ทำไมเราต้องพนมมือเวลารับพรด้วยครับ???
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณต้องการจะลบกระทู้นี้หรือไม่ ?
8 ความคิดเห็น
สวัสดีค่ะ
รับพร=รับฟังพระให้พร = พระให้พร=คือประสิทธ์ประสาทคำสั่งสอนของพระศาสดาให้เราเพื่อให้เรารู้ซึ่งและรำลึกถึงปรัชญาแห่งท่าน=พร=หมายถึงความปราถนาอันประเสริฐ(หรือใครๆเช่นที่คุณยกมาค่ะ)ที่จะให้ต่อผู้รับ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างการรับพรจากพระนะคะ (คือธรรมคำสั่งสอนของศาสดา) คือความสว่างที่จะนำมาซึ่งความเข้าใจในธรรมนั้นจะนำมาเพื่อความสุขสงบแก่ผู้รับ และในที่นี้อีกครั้งคือเพื่อคุณนั้นถูกต้องตามที่คุณเข้าใจ (ตามความเข้าใจของดิฉันะคะ)นั้นคือ การนำพรไปปฎิบัติหลังรับพรนั้นคือผลของพรจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณฎิบัติ=จากการกระทำของตนนั้นเองนั้นแล
พนมมือ=คือวัฒนธรรมของชาวพุทธ=คืออาการแสดงซึ่งความนอบน้อมต่อพระศาสดาและศาสนา (หรือแสดงความนอบน้อมต่อผู้ที่ให้พรให้ปราถนาอันประเสริฐกับเราการพนมมือรับพรนั้นก็เป็นวัฒนธรรม เช่นกันค่ะ เป็นวัฒนธรรมที่สวยงามด้วย)
ซึ่งเป็นมาอย่างไรและเริ่มขึ้นเมื่อที่ไหนดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่ที่รู้ๆเมื่อฟังพระหรือรับพรหากเราพนมมือจะทำให้เราสงบภายในและสำรวมและจิตใต้สำนึกรู้ตัวทั่วพร้อมทันทีว่าเรากำลังเข้าพิธีทางศาสนา(หรือแม้เวลาที่เรารับพรจากใครๆ)จิตใจจะรับรู้อย่างอย่างแปลกประหลาด
(มีส่วนนะคะ หากคุณไม่เชื่อคุณลองทำดูและลองสังเกตุความรู้สึกของตัวเองดูในขณะที่ทำ นี่คือการพิสูจน์คำบอกเล่าของคุณแม่คุณด้วยตัวคุณเองค่ะ คุณแม่คุณ ท่านก็รับอิทธิพลนี้มาจากบรรพบุรุษดั้งเดิมอีกทีอย่างแน่นอน เราๆชาวพุทธ(ชาวไทย)ทุกๆคนปฎิบัติตามๆกันมาเช่นนี้ค่ะ และได้เกิดเป็น ศาสนาและวัฒนธรรมของชาวพุทธค่ะ)
นี่เป็นความเห็นและเข้าใจส่วนบุุคลเท่านั้นซึ่งอาจจะผิดก็ได้เห็นคุณใส่เครื่องหมายนี้ ??? มาหลายตัวอยากช่วยอธิบายค่ะ
หากแต่เพื่อนๆท่านใดรู้ในแง่มุมที่แตกต่างไปจากนี้อาจจะเป็นได้รอฟังคำตอบต่อๆไปด้วยนะคะ ^__^
เพื่อให้ขลังละมั้ง
ผมว่าอาจจะพนมมือเพื่อขอบใจ หรือแสดงความเคารพ แต่หลักๆเพื่อให้ขลัง555 คล้ายๆกับถ้าเรามีความตั้งใจ(แล้วทำด้วย) ความสำเร็จก็จะตามมา
.
จริงๆหากเราจะไม่อยากพนมมือก็ได้ หากรู้สึกว่าสามารถทำจิตใจให้สงบ
แล้วน้อมรับสิ่งดีๆที่อยู่ตรงหน้าได้ดีกว่า
การพนมมือไหว้ ก็คือให้ร่างกายนำไป แล้วจิตใจน้อมตามไงคะ
บางครั้งร่างกายก็ส่งผลต่อจิตใจ
ระหว่างคนที่ยืน กับคนที่นั่ง สภาวะจิตใจก็แตกต่างกันแล้ว ถ้าสังเกตเห็น
เหมือนกับเราปรับสภาพแวดล้อมของร่างกายตัวเอง
ให้อยู่ในสภาวะที่น้อบน้อมจะรับพรดีๆที่อยู่ตรงหน้าได้เต็มเปี่ยม
คือถ้าเทียบแบบให้เห็นภาพชัดๆก็คือ
อย่างเช่นเวลาพระท่านกำลังให้พร หรือมีใครซักคนกำลังอวยพรสิ่งดีๆให้เรา
ระหว่าง
1. คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่ได้แม้แต่จะหยุดหันมามอง
คิดว่าคนๆนี้จะได้รับคำอวยพรที่ลอยลมมาได้มากน้อยเพียงไร
2. คนที่หยุดเดิน แล้วหันมามอง ยืนฟังคำอวยพรนั้น
คิดว่าคนๆนี้จะสามารถรับคำอวยพรที่อยู่ตรงหน้าได้มากน้อยเพียงไร
3. คนที่หยุดยืน หลับตา สงบ เปิดใจรับฟังคำอวยพรตรงหน้า
คิดว่าคนๆนี้จะซึมซับคำอวยพรดีๆที่อยู่ตรงหน้าเขาได้มากเพียงไร
4. คนที่ลงนั่นพับเพียบ พนมมือ หลับตา ก้มศรีษะ
ทำจิตใจให้สงบ น้อมรับฟังสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีอาการต่อต้านใดๆแล้ว
คิดว่าทั้งร่างกายและจิตใจเขา จะน้อมรับสิ่งดีๆที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
ได้มากขนาดไหน เมื่อทั้งกายและใจเขาเปิดพร้อมรับสิ่งที่งดงาม
ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านี้แล้ว
^____^ นี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบง่ายๆนะคะ
ลองนำไปปรับใช้ดูได้นะคะ แล้วแต่เลย
.
ผมก็สงสัยเหมือนเจ้าของกระทู้ครับ แต่คุณอธิบายได้ดี ผมจึงเข้าใจและหายสงสัยแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
ผมคล้ายๆกับเจอคำถามแบบคุณนะ แต่เขาถามว่า
"ทำไมเราต้องทำบุญให้คนอื่นด้วย"
แต่คุณถามประมาณว่า "ทำไมเราต้องพนมมือไหว้รับพรพระด้วย"
อยากรู้เหมือนกันว่ามันทำไมต้องตั้งคำถามอะไรมากมาย
ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำ มันต้องมีเงื่อนไขมีประโยชน์กับคุณก่อนเหรอคับ
คุณถึงจะทำมัน ผมว่ามันก็ดีออก อย่างคำถามแรกเราก็ให้คนอื่นมันก็ดีแล้วนี่คับ
ส่วนคำถามของคุณมันแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน มันเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำ
ไม่ได้ส่งผลแง่ร้ายใดๆกับชีวิตของคุณเลย ก็แค่พนมมือรับสิ่งดีดีเข้าตัวจะได้
เป็นศิริมงคล มันไม่เห็นต้องไปตั้งคำถามอะไรมากมายแบบนั้นเลยคับ
อันนี้จาก คหสต. ผมนะ แล้วถ้าคุณต้องเหตุผลมากขนาดนั้นจริงๆ
เพื่อมาตอบคำถามของคุณว่าเพราะอะไร ทำไมผมถึงต้องไหว้ด้วย
ไหว้แล้วมันได้อะไร ก็ลองอ่าน คห.บนๆดูนะคับ
อีกอย่างการไหว้ก็ไม่จำกัดเฉพาะรับพรนะคับ การไหว์มันใช้ได้หลายอย่าง
ทั้งไหว้ในชีวิตประจำวันเป็นการทักทายที่เป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทย
ทำไมคุณไม่ไปตั้งคำถามนี้ด้วยละว่า "ทำไมถึงต้องไปไหว้คนอื่นๆด้วย"
แค่ใจเราเคารพนับถือไม่ต้องไหว้ก็พอแล้วมั้ง? งั้นเหรอคับ ผมว่าคำตอบ
ข้อนี้คุณรู้ดีอยู่แก่ใจเชียวละ มันอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกมองด้วยอคติ หรือเลือก
ที่จะมองอย่างหลายๆด้าน เปิดกว้างทางความคิดอย่างไร้ขีดจำกัด โดยไม่
ค้านไปซะทุกสิ่ง แต่เลือกที่จะทำความเข้าใจวิถีชีวิตของคนอื่นๆ โดยไม่เอา
อคติส่วนตนไปตัดสินการกระทำของเขาว่ามันน่ากังขา
เคยมีอาจาร์ยคนนึงได้กล่าวไว้ว่า "การที่เราจะเข้าใจวิถีชีวิตหรือสิ่งที่สืบทอด
กันต่อๆมาของชุมชนนั้นๆ เราจำเป็นต้องลบอคติจากตนเองออกให้หมดซะก่อน
และศึกษาแนวคิดที่เปิดกว้างของกลุ่มคนนั้นๆ โดยไร้ซึ่งคำค้านที่มาจากส่วนลึก
ของจิตใจ อันเนื่องมาจากอิทธิพลของความคิดที่เหนือศีลธรรมและจิตใจ"
น่าจะประมาณนี้คับ ผมก็เรียนมานานละวิชานี้ มันสอนได้หลายอย่างนะ จากที่
ผมคอยถามอยู่ตลอดว่าทำไมเขาไม่ทำแบบนั้น ทำไมต้องทำแบบนี้ ทุกอย่าง
ต้องมีวิทยาศาสตร์ ต้องมีเหตุผล เราทำแบบนี้ก็ได้นี่นาไม่ใช่รึไง?
คำถามพวกนี้คุณลองสลัดมันออกแล้วลองมองในอีกแง่ดู แล้วคุณจะเห็นว่า
บางทีทุกอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบตายตัวเสมอไป เพราะนี่คือ "วิถีชีวิต"
ขอบคุณครับที่ช่วยมาอธิบายให้ผม
ที่ผมใส่ ??? หลายตัว เพราะผมติดเวลาพิมแบบตั้งคำถามน่ะครับ เพราะผมเป็นคนที่ใช้คำไม่ค่อยเก่งด้วย
คือ เจตนาจริงๆ คือผมก็ไม่ได้อยากค้านเรื่องวัฒนธรรมหรอกครับ แต่แค่สงสัยว่า สาเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไรครับ
และพอผมอ่านความคิดเห็นแล้วผมก็คิดว่า มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะทำตาม เพราะผมลองพนมมือรับแล้ว ก็รู้สึกอย่่างที่คุณบอกจริงๆ มันคงเหมือนการพนมมือคือการรวมสมาธิละมั้งครับ เพราะถ้าไม่ลองทำอะไรซักอย่างมันก็รวมสมาธิไม่ค่อยได้เท่าไร
สุดท้ายนี้ก็ขอ ขอบคุณทุกคนที่มาแสดงความคิดเห็นกันนะครับ และก็ คือ ไม่รู้จะจบไงดี เอาเป็นว่าขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
ไม่เป็นไรนะคะ ก็เข้าใจว่าคุณอยากรู้จึงถามมา "อยากรู้ก็ถาม" ไม่มีอะไรผิดหรือน่าเกลียดนะคะ (เป็นความถูกต้องต่างหากล่ะ ที่ไม่รู้และไม่ถามต่างหากสิที่ไม่ดี แม้ว่ามาวันนี้เข้าใจว่าเรื่องทุกเรื่องคำถามทุกคำถามนั้นแทบทุกอย่างสามารถหาเองเรียนเองได้จากเน็ตต่างๆนั้นก็ทำได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ไช่ว่าจะหาเจอเสียทุกอย่างเข้าใจว่าครั้งสิ่งละพันละน้อยหรือละเอียดอ่อนมากๆบางครั้งก็ยังหาไม่พบเจอก็มีนะ เพราะเน็ตต่างๆก็อัพโดยคน มีผิด ถูก ตกหล่น ขาดเกิน นั้นยังคงเกิดขึ้นได้ในวันนี้เข้าใจคุณค่ะ
เห็นว่าคุณอาจจะผ่านมาและที่คุณถามนี้ก็เป็นประเด็นเกี่ยวกับศาสนาวัฒนธรรมด้วยซึ่งตรงจุดมุ่งหมายของบอร์ด คือถูกบอร์ดนั้นเอง ดิฉันเห็นว่าคุณรู้จักที่ทางพอสมควรที่อยากถามนั้นดิฉันรู้สึกว่าคุณอยากรู้จริงๆ จึงใด้ถามความหมายดังที่กล่าวมา ที่กล่าวว่าคุณใส่เครื่องหมายดังกล่าวหลายตัวนั้นคือรู้สึกว่า คุณคงอยากเรียนรู้จริงจังค่ะ จึงช่วยตอบ และที่ตอบมานี้ก็มาจากความเข้าใจและวิจารณญาณของตนเองอาจจะผิดหรือถูกก็ให้เพื่อนๆหลายๆคนช่วยกันพิจารณา และช่วยตอบ ดังที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ
ไม่เป็นไรนะคะ ไม่รู้ก็ถามมาค่ะ ดีเสียอีกผู้ที่รู้จะได้มีโอกาสประศิตประสาทวิชาลงเน็ตกันบ้าง ซึ่งที่เราๆพิมพ์ๆเขียนๆนี้ก็จะแสดงขึ้นมาเมื่อหลายๆคนต้องการรู้ ทั้ง ประเด็น ของ คำถาม และ ตอบ ไม่ต้องกลัวที่จะถามนะคะ แต่บางครั้งคำถามหลายๆอย่างอาจจะไม่มีคำตอบเพราะมันเป็นเช่นนั้นและต้องเป็นเช่่นนั้น นั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่นคุณความเห็นที่ 4 อธิบายมานั้นก็เกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ
เจอกันใหม่ในกระทู้หน้านะคะ ^____^
ขอบคุณมากๆครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?