Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรียนอังกฤษง่ายๆแบบไม่เปลืองเงินเปลืองแรง

ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะ คนที่หลงเข้ามาในกระทู้นี้ทุกคน วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากแค่จะมาบอกรักสามีเอ้ย ไม่ใช่จะเอาเทคนิคเรียนอังกฤษของจขกท.มาฝาก เป็นเทคนิคง่ายๆที่ไม่เปลืองทั้งเงินและแรงอะไรมากมาย แต่ได้ผลแบบสุดๆ ถ้าอยากรู็ว่าอะไรไปตามอ่านกันเลย !

ปล.จขกท.เป็นแค่เด็กม.ต้น คนนึงไม่ได้เก่งอังกฤษขั้นเทพ แต่ก็อยากเอาเทคนิคที่ตัวเองใช้แล้วรู้สึกว่ามันดีและโอเคกับตัวจขกท.มาฝากค่ะ ถ้ามันไม่ถูกยังไงก็ขอโทษด้วย :)

เดี๋ยวๆก่อนอื่น ก่อนที่จะมาดูเทคนิค จขกท.อยากฝากหลักที่ควรคำนึง 2 อย่างค่ะ เพราะมันจะทำให้การเรียนของเราง่ายขึ้น ได้แก่

1.เป้าหมายมีไว้พุ่งชน

หลังจากอ่านชื่อบทแล้วก็ได้โปรดอย่างงว่าเรียนอังกฤษอยู่แล้ว อีเป้าหมายมีไว้พุ่งชนนี่มาจากไหน 
ลองนึกถึงตอนเราจะเดินทางไปไหนสักที่ดู ถ้าเราไม่รู้เป้าหมายของเราว่าเราจะไปไหน อย่างเช่นหิวข้าวแต่ไม่เดินไปโรงอาหารเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะไปไหนดี ถามว่าจะได้กินข้าวมั้ย แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ 
ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันถ้าเราไม่มีเป้าหมายว่าเราจะเรียนไปเพื่ออะไร ก็ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะเรียนเพื่อรู้เราก็ต้องรู้ใจตัวเองก่อนว่าเราเรียนเพื่ออะไร เพราะเป้าหมายแต่ละอย่างมีวิธีการไม่เหมือนกัน เหมือนเราจะเรียนเพื่อไปสอบเรื่องtenseอย่างเงี้ยแต่เรามานั่งอ่านนิยายอังกฤษมันก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นก่อนการเรียนทุกครั้งต้องรู้ว่าเราต้องการอะไรจากการเรียน ถ้าทำแบบนี้ได้เราก็จะเรียนอย่างมีประสิทธิภาพและถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

สรุปขั้นตอนง่ายๆคือ
1)กำหนดเป้าหมาย
2)วิธีการปฏิบัติให้ถึงเป้าหมาย
3)ทำ ทำ ทำ และ ทำ
อันนี้คือตัวอย่างสั้นๆของเรานะ
1)เป้าหมาย=อ่านภาษาอังกฤษได้
2)วิธีการ
-แปลเพลงสากล
-อ่านนิทานเด็ก
-อ่านเรื่องในอินเทอร์เน็ต
ฯลฯ
3)สุดท้ายก็แค่ปฏิบัติไปตามตาราง ไม่บรรลุเป้าหมายก็ให้มันรู้ไป
แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การฝึกปฏิบัติบ่อยๆและสม่ำเสมอนะ ><

2.ฐานไม่ดีล้มตั้งแต่ไม่เริ่ม
ถ้าพูดถึงฐานแล้วนึกถึงอะไรกันฐานทัพ (เกี่ยวหรอ?? -*-) การหาพื้นที่ฐานในวิชาคณิต แต่ไม่ว่าจะเป็นฐานอะไรก็สำคัญทั้งนั้น ดูอย่างเชียร์ลีดเดอร์เวลาเขาต่อตัวกันถ้าคนที่อยู่ด้านล่างเป็นฐานยืนไม่นิ่งเอนไปเอนมา คนที่อยู่ข้างบนก็มีหวังร่วงลงมานอนที่พื้นแน่ๆ ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันถ้าเราไม่รู้พื้นฐานของมันเลยเราก็จะไม่สามารถเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปได้เพราะแค่พื้นฐานเราไม่เข้าใจอันที่ยากกว่านั้นก็ไม่มีทางเข้าใจเพราะทุกอย่างมันมีความเชื่อมโยงกันไปหมดถ้าไม่เข้าใจอะไรแค่อย่างเดียวก็อาจทำให้เราเกิดอาการมึนและวิงเวียนศรีษะได้ง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่น เราจะเรียนเรื่อง tense สักอันนึง อาจจะเป็น future simple tense โครงสร้างคือS+will+v.infinity 
แต่เราไม่รู้ว่าv.infinity คือคำกริยาที่คงรูปเดิมไม่เปลี่ยนรูป ก็หมายถึงเวลาเป็นฟิวเจอร์ซิมเปิลก็ไม่ต้องผันเวิร์บ ไม่ต้องใช้ She will goes to school. แต่ใช้ she will go to school ได้เลย ถ้าเราไม่รู้เราก็ใช้ผิด ซึ่งผิดด้วยเหตุผลง่ายๆคือไม่มีพื้นฐาน
ดังนั้นวันนี้ก่อนจะก่ออิฐขึ้นไปให้สูงๆอย่าลืมสร้างฐานของเราให้แข็งแรงซะก่อน เพื่อความมั่นคงในระยะยาวนะคะ (อันนี้ถ้ามีนคนสนใจจขกท. จะสรุปย่อให้อีกทีนะคะ)



 เข้าสู่เนื้อหาอย่างเป็นทางการสักที หลังจากเวิ่นเว้อมาเยอะ ก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพราะถ้าขืนให้พูดมากกว่านี้มีหวังได้ไปเที่ยวกันแน่ๆ(ออกทะเล มุขแป้กมากกก-*-) จขกท.คิดว่าทุกคนคงอยากรู้แล้วว่า ตอนที่จขกท.สนใจจะเรียนภาษาอังกฤษต่อจากนั้นจขกท.ทำยังไงบ้าง เอาอย่างแรกเลยมันเป็นวิธีที่บ้ามากๆแต่เคยคิดจะทำและทำไปแล้วแต่ไม่สำเร็จคือ เปิดดิคตั้งแต่หน้าแรกแล้วท่องตั้งแต่คำแรกของตัวAสรูปว่าท่องไปได้สามวัน ตึ้บค่ะ ไม่เวิร์คอย่างแรงนอกจากปวดหัวแล้วยังจำคำศัพท์ไม่ได้เลย วิธีการอันนี้เลยถูกยกเลิกไปในที่สุด ต่อมาเราผ่อนปรนตัวเองมานิดนึงแต่ยังคงพยายามหาทางท่องคำศัพท์ดู โดยเริ่มจากเวลาว่างๆก็จะชอบหันไปมองสิ่งของรอบๆตัวแล้วนึกว่าสิ่งนั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร ถ้าไม่รู้หรือจำไม่ได้เราก็จะเปิดดิคแล้วจดไว้ทันที โดยไม่ลืมที่จะลองเอามาแต่งประโยคดูก็พบว่ามันเป็นวิธีที่ีค่อนข้างเวิร์คและโอเคมาก อย่างเช่นมีอยู่วันนึงเรานั่งใส่รองเท้าอยู่หน้าบ้านกำลังจะไปโรงเรียนอยู่ๆก็สงสัยขึ้นมาว่าถ้ารองเท้าเรียกว่า shoes แล้วอีรองเท้ามันเรียกว่า shoes ทุกแบบเลยรึไง ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดจึ้กในดิคฟรีพบว่าจริงๆแล้วรองเท้ามันเรียกได้หลายอย่างมาก มันก็เหมือนกับในภาษาไทยแหละคือเราเรียกรองเท้าทุกชนิดว่ารองเท้าแต่บางครั้งเราก็ต้องเจาะจงว่ารองเท้าแบบไหนด้วย เช่นแบบฝากเพื่อนที่ไปอเมริกาซื้อรองเท้าหนังมาให้แต่บอกมันไปว่า shoes อาจจะได้แตะคีบหรือรองเท้าฟองน้ำมาแทนก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นก็ควรจะรู้คำศัพท์ของรองเท้าไว้บ้างจะดีกว่า ^°^

sandal-รองเท้าที่มีสายรัด,รองเท้าแตะ
toe post sandal-รองเท้าคีบ (รองเท้าที่มีสายสองอันมาบรรจบกันไว้สำหรับใช้หัวแม่เท้าคีบทุกชนิดไม่ว่าจะช้างดงช้างดาวได้หมด)
slipper -รองเท้าใส่เดินในบ้าน
canvas shoes -รองเท้าผ้าใบ
leather shoes -รองเท้าหนัง (ประเภทที่ทำจากหนังสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะหมีขั้วโลก จิงโจ้ที่ออสเตรเลีย กวางมูสที่วอชิงตัน หนังเป็ดที่ตุรกีหรือ แม้แต่ ตุ๊กแกที่ฝาบ้าน = =')
high-heeled shoes -รองเท้าส้นสูง
boots and shoes -รองเท้าหุ้มส้น
rubber shoes -รองเท้าฟองน้ำ
เห็นมั้ยว่าแค่คำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องรองเท้าก็แตกออกมาได้ไม่รู้กี่คำ ดังนั้นเวลาว่างก็อย่าลืมหันไปมองรอบๆตัวบ้างเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้คือหัดสังเกตุ สงสัย และหาคำตอบเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีนี้จะทำให้คลังคำศัพท์เรามากขึ้นและมีคำศัพท์ไว้ใช้อย่างตรงประเด็น เพราะเราจะได้รู้คำศัพท์ที่อยู่ใกล้ตัวเราและอยู่ในชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด 
แต่ทีนี้พอเริ่มทำมาเรื่อยๆเราก็พบปัญหาว่าถ้าเราท่องแต่วิธีนั้นเราก็จะได้แต่คำศัพท์ที่เป็นสิ่งของหรือนามธรรม จึงต้องใช้อีกวิธีนึงนั่นคือนั่งพูดคนเดียว อันนี้ไม่ได้บ้านะแต่แบบลองเล่าเรื่องที่เราจะทำหรือที่เราพบเจอมาถ้าเราไม่รู้คำศัพท์คำไหนจะได้เปิดหาได้ ไม่แน่ใจประโยคไหนก็อากู๋เลยหรือถ้าให้ชัวร์ก็เก็บไปถามครูที่โรงเรียน ซึ่งอันหลังเราว่าน่าจะเมคชัวร์มากกว่า และนอกจากนั้นการที่เราฝึกพูดถึงแม้จะพูดคนเดียวก็เถอะยังได้เรื่องการพูดอีกซึ่งเราจะบอกอีกทีในเรื่องการอ่านและaccent นะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

LITTLE DALL 18 ก.ย. 57 เวลา 22:18 น. 1

ต่อมาวิธีการฝึกเริ่มทรหดและแปลกขึ้น (หราาา)หลังจากที่เราฝึกพูดและจำคำศัพท์บลาๆมาแล้ว ต่อมาก็เป็นทักษะที่เราค่อนข้างอ่อนด้อยมากถึงมากที้สุด(แกก็อ่อนทุกเรื่อง ตกลงเก่งอะไรบ้าง -*-) ทักษะนี้ก็คือการอ่าน แค่ฟังก็ขี้เกียจแล้วใช่มั้ยอนากบอกว่านี่เป็นทักษะที่เรา(เคย)คิดว่ายากนะ แต่เอาเข้าจริงมันง่ายกว่าการพูดและการฟังเยอะเพราะอันนั้นเราต้องฟังเค้าให้ออกและต้องมีคลังคำศัพท์พื้นฐานแกรมม่า และอะไรบลาๆๆถึงจะพูดและสนทนาได้ แต่การอ่านขออย่างเดียวเลยคำศัพท์และเซนท์ในการแปลอีกนิดหน่อย แค่นี้ก็แปลออกเเล้ว ฟังดูง่ายใช่มั้นล่ะ แต่เอาเข้าจริงในโลกนี้ไม่เคยมีใครได้อะไรมาง่ายๆโดยไม้พยายาม ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถอ่านคล่องได้คือการอ่านบ่อยๆ แค่นั้นจบไม่ขออะไรมา ฟังวิธีการที่เราบอกไปแล้วมาดูวิธีการที่เราใช้ลองผิดลองถูกตั้งแต่ครั้งแรกเลยดีกว่า อยากบอกว่าทำหลายอย่างมากถึงจะกลั่นกรองออกมาได้ ซึ่งสิ่งแรกที่เราทำเลยก็คือ
วิ่งโร่ไปซื้อนิยายสยองขวัญจากซีเอ็ดมาซึ้งมันเป็นวรรณกรรมเด็กก็จริงแต่เปิดมาอ่านไม่รู้เรื่องเลย เพราะมันเป็นภาษาระดับสูง(ถ้าซื้อนิยายหรือนิทานของซีเอ็ดมันจะบอกระดับภาษาและเลเวลไว้)ตอนแรกๆก็คิดว่าเอาวะลองดูสักตั้ง สรุปว่าอ่านครั้งแรกเปิดดิคแทบจะทุกคำ จากเป็นคนอ่านเร็วมากในภาษาไทยกลายเป็นว่าเราอ่านช้ามากบทนึงมีไม่กี่หน้าอ่านไปหลายชั่วโมง สุดท้ายก็อ่านไม่จบเล่มเพราะจริงๆแล้วการฝืนอะไรที่มันดูสุดโต่งมากเกินไปจะทำให้เราเหนื่อยและเลิกล้มมันได้ง่ายๆ เราจึงเปลี่ยนวิธีการใหม่เป็นทำวันละน้อยแต่ทำบ่อยๆและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเวลาเราจะเปลี่ยนนิสัยอะไรของตัวเองสักอย่างให้เราค่อยๆปรับทีละนิดจนมันแทบไม่มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตเราเลยแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนมันกลายเป็นนิสัยถาวรและกิจวัตรที่เราต้องทำทุกวันอย่ากระโชกโฮกฮากหรือหักดิบ เพราะภาษาอังกฤษก็เหมือนลีลาศถ้าทำรีบๆกระโชกโฮกฮากก็จะดูไม่พริ้วและไม่สวยงาม เวิ่นเว้อมาเยอะมาดูวิธีที่เราทำต่อจากนั้นเลยดีกว่า ซึ่งหลังจากที่วิธีแรกไม่เวิร์คเราก็วิ่งไปที่ซีเอ็ดอีกนั่นแหละ หยิบนิทานเลเวลแรกภาษาระดับต่ำแบบง่ายสุดๆเลย ปรากฏว่าปลื้มปริ่มจนน้ำตาจะไหลเพราะอ่านออกโดยไม่ต้องเปิดดิคสักคำ(มันนิทานของเด็กป.1นิ= =') หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อหนังสือนิทานมาอีกเรื่อยๆสุดท้ายก็เริ่มรู้สึกว่ามันเปลืองเงินอย่างมาก (เริ่มงกว่างั้น) เราเลยหาวิธีว่าจะทำยังไงต่อดีสุดท้ายก็มาจบที่การหาอ่านฟรีในอินเทอร์เน็ตซึ้งเวิร์คมาก บางเว็บมีmp3 เป็นเสียงอ่านแล้วมีบทความให้ดูประกอบไปสรุปว่ายิงปืนนัดได้นกสองตัวเลย ทั้งฟังซึ่งวิธีนี้เราใช้เวลากับมันน้อยมากวันละแค่5นาทีหรือหนึ่งบทความสั้นๆ เพราะการสละเวลาวันละ5นาทีต่อวันแต่ทำทุกวันดีกว่าการฝึกสัปดาห์ละชั่วโมงมาก
10นาทีก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเองขอแค่ทำทุกวันเป็นพอ

หลังจากใช้วิธีนั้นมาแล้วเราก็ลองเปลี่ยนวิธีใหม่ดูบ้างซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างถูกจริตกับเรามากทีสุด นั่นคือฟังและแปลเพลงสากซึ่งวิธีนี้ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอีกเช่นกัน โดยวิธีการก็ง่ายๆแค่เลือกเพลงเพราะๆนักร้องหล่อเอ้ยไม่ใช่เอาเป็นว่าเลือกเพลงเพราะๆที่ชอบมาสักเพลง จากนั้นเริ่มแรกเลยก็เปิดเพลงนั้นฟังซ้ำๆลองฟังดูแล้วดูว่าเรารู้เรื่องประมาณไหน ฟังคำว่าอะไรออกบ้าง จากนั้นพอเริ่มจับทำนองเพลงได้แล้วก็เข้าอากู๋แล้วเสิร์ชเนื้อเพลง เพลงนั้นมาเลย จากนั้นใช้เครื่องปริ้นที่บ้านให้เป็นประโยชน์ค่ะ แต่แนะนำว่าถ้ามีสมุดสักเล่มแล้วเขียนเองจะดีกว่าอย่างน้อยตอนเราจดเนื้อเพลงลงไปคำศัพท์ก็จะได้ผ่านตาเราบ้าง จากนั้นก็เปิดเพลงอีกรอบแล้วลองร้องคลอค่ะมาถึงตรงนี่เราก็จะร้องได้ละเพราะเราฟังจนจำทำนองได้แล้ว เราก็ดูว่าตรงนี้ที่เราฟังไปรอบแรกเราฟังถูกรึเปล่าเสียงคำแต่ละคำออกเสียงยังไง จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนกระบวนการแปล 

โดยใช้ปากกาเมจิกหรือไฮไลท์ขีดใต้คำที่เราไม่รู้ความหมายไว้ก่อนเลย พอเราขีดเสร็จจนจบทั้งเพลงแล้วก็เปิดหาทีละคำเลย โดยหาทั้งคำอ่าน คำแปลและpast of speech ด้วยจากนั้นขั้นตอนสุดท้ายก็แปลทั้งเพลงค่ะ ถ้าประโยคไหนมันทะแม่งๆก็ปรับเปลี่ยนได้เพราะภาษามันไม่ตายตัวอยู่แล้ว พอแปลเสร็จก็เอามาลองฟังและร้องคลออีกรอบรับรองว่าเราจะจำคำศัพท์รวมถึงวีธีการใช้ได้แน่นอน เพราะเมื่อเราจำเพลงได้เราก็จะจำคำแปลของคำศัพท์คำนั้นๆได้ แถมเรายังรู้การใช้ของมันจากบริบทในเพลงอีกด้วย วิธีนี้อยากบอกว่าง่ายแถมสนุกและกอบโกยความรู้กันไปเต็มๆเลย

กลยุทธ์ผีบอกต่อมาอันนี้ก็เป็นวิธีที่ได้ผลยิ่งยวดเช่นกันคือการใช้social network ให้เป็นประโยค โดยการกดฟอลโลเพจสอนภาษาอังกฤษในเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไม่เว้นแม้กระทั่งIG เพราะทุกครั้งที่เราเล่นsocial network พวกนี้-ที่เราไปตามฟอลไว้มันก็จะเด้งขึ้นมาอ่ะ ถ้าใส่ใจหน่อยก็หยุดอ่านแล้วจดแต่ถ้าขี้เกียจอย่างน้อยๆเราก็ได้เห็นผ่านตาบ้างหรืออีกวิธีนึงคือfallow นักร้อง ดารา หรือคนที่เราชื่นชอบ เช่น 1D อะไรแบบนั้นเพราะต่อให้แปลไม่ออกเราก็จะมีความพยายามที่จะเปิดดิคแปลจนได้ ก็คนมันรักอ่ะเลยอยากรู้ว่าเค้าอัพอะไร นอกจากจะได้รู้คำศัพท์ใหม่ๆแล้วพอได้เห็นหน้าศิลปินไอดอลที่เราชอบแล้วแล้วก็จะมีแรงฮึดขึนมา เหมือนเค้ามานั่งกระซิบว่า 

 "เฮ้ย ตั้งใจเรียนนะเว้ย สู้ๆ เอาเป็นว่านี่ก็เป็นเคล็ดลับที่คน(คิดไปเองว่า)สวยบอกอีกอย่างแล้วกันนะ

มาถึงวิธีต่อไปอันนี้เหมาะสำหรับท่องคำศัพท์ไปสอบอะไรแบบนี้ อันนี้ค่อนข้างเน้นปริมาณหน่อยแต่เราไม่รับประกันความจำระยะยาว คือใช้ application นี้เลย Quizlet ซึ่งเป็นแอพสำหรับท่องศัพท์หาโหลดได้ง่ายๆใน app store และ play store จร้า หรือเปิดหาในเน็ตว่า Quizlet ก็จะมีเว็บของมันเด้งขึ้นมา ซึ่งถ้าถามว่า-แอพหรือเว็บนี้มันทำอะไรได้บ้าง อยากจะบอกว่าเว็บนี้เก๋กู๊ดสุดๆ เพราะเราสามารถทำแฟลชการ์ดไว้ท่องคำศัพท์ได้ทุกที่ทุกเวลาในมือถือของตัวเองโดยไม่ต้องไปเปลืองเอากระดาษมาทำเอง  แถมมันยังมีเกมส์จับคู่และแบบทดสอบต่างๆให้เราได้ลองทำ ถ้าใช้เว็บนี้แล้วจำคำศัพท์ไม่ได้จขกท.ให้ตบเลยเอ้า!





วันนี้ จขกท. ก็ขอตัดจบแค่นี้ก่อนจริงๆ เทคนิคยังมีอีกเยอะแต่เนื่องจาก จขกท.ต้องขอลาจรไปเคลียร์งานค้างให้เสร็จก่อน ถ้ามีคนสนใจจะมาต่อให้นะคะ :)

0