Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[Tips]--อยากพูดให้ได้แบบฝรั่งต้องทำไง? -CH 2- Speaking

ตั้งกระทู้ใหม่
มาแล้วจ้า..คลิกที่หัวข้อได้เลยน้า หมดเซตนี้แล้วล่ะ ครั้งต่อไปจะเป็นวิธีการจดเลคเชอร์จ้า แล้วอาจจะรวมถึงแนะนำพวก SAT/ACT ทีหลังด้วย ติดตามกันได้ในบทความเลยจ้า

UPDATE 2: [Tips]--อยากพูดให้ได้แบบฝรั่งต้องทำไง? -CH 4- Writing


UPDATE 1:
[Tips]--อยากพูดให้ได้แบบฝรั่งต้องทำไง? -CH 3- Reading

วันนี้วันศุกร์ค่าาา กลับมาจากที่ทำงานก็กลับมา nap ไปนานเลยทีเดียว
ตอนนี้ตาสว่างแล้ว ฮ่าๆ เลยได้มานั่งเขียนบทความเพิ่มเติม

ต่อจากตอนที่แล้ว เพื่อนๆชอบวีดีโออันไหนมากที่สุดคะ?
ฟังกันพอเข้าใจบ้างไหม? จริงๆแล้วภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ ใช่เปล่า?

โอเค เข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ วันนี้มาต่อตอนที่สองของอยากพูดให้ได้แบบฝรั่งต้องทำไง


สำหรับตอนแรก จะเข้าไปที่บอร์ดแล้วลองหาดูก็ได้(มันคงยังอยู่นะ) หรือเข้าไปในบทความอันนี้ All about study in USA ซึ่งก็มีเนื้อหาอย่างอื่น รวมทั้งตอนก่อนหน้าของบทความนี้จ้า

[Tips]--อยากพูดให้ได้แบบฝรั่งต้องทำไง?
-CH 2- Speaking


จาก ตอนที่แล้วที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฟัง เพื่อนๆคงจะเริ่มฟังพอจับใจความรู้เรื่องบ้างแล้วเนอะ แต่ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลาฝึกฝน อย่างที่บอกไป ไม่มีใครเป็นมาแต่เกิดหรอก อยากพูด อยากฟังเข้าใจก็ต้องฝึกฝนกันเนอะ เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาถึงการพูดค่ะ สิ่งแรกที่อยากจะบอกเลยก็คือ

อย่าเสียความรู้สึกเวลาที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง แล้วทำให้กลัวที่จะพูดในครั้งต่อไป

คือ ตองก็เข้าใจนะคะ ว่าเวลาเราพยายามพูดอะไรไปแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจเลย มันจะทำให้เสียเซลฟ์สุดๆ หมดความกล้าในครั้งต่อไปที่จะพูด แต่ถ้าเพื่อนๆผ่านจุดๆนี้ไปได้แล้ว ครั้งต่อไปก็จะไม่ยากค่ะ เราต้องยอมรับความจริงกับตัวเราเองว่า เออ เราเพิ่งหัดพูดนี่นา ยังติดสำเนียงไทยอยู่เลย เขาจะฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง จะเป็นไรไป จริงไหม?

มี ประสบการณ์ส่วนตัวจะเล่าให้ฟัง ตอนที่มาอเมริกาใหม่ๆ ในช่วงเดือนแรกน่ะ เรายังติดสำเนียงไทยมาบ้าง แต่สำเนียงไม่เท่าไหร่นะ pronounciation นี่แย่มากๆเลยล่ะสำหรับเราน่ะนะ stress ผิดๆถูกๆ มั่วไปหมด ฮ่าๆ แต่มันก็ต้องปรับตัวอ่านะ เหอๆ วันหนึ่งไปสั่งไอศครีมรสวนิลา....รสวนิลา... ไม่น่ายากใช่ปะ?

คุย กับคนขาย 5 ครั้งว่าจะเอารส วนิลา แต่เขาดันไม่เข้าใจ เพราะเรา pronounce "vanila" ผิด ตอนนั้นเครียดเลยค่ะ หนูแค่อยากจะกินไอติมรสวนิลา ทำไมสวรรค์กลั่นแกล้งกันอย่างนี้...ตอนนั้นมันท้อค่ะ หมดความพยายาม เลยจบท้ายด้วย เออวะ กินรสช็อกโกแลตก็ได้ (ยังดีที่เขาฟัง chocolate รู้เรื่อง ฮ่าๆ ไม่งั้นอดแน่ๆ)



Tips: Speaking

1. Pre-Lesson/ How to practice in general:

    - Watch and listen
    ดูหนัง ดูคลิปสั้นๆ (เป็นพวกข่าวก็จะดีเช่นกัน เพราะผู้ประกาศข่าวจะพูดชัดถ้อยชัดคำ ฟังง่าย) ฟังเพลง
    หลังจากที่เราดูคลิป ฟังเพลงจากตอนที่แล้วเป็นการฝึกทักษะการฟังไปแล้ว ตอนนี้เราก็กลับมาดูอีกครั้งหนึ่งได้ค่ะ แต่เป็นการฝึกการพูดแทน อย่างที่บอกไปในตอนที่แล้วว่า เราไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจทุกคำที่เขาพูดเพื่อเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ หรอก เพราะฉะนั้นถ้าเราจะฝึกพูด เราก็ฝึกเฉพาะคำที่เราฟังออกในตอนแรกเสียก่อน



    - Pay attention to the stress and pronounciation, then try copying them
    พยายามสังเกตว่าเขา stress ตรงไหน รูปปากเวลาพูดเขาทำอย่างไร และเลียนแบบเขาดูค่ะ ถ้ามีคนคอยฟังด้วยจะดีมากๆค่ะ หรือถ้าไม่มีใครช่วยฟัง อัดเสียงตัวเองเวลาพูด แล้วค่อยฟังทีหลังก็ได้นะคะ (มันทรมานมากๆช่วงแรก แบบว่า เราเองก็รับไม่ได้ว่าทำไมเสียงฉันเป็นอย่างนี้เนี่ย)



    - Admit that you might be wrong/ Open to correction
    ถ้ามีเพื่อนชาวต่างชาติละก็..ให้เขาคอยฟังเราพูดก็ได้ค่ะ เขาจะได้ช่วยฝึกเราไปในตัว แต่เราก็ต้องยอมรับให้เขาเป็นคน correct เรานะคะ อย่างตองเนี่ย ตองบอกกับเพื่อนสนิทเลยว่า would you mind correcting my pronounciation? can you repeat that again? เพื่อนเราก็ยินดีเป็นอย่างมากค่ะ


2.  Things you should know:


     - Utilize your technology

       ก. แอพ
       สำหรับตองนะคะ การมีแอพ Merriam-Webster ไว้ในโทรศัพท์จะดีมากๆเลยค่ะ ถ้าเจอคำศัพท์ใหม่ๆละก็ ตองจะหาความหมาย แล้วก็กด-รูปลำโพงเล็กๆไว้ฟังว่าเขาพูดอย่างไร ตองก็จะพูดตามนั้นค่ะ อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายมากที่จะเรียนรู้การออกเสียงของแต่ละคำ ระหว่างที่หูฟังว่าเขาพูดอย่างไร เราก็ดูที่เขาเขียนไว้ว่าจะพูดอย่างไรไปด้วยค่ะ(ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร -ที่จะมี stress ไว้ในคำนั้นด้วย) ดูว่าเขา stress ตรงไหนค่ะ

       *ตอง น่ะเวลาเจอคำศัพท์ใหม่ๆก็จะหาความหมายเป็นภาษาอังกฤษ แล้วพยายามเข้าใจจากภาษาอังกฤษ(งง ไหม?) แบบว่าแปลอังกฤษเป็นอังกฤษ ดีกว่าแปลเป็นไทยค่ะ เพราะสมองเราเวลาพูดและฟังจะผ่านกระบวนการแค่ชั้นเดียว แล้วมันจะเร็วกว่ามากๆค่ะ ถ้าให้มัวคิดเป็นภาษาไทยแล้วค่อยแปลคำต่อคำว่าจะพูดอังกฤษอย่างไร เราทำอย่างนั้นไม่ไหวหรอกค่ะ เราต้องคิดเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็พูดออกมาเลย


         ข. เวปไซต์
         เดี๋ยวนี้อินเตอร์เนตก้าวไกลค่ะ ดูใน youtube ก็มีตั้งหลายวีดีโอ ลองไปหากันได้ค่ะ ส่วนข้างล่างนี้จะเป็นเวปไซต์อย่างเป็นทางการ สำหรับคนที่ต้องการฝึกฝนจริงๆค่ะ

        
http://www.learnersdictionary.com/pronex/pronex.htm
         http://www.talkenglish.com/Speaking/Basics/Speaking_Basics_I.aspx

        ทั้งนี้ และทั้งนั้น ส่วนตัวแล้ว ตองคิดว่าเราไม่ควรฝึกแบบ 1-2 ชั่วโมง การฝึกภาษาอังกฤษไม่ใช่ที่ระยะเวลาค่ะ แต่เป็น consistency มากกว่า แบบว่า เราควรที่จะฝึก 10 นาทีต่อวัน อะไรแบบนี้จะดีกว่า และ learning by doing จะดีกว่า นั่งฟังๆ พูดๆตามวีดีโอค่ะ เพราะเมื่อเราได้ใช้มันจริงๆ เราจะรู้ว่าเราพูดถูกพูดผิดตรงไหน เราจะเรียนรู้เร็วขึ้นค่ะ


       - Don't study too much grammar!
       แกรมม่านั้นเอาไว้สำหรับทำข้อสอบพวกข้อเขียนค่ะ แต่ถ้าจะพูดให้ได้อย่างเจ้าของภาษาเราก็อย่าเพิ่งโฟกัสเรื่องแกรมม่าในตอน พูด เดี๋ยวพอพูดคล่องๆ และฟังพอรู้เรื่องแล้ว แกรมม่าจะมาเองค่ะ ตอนนี้เราจะไม่พูดถึงแกรมม่ากันนะคะ เวลาพูดเนี่ย ลบพวกกฎต่างๆออกไปจากหัวให้หมดค่ะ เหลือไว้เพียงแต่ว่า จะพูดยังไงให้เขาเข้าใจก็พอ เพราะไม่อย่างนั้นกว่าจะคิดออกว่าแต่ละกฎมันเป็นอย่างไร เหอๆ ฝรั่งเขาไปโน่นแล้ว...

       *Fun Fact เกี่ยวกับแกรมม่า
       เจ้าของภาษารู้แค่เพียง 20% ของแกรมม่าค่ะ เผลอๆพวกเราที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเนี่ยรู้หลักแกรมม่ามากกว่า เจ้าของภาษาเขาเสียอีก (ยกเว้นตองล่ะนะ แกรมม่าของตองนี่ย่ำแย่สุดๆ)



      - Learn Idioms and Phrases
      ถ้ารู้พวกสำนวนอะไรพวกนี้ จะทำให้เวลาเราพูดออกมา เขาจะเข้าใจเราได้ง่ายขึ้นค่ะ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เพราะตองก็ไม่เคยรู้ว่าตองใช้พวก idoms เนี่ย เยอะเหลือเกิน จนกระทั่งมาอ่านบทความหนึ่ง แล้วก็คิดในใจว่า เออ ทำไมเราใช้คำพวกนี้นะ ทั้งๆที่ก็ไม่เคยเรียนจากหนังสือเลย แต่ที่ใช้เนี่ยเพราะคนอื่นเขาใช้กันแล้วมันก็ติดมาเอง

       อันนี้เป็น pdf ไฟล์ค่ะ ลองไปดูสำนวนกันนะคะ
      
http://www.smart-words.org/quotes-sayings/english-idioms-commonly-used.pdf
       http://www.englishingilizce.com/600MostCommonAE_Idioms.pdf


       อ้ะ..เข้าใจว่า มันเยอะสุดๆ ใครจะไปจำไหวเนอะ ลิ้งค์ข้างล่างมีแค่ไม่กี่คำ ไม่ต้องท่องนะ แค่พอให้รู้ไว้ ผ่านๆตาว่ามันแปลว่าอะไรก็เป็นพอ ถ้าเจอบ่อยๆจากหนัง จากชีวิตจริง เดี๋ยวก็ติดมาเองค่ะ
      
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_English-language_idioms

       *ที่ ให้ลิ้งค์ไปเนี่ย ไม่ได้ให้เอาไปท่องนะคะ แต่ให้เอาไปดูและเข้าใจความหมายให้พอเข้าใจก็พอ เพราะเวลาเขาพูดมาเราจะได้ไม่เหรอหรา งุนงง อ่านะ (ตองเป็นประจำแหละ งงว่าเขาพูดอะไร ถ้าเพื่อนๆเป็นแบบตองไม่อยากท่องจำละก็ เมื่อเจอกับตัวว่าเขาพูดอะไรมาแล้วไม่เข้าใจก็บอกให้เขาอธิบายให้ฟังละกัน อย่าอาย อย่าเก็บไว้ แล้วเออออว่าเข้าใจ)


        - Learn slang

        แสลง(เขียนอย่างนี้ป่ะ?) จะใช้บ่อยมากๆๆๆๆ ค่ะ ลิ้งค์ข้างล่างมีเป็นลิสต์สั้นๆ ไม่เยอะ แต่ตองจะบอกว่า ตองเคยใช้คำในลิสต์นี้มากกว่าค่อนค่ะ
       
http://www.uwplatt.edu/university/documents/international_student_handbook/slang.pdf

      
        - From experience (Shortcuts)

        ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ เพื่อนๆคงจะมีความอดทนมากทีเดียว ฮ่าๆ แต่แทนที่เราจะโฟกัสเสียทุกอย่าง เรามาโฟกัสแค่เรื่องหลักๆดีกว่าปะ? อันนี้ตองจะเขียนจากประสบการณ์ล้วนๆละกันนะคะว่า จะออกเสียง หรือพูดเป็นประโยคอย่างไรดี


       
       ก. Blend words together
           เวลาที่เพื่อนๆเจอเสียง อ.อ่าง (เอ อี ไอ โอ อู(ยู) ) ในตอนขึ้นต้นของประโยค  ถ้าคำข้างหน้าเป็นพวกที่ลงท้ายด้วยเสียง...
           - S (ซ...) ให้นำเสียง ซ มาใส่แทนที่เสียง อ. example:  it's a dog! (อิซ-ซะ-ด๊อกก) ประมาณนี้
           - T (ท,ธ..) ให้นำเสีย ด(คล้ายๆกึ่ง ธ กึ่ง ด) มาใส่แทนที่เสียง อ. example: It is!! (อิท-ดิ๊ซซ)



       ข. เสียงที่คนไทย pronounce ไม่ค่อยได้
           th, ch, sh, v (maybe), z
           ลองไปหาฟังดูนะคะ เพราะตองก็ยังไม่กล้าพอที่จะอัดเสียงตัวเองมาประจาณ ฮ่าๆ แต่ 5 ตัวนี้ พบบ่อยมากค่ะ



       ค. พวกคำ 4 พยางค์ ส่วนใหญ่จะ stress ที่ตัวที่ 2ค่ะ
           examples: ri-di*-cu-lous, in-cre*-di-ble
          
           พวกคำ 5 พยางค์ ส่วนใหญ่จะ stress ที่ตัวที่ 3 ค่ะ
           examples: un-be-liev*-a-ble

           ไม่ ใช่กฎตายตัวที่แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อมากนัก เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่มันจะเป็นอย่างนี้ บางคำต้องสังเกตว่าเขาพูดอย่างไร แล้วก็พยายามทำอย่างนั้นค่ะ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วัน นี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ ไม่คิดว่ากว่าจะเขียนแต่ละตอนเสร็จใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงแน่ะ แต่ตอนนี้มันก็ยาวจริงๆเนอะ อยากถามอะไรก็ทิ้งคำถามไว้ข้างล่างได้เลยนะคะ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะทุกคน ตอนนี้ก็ตี 3 ที่นี่ละ ตองไปนอนก่อนเน้อ

สู้ๆละกันนะทุกคน

แสดงความคิดเห็น

7 ความคิดเห็น

Panz 25 พ.ค. 57 เวลา 12:38 น. 2

น่ารักอ้ะ เราพยายามหาทริคที่จะช่วยฝึก eng พอมาอ่านอันนี้แล้วรู้สึกว่ามันช่วยได้มากอ่า ชอบๆ ขอบคุณที่แบ่งปันนะจ้ะ

0
Whitekoala 27 พ.ค. 57 เวลา 08:46 น. 4

คือมีเพื่อนต่างชติให้สไกป์มาอะ แต่เราไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยอะ รู้สึกด้านการพูดของเราง่อยเกิน เราควรลองดูดีไหมอะ

0
โฮลลี่เกรล 27 พ.ค. 57 เวลา 12:35 น. 5

ลองเลยค่ะ ลุยเลย!
คิดซะว่ามันเป็นการผจญภัยหน้าหนึ่งของชีวิต
ถ้าไม่เริ่มตอนนี้แล้วจะเริ่มตอนไหน จริงป่ะ?
อีกอย่าง ถ้าผ่านตอนจุดเริ่มต้นไปได้แล้ว เดี๋ยวมันก็โอเคเองแหละจ้า
ตอนแรกอาจจะแชทก่อนแล้วค่อยสไกป์ก็ดีนะ?

สู้ๆน้า
ตั้งใจ

0
Whitekoala 27 พ.ค. 57 เวลา 18:18 น. 6

ขอบคุณฮะที่ให้คำแนะนำ คือเราแชทกับเพื่อนประมาณ 1 เดือนได้แล้วอะ แล้วเพื่อนเพิ่งให้สไกป์มาเมื่อวานนี้เอง//มันเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นมากกกก เยี่ยม

0