Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไรมากที่สุด

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไรมากที่สุด
คำถามเดียวกัน แต่คำตอบต่างกัน!!!



เมื่อได้ยินคำถามว่า... 
ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไร?
เทวดาตอบว่า 
"เราจะพิจารณาธรรม เพราะมนุษย์มีกายสังขาร ที่เหมาะกับการพิจารณาธรรมมาก ร่างกายของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ใช้พิจารณาธรรมได้ดีที่สุด น่าอิจฉาพวกมนุษย์จริงๆ"
พญานาคตอบว่า...
"บวชสิ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะบวช เป็นพญานาคมีฤทธิ์ก็จริง แต่บวชไม่ได้ พ้นทุกข์ไม่ได้ ไม่เหมือนมนุษย์ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้มนุษย์บวช มนุษย์ไปนิพพานได้"
พระภูมิเจ้าที่ตอบว่า...
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้ข้าจะไปทำบุญใส่บาตรทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอคนอุทิศส่วนกุศลให้อีก ไปทำเองเลย เพิ่มบารมีได้เร็วทันใจดี"
สัตว์เดรฉานตอบว่า...
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะสงเคราะห์สัตว์ตัวอื่นๆ เป็นสัตว์นั้นทุกข์มาก พูดก็ไม่ได้ คิดอะไรฉลาดๆ ก็ไม่ได้ เป็นมนุษย์มีสมอง มีปัญญา ข้าจะใช้ปัญญาของมนุษย์ทำให้ตัวเองไม่ต้องมาเป็นสัตว์อีก"
เปรตตอบว่า...
"ข้าไม่อยากมีหน้าตาน่าเกลียด ไม่อยากมีปากเท่ารูเข็ม มีรูปร่างสูงเหมือนต้นตาล ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะถือศีล จะได้ไม่ต้องมาเป็นเปรตผู้หิวโหย อดๆ ยากๆ ทนทุกข์ทรมานแบบนี้"
สัตว์นรกในอเวจีตอบว่า...
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะทำความดี จะไม่ผิดศีลอีก จะปฏิบัติธรรม เพราะนรกมันร้อน มันโหดร้าย อยู่แล้วมีแต่ความเจ็บปวด ทุรนทุราย ถ้าข้ามีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะไม่ทำเลว ข้าไม่อยากทรมาน ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสัตว์นรกอีก"
แต่เมื่อถามคำถามเดียวกันกับมนุษย์
ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไร? 
มนุษย์
มนุษย์กลับตอบว่า...
"ฉันอยากรวย


พระธรรมราช ธรรมราชา กับ พระพีระ สิริธโร

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

Big Snake 27 ส.ค. 57 เวลา 20:11 น. 2

เราดีใจ>>>>ที่ชาตินี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์  แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนในการในการปฎิบัติธรรม ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่  เอาเป็นว่า จะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

0
Big Snake 27 ส.ค. 57 เวลา 20:22 น. 3

การทำอะไรนอกกรอบ ถ้าเป็นเรื่องดี ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรครับ แต่สำหรับผมคำว่ากรอบในความคิดของผม ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นผู้กำหนดขึ้น หรือไม่กำหนดก็ได้ครับ เราเพียงทำตามใจที่เราคิด แต่ขอให้เป็นเรื่องดีๆเป็นพอครับ

0
basic 29 ส.ค. 57 เวลา 12:22 น. 5

ไปถามคนจนเค้าก็บอกอยากรวย ไปถามคนขี้เหร่เค้าก็บอกอยากสวย ไปถามคนโง่เค้าก็อยากฉลาด

สรุปคนเราต้องการเติมเต็มสิ่งที่ขาด

0
Big Snake 29 ส.ค. 57 เวลา 17:48 น. 6

ใช่แล้วครับ แล้วแต่ความอยาก หรือสิ่งที่ขาดของคน
นี่แหล่ะครับ เป็นที่มาของคำถามที่ว่า....

ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไรมากที่สุด
คำถามเดียวกัน แต่คำตอบต่างกัน!!!

ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะตอบว่า อยากปฎิบัติธรรมจริงๆจังๆ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น

0
White Frangipani 30 ส.ค. 57 เวลา 06:53 น. 7

สวัสดีคุณ big Sneke ค่ะ


ใช่แล้วครับ แล้วแต่ความอยาก หรือสิ่งที่ขาดของคน
นี่แหล่ะครับ เป็นที่มาของคำถามที่ว่า....

ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไรมากที่สุด
คำถามเดียวกัน แต่คำตอบต่างกัน!!!
"...เห็นด้วยกับคุณเป็นอย่างที่สุดค่ะ แต่ก็อยากที่จะช่วยออกความเห็นซึ่งอาจจะแตกต่างนิดนะคะ

จริงแล้วประเด็นซึ่งเป็นหัวข้อของกระทู้นี้นั้น ดูเหมือนจะมีจุดมุ่งหมายหรือชี้ประเด็นไปที่ "ความอยาก" ความอยาก คือกิเลส ตราบใดที่มีความ อยาก ก็มีการเวียนว่ายกายเกิด  ดังที่เรื่องราวในกระทู้บอกเล่ามานั้นคือ แม้แต่...เทวดา พญานาค พระภูมิเจ้าที่ สัตว์เดรฉาน เปรต สัตว์นรก มนุษย์  ก็ยัง "อยาก"(ที่จะ) คือมี"ความอยาก" ที่จะกระทำการต่างๆแม้ว่าจะเป็นการใฝ่ฝันที่จะทำสิ่งดีๆ(หรือใดๆ)ตามความเข้าใจของเขาก็ตาม แต่นั้น ก็ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานของ"ความอยาก" อยู่ดี

...และความอยากในที่นี้ (เช่นที่ดิฉันยกตัวอย่างมานี้) และนั้นเป็นอะไรที่พุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายสั่งสอนให้  เฝ้าดู ควบคุม ตามให้ทัน รู้เห็น ให้เท่าทัน ความอยากของตน ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ และต้องพยายามพากเพียรที่จะเอาชนะ ให้ความอยากสงบลงหรือให้ดับมอดลงให้ได้เพราะความอยากนี่แหล่ะ แท้จริงแล้วเป็นมอเต่อร์ หรือหัวจักร หรือพลังขับเคลื่อน ให้การเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ได้มีโอกาส เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (ได้ หรือต้องกลับมา ยกตัวอย่างเช่นเมล็ดพันธุ์พื้นที่ได้เกิดเป็นดอกเป็นเมล็ดตกลงพื้นและก็งอกเงยขึ้นมาอีกครั้ง และอีกครั้งๆๆๆ หรือแม้แต่คนนั้นมีการเวียนว่ายตายเกิด) บน(หรือใน)โลกนี้   ในห้วงจักรวาลนี้ ในวัฎจักรแห่งนี้

"ความอยาก" คือ "กิเลส" กิเลส" คือความอยาก" ...จริงแล้วนี่คือความหมายเดียวกันนั้นเอง บ่อยๆที่เราได้มีโอกาสดูหนังดูละครหรืออ่านพบในนิยาย ละครตัวที่ต้องมีอันต้องตายกลางเรื่องรำพันบ่อยๆว่า  เกิดมาชาติใดก็ให้มาพบเจอกันอีก (แหน่ะ)  จะคง"อยาก"ที่จะกลับมาพบ มาเจอ ยังคงอยากจะกลับมาเกิดอีกนะ แม้ว่าจะรักกันปานจะกลืนหรือชีวิตเป็นสุขอย่างไร หรือทุกข์เพียงไรที่เขาจำนน จึงทำให้เขา "อยาก"ที่จะกลับมา แต่นั้นก็คือ กิเลส อยู่ดีค่ะ


ตราบใดที่ยังมี"กิเลส" ยังมี ความอยาก เช่น...เทวดา พญานาค พระภูมิเจ้าที่ สัตว์เดรฉาน เปรต สัตว์นรก มนุษย์ จะยังไงก็ต้องกลับมา (ยังคงมีความ ปรารถนา มีความอยากทำโน่น ทำนี่ แปลกมากเลย สำหรับดิฉันนะคะ )

เพราะจริงแล้ว พระพุทธเจ้า สอนให้พยายามทำความเข้าใจในกฎของธรรมชาติ "ธรรมชาติ" คือธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับสลายไปในระบบของวัฎจักรนั้นศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเราต้องเชื่อต้องยอมรับต้องยํ่าเกรง ต้องจำนนโดยการหาวิธีที่จะอยู่ให้ได้ด้วย ความเข้าใจ อย่างมีสติ (นี้คือคำสั่งสอน)"ความอยาก หรือกิเลส" เป็นธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์" ของเราเช่นกันนะ (ตามที่ดิฉันเข้าใจ) ดังนั้นการ ตัดกิเลส สละกิเลส นั้นเป็นจุดมั่งหมาย เพื่อ "นิพพาน" ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของคำสั่งสอน "นิพพาน" คือดับสลาย" คือสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดในภพนี้ค่ะ หรือ ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์  (ความอยากได้ถึงกาลมลายหายไปนั้นเอง)

แปลกมากเลยนะแม้แต่เทวดา ก็ยังมีความอยากอยู่  เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ค่ะ "ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะตอบว่า อยากปฎิบัติธรรมจริงๆจังๆ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น...อาจจะป็นเพราะว่า เราๆชาวโลก หรือมนุษยชาติในวันนี้ รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่หรือเขาเป็นสุข(และพอใจ)ณ.ที่แห่งนี้ก็เป็นได้นะคะ 


คุณหายไปนานมากเลยนะคะ^__^

กระทู้ของคุณเป็นประทู้ดีๆเช่นเคยเป็นประเด็นที่ทำให้ต้องใช้ความคิดและพิจารณาตาม เม้นท์นี้ เป็นความรู้สึกที่ดิฉันซึ่งได้คิดต่อยอดจากประเด็นของคุณค่ะ (ชยายความออกมายาวๆๆ เป็นอีกหนึ่งความคิดที่อาจจะแตกต่างค่ะ) 

ยาวๆ เช่นเคยล่ะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ  ^____^






0
Big Snake 30 ส.ค. 57 เวลา 09:14 น. 8
สวัสดีครับพี่  White  Frangipani  (พี่สาวที่แสนดี ) ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติมจากกระทู้ ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ดีมาก  ผมเห็นด้วยเป็ยอย่างยิ่งครับ  บางทีผมอาจจะตกหล่นไปไม่ได้เขียนไว้ในกระทู้ ผมหวังว่าความคิดเห็นของพี่นี้  คงจะมีประโยนช์สำหรับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด ยึดติดอยู่กับความอยากจนไม่เห็นหนทางหลุดพ้นนะครับ
  แต่ผมก็อยากจะขออนุญาติ อธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับจากประโยคที่ว่า....


จริงแล้วประเด็นซึ่งเป็นหัวข้อของกระทู้นี้นั้น ดูเหมือนจะมีจุดมุ่งหมายหรือชี้ประเด็นไปที่ "ความอยาก" ความอยาก คือกิเลส ตราบใดที่มีความ อยาก ก็มีการเวียนว่ายกายเกิด  ดังที่เรื่องราวในกระทู้บอกเล่ามานั้นคือ แม้แต่...เทวดา พญานาค พระภูมิเจ้าที่ สัตว์เดรฉาน เปรต สัตว์นรก มนุษย์  ก็ยัง "อยาก"(ที่จะ) คือมี"ความอยาก" ที่จะกระทำการต่างๆแม้ว่าจะเป็นการใฝ่ฝันที่จะทำสิ่งดีๆ(หรือใดๆ)ตามความเข้าใจของเขาก็ตาม แต่นั้น ก็ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานของ"ความอยาก" อยู่ดี

  ที่จริงแล้วทุกคนก่อนที่อยากจะทำอะไรในครั้งแรก  ก็ต้องอาศัยความ  อยาก  เป็นเหตุจูงใจเสียก่อน  ไม่ว่าอยากจะทำอะไรก็ตาม  แต่ต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม  ตัวอย่างเช่น  เมื่อเราอยากหลุดพ้น  เราก็ต้องอาศัยความอยากเสียก่อน  เมื่ออยากแล้ว  ได้ปฎิบัติถูกต้องแล้วเราค่อยมาละทิ้งทีหลัง  ( หรือปล่อยวาง )  แม้แต่พระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า  พระองค์ก็ต้องอาศัยความอยากเช่นกัน  คือความอยากที่จะหลุดพ้น พระองค์จึงได้แสวงหาหนทางทางเพื่อความหลุดพ้นนั้นด้วยตัวพระองค์เอง  หวังว่าทุกคนที่ปฎิบัติธรรมคงจะเข้าใจ  อย่าไปยึดติดอยู่กับความอยากเหมือนในกระทู้นะครับ  ไม่งั้นก็คงหนีไม่พ้นความอยาก  และไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ครับ





0
White Frangipani 30 ส.ค. 57 เวลา 19:38 น. 9

สวัสดี อีกครั้งค่ะ

"น้องชาย ผู้ทรงธรรม" ชื่นชมคุณจริงๆนะคะ   คุณมีอะไรที่เห็นเป็นธรรมมาแสดงในบอร์ดธรรมนี้อยู่บ่อยๆก่อนหน้านี้ หากทำได้ อยากที่จะขอให้คุณนำบทธรรมมาลงบ่อยๆค่ะ บอร์ดจะได้ไม่เงียบเหงา (ดีนะคะ) ได้มีการเข้ามาตอบรับ ฝึกหัด คิดและตอบในรูปแบบของ ธรรม (ธรรมะ) ค่ะ

"บาง ทีผมอาจจะตกหล่นไปไม่ได้เขียนไว้ในกระทู้"...ตามความเข้าใจของดิฉันนั้นเห็นว่า คำตอบของคุณนั้น "ดีอยู่แล้ว  ถูกต้องแล้ว" ค่ะ  เป็นความรู้สึกจริงนะคะ จึงกดเห็นด้วย(ทั้งหมด) และเข้ามาเม้นท์เพื่อต่อยอดจากมุุมมองและความคิดเห็นของดิฉัน ซึ่งก็บอกไปแล้วในความเห็นก่อนหน้านี้


ไช่เลยค่ะ  ดิฉันเห็นว่าชีวิตเป็นเช่นนี้ "อ๋อ...เกิดมา...เพื่อ...ตาย  เท่านั้นเอง"   ตามความเป็นจริงแล้วนี่เป็นสัจธรรมที่แท้จริงค่ะ คือจริง แล้ว ชีวิตทุกๆ ชีวิต เกิดมาเพื่อตายนั้นเองนี่คือความจริงอย่างที่สุด นี่คือกฎที่ศักดิ์สิทธิ์ "เกิด แก่ เจ็บและตายในที่สุด" แต่...เพียงแต่ ระยะทางของการดำรงไปของชีวิตนั้น มีเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ ที่เราจะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ นั้นคือ การมีชีวิตอยู่ตามวาระนั้นเอง และในที่นี้ ความ"อยาก" เป็นตัวขับเคลื่อน นั้นเป็นความจริงที่ไม่สามารถ ประชดประชัน หรือหลบเลี่ยงได้เลย อย่างนี้แล้วคงต้องขอขอบคุณที่เราชาวพุทธโชคดี เกิดมา มีพระศาสดาแห่งศาสนาเป็นผู้ที่ชาญฉลาด(หรือ?)ท่านมีบุญมองเห็นได้แม้สิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ท่านมองเห็นได้ ทั้งทุกข์และสุข จากอาการของความ  อยาก ไช่เลย ทุกคนต้องมีความอยาก แต่ต้องควบคุมให้ได้ในทางที่จะเป็นคุณเป็นประโยชน์เท่านั้นเอง นั้นก็เพื่อตัวเราเอง (เพื่อครั้งหนึ่งในชีวิตนี้)เพราะหากไม่แล้ว ความอยากนั้นนำมาได้ซึ่งทุกข์และทรมานมหันต์เช่นกัน และนี่คือ สัจธรรม ทุกอย่าง ในลกนี้มีแก่นสารที่เป็นได้สองด้าน ธรรมชาติได้สร้างมาเพื่อความสมดุลย์ของธรรมชาตินั้นเอง

"ผม หวังว่าความคิดเห็นของพี่นี้  คงจะมีประโยนช์สำหรับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด ยึดติดอยู่กับความอยากจนไม่เห็นหนทางหลุดพ้นนะครับ"...จริงแล้วนี่คือความหวังและตั้งใจค่ะ  แต่คงไม่ง่าย และดิฉันก็ไม่หวังอะไรมากค่ะ เพราะเรามีความแตกต่างเป็นแก่นสารอยู่แล้ว เราๆคิด เห็น เข้าใจ รู้ สัมผัส ต่างกัน เข้าใจอย่างนั้นนะ (ไม่เรียสนะคะ หวังว่า เพื่อนๆอ่านแล้วจะไม่ซีเรียสเช่นกันนะ ^__^)


ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกระทู้ที่ดิฉันเห็นว่าเป็นได้ซึ่ง "ธรรม" (ธรรมะ)
ขอให้ผู้ที่นำมาลงให้อ่านหรือการให้ธรรมเพื่อเป็นทาน นั้นเป็นสุขเช่นกันค่ะ

รอกระทู้ธรรมกระทู้ต่อๆไปด้วยค่ะ^____^






0