ้าเขาไม่มีพื้นฐานเขาก็สามารถสมัครเรียนพิเศษในด้านภาษาได้ เพื่อให้มีพื้นฐานในการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ แล้วทำไมเด็กสายศิลป์ ก็สามารถสมัครเรียนพิเศษเพื่อให้มีพื้นฐานในการเรียนต่อได้เหมือนกัน ทำไมถึงไม่ให้โอกาศเด็กสายศิลป์บ้าง เพราะตอนขึ้น ม.4 ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองถนัดด้านไหนก็เลยได้เลือกเรียนสายนี้ ผมคิดว่า ไม่ว่าจะเรียนสายไหนก็สามารถสมัคร Admission ได้เหมือนกัน ถ้าเด็กคนนั้นมีความมุ่งมั่นและตั้งใจพอที่จะเรียน แล้วก็สามารถเรียนไปในด้านนี้ได้ ผมว่าสามารถให้สมัครแอดข้ามสายได้ครับ
เห็นด้วยคะ เพราะตอนเลือกสายเรียน เด็กบางคนอายุแค่สิบห้าปี เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้วที่เรียนสายนี้เพราะอยากจบไปเป็นอะไร อยากเรียนอะไรเมื่อจบสายนี้
เพื่อนเราเรียนวิทย์ คณิตห้องหนึ่งเป็นห้องท็อปของรุ่นทุกวันนี้เรียนออกแบบเครื่องประดับที่เพาะช่าง เพราะเขาเพิ่งมารู้ตัวว่าชอบด้านนี่ เพื่อนเราอีกคนเรียนวิจิตรศิลป์ วิจิตรศิลป์ รร เราไม่เคยสอนพวกฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คำนวน ใดๆทั้งสิ้น ทุกวันนี้เพื่อนเราคนนี้เรียนสถาปัตย์ลาดกระบังคะ
เพราะฉะนั้นสายที่เรียนตัดสินอะไรไม่ได้คะ เราต้องใจกว้างให้ทุกสายที่เรียน มหาวิทยาลัยหลายที่ไม่กำหนดว่าจบสายอะไรมา สามารถมาสอบได้หมด เพราะเขาเล็งเห็นว่าความสามารถของเด็กทุกคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายการเรียน แต่เป็นความพยายามของเด็กคนนั้นมากกว่า
เห็นด้วยนะ คือลองคิดเอาถ้าเกิดว่าไม่ให้แอดข้ามสายได้คนที่เค้าเรียนๆมาโดยที่เค้ายังหาเป้าหมายไม่เจอ อย่างสมมติพ่อแม่บังคับให้เรียนวิทย์-คณิต ตอนมอต้นเชื่อเถอะเด็กเกินครึ่งยังสับสนอยู่เลยว่าอะไรคืออะไรตัวเองชอบอะไรกันแน่ ก็เรียนตามที่พ่อแม่บอก แต่พอเรียนไปรู้แล้วว่าไม่ใช่รู้แล้วว่าตัวเองชอบไปทางศิลป์ขึ้นมา อย่างที่รู้เรียนๆไปย้ายสายก็ไม่ได้ก็ต้องทนเรียนแล้วถ้าไม่ใต้แอดข้ามสายอีกมันทรมารเหมือนเลือกผิดครั้งเดียวผิดทั้งชีวิต บางคนคิดท้อมากเรียนต่อไม่ไหว หรือบางคนเรียนไปซิ่วอีก เอาจริงๆคนเราควรมีโอกาสที่จะเลือก
ผมเรียนสายศิลป์ครับ แต่ตอนสอบสัมภาษณ์อาจารย์บอกไม่อยากทำร้ายนักศึกษาเพราะเรียนสายศิลป์มา แต่สอบย้ายเข้าวิศวะซอร์ฟต์แวร์ ตอนนี้สอบได้เต็มเกือบทุกครั้งครับ A รัวๆ ผมยังถามตัวเองว่าถ้า-กฏเฮงซวยวันนั้นมันทำให้ผมไม่ได้เข้าคณะนี้ วันนี้ผมจะเป็นยังไง
เรียนสายไหนมันก็มีทางเลือกของตัวเองอยู่เเล้ว ถ้ารู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรก็เข้าสายที่มันเรียนได้สิ อยากเป็นหมอก็เรียน วิท ก็เรียนภาษาก็เข้าภาษา
เห็นด้วยนะ ไม่งั้นทำไมสายวิทย์ถึงมาสอบของพวกสายศิลป์ภาษาได้ละ ทั้งๆที่พวกสายวิทย์เรียนภาษาน้อยกว่าพวกศิลป์ตั้งเยอะแยะไม่ใช่หรอ คำตอบคือเพราะเค้ามีความสามารถทางด้านภาษาด้วยไงครับ แล้วอย่างงี้เด็กศิลป์จะมีความสามารถทางด้านวิท-คณิตบ้างไม่ได้หรือไง เค้าอาจจะไปขวนขวายเอาจากที่อื่นก็ได้
ผมคิดว่าสายการเรียนเป็นแค่แบบแผนและแนวทางที่เรียนเฉยๆ ไม่ใช่แบบแผนสำหรับกำหนดอนาคตซะหน่อย
สำหรับเด็ก ม.ปลายที่ยังกำหนดอนาคตของตัวเองให้แน่นอนไม่ได้
ประโยคนี้ทำร้ายจิตใจเด็กทางอ้อมได้นะค่ะ
"เรียนสายไหน ก็ควรเข้าคณะสายนั้น ไม่งั้นจะแบ่งแผนการเรียนมาทำไม ?"
สำหรับตัวเราเองก็เป็นเด็กแผนวิทย์-คณิตคนหนึ่ง
ที่ไม่สามารถเรียนบางอย่างได้เพราะปัญหาด้านสุขภาพ......
ที่จริงแล้วมันแทบทุกอย่างที่สายที่แผนวิทย์-คณิตเน้นด้วยซ้ำ
เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามเรียนและเก็บคะแนนให้ดีอย่างมาก
ทั้งๆที่บางอย่างเราไม่สามารถทำได้เหมือนคนอื่นเขาแต่เราก็ยังพยายาม คะแนนส่วนนั้นของเราเลยทำได้ไม่ดีนัก
เราขัดคำสั่งข้อปฏิบัติที่แพทย์สั่งตั้งหลายครั้ง ทำในสิ่งที่หมอห้าม
เพื่อพยายามที่จะเข้าสายวิทย์-คณิต......
.
.
.
ตอนนี้มันน่าขำด้วยซ้ำที่เราไม่สามารถทำตามที่ฝันได้ทั้งๆ ที่ได้เป็นเด็กวิทย์-คณิตแล้วแท้ๆ
หมอบอกว่า"เราไม่สามารถเข้าเรียนคณะนั้นได้...."
ใครไม่รู้ว่ายิ้มทั้งน้ำตาเป็นยังไง ก็ลองมาเป็นเราดู
ถ้าเด็กเก่งจริงทำคะแนนได้ดี ไม่ว่ามาจากสายไหนก็ควรเข้าได้หมดแหละ ไม่อยากให้มีการแบ่งสายเข้ามาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องแบ่งสายการเรียนเลยก็ดี -3- เหมือนเลือกวิชาเสรีได้เหมือนต่างประเทศ
ถ้าเกิดตอนแรกอยากเป็นหมอก็เลือกสายวิทย์ใช่แมะ เรียนไปเรียนมาไม่ชอบ เพิ่งค้นพบตัวเองว่าอยากเรียนอักษรอย่างเงี้ย คุณจะให้เขาทำยังไง ก็สอบข้ามสายใช่แมะ สายศิลป์ก็เหมือนกัน อาจจะเปลี่ยนใจไปอยากเรียนหมอ ในช่วงม.ปลายอะไรมันก็ก็เกิดขึ้นได้ กำแพงการกั้นสายไหนไม่ให้สอบคณะไหน ทำลายมันเถิด เด็กเก่งจริงไม่ว่ามาจากสายไหนถ้าสอบได้ก็ควรให้เรียนนะ
เห็นด้วยอย่างมากครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังประสบปัญหานี้อยู่
เราคนนึงที่เรียนสายวิทย์อยากเข้าอักษรจุฬา
เห็นด้วย เพราะ หากนั้นคือคณะที่ชอบของเราก็เรียนไปดีกว่าถึงต้องลำบากกว่าคนอื่น
จากเด็กมหา'ลัย
ตอนนี้เรียนพยาบาลอยู่ พูดตรงๆขนาดเด็กสายวิทย์ได้เรียนวิทย์มาบ้างแล้ว ไปเรียนในมหาลัยยากกว่าเยอะ แล้วคุณๆสายศิลป์ทั้งหลาย ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับวิทย์มาน้อยมาก ถ้าคุณเรียนไม่ไหวก็แย่ทั้งตัวคุณเองและมหาลัยนะคะ ไม่แนะนำให้ข้ามสายค่ะ ไม่งั้นเขาไม่ให้แยกสายหรอกค่ะ
เพื่อนเรา โดนพ่อแม่บังคับให้เรียนสายวิทย์แต่จริงๆแล้วชอบศิลป์มากกว่า
เลยคิดว่าจะเข้าภาษาตอนมหาลัย เเล้วถ้าเเอดข้ามสายไม่ได้ เด็กกลุ่มนี้จะเอาอนาคตไว้ตรงไหน สิ่งที่ชอบทำต่อไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็ไม่ชอบ
เห็นด้วยนะ อยากให้รับตรงสายบางที่ให้ความเท่าเทียมกันด้วยเพราะบางที่ให้แต่เด็กสายวิทย์คณิต ถึงจะมีสิทธิ์สอบ
เห็นด้วยครับ เพราะบางคนเข้าสายวิทย์ เพราะพ่อแม่บังคับก็มี
บางคนก็ไม่รู้จะเรียนไรดีก็เลยเข้าวิทย์ แต่พอเรียนๆไป
อยากเข้าคณะสายศิลปก็เยอะแยะไป
ปล.อยากรู้เหตุผลของคนไม่เห็นด้วยจัง
สายวิทย์เป็นสายที่กีดกันสายอื่นนะ ผมว่า วิทย์เข้าได้แทบทุกอย่าง
คห.ส่วนตัวนะครับ คิดทั้งสองด้าน
- ถ้าเปิดการสอบข้ามสายจริงๆ เด็กวิทย์ที่เก่งๆเข้าอักษร ศิลปกรรม นิติ ได้ แต่เด็กสายศิลป์ ถึงจะเก่งแค่ไหนก็เข้าหมอไม่ได้ มันเลยค่อนข้างที่จะไม่เท่าเทียมครับ ผมว่าถ้าจะให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องปรับที่หลักสูตรการสอนเลยครับ ให้เรียนพื้นฐานเท่ากันให้หมด แล้วถ้าอยากเรียนวิชาไหนเพิ่มเติมก็ให้ลงเรียนเหมือนมหาลัย แต่ผมว่าค่อนข้างจะทำยาก หรืออีกทางหนึ่งก็ให้มีการแนะแนวการศึกษาตั้งแต่ ม.1 เลย ทำให้นักเรียนค้นพบตัวเองเร็วขึ้น แต่จะทำได้หรือไม่ อันนี้ไม่ทราบนะครับ การศึกาาบ้านเราต้องพัฒนาอีกเยอะเลยทีเดียว ย้ำว่าทั้งหมดเป็น คหสต.
ถ้าอย่างนั้นจะแบ้งสายไปทำไม ในเมื่อคุณเลือกสายไปแล้ว คุณก็ควรเรียนตามสายนั้น การอ้างว่าเป็นเพราะบางคนเลือกเรียนตามพ่อแม่ หรือเพราะไม่รู้จักตัวเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะนั้นแสดงถึงการไม่รับผิดต่อการตัดสินใจของคุณ เป็นความมักง่าย ไม่มีระเบียบ ไม่ชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่หล่อหลอมพฤติกรรมคนไทยจนสังคมเรากลายเป็นแบบนี้
เห็นด้วยคะ เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะได้เรียนในสิ่งที่เราอยากรู้ มีโอกาสในอนาคตมากขึ้น
ความจริงไม่อยากให้มอปลายแบ่งสายเรียนเลยน่ะ อยากให้เราเลือกลงวิชาเรียนที่ชอบได้เหมือนต่างประเทศ เพราะมันจะได้เป็นตัวตัดสินใจการเข้าเรียนมหาลัยในอนาคตได้ดีมากกว่า ที่ต้องมาแบ่งสายวิทย์สายศิลป์ ซึ่งเด็กบางคนยังตัดสินใจไม่ถูกว่าตนเองรักและชอบอะไร
Ps.เราเห็นด้วยกับการแอดมิดชั่นข้ามสาย เพราะมันทำให้คนที่ตัดสินใจคิดเรียนสายศิลป์แต่อยากเข้าคณะทางสายวิทย์ได้ ซึ่งถ้าเกิดไม่มีการแอดแบบนี้ เราก็คงเห็นคนที่จบมหาลัยมาแล้วได้งานที่ตัวเองไม่ชอบ ทำงานไม่มีความสุข ตกงาน บลาๆ
ถ้าการเรียนการสอนของไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ ก็ไม่เห็นด้วยอย่างแรง ที่จะให้ข้ามสายกันได้ ยกตัวอย่างเช่นแพทย์ หลายคนอาจคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องมาเริ่มใหม่ทุกคนอยู่ดี แต่ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญน่ะคณะนี้ เชื่อเลยว่าสายศิลป์หลายโรงเรียนไม่ได้ปูพื้นฐานมาแน่น คุณเข้ามาเรียนก็คงเป็นคนที่เก่งจริง เจ๋งจริง ถึงจะอยู่รอดปลอดภัยจนจบไป พูดตรงๆเลยน่ะถ้าสายศิลป์จะข้ามสายมาเรียนคณะของวิทย์บอกเลยไปไม่รอดหรอก อย่างน้อยน่าจะมีความรู้ด้าน เคมี เลข ไบโอ ฟิกสิก ภาษา ที่ค่อนข้างดีเยี่ยม ส่วนจะให้สายวิทย์ข้ามไปเรียนคณะของสายศิลป์มันก็ไม่ถนัดอีกนั้นแหละ หลายคนอาจคิดว่าทำไมสายวิทย์ถึงมีทางเลือกเยอะนัก กีดกันสายศิลป์มาก บอกเลยจริง สายวิทย์มีภาษีดีกว่าเพราะทุกคณะมีการใช้คะแนนจากสายวิทย์มากน้อยแล้วแต่มหาลัย แต่สายศิลป์คุณก็มีคณะที่รับรองพวกคุณเยอะเหมือนกันถ้าเลืกทางนี้แล้วจะกลัวอะไร ก็ไปสมัคสิคณะของสายศิปล์อ่ะ มีเยอะแยะ
ถ้าอยากข้ามสายกันจริงก็รอให้ไทยเปลี่ยนระบบการศึกษาก่อนน่ะแบบไม่แบ่งว่าใครคือสายไร ต้องยอมรับความจริงกันหน่อยน่ะว่าโรงเรียนทุกโรงเรียน(ของรัฐ)จะเน้นสายวิทย์มากว่า เพราะว่าไทยเราจำเป็นต้องใช้บุคลากรในด้านนี้มาก หรืหลายเหตุผลต่างๆนาๆที่เป็นเรื่องจริง
ขนาดเรายังอยากให้น้องเราเรียนสายวิทย์เลยทั้งๆที่น้องเราชอบเรียนสายศิลป์มากว่า แต่ด้วยเราเคยผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้วจึงแนะนำน้องเราให้เข้าใจว่ามันมีข้อเสียเปรียบอะไรบ้างของแต่ละสาย และน้องเราก็เลือกสายวิทย์ในการเรียน(โดยมีเหตุผลว่าอยากเรียนสายศิปล์ก็ไม่ว่าแต่ถ้ามองอนาคตไว้ก็อย่างให้เรียนสายวิทย์ไปก่อนเพราะอะไรทุกคนคงรู้ถ้าเรียนจบแล้วจะมัครเรียนคณะของสายศิลป์ก็ได้ไม่มีปัญหา) และอยากจะบอกว่าการสอบเข้ามหาลัยเป็นอะไรที่ยุ่งยากมากสายศิลป์เสียเปรียบมากในด้านคะแนน(เพื่อนเราเรียนสายศิลป์ มันบ่นตลอดเรื่องนี้แถมด่าเราว่าสายวิทย์แล้วไงว่ะ เราก็เข้าใจน่ะ)
ปล ที่เราบ่นๆมาไม่ใช่มาจากมโนส่วนตัวหรือมีความโลกสวยแต่อย่างใด ล้วนแต่เกิดขึ้นจริงและมันคือเป็นจริง เราผ่านมาแล้วเลยอยากบอกน้องๆที่จะเข้ารั้วมหาลัยว่ามันโหดร้ายแค่ไหน
ปั๊ดโถ่วว ทำไมถึงพึ่งจะมาคิดได้ตอนนี้เนี้ยย น่าจะสามารถแอดข้ามสายได้ตั้งนานละเนอะ ดีชิปเป๋ง เรียนศิลป์แล้วแอดเข้าคณะสายวิทย์ได้ พวกคณิต เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ อยากเรียนลงลึกวิชาไหนก็ลงเรียนพิเศษเอา เรียนสบายเกรดก็ชิวๆง่ายกว่าสายวิทย์แถมได้เรียนภาษาที่ตัวเองสนใจเพิ่มด้วย แหม ทำไมถึงไม่มีก่อนที่ผมจะได้เลือกสายเนี่ยยย แล้วผมไปทนเรียนชีวะทำม้ายยย ทั้งที่ก็อยากเข้าวิศวะอยู่แล้ว เห้อออ สุดท้ายจะยังไงก็ได้อ่ะนะ ชิวๆอยู่แล้ว ตัวเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ไม่เห็นด้วยตรงที่ตัวเองไม่ได้เสียหายอะไรก็จริง แต่สายศิลป์แมงได้ผลประโยชน์เกินกว่าสมควรเกินไปป่ะวะ ปล.เอิ่มมมท่อนสุดท้ายนี่เขาจะหาว่ากูเห็นแก่ตัวป่าววะ
ปล2.ถ้าจะมาด่าว่าผมเห็นแก่ตัวเนี่ย สายศิลป์ที่เรียกร้องอยากแอดข้ามสายได้ก็ไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกันหรอกหรือ...
ปล3.เอ๊ะ!! สายศิลป์เขาไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอกมั้ง เขามาเรียกร้องความยุติธรรมนี่หว่า (จะเรียกร้องความยุติธรรมไปทำไมในเมื่อสายวิทย์นี่เรียนหนักกว่าชิบหาย)
ไม่เห็นด้วยกับการศึกษาไทยมากกว่าครับ
เขาคิดอะไรอยู่??
การเปิดโอกาสให้เด็กเเอดมิชชั่นตามที่ตนเองเลือกมันก็ดีอยู่ เเต่ว่า...
-เด็กอาจเลือกเรียนสายที่ไม่ได้เกีั่ยวกับคณะที่เเอดโดยตรง
-เด็กอาจไม่ได้เรียนวิชาที่เกี่ยวกับคณะนั้นมา
ถ้าเป็นเเบบนี้ต่อให้เด็กติดเเอดจริง ก็ต้องไปลำบากเรียนพื้นฐานคณะนั้นอีก เเล้วถ้าเด็กเรียนไม่ไหวจริงๆละ??
-อาจจะซิ่ว
เสียเวลาไปอีกนะครับ การที่เราไปเรียนโดยไม่มีพื้นฐานอะไรเลยมันลำบากมากเลยนะครับ
ผมไม่ได้ว่าหรือห้ามใครที่อยากเเอดต่างสายที่เรียนหรอกครับ เด็กศิลป์ที่เก่งก็มีเยอะไปครับ เเค่ไม่พอใจนิดหน่อยกับการศึกษาที่ขัดเเย้งกันเเบบนี้
มีการเลือกสายเรียนให้เด็กเรียนวิชาเกี่ยวกับสายนั้นๆ เเต่มีการเเอดมิชชั่นข้ามสาย??
เเล้วมันจะมีการเลือกสายที่เรียนไปทำไม??
ไม่มีใครอยากเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรอก ตอนเราเลือกเรียนวิทย์คณิตตอนนั้นเรายังไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าจะเข้าคณะอะไร....อีกอย่างแม่เราบังคับให้เราเรียนสายนี้ แต่กว่าเราจะรู้ใจตัวเองก็ตอนม.5แล้ว เรากลับไปแก้ไขไม่ได้แล้วจะให้ย้อนกลับไปเริ่มม.4เรียนสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ เลยต้องจำใจเรียน ถ้าไม่สามารถแอดมิชชั่นข้ามสายได้เราก็คงเหมือนหมดอนาคตอ่ะ เพราะว่าถ้าให้เราไปเรียนคณะที่เกลียดเราก็ไม่เอาหรอก เพราะเราต้องอยู่กับอาชีพนั้นไปตลอดชีวิต การเปิดแบบนี้ทำให้เราได้ใช้โอกาสในการทำสิ่งที่เรารักและเลือกอนาคตเราได้มากที่สุดอ่ะ
ขยันจริงก้อสอบเข้าได้อ่านะ !
เห็นด้วยจ้าาาาา
#ปล.ยังไม่รุอนาคตตัวเอง T T
#จะขึ้นม.5แร้วค่ะ (ตายๆๆๆๆๆ)
เห็นด้วนสุดอ้ะ ยอกตัวอย่านะ พ่อเเม่เราบังคับให้เรียนสายวิทย์-คณิต เเต่เราไม่อยากเรียน เราชอบภาษา เเต่เราต้องเรียนรเราเลยว่าจบ ม.6 ไปเราจะเข้าที่เกี่ยวกับภาษาอ้ะ ดีเเล้วที่ข้าม มีหลายคนนะอยากเรียนที่มันไม่ตรงกันสายนั้นๆอ้ะ
ถ้าอย่างนั้นจะแบ้งสายไปทำไม ในเมื่อคุณเลือกสายไปแล้ว คุณก็ควรเรียนตามสายนั้น การอ้างว่าเป็นเพราะบางคนเลือกเรียนตามพ่อแม่ หรือเพราะไม่รู้จักตัวเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะนั้นแสดงถึงการไม่รับผิดต่อการตัดสินใจของคุณ เป็นความมักง่าย ไม่มีระเบียบ ไม่ชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่หล่อหลอมพฤติกรรมคนไทยจนสังคมเรากลายเป็นแบบนี้
ถึง#25
การที่จะตัวเองไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรแล้วเลือกเข้าสายสักสายนึง มันไม่รับผิดชอบยังไงมักง่ายยังไงหรอครับ??
ก็เพราะไม่รู้จะเข้าอะไร ตัวเองควรจะเข้าอะไรดี ถึงต้องเลือกเข้าสักสายนึงไง
แล้วผมก็คิดว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับการหล่อหลอมพฤติกรรมคนไทยสักนิดเลย
ปล.หาปลุ่ม reply ไม่เจอ
คือ ตอนนี้สายวิทย์สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แทบทุกคณะที่อยาก ทั้งแพทย์ วิศวะ อักษร นิติ ฯลฯ ซึ่งบางคนอาจมองว่าแล้วทำไมเด็กศิลป์สอบเข้าคณะของเด็กวิทย์บ้างไม่ได้ล่ะ
เอากันตามตรงเลย อาจเพราะว่าคณะที่เป็นสายวิทย์ส่วนใหญ่ จำเป็นต้องมีพื้นฐานวิทย์ม.ปลายมาพอสมควร เพราะในมหาวิทยาลัยคงไม่มาเริ่มตั้งแต่แรกให้ใหม่กับเด็กศิลป์ ลองคิดดูสิถ้านักศึกษาแพทย์ต้องเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานอีก หมอจะจบกี่ปีล่ะ แล้วก็อย่างที่รู้กันว่าเด็กศิลป์ได้เรียนวิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรน้อยมากจริงๆ ซึ่งต่างจากเด็กวิทย์ที่แทบจะอยู่กินกับมันมาตลอดสามปี ก็คงต้องยอมรับว่ามันต่างกันมากจริงๆ
ซึ่งหลายคนคงคิดว่าก็ถ้าสอบได้ก็เรียนได้สิ มันอาจไม่ใช่ก็ได้ เพราะ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบางครั้ง"ดวง"มันก็เป็นอะไรที่มีไม่เท่ากัน ลองคิดดูสิถ้าว่าที่คุณหมอ วิศวะ พยาบาล ทันตะ เข้าไปเรียนแล้วไม้รู้เรื่องเลย จะเป็นยังไง ?
ถ้ามีนักศึกษาเหล่านี้ถูกไทร์ปีละมากๆ. หรือตัดสินใจซิ่วอีกปีละเยอะๆ คงกลายเป็นปัญหานะว่ามั้ย
เอาที่มันสบายใจ...
#36
อ่าฮะ
สายศิลป์ที่จะเข้าทางคณะด้านวิทย์ มันก็ไม่เยอะเท่าไหร่
เมื่อเทียบกับสายวิทย์จะเข้าคณะสายศิลป
แต่รีไทร์เยอะๆ ซิ่วเยอะๆก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ถ้าสายศิลป์อยากเป็นหมอหรืออะไรเกี่ยวกับวิทย์จริง ก็คงต้องพยายามตั้งแต่เข้าสายวิทย์ให้มากๆ ไม่ใช่มาพยายามตอนจะเข้ามหาวิทยาลัย คหสต.นะ แต่ก็สงสารสายศิลป์เหมือนกัน ดังนั้นเด็กวิทย์ควรรู้ตัวตั้งแต่ก่อนเลือกสาย เพื่อจะได้เหลือที่ให้สายศิลป์มาอยู่แทน
บางคนพ่อแม่เขาอยากให้ลูกได้ภาษาแต่ลูกดันหัวไปด้าน วิทย์-คณิต ก็อยากให้มันยุติธรรมกันบ้างสำหรับเด็กศิลป์ เปิดโอกาสให้เขา และเด็กศิลป์ไม่ใช่ว่ามีแต่เด็กเกเรหัวช้าเสมอไป
เห็นด้วยค่ะ ถ้าเด็กศิลป์จะสามารถไปสอบคณะที่ใช้วิทย์ได้
และเด็กวิทย์จะสอบคณะที่เป็นคณะของสายศิลป์ได้
เพราะว่าถ้าเราสามารถไปสอบในคณะที่ไม่ตรงกับสายได้
นั่นก็ถือว่าเรามีความสามารถเพียงพอที่จะเข้าไป
แต่ถ้าเป็นแบบปัจจุบันนี้ คือ เด็กวิทย์สอบของศิลป์ได้
แต่เด็กศิลป์ สอบของวิทย์ไม่ได้ เราไม่เห็นด้วยมากๆค่ะ
เพราะว่ามันกำลังเกิดความไม่เท่าเทียม
ในขณะที่สายวิทย์ ก็เรียนเน้นวิทย์มากกว่าสายศิลป์ แต่สายศิลป์ก็เรียนภาษามามากกว่าสายวิทย์เช่นกัน
แต่คณะของสายวิทย์กลับกำหนดว่าต้องมีหน่วยกิตของวิทยาศาสตร์ เท่านี้ๆ ถึงจะเข้าคณะนั้นๆ ได้
ซึ่งมันก็ไม่แฟร์กับสายศิลป์ ที่คณะของสายศิลป์นั้น ไม่ได้กำหนดเลย ว่าจำเป็นจะต้องเรียนภาษามาก่อน
และให้ใช้ Pat 1 ยื่นแทน Pat 7 ในการแอดมิชั่นได้ เช่นคณะ อักษรศาสตร์
มันจึงทำให้ที่ของคณะ สายศิลป์ลง เพราะต้องแบ่งให้สายวิทย์
แต่คณะของสายวิทย์กลับคงที่ เพราะไม่ต้องแบ่งให้ใคร
ยกตัวอย่างเช่น
คณะ A (คณะของสายวิทย์) มี 50 ที่นั่ง
คณะ B (คณะของสายศิลป์) มี 50 ที่นั่ง
แต่คณะ B ต้องแบ่งที่นั่งไปให้สายวิทย์ 15 ที่นั่ง มันก็จะเหลือที่ให้สายศิลป์เพียงแค่ 35 ที่นั่ง
เหตุพลทั้งหมดนี้ จึงทำให้เราคิดว่า สายศิลป์กำลังเสียเปรียบสายวิทย์ค่ะ
โดยส่วนตัวของเราเอง ไม่ได้คิดว่าจะเข้าคณะของสายวิทย์
เราอยากเรียนภาษา รู้ตัวเองมาตั้งแต่ ม.3 เลยทำให้มาตรงสายของตัวเอง
ถือเป็นโชคดีของเราแหละ
#ผิดพลาดยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ
ก้ไม่เหนด้วยเท่าไหร่นะ เพราะคนเรียนมาหนักกว่าย่อมได้อะไรที่มากกว่าเรียนไม่หนัก ไม่งั้นเค้าจะเสียแรงเรียนหั้ยเหนื่อยทำไม ในเมื่อมันก้สอบได้เหมือนกันจิงไหม? ไม่งั้นจะเหนื่อยนำไม ถ้าเป็นแบบนี้ การแบ่งสายใน ม ปลายคงไม่มีควาหมายหรอกคับ เค้าเรียนมาแบบไหนก้หั้ยก้หั้ยเค้าไปทำในสิ่งที่ศึกษามาเหอะ เพราะความเชี่ยวชาญมันต่างกัน
ผมว่ามันก็แฟร์ดีนะ
แถมยังทำให้มีอะไรแปลกๆ
ถ้าต้องการเข้าวิศวะ แบบที่ไม่ต้องเรียนสายวิทย์ - คณิต ก็ยังพอจะมีอีกทางหนึ่งครับ คือเรียน"สายอาชีพ"หรือ"สายช่าง"ไปเลย ถึงแม้พื้นฐานทางด้านวิชาการเราจะต้องไปปรับพื้นฐานใหม่ตอนปี1 แต่เรื่องภาคปฏิบัติหรืออะไรทำนองนี้เนี่ย... พวกเราสายช่างกินขาดครับ
เห็นด้วยครับ เพราะว่า การที่เด็กสายศิลป์ จะมาสอบ ของสายวิทย์ได้นัน ก็หมายความว่่า เด็กสายศิลป์นั้นมีความสามารถที่จะสอบได้ ก็เช่นเดียวกัน ความรู้สึกนี้ ก็คล้ายๆ กับการที่ เด็กสายวิทย์มาสอบของสายศิลป์ได้
เป็นกำลังใจให้ ม.6 ทั่วไทยครับ
เห็นด้วยค้าาา
เพราะส่วนตัวเรียนศิลป์ภาษา
แต่ดันอยากเข้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) คณะวิทย์ซะงั้น
อยากเรียนคอมเฉยเลย พึ่งจะมาค้นตัวเองเจอ
การจะมาแบ่งว่าสายนั้นจบมาก็ต่อสายนั้นสิมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ
เห็นด้วยนะคะ เพราะบางคนอยากเรียนศิลป์ แต่ตัวเองเรียนมาทางวิทย์ แล้วไหนจะเด็กศิลป์อยากเรียนวิทย์มีถมเถไป ไม่ค่อยเข้าใจคนที่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นะคะ แต่อย่างว่า นี่คือความความคิดเห็นส่วนตัว บางทีเด็กศิลป์ก็เซ็งเป็ดได้เหมือนกันนะคะ ที่บางมหาลัยใช้คะแนนวิทย์มากทั้งๆที่สาขานั้นเป็นสาขาที่เกี่ยวกับศิลป์
555555555555555
ความเห็นส่วนตัวนะคะ
เพราะเราเรียนวิทย์คณิตแต่จะเข้าอักษรฯ
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ นั่งคิดมาสักพักล่ะ และก็เห็นข้อเสียในการเปิดให้แอดข้ามสาย พอจะรวบรวมคำอธิบายได้ประมาณนี้
ไม่ควรเปิดให้แอดข้ามสาย แต่สอบตรงข้ามสายได้ แล้วก็ข้อสอบตรงอยากให้เป็นข้อสอบที่รอบคอบและต้องมีความรู้เพียงพอที่จะต่อยอดต่อในระดับมหาวิทยาลัยและคณะนั้นๆครับ
ผมมีแฝดเป็นเด็กศิลป์-ภาษา และความคิดของเราก็ต่างกันเป็นปกติครับ แต่ไม่อยากให้มามีปัญหากันนะครับ (เคยเจอเพื่อนพูด เด็กวิทย์แล้วไง เราก็เข้าใจเขานะครับ)
ปล.1 ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ ถึงจะเป็นเสียงส่วนน้อยก็ตาม
ปล.2 เป็นกำลังใจให้เด็กสายศิลป์ครับ ถ้ามีความตั้งใจเข้าคณะวิทย์จริงๆ สู้ๆนะครับ
เห็นด้วยชัวร์ๆเลยครับ เพราะมันก็มีคนหลายๆคนที่ถึงจะเรียนสายศิลป์แต่คำนวณเก่งกว่าเด็กวิทย์อย่างเราซะอีก ผมว่าขอแค่เขามีความสามารถก็เข้าได้แล้วล่ะครับ
เห็นด้วยครับ ผมเรียนสายศิลป์-ภาษา แต่ผมอยากเรียนภูมิศาสตร์ แต่ผมมารู้ตอนหลังว่า จบมาได้ วทบ. จบกันชีวิต
ก็ถ้าเค้า สอบได้มีความสามารถด้านนั้นก็โอ นิครับ
สมัยนี้ การเรียนไม่จำเป็นต้องพึ่งครูให้ห้องเรียน 100 % แล้วน่ะ
youtube ก็มี หนังสือ กวดวิชา .etc แค่พยายามศึกษา เอง
และเด็กสายวิท ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เก่ง วิทย์ หรอกน่ะ ดู o net ดิ
อยากได้ 2 ข้อมารวมกันได้มั๊ย สามารถย้ายคณะได้ แต่เฉพาะด้านสายที่เรียนมา
นส.A อยากเรียนศิลป์ แต่ผลการเรียนดี ที่บ้านเลยบังคับให้เรียนสายวิทย์ แต่สุดท้ายก็เรียนศิลป์เพราะนส.Aตัดสินใจอยากเรียน และคณะนี้ก็รับทุกสายการเรียนด้วย
ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่สอบข้ามสายดีไม่ดีหรอก ปัญหาอยู่ตรงนี้มากกว่า
แต่ถ้าให้มองแค่ปัญหาการสอบข้ามสาย เรามองว่า อยากให้เปิดโอกาสเด็กห้องศิลป์สอบคณะสายวิทย์บ้าง อย่างน้อยถ้าอ้างอิงตามประสบการณ์ของเรา เพื่อนห้องวิทย์เราไปสอบสาขาวิทย์จริงๆแค่ไม่กี่คน ไปสายภาษาสายคำนวณซะหมด เรารู้สึกว่าไม่ค่อยแฟร์กับห้องอื่นสักเท่าไหร่
แต่ถ้ายังจะเถียงอีกนะว่า แล้วจะแยกห้องกันทำไม ก็อยากให้ไปเปิดประเด็นใหม่ในเรื่องที่เราพูดข้างต้นดีกว่า ว่าการเลือกสายเนี่ย ทำยังไงให้เลือกแล้วไม่เกิดการข้ามสายขึ้น
ถ้าจะบอกว่าขนาดเด็กวิทย์เรียนวิทย์ยังแทบไม่รอดเลย แล้วเด็กศิลป์จะไหวเหรอ
เราว่าคนมันอยากจะเรียน มันต้องทำได้อยู่แล้ว
แต่การสอบเข้าน่ะง่าย เรียนให้จบน่ะยากกว่า ถ้าไม่อยาก ไม่พยายาม ไม่อดทน จะเรียนสายไหนมาก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว
กรณีของเราเป็นกรณีที่โชคดี คือรู้ตัวว่าอยากเรียนอะไรตั้งแต่ม.ต้น รู้ว่าคณะที่อยากแต่ละอันอยู่วิทย์ทั้งนั้น แล้วก็เรียนสายวิทย์ แล้วก็ไปสอบรับตรงคณะนั้น มหาลัยนั้น แล้วก็ติด แต่แน่นอนว่าคนอื่นไม่ได้เป็นอย่างเราแน่ๆเพราะฉะนั้นเราจึงมองว่าการให้โอกาสคนอื่นได้สอบคณะที่อยากจะดีที่สุดล่ะ
ตอนเรียนอยู่ม.3ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร เพื่อนมันก็สปอยมาว่าเรียนสายวิทย์จะเข้าคณะอะไรก็ได้ เราก็เลย เออๆ เลือกสายวิทย์แล้วกัน จากนั้นพอได้เรียนจริงๆถึงได้รู้ว่าเราไม่ได้มาทางสายวิทย์เลย แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว เราเลยต้องประคองเกรดตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ของคณะที่เลือกให้ได้ ทั้งที่ถ้าเราเรียนสายศิลป์คำนาณเราว่าเราไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้หรอก ตอนนี้คณะที่เลือกเป็นสายศิลป์หมดเลย
อยากรู้ว่าเคยมีหมอที่มาจากสายศิลป์ป่ะครับ?
เคยมีรุ่นพี่คนนึงมาจากสายศิลป์ แต่ดันมาเรียนวิศวะ(สอบตรงเข้าได้) พี่เขาก็ค่อนข้างมีปัญหานะทั้งแคล ฟิ เคมี ไปได้ช้ากว่าเพื่อนคนอื่น แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้
ถ้าศิลปืข้ามไม่ได้งั้นวิทย์ก็ต้องข้ามไม่ได้เหมือนกัน ไม่งั้นมันจะมีปัญหาวิทย์แย่งสอบคณะของศิลป์ -- คือมันรู้ตัวทีหลังว่าไม่ชอบไงจะโทษก็ไม่ได้ เพราะปล่อยให้มันข้ามๆกันไปเหอะ ขนาดครูแนะแนวบอกว่าเรียนสายนี้ไปต่ออะไรได้บ้างแล้วก็ตามเถอะ
ถ้าจะมองลงไปให้ลึกถึงปัญหาจริงๆก็คือ ระบบการเเยกสายการเรียนในช่วง ม.ปลายนี่เเหละครับ ขอเเยกประเด็นนะครับ
1) การเเย่งที่นั่ง
เด็กที่ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นหรือไม่รู้ตัวเองว่าชอบด้านไหนเเต่บังเอิญเรียนใช้ได้ ส่วนมากก็จะเทมาอยู่สายวิทย์กันหมด ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า เผื่อไว้ก่อน ส่วนเด็กที่อยากเรียนจริงๆ เเต่สู้พวก "เผื่อไว้ก่อน" ไม่ได้ก็จะถูกคัดไปอยู่สายรองๆลงไปเพราะที่นั่งไม่พอ
พวกนี้ควรถูกบังคับเข้าสายวิทย์ให้หมด เพราะถึงไม่ชอบเเต่เรียนมาเเล้ว ถ้าไปสายอื่นก็เท่ากับเรียนมาสูญเปล่า จึงคิดว่าเเม้เเต่สายวิทย์เองก็ไม่ควรมีสิทธิ์ สอบข้ามสาย
2) รู้ตัวทีหลัง
เด็กที่ได้เรียนสายใดสายหนึ่งไปเเล้วเเต่มารู้ตัวทีหลังว่าไม่ได้ชอบทางนี้ เเต่จะย้ายสายก็ช้าเกินเเก้ไปเเล้ว
พวกนี้ควรได้โอกาศย้ายสายตั้งเเต่ที่รู้ตัวโดยชดเชยเวลาเอาทีหลังเหมือนเรียนเก็บหน่วยกิตเพิ่ม อย่างน้อยกลุ่มนี้ก็รู้จุดมุ่งหมายที่เเน่นอน จึงคิดว่าควรได้รับโอกาศตั้งเเต่ช่วงมัธยม จะได้สู้พวกเรียนสายนั้นๆมาเต็มเวลาได้โดยไม่เสียเปรียบกัน
3) เรียนไปไม่ไหว
เด็กสายวิทย์พวกเผื่อไว้ก่อนส่วนมากจะท้อกับวิชาที่ยาก เเละไม่ใช่เเนว เลยไม่อยากเรียน หรือเรียนต่อไม่ไหวเกรดก็จะดิ่งลงเเบบ น่าใจหาย
พวกนี้ควรโดนย้ายไปสายที่เหมาะสมกว่าเป็นการบังคับ เพราะถึงอยู่สายวิทย์ต่อไป ก็ไปเเย่งที่นั่งในมหาวิทยาลัยของสายศิลป์อยู่ดี เพราะฉะนั้นจึงควรโดนย้ายไปสายศิลป์ จะได้ไม่ได้เปรีบหรือเสียเปรียบกัน
4) การเเบ่งสาย
การเเบ่งสายเหมือนเเบ่งชนชั้น สายวิทย์เหมือนจะมีสิทธิพิเศษเยอะ ส่วนสายอื่นเหมือนจะเสียเปรียบ โดยเฉพาะตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่สายวิทย์มีอิสระมากกว่าในการเลือกคณะ
อย่างที่กล่าไปข้างต้น บังคับทุกสายสอบตามที่เรียนมา ไม่มีต่อรอง หรือยกเว้นให้กับสายใดสายหนึ่ง จะได้เท่าเทียมกัน
จาก 4 ข้อปัญหาที่ผมมองเห็น ผมเชื่อว่าเเก้ได้ด้วยทางออกที่เป็นกลาง ไม่เปิดเกินไปไม่ปิดเกินไป ระบบยังคงอยู่ได้ นักเรียนเรียนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะทุกคนมาตรงตามสายที่เรียน คนที่ชอบสายไหนก็ได้เรียนสายนั้นเพราะไม่ต้องไปเเย่งที่กับพวก "เผื่อไว้ก่อน" เเละทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
PS. ผมคิดว่าการไปเรียนพิเศษเสริมข้างนอกเพื่อมาสอบเข้าเเบบอิสระ สายไหนจะเข้าคณะอะไรก็ได้ มันไร้ความรับผิดชอบเกินไป คุณไม่คิดจะไปเจองานโหดๆของสายวิทย์ เเต่อยากจะเรียนคณะสายวิทย์ ผมว่ามันไม่ใช่ เเละการเรียนพิเศษหรือศึกษาข้อมูลตามอินเทอร์เน็ต หรือเเม้เเต่เทกซ์บุ็ค มันไม่ช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่จำเป็นเลย มันเเค่เพื่มชิ้นส่วนของความรู้เเค่เพื่อหยิบใช่ซึ่งประยุกต์ไม่ได้
I REMAIN,
ตอนเรียนก็เรียนมาไม่เหมือนกัน แต่พอสอบจะมาเอาคะแนนตามที่กำหนด โอนเอนไปหน่อยมั้ยคะ ;(
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?