มาดู! 9 พฤติกรรม เสี่ยงต่อระยะเริ่มต้นของอาการทางจิต (psycho)
ตั้งกระทู้ใหม่
2. การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น ตัวอย่าง ถ้าตนเองรู้สึกเกลียดหรือไม่ชอบใครที่ตนควรจะชอบก็อาจจะบอกว่าคนนั้นไม่ชอบตน เด็กบางคนที่โกงในเวลาสอบก็อาจจะป้ายความผิดหรือใส่โทษว่าเพื่อนโกง
3. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัวโดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูกมักจะบอกว่า การตีทำเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องการการทำโทษเป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตีเพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้างว่าไม่สบาย แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ดูหนังสือ บางครั้งจะใช้เหตุผลแบบ “องุ่นเปรี้ยว” เช่นนักเรียนอยากเรียนแพทย์ศาสตร์ แต่สอบเข้าไม่ได้ ได้วิศวกรรมศาสตร์ อาจจะบอกว่าเข้าแพทย์ไม่ได้ก็ดีแล้ว เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเวลาของตนเอง เป็นวิศวกรดีกว่า เพราะเป็นอาชีพอิสระ “การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง” แตกต่างกับการโกหกเพราะผู้แสดงพฤติกรรมไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิด
4. การถดถอย (Regression) หมายถึงการหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข ตัวอย่างเช่น เด็ก 2-3 ขวบ ที่ช่วยตนเองได้ มีน้อยใหม่ เห็นแม่ให้ความเอาใจใส่กับน้อง ความรู้สึกว่าแม่ไม่รักและไม่สนใจตนเท่าที่เคยได้รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกที่ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องให้แม่ทำให้ทุกอย่าง
5. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึงกลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะไม่ยอมรับ ตัวอย่างแม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่งอาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรักมากอย่างผิดปกติ หรือเด็กที่มีอคติต่อนักเรียนต่างชาติที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็นเพื่อนที่ดีต่อนักเรียนผู้นั้นโดยทำตนเป็นเพื่อนสนิทเป็นต้น
6. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้เป็นการสร้างจิตนาการ หรือมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้นเพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง เป็นต้นว่านักเรียนที่เรียนไม่ดีอาจจะฝันว่าตนเรียนเก่ง มีมโนภาพว่าตนได้รับรางวัล มีคนปรบมือให้เกียรติ เป็นต้น
7. การแยกตัว (Isolation) หมายถึงการแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง ตัวอย่างเช่น เด็กที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รักอาจจะแยกตนปิดประตูอยู่คนเดียว
8. การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจ ต่อคนหรือสิ่งของที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ เป็นต้นว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภริยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป เช่น อาจจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อภริยาและลูกๆ นักเรียนที่โกรธครู แต่ทำอะไรครูไม่ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่งของเช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นสิ่งแทนที่ เช่น เตะโต๊ะเก้าอี้
9. การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัว โดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง ตัวอย่างเช่น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้เหมือนแม่ในการพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์ การเลียนแบบนอกจากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยมและมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริงๆ แต่อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็จะพลอยเป็นสุขไปด้วย
credit :
http://pantip.com/topic/32409386
38 ความคิดเห็น
ของเราอ่ะ เป็นมันทุกข้อคือเราจิตใช่ป่ะ
เริ่มกลัวตัวเองนิดๆนะเนี่ย
เป็นไปแล้วหลายข้อ --* อยากไปปหาหมอชะมัด รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นประสาทไงไม่รู้
เป็นหลายข้อนะ...แต่ก็พอจะรู้ตัวล่ะ ...รู้มานานแล้ว = ='''
#กูโรคจิต'55555555555555
อยากฆ่า จขกท.
เป็นทุกข้อเลยโว้ย!!!
//รู้ตัวว่าตัวเองโรคจิตมานานละแต่ไม่รักษา...เฮ่ออๆๆๆๆ..
ความจริงคือรู้ว่าเป็นนานแล้ว
#ผมว่ามีคนเป็นไม่น้อยนะ โรคจิตกันทั้งเว็บนี่ละ 5555+
สร้างวิมานในอากาศหรอ
บ่อยเลยครับ บางทีก้อคิดเพลินจนหลับไปเลย 5555*
เป็นทุกข้อแต่มั่นใจว่าปกติดี #มั้ง
แฮะๆ เกือยแล้วเรา
1.เก็บกด อันนี้จริงเคยมีช่วงนึงที่เก็บกดมากๆจนมันล้น รู้สึกเหมือนมีใครอีกคนอยู่ในหัวบางทีก็เหมือนความทรงจำมันเว้นช่วงหายไปเป้นระยะสั้นจำไม่ได้ได้ว่าตอนนั้นทำอะไรไปบ้าง แต่บางทีก็มีเพื่อนมาบอกว่าเราทำอะไรซึ่งตัวเราเองจำไม่ได้ด้วยละ
2.อันนั้นโรคจิตอย่างเดียวไม่พอหรอก ต้องสันดานเสียด้วยถึงจะโรคจิตแบบนั้น แต่เอาจริงๆก็มีทั้งส่วนที่น่าสงสารและน่าหมั่นไส้
3.หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง สมัยนี้เป็นแทบทุกคนละ จะมีใครเยอะแค่ไหนเชียวที่ผิดพลาดแล้วยอมรับตรงๆว่าพลาด
4.ถดถอย อันนี้น่าจะจริงเห็นบ่อยในพวกขาดความอบอุ่นที่ชอบเรียกร้องความสนใจ
5.อันนี้ก็นะ...ช่างมัน ไม่เข้าใจว่าทำเพื่ออะไร
6.รู้ได้ไงว่าเค้าวาดวิมานแบบไหน และรู้ได้ไงว่าวิมานที่เค้าวาดเป็นไปไม่ได้ โลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมาก จะมาตัดสินความคิดคนอื่นว่าฝันกลางวันหรือเพ้อเจ้อมันงี่เง่าสิ้นดี
7.แยกตัว...เห็นคนเยอะแยะวุ่นวายแล้วปวดหัวเลยหนีไปอยู่คนเดียวนี่โรคจิตสินะ นิยามไหนวะเนี่ย
8.เป็นกันแทบทุกคนนะข้อนี้ งั้นก็โรคจิตก็แทบหมดโลกเลยสิ
9.อันนี้ก็...ช่างมันละกัน
เออ น่ากลัวอะ :(
อันนี้มันเป็นกลไกการป้องกันตัวเอง(Defense Mechanism)นะคะ ซึ่งทุกคนนั้นมีอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่แล้ว เราใช้กันแบบไม่รู้ตัวหรอกค่ะ แต่ถ้าใช้บ่อยๆเข้ามันจะทำให้เกิดอาการได้ แนะนำว่าการคัดลอกเอามาแค่เนื้อหากลางๆโดยไม่เกริ่นเหมือนเครดิตที่เอามามันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้นะคะ ^^
ผมว่าสมัยนี้คนเป็นโรคประสาทไม่ค่อยน่ากลัว เท่าพวกนักจิตวิทยา บางคนนะ จำ กรณี ของ เปมิกา กับ หมอเผ่า กันได้เปล่า พวกนักจิตวิทยา เหมือนพวกนักล้างสมอง พวกนักเชิดหุ่น เคยเจอพวกจิตวิทยา สันดันเ-้ย กันมั้ย พอโดน จับได้ไล่ทัน พวกนี้มักไช้ตรรกะว่า คิดมากเกินไปบ้างหล่า มองโลกร้ายเกินไปบ้างหล่า ทั้งทั้งที่ถ้าทำแบบนี้แล้วอาจจะมีผลร้ายตามมาเห็นเห็น และพวกตรรกะหลายหลายอย่างก็มา ความคิดของ พวกที่มีจิตวิทยาดี แล้วหลงตัวเองว่าฉลาดกว่าคนอื่น ที่จริงตรรกะอขงพวกจิตวิทยา ที่จะไช้คุบคุมคนอื่นนี่มีเยอะนะ
เป็นเกือบทุกข้อเลยอ่ะ ช่วงนี้เครียดกับชีวิต อยากพบหมอจิตตงิดๆอยู่ทุกวัน ยิ่งมาอ่านกระทู้นี้แล้ว สติใกล้ไปแล้วจ้ะ
คือเราต้องไปพบเพทย์ตอนนี้เลยป้ะ?
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?