การส่งลูกหลานไปเรียน ม.เอกชนแพงๆ มันจะคุ้มหรือเปล่า แล้วจบออกมาจะทำอะไรได้บ้าง?
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณต้องการจะลบกระทู้นี้หรือไม่ ?
6 ความคิดเห็น
ที่ถามว่า จบมาจะทำอะไรได้บ้าง ก็ตอบไม่ได้จริงๆ เพราะไม่รู้ว่าลูกคุณน้าจะเรียนอะไร
แต่เรื่องงาน มีโอกาสได้งานนะคะ ถ้าหาก สนใจเรียน จนนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการทำงานได้ ถ้าได้เกรดดีๆสวยๆงามๆ โอกาสได้งานไม่หายไปแน่ๆค่ะ หนูเชื่อเช่นนั้น
ม.เอกชน ที่มีชื่อเสียง ก็มีนะคะ เช่น ม.เทคโนโลยีมหานคร หรือที่ ไม่ต้องกลัวตกงานนัก เพราะมีบริษัทรองรับอย่างปัญญาภิวัฒน์ ก็ดีนะคะ
แต่ถ้ากลัวค่าเทอมแพงเกินไป หนูว่า ม.ราม ก็ดีนะคะ จบไปไม่ต้องกลัวตกงาน เพราะราม ม.เปิด แต่จบยาก ต้องมานะ ขยัน ใส่ใจ ตอนนี้หนูเองก็เรียนควบสองม. คือเรียนที่รามอยู่ด้วย บอกได้เลยว่า โหดดีค่ะ ข้อสอบยาก ถ้าไม่ใส่ใจสนใจ ทำไม่ได้แน่ๆ
ถ้าหากความคิดหนูไม่ถูกใจคุณน้า หรือไม่ถูกใจใคร ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ
เอาจริงๆ ผมว่า ลูกคุณรักสบายไปรึเปล่าครับ จะบอกว่าไม่บังคับเลยมันก็ไม่ใช่รึเปล่า ถ้าเกิดไม่อยากแข่งขันเลย พูดตรงๆ คือ อย่าเรียนเลยดีกว่าครับ ถ้าไม่เกิดการแข่งขัน จะเกิดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย ก มีคนเรียนรอบตัวเก่งไปหมด เราผู้อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นก็ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถทัดเทียม และเก่งเท่าผู้อื่นได้ แต่สมมติไปมหาวิทยาลัย ข ที่รอบตัวมีแต่พวกไม่เรียน บ้าวัตถุนิยม บลา บลา เรียนไปก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ แล้วยิ่งรักสบายขนาดนี้แล้วนี่ ไม่รู้ว่า จะมีอารมณ์มานั่งตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือหรือเปล่า (คือแน่นอนว่า-คนที่มันตั้งใจเรียนได้ในบรรยากาศที่มันไม่เอื้ออำนวยมันก็มี แต่พวกนั้นคือพวกที่ขยันอยู่แล้ว ไม่ได้มานั่งสบายๆ ไม่ได้ปล่อยให้บรรยากาศ หรือกิเลสรอบตัวมันพาไป) สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เปลืองเงินค่าเทอมเปล่าๆ
สำหรับกรณีเรื่องจบมาหางานได้ไหม มันก็มีทั้งหาได้และหาไม่ได้ มหาวิทยาลัยรัฐยังตกงานถมไป มหาวิทยาลัยเอกชนมีหรือจะไม่มี แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจบมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งไหนด้วยนะ แล้วมหาวิทยาลัยแห่งนั้นดังด้านอะไร อย่างพวก ABAC ก็ดัง BBA แล้วก็พวกภาษาอังกฤษ, รังสิตก็ดังพวกวิทย์สุขภาพ, ม.กรุงเทพก็ดังพวกนิเทศน์เพราะ workshop มันดี แต่แน่นอนว่าไม่ใช่มหาวิทยาลัยเอกชนทุกแห่งจะดี เฉกเช่นมหาวิทยาลัยรัฐบาล ห่วยแตกมีเยอะไป แล้วข้อเท็จจริงคือส่วนใหญ่คนไทยก็มักจะดูชื่อมหาวิทยาลัยเป็นหลักก่อนเวลาสมัครงานอยู่แล้ว (แน่นอนบริษัทที่ไม่ดูมันก็มี แต่จะพูดถึงภาพรวม) ก็ต้องระวังนิดนึง แล้วก็สิ่งที่สำคัญต่อมาคือเกรด ถ้าลูกคุณเรียนเอกชน ทำเกรดออกมาแย่ๆนี่ บางทีมันจะกลายเป็นภาพพจน์ที่แย่ x2 ไปเลยนะ โอกาสได้งานก็จะยากขึ้นอีก (จริงๆมหาวิทยาลัยรัฐเกรดห่วยๆ ก็ยากอยู่แล้ว) เราคงเลี่ยงไม่ได้อีกว่า คนไทยจำนวนมากมองว่ามหาวิทยาลัยรัฐดูดีดูเก่งกว่าเอกชน ถึงแม้ว่าเอกชนมันจะดีกว่า แต่ขออคติกับมหาวิทยาลัยเอกชนไว้ก่อน ซึ่งถามว่าได้ข้อมูลมาจากไหน ก็นะ ดูกันง่ายๆ ถ้าไม่ยึดติดกับมหาวิทยาลัยรัฐหรือเอกชนจริง คนส่วนใหญ่จะให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยรัฐทำไม บางคนถึงกับรับไม่ได้ที่เรียนเอกชน (ซึ่งเอาจริงๆผมว่ามันบ้าบอชะมัด แต่ในเมื่อเราอยู่ในบริบทสังคมแบบนี้ ก็ต้องเดินตามระบบ) แล้วประการสุดท้าย คือดูด้วยว่า คณะที่ลูกคุณจบมา มันมีงานกว้างรึเปล่า เห็นคณะทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชน เปิดสาขากันเกลื่อน จนหลายๆสาขา เกิดคำถามว่า นี่เรียนจบแล้วจะไปทำอะไร แต่จะไม่ขอเอ่ยถึง เดี๋ยวจะเกิดดราม่า
ทางที่ดีผมว่าคุณน่าจะบังคับลูกคุณบ้างนิดนึงเนอะ เพราะจริงๆอนาคตมันก็อนาคตลูกคุณเองอะครับ ก็แน่ล่ะว่าคุณคงคุ้มครองเค้าไม่ได้ไปตลอด แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบังคับถึงกับขั้นตีกรอบทางอิสรภาพอะไรขนาดนั้น แล้วก็ลองคิดนะครับว่า ถึงลูกคุณจะไม่ชอบถูกบังคับในตอนนี้ แล้วจะมีปัญหาตามมา (ซึ่งเอาจริงๆปัญหามันไม่ได้ใหญ่โตหรอก มันดูไม่มีประเด็นอะไรเลยด้วยซ้ำ อย่างมากก็เถียงกัน บลา บลา) แต่วันหนึ่งลูกคุณจะเข้าใจเองครับ (สมมติลูกจะเข้าคณะ A แต่ลูกไม่อยากแข่งขัน มีมหาวิทยาลัย ก และ ข เปิดสอนคณะ A ทั้งคู่ สมมติ มหาวิทยาลัย ก ดี ส่วน ข ไม่ดี แล้วลูกเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ข เพราะมันสบาย คิดดูครับว่า ลูกคุณจบมาจะมีงานทำรึเปล่า แล้วตอนเรียนลูกคุณจะเอาอะไรไหม) อยากให้ตระหนักไว้ว่า 4 ปี ของลูกคุณ คือ ทั้งชีวิตของเขานะ (ยกเว้นทำงานนอกสาขาที่ทำ เช่น ไปบริหารกิจการบ้านตัวเอง ปลูกถั่วงอก เลี้ยงปลา บลา บลา ไม่นับนะ เอางานที่ตรงสาย) ผมว่าฝืนได้นิดนึงก็ฝืนไปเถอะ 4 ปีเอง จะคนหัวไม่ดี หัวปานกลาง มันก็เรียนได้ทั้งนั้นแหละครับ ถ้าจะเรียน อย่างผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย ก็ปานกลาง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับการที่ต้องแข่งขันอะไร ลองถามดูว่า เราอยากหัวสมองปานกลางไปอย่างนั้นตลอดชีวิตเหรอ ไม่อยากหัวดีแบบคนอื่นๆบ้างหรอ ก็คงไม่ใช่เนอะครับ
ปล. ขอโทษด้วยนะครับถ้าสมมติพิมพ์อะไรที่ดูรุนแรงไป ยังไงก็อยากให้คุณลองพิจารณาสิ่งที่ผมพิมพ์ลงไปดูนะ
คือเหมือนมาก แต่ไม่น่าใช่
เพื่อนหนูเค้าก้ให้เหตุผลว่าไม่อยากแข่งกับใคร มันกดดัน บลาๆ มันก้ถูกค่ะ แต่ถ้าเราไม่มีแรงกดดันเราก้ไม่มีความกระตือรือร้นน้าาา ทั้งนี้ทั้งนั้นก้ขึ้นอยุกับตัวเด็กค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ลองพูดกับเค้าดูค่ะ เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ
บางอย่างมันก็ไม่ได้ถือเป็นการบังคับนะคะ
แต่บางอย่างเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบ ที่ทุกคนต้องมี
เช่น การไปเข้าสอบ หรือทำสิ่งที่ต้องพยายามเหมือนๆกับคนอื่น
ก็จะทำให้เด็กๆเขาเข้มแข็งขึ้นนะคะ สักวันเขาต้องออกมาสู้ด้วยตัวเอง
พยายามไปพร้อมกับคนอื่นๆ
ถ้าวันไหนที่เขาไม่รู้จักความพยายาม วันนั้นจิตใจของเด็กๆ
อาจจะอ่อนแรงกว่าที่คิดนะคะ
พ่อแม่รังแกฉัน
ฉันอ่อนฉันเยาว์ ฉันเขลา
คุณคือคนคนนั้น
คุณเลี้ยงลูก ไม่ได้ตลอดชีวิต ต่อให้คุณหาสมบัติไว้ให้เขา
มันก็มีโอกาส เจอคนไม่ดี มาผลาญ
กลับตัวกลับใจซะ หมายถึงคุณ
มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้แข่งขัน
คงไม่ใช่ทุกสถาบันที่เรียนสบาย จบง่าย หลายคนเรียนไม่ครบ โดนไล่ไปดรอปก็มีมากมายค่ะ มหาลัยเอกชนแต่ละแห่งมีคุณภาพไม่เท่ากัน หลายแห่งเน้นเชิงพานิชย์ ชื่อดังแต่ข้างในกลวง เพราะ ม.เค้าดังไปแล้วไง ก็เลยไม่ต้องเน้นอะไรมาก ยังไงชื่อก็ติดหูคนอยู่แล้ว แต่ ม.เอกชนไม่ดัง บางที่เค้าก็เน้นความรู้จิงๆ พัฒนามหาลัยตัวเองให้อยู่ในระดับแนวหน้า แบบนั้นน่าจะมีคุณภาพมากกว่านะ เพราะ ม.ไม่ดัง เค้าก็ต้องการผลิตบัณฑิตที่มีความสามาถเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับ ม.ของตัวเองต่อไป ก็ต้องเลือกดูให้ดีฮะ คือตอนแรกผมเรียน ม.เอกชนดังๆนะ แต่ผมว่ามันเฟคฮะ ทำข้อสอบส่งกระดาษเปล่ายังมีเลย ฝากเพื่อนเช็คชื่อก็ได้ แต่ตอนนี้ผมย้ายมาเรียน ม.กรุงเทพธนบุรีฮะ ค่าเทอมก็อยู่ในระดับมหาลัยเอกชนอื่นๆแหละฮะ ตอนแรกคิดว่างไม่ดี ที่เลือกเพราะสถานที่ตั้งมันไม่วุ่นวาย ไม่ต้องฝ่าการจราจร พอมาเรียน อืมม.. มันก็ดีนะ อาจารย์เข้มมาก ไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อนะ เล่าตามประสบการณ์ ตอนนี้ผมใกล้จบแล้วฮะ คิดว่าสิ่งที่ได้จากการมาเรียนมันเพียงพอให้ผมจะใช้ชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์เลย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?