Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

กรณีศึกษาประโยค "ฉันไม่สอนเด็กวัด"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
กรณีศึกษาประโยค "ฉันไม่สอนเด็กวัด" ของ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของไทย

***********************กรุณาอ่านให้จบ แล้วค่อยคอมเม้นท์ **********

บอกตรงๆตอนแรกไม่สนใจอะไรกับกระแสนี้ แต่หลังจากที่มันเงียบๆไปก็เหมือนจะ ปะทุขึ้นมาอีกรอบ จนเกิดความสงสัยเลยไปสืบค้นข้อมูลอ่านทั้งหมด
ดูทั้งคลิปสั้นๆ คลิปยาวๆเเบบเต็มๆ และทั้งแบบแกะคำพูด

สรุปเลยนะคะ คนไทยยังคงไว้ซึ่งนิสัย ตามกระแส ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
มีนิสัยคล้อยตามไปกับกระแสส่วนใหญ่ โดยที่ยังไม่รู้ว่าฝ่ายไหนผิดหรือถูก

ถ้าคุณๆ เอาแต่ดู-คลิปสั้นๆ ที่ถ่ายให้ฟังแค่คำว่า "ฉันไม่สอนเด็กวัด" คุณก็จะทำให้คนๆคนหนึ่งเลยกลายเป็นจำเลยสังคมโดยไม่ยุติธรรมเกินไป
คุณๆ ต้องดูคลิปฉบับยาวๆเต็มๆที่มีการพูดของอาจารย์ ต่อจากคำพูดที่จ้องจับผิดกันนั้นด้วย
ดูก็อย่าดูรอบเดียวกรุณา จับผิดฝ่ายโจทย์ด้วยว่า เหล่าโจทย์ ที่พากันต่อว่าจำเลยนั้น ทำตนได้ดีขนาดไหนในห้องเรียนของอาจารย์ผู้ใหญ่

จะบอกว่า คนที่จะสอบเข้าไปเรียนที่มหาลัยชื่อดังนี้ได้ ระดับความฉลาดมันก้อต้อไม่ธรรมดา คุณๆต้องเป็นคนเก่งมากพอทีเดียวถึงสอบติดแล้วเข้าไปเรียนได้

แล้ว ทำ ไม.............แค่การเข้าไปนั่งเรียนแล้วให้มันเรียบร้อย ยังทำไม่ได้...(น่าคิดมั้ย)

ถ้าคุณๆลองดูคลิปที่โพสๆกัน รวมระยะเวลาที่เป็นหลักฐานให้ได้ยินและมองเห็น (ส่วนที่ไม่เห็นไม่ได้ยินก็ไม่รู้ว่านานมากแค่ไหน....)
อาจารย์ผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหานี้ต้องใช้เวลาถึงเกือบ 10 นาที ในการบอกให้นักศึกษาอันประเสริฐและชาญฉลาดเหล่านั้น ในการนั่งที่เก้าอี้เพื่อเรียนหนังสือ!!! แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด เสียนอกจากความสับสน วุ่นวาย เสียงดัง อื้ออึง เดินไปๆมาๆ การพูดคุยจ๊อกแจ๊กๆ สับกับการล้อเลียนเพื่อน ล้อเลียนอาจารย์ และการไม่ยอมไปนั่งเก้าอีที่มีถึง 1000 ตัวในห้องนั้น (ซึ่งนับเป็นการไม่ให้เกียรติผู้สอน)
ถ้าลองอาจารย์ท่านนี้ไปนั่งพื้นสอนบ้าง เหมือนที่นักศึกษาบางส่วนทำ
อาจารย์ท่านนี้ก็คงถูกต่อว่าอีกสินะ ว่าไม่เหมาะสม ไม่สมเป็นครูบาร์อาจารย์ แสดงกิริยาไม่ให้เกียรตินักศึกษา ฯลฯ
แต่นักศึกษาผู้แสนฉลาดเลิศเหล่านั้น ช่างไม่คิดว่าการนั่งกับพื้นและการแสดงกิริยาต่างๆในคลิปนั้น มันเป็นการให้เกียรติผู้สอน….ตรงไหน!!???

และหลังจากที่นักศึกษาได้ยินคำว่า "ฉันไม่สอนเด็กวัด" ก็ดูเหมือนนักศึกษาที่ดีเลิศบางส่วนก็จะยิ่งไม่ทำตามไปใหญ่ เพราะรู้สึกว่า อาจารย์ไม่ให้เกียรติพวกเค้า ไม่ให้เกียรติเด็กวัด
นักศึกษาเหล่านั้น รู้สึกว่า อาจารย์ท่านนี้ กำลังดูถูก คนที่เรียนอยู่วัด ฯลฯ และความคิดไม่ดีๆอีกมากมายที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการเตรียมตัวให้ดีเพื่อเรียนหนังสือ ตามค่าเทอมแสนแพงที่ได้จ่ายเลย ก็ได้ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างกับเชื้ออีโบล่า

ความคิดของนักศึกษาส่วนใหญ่ก้อไปหยุดแค่คำว่า "ฉันไม่สอนเด็กวัด"
และปิดการรับรู้คำอธิบาย การบอกกล่าวอื่นๆของ อาจารย์ท่านนี้ไป

จบแล้ว ชีวิตชั้นจบแค่ตรงนี้แหละ ตรง-คำว่า "ฉันไม่สอนเด็กวัด"
“เฮ้ย มีคนมาว่าตรูเป็นเด็กวัด”
สรุปทั้งคาบก้อไม่ได้อะไร นอกจากความคิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรกับอาจารย์คนนี้ดีที่ดูถูกเด็กวัด เสร็จแล้วพอจบคาบ ก็เลยพากันมาปริ้นกระดาษ ทำป้ายประท้วง อัพคลิปลงโซเชี่ยวมีเดี่ย หรือ ทำอะไรก็ได้ ให้มันสาสมกับที่อาจารย์ท่านนี้ที่ได้พูดคำว่า "ฉันไม่สอนเด็กวัด"

และแล้วกลุ่มนักศึกษาและประชาชนบางส่วนก็เริ่มพากันออกมาประณาม จำเลยสังคมท่านนี้ ว่าเป็นพวกดูถูกคน ดูถูกเด็กวัด เห็นเด็กวัดไม่ใช่คน บลาๆๆๆๆๆๆๆ ฯลฯ

เอาตรงๆ เอาจริงๆนะ ถ้าคุณๆเราๆท่านๆ จะออกมาให้ความสำคัญกับเด็กวัดขนาดนี้ และไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่าดูถูก ไม่ได้น่ารังเกียจ อย่างที่ออกมาพูดๆพิมพ์ๆ กันเนี๊ยะนะ
งั้นเอางี้มั้ย ทำไมเราไม่แข่งกันสอบเข้าไปเรียนที่โรงเรียนวัดกันหละ
ไปแข่งกันเรียนพิเศษ เข้าโรงเรียนวัดไปสิ
พากันฝากลูกฝากหลาน เสียค่าแป๊ะเจี๊ยเข้าโรงเรียนวัดกันสิ!
แล้วให้นักศึกษาที่ออกมาประท้วงๆนี่นะ ก้อให้ลาออกไปเรียนที่วัดซะ
แล้วสลับเอาสิทธิ์ในการเรียนมาให้เด็กวัดเข้ามาเรียนที่มหาลัยนั้นแทน ดีมั้ย??????

ไม่ก็...เวลาจะมีแฟน มีลูก มีหลาน มีเขย มีสะใภ้ ก็พากันไปหาคนที่จบโรงเรียนวัดสิ
หรือไม่ก็ถามกันว่า " อุ้ย เธอ จบจากโรงเรียนวัดไหนหรอจ๊ะ น่าอิจฉาเนาะ"
"แหม....จบจากโรงวัดนี้เองหรอ คงจะเก่งน่าดูเลยนะ"
อะไรแบบเนี่ย......ดีมั้ย???????????

ถ้าคุณเป็นพวกโลกสวยจริง ไม่เคยดูถูกใครหรือสิ่งใดเลยจริง
ทำไม.......ต้องแข่งขันเพื่อถีบตัวเองให้ขึ้นไปในที่สูงๆ กันด้วยหละ
ทำไม........ต้องแข่งกันเรียนพิเศษ ติวนั่นนี่ นี่นั่นไม่หลับไม่นอน เพื่อเข้าเรียนสถาบันดังๆ และ มีชื่อเสียงทั้งหลายด้วยหละ ในเมื่อโรงเรียนวัด หรือ สถาบันการศึกษาตามต่างจังหวัดก็มี???
ทำไม........ต้องพากันไปแออัดใน กรุงเทพฯ
ทำไม.......ต้องใส่เสื้อผ้าแพงๆ มีโทรศัพท์หรูๆ มีบ้านหลังโตๆ มีรถคันใหญ่ๆ
ในเมื่อเด็กวัด ก็มีแค่เสื้อผ้าเก่าๆ สีมอๆ โทรศัพท์ไม่มีใช้ นอนอยู่วัด กินข้าววัด และ เดินไปโรงเรียน พวกเค้าก็ยังอยู่ได้ ยังเรียนหนังสือได้

สุดท้ายแล้ว เราทุกคน ก็ไม่มีใครรักหรือหวังดีกับเด็กวัดจริงหรอก
เราทุกคนไม่ได้อยากเป็นเด็กวัดและเราทุกคนไม่ได้ให้เกียรติเด็กวัด หรือ คนที่จบจากวัดกันจริงๆหรอก

และ จริงๆแล้วเราทุกคน ก็มีความรู้สึกที่แบ่งชนชั้นกับเด็กวัด หรือ ใครก็ตามที่ วรรณะ หรือ ฐานะต่ำกว่าคุณๆ เราๆอยู่ดี ไม่ว่าจะมากหรือน้อย

ที่พวกคุณๆ พากันออกมาร้อนรนโวยวายร้องลั่นกันอยู่นี้ เพราะ ลึกๆ แล้วคุณ รู้สึกว่าถูก เปรียบเทียบกับเด็กวัดต่างหาก
เพราะจริงๆ พวกคุณมีอคติกับคำว่า “เด็กวัด”
ถ้าคุณรู้สึกดีกับคำว่าเด็กวัดจริง รักเด็กวัด ให้เกียรติเด็กวัดจริง
แล้วคุณจะร้อนรน ไม่พอใจทำไม ถ้ามีคนมาบอกว่า คุณทำตัวเป็น”เด็กวัด”

และที่เขียนมาก็ไม่ได้จะบอกว่าเด็กวัดไม่ดี
เพราะเด็กวัดส่วนใหญ่ จะขยันตั้งใจเรียน และ พวกเค้าคงให้เกียรติครูบาร์อาจารย์ที่สอนหนังสือให้พวกเค้ากว่าคนที่ออกมาประท้วงๆกันอยู่นี้มากกว่าอีกนะ
อย่างไรก็ตามพวกเค้าเหล่านั้นก็ยังคงต้องพยามถีบตัวเองให้สูง ให้พัฒนาขึ้นเพื่อความอยู่รอดในสังคม ใส่หน้ากากแห่งนี้ พวกเค้าไม่ได้ต้อยต่ำ เพียงแต่พวกเค้าเลือกเกิดไม่ได้ ก็เลยต้องมาเป็นเด็กวัด ตามบุญปัจจัยที่เค้าทำมา

ถ้าลองอาจารย์เค้าพูดว่า "อย่าไปนั่งกับพื้น ฉันไม่สอนเด็กOxford" หรือ
"อย่าไปนั่งกับพื้น ฉันไม่สอนเด็ก Harward "

ก็อยากจะรู้ว่า สังคมและคุณๆเราๆท่านๆ จะออกมาประณามจำเลยท่านนี้มั้ย.......?????

พอเสียเถอะ สังคมใส่หน้ากาก แสร้งเป็นคนดีแค่คำพูด แต่การกระทำมันตรงกันข้าม!!!
ความผิดผู้อื่นใหญ่โตเท่าภูเขา ความผิดของเราบางเบาเท่าเส้นผม!

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่ได้จะว่า ฝ่ายโจทย์ผิด หรือ จำเลยถูก
เพราะจริงๆแล้วก็ไม่มีใครถูก แต่น่าจะผิดด้วยกันทั้งคู่
รวมถึงเราๆท่านๆทุกคน ก็ผิดเหมือนกัน

แค่เอาไปลองๆ คิดดู ว่าสิ่งที่เราประณามเค้าอยู่นี้ ไม่ละอายใจบ้างหรอ ว่าตัวเองก็เป็น!!!

ปล.
(ขอบอกว่าเคยเจอห้องเรียนที่ต้องเรียน200-300คน ก้เห็นนักศึกษาเค้านั่งเป็นระเบียบร้อยดี และเงียบทันทีที่ครูเดินเข้าห้อง และไม่มีเด็กคนไหนนั่งกับพื้น ขนาดในห้องไม่มีเก้าอี้ นักศึกษาเหล่านั้น ก็จะเดินไปหาเก้าอี้มานั่งเองจนได้ โดยที่ครูอาจารย์ไม่ต้องมาบอก และนักศึกษาเหล่านั้น ก็ไม่ได้เรียนที่สถาบันระดับชาติ และไม่ได้อยู่ใน กรุงเทพฯ)

จบข่าว

ตัวอย่าง Link และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
https://www.youtube.com/watch?v=-3yhDFiawnU

https://www.youtube.com/watch?v=YXHSLA49ywE

http://www.oknation.net/mblog/entry.php?id=933240

http://www.nationtv.tv/main/content/entertainment/378424061/

ตั้งใจ

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

IM.Hyesu 15 ก.ย. 57 เวลา 21:27 น. 1

เออจริงด้วย เราก็รับรู้แค่บางส่วน 
ไม่ได้ดูให้แน่ชัดว่าจริงๆแล้วเหตุการณ์มันเป็นอย่างไร
เฮ้อ
ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด

0
melody55 16 ก.ย. 57 เวลา 21:55 น. 3

แล้วไม่ได้นั่งเก้าอี้อะ
จำเป็นด้วยหรอว่าต้องไป พูดว่า "ฉันไม่ได้สอนเด็กวัด" คำอื่นก็มีให้พูดตั้งเยอะแยะมากมาย
พูดให้สุภาพกว่าคำนั้นก็ได้ ไปเปรียบเทียบว่าเด็กวัดต่ำ มันถูกแล้วหรออ ?
ไม่ใช่มาด่า ทุกคนก็คนเหมือนกันเดินบนดินเหมือนกัน
สมัยนี้ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นแล้วคะ

0
สาระ สาระ 17 ก.ย. 57 เวลา 14:02 น. 4

กระทู้นี้ ต้องการจะบอกว่า จริงๆแล้วคนเราก็ล้วน มีอคติกับคำว่า”เด็กวัด” ทั้งเราและเค้า ไม่ว่าจะอคติมากหรือน้อย อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว
ถ้าสมมติว่า ฝ่ายจำเลยพูดว่า "ฉันไม่สอนเด็กนอก" ฉันไม่สอนเด็ก America หรือ England"
มันก็คงไม่เป็นกระแสมากมาย หรือ น.ศ และ ประชาชน รวมถึงเราๆ ก้อคงไม่รู้สึกอะไรมากมาย
เพราะอะไรนะหรอ เพราะเราไม่ได้มีอคติกับคำเหล่านั้นไง
เพราะเราๆท่านๆ ไม่ได้ ดูถูกเด็กนอก เด็กAmerica หรือ England
แล้วในเมื่อ เราๆท่านๆก็ต่างมีความรู้สึกที่ไม่ได้ว่าจะดีกับเด็กวัด 100% หรือก็ไม่ได้มีความขวนขวายว่าจะอยากไปเรียนโรงเรียนวัด หรือไปอยู่วัดและบางครั้งบางคน ทั่วๆไป ก็ยังเคยใช้คำว่า "เด็กวัด" เปรียบเปรย ไปทางลบกันอยู่เลย เพียงแต่คนเหล่านั้น ไม่ได้ถูกอัดคลิป
แล้วถามว่าคนเหล่านั้น ผิดมั้ย.....?

ถ้าจะตั้งประเด็นว่า สมควรมั้ยที่ฝ่ายจำเลยพูดคำว่า "ฉันไม่ได้สอนเด็กวัด" ทั้งที่มีคำพูดอื่นให้พูดเสียตั้งมากมาย

งั้น เรามาถามตัวเองกันก่อนว่า ตัวเราเองไม่เคยเลยสักครั้งใช่หรือไม่ ในการใช้คำพูดเปรียบเปรยกับสิ่งใดต่างหรือคนใดๆ เพื่อใช้ในการด่าว่า ประชดประชันผู้อื่น ในยามที่เราไม่พอใจอะไรมากๆ หรืออารมณ์เสียสุดๆ
คน ไม่ว่าจะทำงานอะไร การศึกษาอะไร ฐานะดีขนาดไหน อย่างไรก็ยังเป็น คน
เค้าไม่ใช่เทวดา
และ คน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก ไม่ใช่ อยู่เฉยๆ ก็จะโมโห จะด่าว่าใครหรือสิ่งใด
มันต้องมีสาเหตุ มันต้องมีสิ่งกระตุ้น หรือ ถูกกระทำมาก่อน
ฉะนั้นเราก็ต้องสาเหตุว่าเพราะอะไร ทำไม เค้าถึงเป็นเช่นนั้น
และ คน เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ชอบโทษผู้อื่น มากกว่าโทษตัวเอง
คน เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ชอบมองว่าความผิดของผู้อื่นนั้นใหญ่มาก แต่ความผิดของตนเองนั้นเล็กนิดเดียว

ถ้าจะพูดว่าสมัยนี้ไม่มีการแบ่งชนชั้น ทุกอย่างต้องเท่าเทียมกัน
แน่ใจหรอว่าทุกอย่างเท่าเทียมกันจริง
พ่อแม่ลูก มีสิทธิ์เท่าเทียกันจริงหรอ
ขุนนางกับกษัตริย์ มีความเท่ากันจริงมั้ย
หมอกับชาวนา นักการเมืองกับประชาชน ลูกน้องกับเจ้า นักเรียนกับครู พี่กับน้อง ผู้ชายกับผู้หญิง เด็กกับผู้ใหญ่
คนขับรถเบนซ์กับคนขับสามล้อ ฯลฯ แล้ว คนกับสัตว์ เท่าเทียมกันมั้ย
ทุกอย่างที่ว่ามานี้ในโลกเราปัจจุบันที่พบที่เห็นกัน มีที่ไหนให้ความเท่าเทียมกัน 100% อย่างนั้นหรอ?
เอาแค่นิ้วมือของเราเอง...เรายังทำให้มันเท่ากันไม่ได้เลย….?
การที่ธรรมชาติสร้างให้นิ้วมีขนาดที่ไม่เท่ากัน มันก็เป็นการเตือนใจมนุษย์ว่า ทุกสิ่งในโลกไม่มีอะไรกำเนิดมาเท่าเทียมกันทุกสิ่ง แต่ทุกสิ่งล้วนมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญพอๆกัน ถ้าทุกนิ้วและทุกสิ่ง ต่างพากันทำตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ไม่นั่งจับผิดกัน ทุกสิ่งก็จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ตามหลักวิถีแห่งธรรมชาติอย่างเป็นสุข
แต่ที่โลก และ สังคม เรามีปัญหาทุกวันนี้ เพราะคนเราไม่รู้จักทำหน้าที่ตนเองให้สมบูรณ์ ไม่รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้
เพราะมัวแต่ไปสนใจคนอื่น และจะสนใจมากเป็นพิเศษเวลาที่คนอื่นทำผิดทำพลาด
แทนที่จะสนใจว่าตัวเองทำหน้าที่สมบูรณ์รึยัง ตัวเรามีข้อบกพรองอะไรบ้างที่ต้องแก้ไข แล้วเราจะช่วยเหลือคนอื่นอะไรได้บ้าง โลกเราก็คงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ
จากกรณีนี้ ถ้าฝ่ายโจทย์ทั้งหลายเป็นคนรู้หน้าที่ รู้จักสำรวจตนเองแล้วหละก็...พอเดินเข้าห้องเรียนทั้นที ก็จะต้องรู้หน้าที่ว่าต้องอยู่ในความสงบและ เงียบ ไม่เดินไปเดินมา ไม่พูดคุยกัน หาที่นั่งให้เรียบร้อย เปิดหนังสือ เตรียมพร้อมเรียนอย่างเต็มที่ ให้เกียรติผู้สอน
ถามว่า.....ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วจะมีคำพูดว่า “ฉันไม่สอนเด็กวัด” เกิดขึ้นมั้ย.....?
ทำไม....เวลาเกิดปัญหาคนเราจึงมองแค่ปลายเหตุ แล้วก็โทษแต่ปลายเหตุ โดยไม่หาสาเหตุ แล้วก็ไม่แก้ไข เอาแต่โทษคนอื่น
ทำไม...เราจึงไม่มองต้นเหตุแห่งปัญหา แล้วป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นเสียหละ แล้วมันก็จะไม่มีปัญหา
มองตนเองให้มาก อย่ามัวแต่มองคนอื่น แล้วโลกเราจะน่าอยู่ขึ้น
ก่อนด่าว่าที่คนอื่นทำผิด ถามตัวเองก่อนว่าแล้วตนเองไม่เคยทำผิด ไม่เคยพลาด ไม่เคยล้มกันชั้ยมั้ย
เวลาคุณล้มมีคนให้กำลังใจคุณบ้างมั้ย แล้วทำไมเวลาคนอื่นล้ม เราจึงพากันซ้ำเติม…?
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีเหตุปัจจัย มีเหตุและผลด้วยกันทุกสิ่งทุกเรื่อง เราต้องรู้จักพิจารณา ไตร่ตรอง ก่อนจะว่ากล่าวผู้ใด
เห็นสิ่งใดไม่ดี ใช้เป็นบทเรียนสอนตนเอง ไม่ใช่ไปตำหนิผู้อื่น

0