Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

จบครู แต่ไม่เป็นครู.....การศึกษาไทย.....

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

....สวัสดีครับ....

 

         ก่อนอื่นต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมไม่เคยตั้งกระทู้ มาก่อน ถ้าผมใช้ภาษา การเว้นวรรค หรืออื่นๆ ไม่ดี ก็ต้องของอภัยมาที่นี้ด้วยนะครับ

 

.....เริ่มกันเลยเนอะ.....

 

     ผมชื่อ โน่ ครับ(นามสมมุติ) ตอนนี้ทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และเป็นติวเตอร์วิชาวิทยาศาสตร์ด้วย ผมเรียนจบจากคณะศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง(ไม่ดังมาก แต่ทุกคนรู้จักอย่างแน่นอน) ตอนแอดมิชั่นเข้ามา ผมตั้งใจอย่างมากครับที่จะมาเป็นครู ตอนที่ผมเรียนอยู่มอปลายผมชอบเรียนวิชาเคมีมากๆครับ ก็ไม่ได้เก่งมากนะครับ แต่เก่งก็ที่สุดในห้อง และก็ติดท๊อป 1 ใน 5 ของโรงเรียน (คิดเองเองนะครับ แฮ่ๆ)

    

     ตอนนั้นก็คิดๆอยู่ว่าจะเลือกคณะอะไรดี ที่เกี่ยวกับเคมี โน่เองก็คิดไปต่างๆนานา จะสรุปได้ว่าจะเรียนครู เพราะด้วยเหตุทางการเงินของทางบ้าน ผมคิดว่าถ้าผมเรียนอย่างอื่นอาจจะมีเวลาว่างน้อย ไปสอนพิเศษ หารายได้ยาก อีกอย่าง โน่เองก็ชอบในการพูดคุยติดต่อสื่อสาร presentation อยู่และก็เลยคิดว่าจะเอาดีด้านนี้ไปเลย

 

      โน่เลือกครู 3 อันดับ จาก 4 อันดับ อันดับสุดท้ายเลือกโภชนาศาสตร์ไป โน่ไม่ติดอันดับ 1 และแน่นอน อันนี้ก็คือ จุฬา แต่ติดอันดับ 2 คือ ที่นี่ครับ

ในตลอดระยะเวลาที่โน่เรียน โน่ก็รับ job สอนพิเศษเอาเป็นเอาตาย เพื่อหาเงินเลี้ยงดูตัวเอง (ค่าเรียนกู้เอา) โน่พูดคุยกับเพื่อนหลายๆคนที่เรียนด้วยกัน หลายคนไม่อยากเป็นครูเลย แต่พ่อแม่ให้มาเรียน หรือไม่ก็ไม่ติดคณะที่ตั้งใจ แต่ติดคณะนี้เราเลยต้องเรียน แต่โน่เอง แบบว่าออกตัวแรง ประกาศตัวว่า โน่นี่แหล่ะครับ จะเป็นครู

 

      ในระหว่างผมประสบความราบรื่นอย่างมากในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ แต่จะมีปัญหากับวิชาทางศึกษาศาสตร์ คือ ตอนเราเรียนมา ครูสมัยเราก็สอนแบบว่า ครูเป็นใหญ่ การทดลองน้อย ท่องๆไป ไม่เคยถามหรือตอบนักเรียนว่าเรียนเหล่านี้ไปทำไม โน่เองก็ติดภาพนั้น แต่ที่มหาลัยโน่ สอนอีกแบบเป็นการของตามแบบทฤษฎีการสอนแนวใหม่ คือ เอานักเรียนเป็นสำคัญ ให้นักเรียนตั้งคำถาม ตอบคำถาม ไม่เน้นวิชาการมาก แต่ได้เนื้อหาจากประสบการณ์จริง ในช่วงแรกๆ โน่บอกได้เลยว่า โน่โคตรจะไม่เชื่อเลย ว่ามันจะได้ผลเพราะโน่ไม่เคยเรียนแบบนี้ หรือติวคนอื่นในแบบนี้ เราเคยเรียนมา ติวมา แบบเก่า มันก็ทำให้เราสอบได้อยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว แต่พอเรียนๆไป มันก็พบว่า วิธีแบบใหม่นี้ได้ผลมาก คือ แบบว่าเป็นลักษณะของการเรียนการสอนในแบบที่เราเคยรู้จักไปเลย เด็กกล้าที่จะถามกล้าตอบ ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ใครๆก็เบรคไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นผู้อำนวยความสะดวก และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเรียนรู้

 

(การเรียนแบบใหม่ที่ผมกล่าวมา คือ การจัดการเรียนตามทฤษฎี constructivism พูดอย่างง่าย คร่าวๆ คือ เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้หัวกลวงมาก่อนเรียน คือ รู้เรื่องที่จะเรียน แบบว่า เคยได้ยิน เห็น หรือรู้มาบ้าง ไม่มากก็น้อย ถูกบ้าง ผิดบ้าง การเรียนคือปรับความรู้ที่มันถูกๆผิดๆ ปนกันให้มันถูก แล้วจะปรับอย่างไรล่ะ ก็ความรู้เดิมที่มีมา มันเกิดจากประสบการณ์ ก็ต้องแก้ด้วยประสบการณ์ ครูจะมีหน้าในการสร้างประสบการณ์ในเรียนรู้เรื่องนั้น ให้ผู้เรียนได้เข้าใจอย่างถูกต้องมากขึ้น เห็นมั๊ยว่าการท่องจำ หรือศักแต่จำ ไม่มีในคำนิยามทฤษฎีนี้เลย)

 

           โน่ยิ่งเรียน โน่ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น จนได้ไปฝึกสอน ผมก็มีความตั้งใจที่จะนำความรู้ที่เรียนมา มาสอนให้นักเรียน แต่..... ในโลกความเป็นจริงนั้นมันไม่ง่ายเลยจริงๆ ความคิดระบอบเดิมๆ จะคงฝังลึกในโรงเรียน ครูพี่เลี้ยงที่ดูแลโน่ก็เป็นเช่นนั้น เค้าไม่เห็นด้วย และไม่เข้าใจวิธีการสอนของโน่เลย เอาเป็นว่า เพราะเรื่องแนวการสอนก็ทำให้โน่ กับครูพี่เลี้ยงไม่ถูกกับไปเลย

 

          โน่พยายามที่จะสอนตามที่โน่เรียนอย่างเต็มที่ อาจารย์มหาลัยก็ให้กำลังใจโน่ พร้อมช่วยปรับให้โน่สอนดีขึ้นเรื่อยๆ โน่รักในการสอนมากครับ ใครไม่ได้เป็นครูก็ไม่รู้หรอกว่า แค่เตรียมการสอน มันก็ใช้เวลานานมากแล้ว เพราะไม่ใช่เข้าไปในห้อง แล้วพูดว่า "นักเรียนเปิดหนังสือหน้า 57 อ่าน และทำตามครู" แต่เราเปลี่ยนหน้าที่แล้ว จากผู้ให้ความรู้เป็น ผู้จัดสถานการ อำนวยความสะดวก หน้าที่มันเยอะ และหนักมาก แต่เรี่องโน่รับได้ แถมยังรู้สึกว่ามันสนุกดี เราเองก็จะได้พัฒนาตัวเอง ไม่หยุดคิด แต่งานครูมันไม่ได้มีแค่นั้นล่ะซิ ไหนจะกิจกรรมวันสำคัญ อมรม(ห่าอะไรก็ไม่รู้)เยอะแยะ โครงโน้นนี่นั้น เยอะมาก ก็เพราะงานพวกนี้ไงครับ ครูเลยไม่มีเวลาเตรียมสอน ก็เลยสอนแบบไม่มีแผน ก็เลยสอนไม่ดี ก็เลยไม่รู้จะเอาคะแนนเก็ที่ไหนให้นักเรียน ก็เลยสั่งการบ้าน ก็เลยลอก ก็เลยไม่เข้าใจ ก็เลยเกรดจอมปลอม ก็เลยเป็นแบบนี้ไง

 

            โน่รับทนไม่ได้กับระบบแบบนี้ โน่รักการสอน แต่จะให้โน่เอางานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน มาเบียดบังงานสอน โน่เหนื่อยมากครับ ทุกวันนี้ที่ระบบการศึกษามีปัญหามากๆ โน่บอกได้เลยไม่ใช่ครูไม่มีคุณภาพ แต่ระบบมันแย่ต่างหาก ระบบอุปถัมในโรงเรียน การเมืองในโรงเรียน การเอาหน้า แย่งชิงผลงาน และการเลื่อนขั้นแบบไม่ได้ทำอะไรก็ได้เลื่อนขั้น ยิ่งเลียเก่งๆ ใกล้ชิด ผอ. ก็ได้เลื่อนขั้นไว เพราะเหตุเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ครูนั้นไม่เห็นความจำเป็นในการพัฒนาวิธีคิด และกระบวนการสอนของตัวเอง

 

             จริงๆ เรื่องเงินเดือนก็เป็นปัจจัยหนึ่ง คือ คิดกันแบบง่ายๆนะครับ เราอย่างให้ลูกเก่งๆ เราก็อยากได้คนเก่งๆมากสอน แต่คนเก่งๆ ได้เงินเดือน 15,000 บาท แล้วคนเก่งๆที่ไหน จะเลือกมาเป็นครู งานครูมันเยอะมากๆ ใช้กระบวนการคิดมาก พูดง่ายๆ เปลืองสมองมาก โอกาศหัวผุสูง แต่เงินแค่นี้ คือ มันก็ไม่น้อยนะครับ แต่ผมว่ามันไม่สมกับหน้าที่ และความรับผิดชอบ

 

          สุดท้ายโน่เลือกที่จะหันหลังให้กับการสอบบรรจุครู โน่เลือกจะไปทำงานด้านการตลาดและสื่อโฆษณา หลายคนชอบถามโน่ว่า ทำไม ไม่เป็นครู โน่ก็ตอบสั้นๆว่า โน่ไม่ชอบระบบ

 

         ที่โน่กระทู้นี้ก็เพราะโน่อยากจะบอกให้คนในสังคมได้รู้ว่า ระบบการศึกษามันไม่ดี และช่วยกันผลักดันให้ระบบมันดีขึ้น โดยการพูดต่อๆกัน ศึกษาที่ต้นตอของปัญหา ช่วยกันเฝ้าดู ติดตาม กดดันภาครัฐ ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อสังคมของเราทุกๆคนจะได้ดีขึ้น

 

ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องจริงที่ผมพบเห็นมา และในส่วนที่เป็นข้อคิดเห็นต่างๆ ก็เป็นความคิดโดยส่วนตัวนะครับ  .....โน่.....

แสดงความคิดเห็น

>

14 ความคิดเห็น

nefertari 22 ส.ค. 57 เวลา 13:27 น. 1

จากการอ่านข้อความของคุณ ขอบอกว่า ดีแล้วคะ ที่คุณไม่ได้บรรจุครู คุณเข้าใจความหมายของคำว่าครู แท้จริงไหมคะ ครูคือผู้ให้ ผู้อบรมสั่งสอน ให้นร มีความรู้ ความดี ทั้งในและนอก ครูเหล่านั้นเขาทำด้วยใจ ไม่ได้หวังที่เงินตราคะ คุณบอกว่าเงินเดือนหมื่นห้าน้อยไป สำหรับครู แต่ครูเอกชน เงินเดือนยังน้อยกว่านั้นอีกคะ คุณว่าควรเพิามเงินให้ครู แล้วภาระจะตกอยู่ที่ใครคะ ที่ตัวนร นศ และผู้ปกครองใช่หรือไม่ บางคนไม่มีทุนเรียน ก็ใช้ทุนสถาบันเรียน หรือไปกู้มา คุณว่าอาชีพครูต้องใช้ความสามารถมาก อย่างนั้นคุณจะบอกว่า อาชีพอื่นเขาใช้ความสามารถน้อยกว่าใช่หรือไม่ เพราะเรทเงินเดือน มัน15000เช่นกัน ถ้าอย่างนั้น อยากแนะนำคุณว่าควรไปลองทำอาชีพอื่นดูนะคะ แม้แต่พนักงานเสริฟ เงินเดือนเก้าพัน เขาต้องคิด วิเคราะห์ เพื่อนำมาใช้กับลูกค้าแต่ละราย หรือแคชเชียร์ที่เงินเดือนแค่นี้ แต่รับภาระทางการเงินสูง ถ้าเงินหาย หรือนับพลาด แคชเชียร์ก็ต้องรับผิดชอบชดเงินเหล่านั้นแทนคะวันสามร้อย แต่ถ้าหายห้าร้อย วันนั้นแสดงว่าทำงานฟรี และยังเพิ่มเงินอีก ถ้าอยากได้เงินเดือนสูง ก็คงเป็นเจ้าของธุรกิจเองคะ แต่อย่าลืมนะคะ ว่าต้องรับภาระค่าจ้างพนักงาน ลูกจ้าง การซื้อสินค้า การเสียภาษี การทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การขอคืนภาษี การเสี่ยงต่อการล้มละลาย ตอนแรกก็พอเข้าใจเรื่องระบบอยู่บ้าง แต่การที่เอาเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่แน่ใจว่าจุดยืนจริงๆมันที่ระบบ หรือเงินที่คุณมองว่าน้อยไป

0
Prisma Dominatus 22 ส.ค. 57 เวลา 13:52 น. 2

I see a heap of issues in your story.

But I think the most important issue is the AWESOMENESS of Thai education that manage to make students turn away from whatever they studied.

I don't know if there were any other schools in the world manage to make their students hate their study this much. What you want kids to hate, simply add it into course syllabus.

Anyway, if you graduated from teacher school, just sign up for call center. They can always use a few more dont-wanna-be teachers.

0
K.W.E. 22 ส.ค. 57 เวลา 14:06 น. 3

จริงๆถ้ายังรักสายอาชีพนี้ก็ยังมีทางเหลืออื่นนะครับ เช่น เป็นครูพิเศษ ครูมหาวิทยาลัย ครูเอกชน ซึ่งจะมีอิสระขึ้นสักนิด และเงินเดือนขยับกว่าราชการ

ผมเองก็เคยอยากจะลองไปเป็นครูเหมือนกัน ตอนนี้มีวุฒิ ป.บัญฑิต ที่เอาปริญญาตรีไปเทียบได้แต่ก็ไม่ทันได้เรียน เพราะหลักสูตรนี้ถูกปิดไปด้วยเหตุผลน่าทึ่งว่า 1.ครูมีมากพอแล้ว 2.กลัวครูจบมาได้มีคุณภาพพอ...

พูดถึงกระบวนการศึกษาในบ้านเราแล้ว บางทีผมก็นึกถึงคำพูดของหลายคนที่พูดอิงการเมืองว่า บ้านเราเน้นสอนท่องจำมากกว่าสอนให้คิด เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง... ประเภทชี้นกเป็นนก ชี้ไม้ก็ต้องเป็นไม้

มีเรื่องตลกร้ายว่าบางทีเรามักถูกด่าเวลาพูดอะไรไม่เข้าหูใครว่า 'ห้ามพูด'
แต่คนรู้จักผมคนหนึ่งโดนหนักกว่านั้น ในตอนเด็กเขาถูกผู้ใหญ่ด่าเลยว่า 'ห้ามคิด!'

ไอย่ะ... กระทั่งคิดก็ยังห้าม
คือแทนที่จะบอกว่าเหตุใดถึงไม่ควรพูดไม่ควรคิด แต่กลับตัดบทด้วยการห้าม มันกลายเป็นค่านิยมสังคมไปเลย สมัยผมเรียนก็เจอบ่อยๆประเภทยกมือถามแล้วถูกเพื่อนแซวว่าทำตัวเด่นเอย ถามไร้สาระเอย ถามทำไมแทนที่จะได้เลิกไวเอย...

ซึ่งพฤติกรรมมองคนถามเป็นพวกแปลกเช่นนี้ มันควรจะหมดไปจากสังคมได้แล้ว


สงสัยก็ต้องถาม ถ้าหัวทึบจำช้าอยากถามก็ถามท้ายชั่วโมง นอกเวลา เวลาว่างก็ได้ แต่ไม่ได้จบไปแบบไม่เข้าใจอะไรเลย

แต่ก่อนผมก็เรียนมาแบบนี้ สมัยเด็กเคยมีวิชากฎหมายให้มาท่องจำ ท่องตัวบทไปแต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร สุดท้ายก็ลืม หรือถ้าจำได้ก็ใช้ไม่เป็น...

มาตอนอายุเยอะนี่ผมเปลี่ยนวิธีการเรียนใหม่คือท่องไปทำความเข้าใจไป ถ้าเข้าใจแล้วเดี๋ยวมันจะจำโครงร่างได้เอง รู้หลักรู้แก่น ถึงเวลาใช้ได้ จำได้ไม่หมดไม่เป็นไรเปิดอ่านเอาได้ เพราะประเด็นสำคัญมันอยู่ในหัวแล้ว


หลักสูตรการศึกษาควรปฏิรูปได้แล้ว แต่น่าคิดที่ว่าผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าวิกฤตการในประเทศ การเมืองตั้งแต่ รบ.เลือกตั้ง ลากตั้ง พิเศษเฉพาะกาล ประเด็นการศึกษาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่เวลามีเวที มีรายการทีวีก็เชิญผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ เชิญคนเกี่ยวข้องมา ก็พูดกันเหมือนเข้าใจ แต่กระนั้นการศึกษาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ควรจะเป็น... เหมือนมีโซ่อะไรบางอย่างมารั้งไว้ ด้วยเหตุผลบางประการ


เราจะทำอะไรได้ไหม?
ก็ทำในสิ่งที่เราทำได้ล่ะครับ ไม่อยากเป็นครูก็ไม่เป็นไร เราปลูกฝังแนวคิดค่านิยมดีๆให้เด็กได้ เราเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กได้ ต่อให้ระบบพัง แต่ถ้าเด็กสนใจใฝ่อยู่เสียอย่าง เขาก็เอาตัวรอดได้ หรืออย่างน้อยก็มีลู่ทางครับ มันจะดีกว่าไปงมเอง หรือไปปรึกษาระบบที่ยังมีปัญหา


ส่วนเงินเดือนต้องทำใจครับ แต่เอาจริงๆครูยุคนี้ก็ดีกว่าเดิมมากแล้วนะครับ ตั้งแต่มีการปรับฐานเงินเดือนนี่ 15,000 ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีล่ะ ถ้ามีสวัสดิการภาครัฐด้วย เช่น เบิกจ่ายค่าพยาบาล ค่าเล่าเรียนได้ ก็ถือว่ามั่นคงในระดับหนึ่งแล้วล่ะครับ ถ้าอยากได้สูงกว่านี้ก็อย่างที่บอกข้างต้นคือไปเป็นครูเอกชนเสีย

ครูตามระบบไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะถ้าเก่งจริงแล้วอยากเป็นครูก็ไม่พ้นเอกชน ซึ่งในเรื่องการให้การศึกษาก็ยังคงเป็นผลดีกับระบบครับ เพียงแต่จะจำกัดการเข้าถึงเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ได้เสียไปฟรี

แต่ที่จะเสียไปฟรีจริงๆคือพวกผู้รับทุนมากกว่า พวกนี้ไปจบสายตรง ซึ่งบางทีก็หาผู้ชำนาญได้น้อยมากในประเทศ พอจบมาใช้ทุนตามระยะเวลาหนึ่งก็อาจมีแยกตัวไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือรับงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนเลย ณ จุดนี้การปรับเงินเดือนหรือสวัสดิการให้จูงใจก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการรั้งมันสมองที่อุตส่าห์ปั้นมาได้บ้างครับ

0
Earendel Gilmirath 22 ส.ค. 57 เวลา 15:10 น. 5

อ่านแล้วคิดว่า ระบบก็ไม่ได้ดี แต่วิธีคิดคุณหนักกว่า

คุณ
ไม่ได้รักความเป็นครูอย่างที่คุณอ้างเลยแม้แต่น้อย

คุณกำลัง
อยากสบาย มีหน้าที่แค่มาพรีเซ้นต์หน้าห้องกับนักเรียนอย่างเดียว

เหมือนครูประเภทที่คุณล้อว่า มาถึงก็ "นักเรียนเปิดหน้า 57 แล้วทำตามครูฯ" นั่นแหละค่ะ

คนเป็นครู ทำอะไรมากกว่านั้น เขาเป็น "
ผู้ให้"

เพื่อนแวร์เป็นครูกันหลายท่าน และเขาเหล่านั้นได้แสดงบทบาทผู้ให้ตลอดเวลา

เขาทำงานหนัก เตรียมการสอน โดยไม่บ่น
เพื่อนักเรียนของเขาจะได้สิ่งดีๆ

พยายาม
กระตุ้นให้เด็กคิด เด็กเสนอความเห็น

และงานจิปาถะกิจกรรมอะไรก็ตาม เขายินดี
สละตนไปช่วยเหลือ

และหากครู ไม่ทำหน้าที่เป็น
นักจัดการ แล้วจะจัดการบริหารงานสอนอย่างไร?

งานครูไม่ใช่แค่ออกมาพูดสวยๆ ส่งๆ หน้าห้องเรียน

คุณต้องบริหาร บริหารคน บริหารงาน ถ้าคุณไม่อยากทำแบบนี้

ดีแล้วค่ะ ที่ไปทำอย่างอื่น งานสื่อที่ใช้ทักษะ
การพูดอย่างเดียว

การทำงานจัดการแค่
หน้างานอย่างเดียว อาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า

เพราะคุณไม่ได้ยินดีสละเวลามากกว่านั้นเพื่อให้ความรู้คนอย่างที่คุณอ้าง

0
Death With Love 22 ส.ค. 57 เวลา 15:52 น. 6

อืม... การออกจากสายอาชีพนั้นๆ 
แล้วบอกว่าเพราะระบบมันไม่ดี และขอให้ช่วยบอกต่อๆ ไปในสังคมเพื่อการแก้ไข?
ไม่น่าจะใช่ และคงไม่ทำให้ระบบมันดีขึ้นนะครับ
เหมือนคนทนสภาวะบางอย่างไม่ได้ เดินออกมาแล้วบอกเพราะที่ตรงนั้นมันไม่ดี
แต่ตัวเองหนีก่อนคนแรก?

ผมเห็นด้วยกับคห.3 ของคุณ K.W.E
เราทำอะไรได้ก็ทำไป ในขณะที่เราก็เลือกได้ ไม่ใช่เดินหนีออกมาแล้วโยนให้คนอื่น
จขกท.ไม่ชอบระบบจึงออกมา ไม่แปลกครับ ทุกคนหากไม่ชอบก็ถอนตัวทั้งนั้น
แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรในเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบที่คุณไม่ชอบครับ แม้จะแชร์ประสบการณ์ให้คนอื่นรับรู้ เขาก็ไม่สนใจเท่าไร ซ้ำอาจจะคิดว่าคุณทนองค์กรไม่ไหว หนีออกมาแล้วโจมตี

ถ้าให้พูดถึงอาชีพ "ครู" ผมนึกถึง "ความเสียสละ" เป็นลำดับแรก
ครูรับเงินเดือนเหมือนอาชีพอื่นก็จริง แต่มันมีความรับผิดชอบเรื่องอบรมสอนสั่งลูกศิษย์
ให้ความรู้ทางวิชาการ ให้ความรู้การดำเนินชีวิต หรือคอยให้คำปรึกษา
ซึ่งมันยุ่งยาก น่าเบื่อ ซ้ำซาก ถ้าไม่มีใจเสียสละพอก็คงเป็นแบบจขกท.นั่นแหละครับ

เพราะอย่างนั้น ถ้าจขกท.ไม่ชอบระบบ ก็พยายามทำอะไรเท่าที่ทำได้เถอะครับ
เปลี่ยนคนอื่นหรือระบบอาจจะยากลำบาก ควรเปลี่ยนที่ตัวเราก่อน เปลี่ยนมาพยายามแก้ไขระบบ(ที่ไม่ชอบ) ดีกว่าอยู่วงนอกแล้วคอยบอกว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ไม่พยายามทำอะไรเลย

0
เคย์เซย์ 22 ส.ค. 57 เวลา 16:28 น. 7

อ่านแล้วรู้สึกว่าจขกท.ยังขาดคุณสมบัติที่จะเป็นครูนะ ระบบอาจจะไม่ดี แต่จขกท.แย่กว่า แล้วครูสมัยก่อนเงินเดือนน้อยกว่านี้มาก เขายังมีความเป็นครูมากกว่าจขกท.เลย 

0
แบล็กควีน 22 ส.ค. 57 เวลา 16:48 น. 8

ขอไม่พูดไรมากละกัน เรียนครูว่ายาก เรียนวิศวะยากกว่า ถ้าเป็นครูเงินเดือน 15000 หัวสมองผุพังไม่คุ้ม วิศวะโรงงานเดือนละ 17000 ยิ่งกว่าหัวสมองผุพังอีก เปื่อยกันไปข้างเลย ทุกอาชีพมันมีกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากที่เรียนมาและชื่อคณะอยู่แล้ว อาชีพจะใช้แรงกายแรงสมองและแรงใจเข้าแลก ถ้าใจไม่รักก็ไปทำอย่างอื่นเถอะ

0
★ VaRiant ★ 22 ส.ค. 57 เวลา 17:43 น. 10

เข้าใส่สิ่งที่คุณจะสื่อนะครับ แต่ว่าทุกอย่างไม่ได้มีแค่ด้านใดด้านหนึ่ง มันมีทั้งข้อดี และข้อเสีย

อย่าใช้อคติกับระบบการศึกษาแบบเก่า เพราะมีคนไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาแบบใหม่ที่คุณชอบ

0
wannamoon 22 ส.ค. 57 เวลา 17:48 น. 11

แปะไว้ก่อนเดี๋ยวเราจะเข้ามาเล่าวิถีทางเดินชีวิตครูของพี่เราให้ฟัง จขกท.จะได้เห้นภาพว่ากว่าจะไดเป็นครูอย่างที่ใจหวังน่ะมันไม่ได้มีแค่ไฟอย่างเดียว ต้องมีความตั้งใจและพยายามเป็นที่ตั้งด้วย

0
back_club 22 ส.ค. 57 เวลา 17:52 น. 12
คุณไม่ได้อยากเป็นครู
แค่ชอบงานสอน อยากเป็นติวเตอร์มากกว่า
ไม่แน่อนาคตของคุณ...คงเปิดกวดวิชาสักแห่งล่ะ

เปิดใจเรื่องระบบสักนิดนะครับ เช้าชามเย็นชามก็จริง
แต่เงินของรัฐ รัฐต้องบริหาร เรามีหน้าที่สอนศิษย์ให้เป็นคนดีคนเก่ง
0
Brick 22 ส.ค. 57 เวลา 18:44 น. 13

อ่านหลายๆ ความเห็นแล้ว ก็ว่าจขกทหนักเกินไป

ค่าครองชีพสมัยก่อน กับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน สมัยก่อนเงินเดือนแค่ 10,000เดียวก็อยู่ได้สบาย
แต่สมัยนี้ 15,000 แค่อยู่คนเดียวก็ลำบากแล้ว ถ้ามีลูกเมียนี่จบเลย

สปิริตการเป็นครูสำคัญก็จริง แต่คนเราไม่ได้มีแค่นักเรียน ยังต้องเลี้ยงพ่อแม่ลูกเมีย

ระบบการสอนก็ไม่ไหว เดี๋ยวนี้หย่อนยานมาก เนื้อหาการสอนน้อยกว่าสมัยผมเรียนหลายเท่า

ล่าสุดก็มีข่าวเรื่องการบ้าน คนไม่รู้ก็คงด่าครูเสียๆ หายๆ
แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ ถ้าครูมีเงินแค่พออยู่ได้คงไม่มีใครออกมาทำแบบนี้


เอาเป็นว่าผมเข้าใจจขกทครับ

0
โน่ครับบบบ 29 ส.ค. 57 เวลา 11:37 น. 14

เอาจริงๆ ครู ก็คือคน คนที่อยากเห็นผู้อื่นเจริญเติบโต ผมไม่หรอกนะครับ ว่าคนที่ว่าผมต่างๆนานา เค้าเคยเป็นครูมามั๊ย เค้าเคยระบบ ภาวะของระบบ และความย้อนแย้งของระบบมั๊ย

ผมอาจจะไม่เสียสละมากพอหรือไม่ ผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกคับ ผมใช้คำว่า ผมพยายามมากที่สุดก็แล้วกัน ผมถามจริงๆ การที่เราเลือกที่จะอาชีพซะหนึ่งอาชีพ นั้น เราต้องศูนย์เสียความเป็นตัวขนาดไหนหรอครับ ที่เรียกว่าเสียสละ

ทุกๆวันนี้ สภาพการศึกษาไทยมีปัญหา เพราะความคิดไม่ขัดแย้งกันเอง เช่น ครู คือ แม่พิมพ์ แต่เป็นผู้เรียนรู้ไปพร้อมๆนักเรียน สรุป ครู คือ คนดีที่เป็นแม่พิมพ์ ถูกทุกอย่าง หรือ ครู คือ มนุษย์ธรรมดา ที่ผิดได้ และเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน สรุปแล้ว เราต้องการบทบาทแบบไหน

ครูสอนนักเรียนไปทำไม เป้าหมายการศึกษา คือ อะไร แม้แต่ครูหลายๆคนก็ตอบไม่ได้ สรุป เราให้นักเรียน เรียนเพื่อสอบ หรือ เรียนเพื่อได้ทักษะในการแสวงหาความรู้ ตามหลักสูตร คือ เรียนเพื่อรู้ เพื่อทักษะ แต่ตามระบบที่ทำๆกัน คือ เรียนเพื่อสอบ

การที่ผมเลือกที่จะไม่อยู่ในระบบของครู ก็เป็นเพราะ คำตอบที่แท้จริงมันคืออะไร ยังตอบไม่ได้ ถ้าหลายๆคนจะมองว่าผมไม่อดทนพอ ผมก็ยอมรับครับ แต่ถ้าเป็นคุณล่ะครับ ถ้าอาชีพที่ทำมันสับสนในเรื่องของเป้าหมายแบบนี้ คุณจะเลือกอะไร

ผมเขียนกระทู้นี้ เพื่ออยากให้ทุกๆเห็ถึงความย้อนแย้ง และคุณภาพของระบบการศึกษามากกว่า การเขียนเพื่อให้คนอื่นๆ รู้ ย่อมดีก็ไม่รู้ เพื่อให้สังคมร่วมกันผลักดันปัญหาให้ถูกแก่

ขอบคุณทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นนะครับ

0