Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ทำไมถึงซิ่ว....ประสบการณ์ตรงจากรุ่นพี่

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

เราเห็นหลายๆคน กำลังสับสนอยู่ว่า จะเลือกเรียนทางไหน เราเองก็สับสนเหมือนกัน แต่ได้มีโอกาสคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ และมองเห็นทางมากขึ้น

เราเลยเอามาให้เพื่อนๆๆ ได้อ่านกัน ในสิ่งที่รุ่นพี่คนนี้ได้เล่าไว้  ถึงแม้จะยาวหน่อย

แต่อยากให้เพื่อนๆคนไหนที่กำลังท้อ และสับสน ลองอ่านนี้ดู แล้วจะได้รู้ว่า ความพยายามและตั้งใจช่วยคุณได้ งั้นมาเริ่มกันเลย

          "ตอนอยู่มอหก ส่วนใหญ่เรามักจะคิด แค่ว่าอยากเรียนคณะที่เราชอบ ไม่ค่อยคิดถึงเวลาทำงาน
แต่หลายๆคณะที่สอนในไทยมันไม่ค่อยมีงานรองรับ
ดังนั้น...เวลาเลือกคณะต้องคิดยาวๆ...เราเรียนเเค่สี่ห้าปีแต่การทำงานมันคือเกือบตลอดชีวิ
...วางแผนดีๆ....การซิ่วมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่มันจะดีกว่าถ้าเรา
เลือกเรียนคณะที่ใช่จริงๆไปเลย

ถามว่าทำไมตอนนั้นทำไมอยากซิ่ว?

ตอนอยู่มัธยมอยากเรียนเภสัชมากๆ แต่ดันสอบตรงไม่ติดไปติดแพทย์แผนไทย  คุยไปคุยมากับที่บ้านก็เลยตัดสินใจเอา
ตอนเอ็นกลางเลยไม่ได้ลงเพราะยืนยันสิทธิตั้งแต่สอบตรงมอไปแล้ว...
ก่อนไปเรียนก็ดีใจ....จำได้ว่า ใส่ชุดนักศึกษาไปมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ก่อนมหาลัยเปิดซะอีก..อิอิ.. แบบว่าเห่อมากอ่านหนังสือด้านชีวะ anatomy ล่วงหน้าตอนปืดเทอม
พอเข้าไปเรียน แรกๆ รู้สึกสนุกเพราะเทอมแรกเรียนวิชา พื้นฐานด้านสายการแพทย์.....ตั้งใจเรียนมากแต่ลึกๆก็ยังชอบเภสัชอยู่
พอเทอมสองเริ่มเรียนวิชาเข้าสายคณะมากขึ้น....เริ่มรู้สีกว่ามันไม่ใช่เพราะดั้งเดิมเราชอบวิชาแนววิทยาศาสตร์  หลายๆอย่างมันรู้สึกว่ายังไม่ใช่
อีกอย่างตอนนั้นก็กังวลเรื่องอนาคต การทำงานเลยเพราะเป็นคนชอบคิดไกล
เลยตัดสินใจขอที่บ้านซิ่ว

แต่โมเม้นตอนเทอมสองมันเป็นอะไรที่หนักมากเพราะของคณะก็มีสอบเยอะ งานก็เยอะ เราเองก็ไม่อยากให้เกรดตก เพราะอินเคสว่าซิ่วไม่ได้ ก้อต้องเรียนคณะนี้ต่อ
.....ถ้าจะซิ่วจริงก้อต้องไปที่ที่ดีกว่าจริงๆ ไม่ใช่แย่ลง.....ทุกคืนต้องเเบ่งเวลาอ่านหนังสือ วิชาคณะ และวิชาที่จะสอบเอ็น....ไม่มีเวลา และเงินไปเรียนพิเศษ อาศัยอ่านเองหมด.....แต่ทุกครั้งก็ขอดุอาร์(ภาวนา)ขอให้ได้ทุนเรียนเพราะไม่อยากให้ที่บ้านลำบากจากเราซิ่ว

ช่วงที่อ่านหนังสือเตรียมสอบ จำได้ว่า ร้องไปหลายครั้งเพราะเหนื่อยและเครียด

เพราะสำหรับคนซิ่วตอนนั้น.....มันไม่มีโอกาสสำหรับสอบตรงหรือโควต้าต่างๆเหมือนเด็กมัธยม...มีโอกาสแค่เอ็นกลางเท่านั้น....มันทำให้ยิ่งรู้สึกกดดัน

สุดท้ายผลสอบออกมา...คะแนนก็ไม่ถึงของเภสัช
แต่ใจก็ยังอยากเรียนมากๆ
เลยเริ่มติดต่อมหาลัยเอกชน แต่ ณ เวลานั้นเค้าปิดรับสมัครกันหมดแล้ว

เริ่มท้อ...เริ่มรู้สึกว่าเบื้องบนคงไม่ได้กำหนดให้เราเรียนสายนี้หรือบางทีเราคณะนี้อาจจะไม่เหมาะสมกับเราจริงๆ
แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ไปถึงมาเลเซียกับแม่....ไปที่ UIA เพราะจะสมัครกะว่าสมัครก่อนแล้วค่อยหาทุนแต่ไปแล้ว หนักใจมาก ค่าเทอมเทอมละเป็นแสน....แม่เราไม่ไหวแน่ๆ...ทุกอย่างแพงหมด

ในขณะเดียวกัน....ตอนช่วงปิดเทอมซัมเมอร์นั้น 
ณ เวลาที่หาที่ซิ่ว ก็เรียนซัมเมอร์ของคณะไปด้วย
เเล้วเพื่อนสนิทก็ชวนไปสมัครสอบของทุนปิโตรนาส

ตัวเองไม่ค่อยอยากไปเพราะรู้ว่าไม่ชอบวิศวะเอามากๆ
มันคำนวณเยอะเกินและเราก็ไม่ใช่คนที่เก่งภาษาอังกฤษมาก
แต่ก็สมัครไปก่อนเพื่อเป็นเพื่อนให้เพื่อนสนิท

ต่อมา..พอชื่อออก มีชื่อเราเพื่อสอบข้อเขียน แต่วันสอบดันตรงกับสอบซัมเมอร์ของคณะ...
เลยโทรบอกแม่ว่า...หนูไม่ไปสอบของปิโตรนาสเเล้วนะ..
เพราะมันสอบเก้าโมงเวลาเดียวกันของวิชาคณะเลย...
แต่แม่ขอร้อง แม่บอกว่าขอให้ลองก่อน..เสียดาย อุตส่าสมัครแล้ว

สุดท้ายเลยขออาจารย์คณะ ขอสอบล่วงหน้าก่อนเพื่อน ครึ่งชม.ของสอบทุนปิโตรนาสไม่อ่านไรเลย อ่านแต่ของคณะ

ตอนเช้าวิ่งไปสอบของคณะทำร้อยข้อในเวลาครึ่งชม เสร็จแล้วก้อรีบวิ่งไปตึกวิศวะเพื่อสอบของปิโตรนาสต่อกว่าจะไปถึงเค้าก็ทำกันไปแล้วเกือบครึ่งชม.ซึ่งถ้าไปช้าอีกนิดเดียวก้อจะไม่มีสิทธิเข้า

ทำๆไปจนเสร็จ ณ ตอนนั้นไม่ได้หวังเลย...
สุดท้ายหนึ่งเดือนหลังจากนั้น รายชื่อสามสิบคนออก....ทางกรรมการโทรมาว่าเราติด
และต้องไปสอบสัมภาษณ์อีกไม่กี่วัน
ณ ตอนนั้นดีใจ ไม่ใช่ว่าดีใจที่ติดนะ แต่ดีใจว่า เอะ!เราทำข้อสอบได้ด้วยแฮะ

ไปสัมภาษณ์ ไม่เก่งอิ้ง ดีที่คืนก่อนสัมภาษเพื่อนพี่ที่พูดอิ้งได้นอนมานอนบ้าน
เลยให้เค้าสอนพื้นฐานไป

และรุ่นพี่ที่เรียนอยู่มาเลย์ก็แนะนำว่าพา talking dict ไปได้เลยพาไปวันสอบสัมภาษณ์

ถึงเวลา...เค้าก็ให้กระดาษเคสสตาดี้มา ให้เวลาครึ่งชม เพื่อคิดก่อนเข้าสัมภาษณ์แต่เราดันชื่อคนแรกอีก

ถ้าจำไม่ผิดเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การศึกษาและเศรษศาตร์ในประเทศไทย
พอเข้าไป อาจารย์ตอนให้แนะนำตัว และพูดในสิ่งที่เตรียมตัว 
ก็แถๆพูดไปตามที่เตรียมมา เเต่พอเค้าถามเรื่องอื่น เราตอบอิ้งไม่ค่อยได้เลยตอบเป็น ภาษามาเลไปเลย

ยังจำได้แม่นเลยว่าคำถามเด็ดที่เค้าถามคืออะไร คือคำถามที่แม่เป็นคนช่วยให้ตอบคำถามนี้ได้อย่างเข้าใจจริง

สงสัยใช่ไหมว่าทำไม?เค้าถามว่า ในประเทศหนึ่งการศึกษากับเงินอะไรสำคัญกว่ากันให้เลือกตอบอย่างเดียว......ก็คิดอยู่แปปหนึ่ง แล้วตอบแบบทั่วไป ว่า การเรียนสำคัญกว่าเพราะความรู้สามารถพัฒนาประเทศได้

แต่เค้าเถียงว่า ถ้าไม่มีเงินคุณจะเรียนได้ไงเงินก้อสำคัญ
เลยตอบไปว่ายังไงหนูก็เชื่อว่าการเรียนสำคัญกว่าและเงินถือเป็นเรื่องรองเพราะแม่หนู เคยเรียนโดยไม่มีเงินเลยพ่อแม่ไม่มีเงินส่งไปเรียนโรงเรียน
แต่อม่อยากเรียนมาก เพราะถึงจนไม่มีเงินแต่อยากมีความรู้ แม่เลยขอผู้จัดการโรงเรียน ขอไปฟังเค้าเรียน ครูไม่ให้เข้าเรียนเพราะไม่มีชุดนักเรียนใส่

ทุกวันแม่หนูเลยนั่งริมหน้าต่างเพื่อเรียนและจดในเศษกระดาษสุดท้ายตอนสอบ แม่ขอครูว่าจะสอบแม่ทำได้ที่หนึ่ง ครูเลยให้รางวัลเป็นสมุดกับดินสอแม่ก็ใช้สมุดนั้นจดทุกอย่าง อย่างประหยัดมากๆไม่มีที่ว่างเลย และต่อมาแม่ก็ประสบความสำเร็จ ได้ทั้งความรู้และเป็นที่ยอมรับ
สิ่งนี้คือจะบอกว่า การเรียนสำคัญ ถึงเราไม่มีเงิน ถ้าเราสู้และ อยากเรียนจริงๆ มันต้องได้

ประวัติแม่เรื่องเรียนยังเศร้ากว่านี้ แต่ตอบกรรมการแค่นั้นพูดทีไรน้ำตาจะไหลทุกที

รู้สึกได้ว่ากรรมการผู้ชายเค้าชอบตรงที่ตอบเรื่องนี้ ทั้งๆที่พูดภาษามาเลไม่ได้พูดอังกฤษ

แต่ตอนวันสัมภาษณ์นั้นรู้สึกยากกลับไปเร็วๆ ไม่ค่อยชอบ มีแต่คนไฮโซๆตอนสัมภาษณ์กลุ่มก็มีคนเก่งๆเพ ดูเหมือนเป็นการแข่งขันกัน ไม่คิดว่าเราจะได้ เพราะอิ้งเราไม่เท่าไหร่อีกอย่างไม่อยากเรียนด้วย

แต่หลังจากนั้นสองสัปดาห์ ตอนที่ฝึกงานนวดของแพทย์แผนไทยอยู่ที่คลีนิค
....... มีคนโทรมาบอกว่าติดคณะที่เลือกไว้อันดับหนึ่งคือ  วิศวะเคมี  ฟังเเล้วอึ้ง เครียดด้วย....  บอกเพื่อนเพื่อนก็เครียดเพราะเรากำลังจะจากเค้าไป.ตอนนั้นสนิทกับเพื่อนในกลุ่มมากๆ....ไม่กล้าบอกที่บ้าน  และไม่ได้ยืนยันสิทธิทันที ขอเวลาคิดสามวัน ทำใจวันหนึ่ง

.... พอวันที่สองเลยโทรบอกแม่ แต่บอกแม่ว่าจะไม่เอาเพราะคุยกับพ่อแม่ตั้งแต่ก่อนสอบแล้วว่าจะสอบเอาประสบการณ์เฉยๆ...แต่จะไม่เอา..เพราะไม่ชอบวิศวะ

สุดท้ายแม่ก็โทรขอร้องให้เอา...บอกเหตุผลต่างๆนาๆ บอกว่าถ้าเอา แม่ก็จะสบายใจมากขึ้น เพราะได้ทุนเเล้ว

 สุดท้ายเลยเอาแบบไม่อยากเอาแต่ ใจหนึ่งก็คิดว่า บางทีมันอาจเป็นดูอาร์(ภาวนา)ที่เราขอ เพราะเราเคยขอว่าอยากได้ทุนเรียนและเราก็เชื่อเรื่องข้อกำหนดชะตาฟ้าลิขิตมากๆ 

ถามว่าเครียดมั้ยเรื่องเรียนสิ่งที่ไม่ชอบและไม่ถนัด แรกๆก็มีบ้าง แต่เชื่ออยู่เสมอว่าเป็นสิ่งที่ชะตาฟ้าลิขิตเลือกและเชื่อว่าถ้าเรามีความพยายามยังไงก้อเรียนได้

และสุดท้ายก็รู้ว่า แม้ว่าไม่ได้เรียนสิ่งที่ชอบ แต่เราก้อได้เปิดโลกกว้างและได้รับโอกาสหลายๆอย่างเลย แถมเห็นอนาคตที่สดใสกว่าด้วย..เรียนๆไปมันก็เริ่มเจอสิ่งดีๆที่ทำให้รู้สึกว่า บางอย่างมันก็สนุกนะ

เรียนในสิ่งที่ไม่ชอบและไม่ถนัดเราอาจไม่สามารถเป็นท็อปของห้องแต่ถ้าเราไม่ขี้เกียจ เราก้อสามารถเรียนได้  เอากลางๆเกาะเลขสามไว้ก็พอ..เรียนๆไปก็ได้เอง วงเล็บว่าต้องพยายามและไม่ขี้เกียจ

คำถามที่น้องๆถามมาบ่อยก็คือ ความถนัด ความชอบ ความเหมาะสม เราควรที่จะเลือกเรียนอะไร?

  ในการที่เราเรียนถ้าสามารถหาสามอย่างพร้อมกันจะดีมากๆถ้าไม่ครบก็ลองหามาอย่างน้อยสองอย่างให้มีในคณะนั้น

แต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่งจะได้ง่าย...

ลองลิสคณะที่ชอบมาและจินตนาการว่าเราทำงานสายนั้นๆสักสิบปีอันไหนที่คิดว่าเหมาะกับเราสุด

แต่จะบอกเงินเดือนก็มีส่วนนะสมัยนี้ข้อนี้สำคัญไปแล้ว เพราะต่อไปเราต้องมีลูกมีครอบครัว..
คิดดีๆ วางแผนดีๆ พยายามและมอบหมายต่อเบื้องบน"

และตอนนี้พี่เค้าก็เรียนวิศวะกรรมเคมี และ กำลังจะจบในอีกไม่กี่เดือน  พี่เค้าคือ ตัวอย่างให้เรามาตลอด พี่เค้าขยันตั้งใจ และมุ่งมั่นจริงๆ

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น