Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[ไม่ดัก] สองปีมานี้...ผมรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่ได้ทำงานเลย...

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

"ผมแทบไม่เคยทำงานเลยในช่วงสองปีมานี้"
มาถึงก็โชว์ขี้เกียจเลยผม.....ไม่ๆ....ใจเย็นๆ ครับ


ปล.กระทู้นี้...โคตรยาวนะครับ 

สเตตัสนี้ เห็นว่าน้องๆ หลายๆ คนกำลังเลือกทางเดินชีวิตตัวเอง จึงอยากบอกเล่าบางอย่างให้ฟังครับ จะจริงไม่จริง เชื่อไม่เชื่อ อันนี้ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนนะครับ...มันเป็นเรื่องลึกลับ

การเลือกคณะสำหรับเรียนนั้น ผมเป็นคนหนึ่งที่เลือกเรียนได้ผิดกับความรักความชอบของตัวเอง...

สายอาชีพการแพทย์ทั้งหลายสอบเข้ายาก และมีหลายคนอยากเข้าไป ปีหนึ่ง...ผมสบายๆ เพราะเรียนเหมือนคณะอื่นทั่วๆ ไป ปีสองก็ยังชิลๆ...แต่ไม่มาก
แต่ปีสามนี่สิครับ ทั้งกลิ่นเลือด ทั้งเนื้อเยื่อ ทั้งสารพัดสิ่งที่ผมไม่ชอบเริ่มโจมตี ต้องนั่งท่องกล้ามเนื้อ ท่องกระดูก...ซึ่งผมบอกเลยครับ...
น่าเบื่อมาก...สำหรับผม (คือถึงส่วนนี้แล้ว ผมนับถือนักศึกษาสายแพทย์ทุกคนที่ตั้งใจเรียนเลยครับ)

พอปีสี่...อันนี้หนักหนาครับ (โคตรๆ) มันมีปีศาจอยู่ครับ...เป็นปีศาจสำหรับผม...ที่เรียกว่าการผ่าตัด

มาถึงตรงนี้ บอกเลยครับว่าคนที่ทนไม่ไหวมีไม่น้อย ถ้าเราไม่ได้รักเรื่องที่จะรักษาชีวิตจริงๆ ตรงนี้เป็นเส้นแบ่งสุดท้ายที่จะกั้นคุณระหว่างความสุขกับอุดมคติครับ


ถ้าคุณไม่ได้รักเรื่องการรักษาชีวิต แต่คุณเรียนเพื่อหลักฐานมั่นคงในอาชีพ...คุณจะเหนื่อยตลอดชีวิต

แต่ถ้าคุณรักในสายอาชีพนี้ แบบที่ผมเห็นหลายๆ คนเป็น ชอบการผ่าตัดช่วยชีวิต...คุณจะมีความสุขที่ได้เลือกเรียนต่อ และคุณจะรู้สึกว่าตนเองคือความหวังและความรับผิดชอบทุกครั้งที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด

แต่ถ้าคุณเลือกโดยไม่ชอบล่ะ...


ถ้าไม่ชอบ...ผมก็แค่อยากบอกคุณว่า...เลิกคิดที่จะทำงานเกี่ยวกับชีวิตเสียเถอะ (ไม่ได้ให้ลาออกนะครับ) แต่คุณไม่เหมาะที่จะเดินสายหลักของสายอาชีพเหล่านี้แล้ว เพราะทุกชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับคุณ หากมีชีวิตใดดับไปโดยไม่สมควร...จงรู้ไว้ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งทำให้พวกเขาจากไป


ถ้าไม่รักจะทำ...ไปทำงานอื่นดีกว่านะครับ สงสารทุกชีวิตที่เขาเข้ามาพบคุณด้วยความหวัง และถ้าคุณไม่ทุ่มเทเต็มที่ คุณอาจตอบแทนพวกเขาด้วยความตายด้วยความพลั้งพลาดของตัวเองก็เป็นได้
เอาเถอะครับ...ถึงแม้มันจะไม่ใช่ทางที่ผมชอบแล้วก็เถอะ สุดท้ายผมก็จบออกมาได้...และตอนจบออกมาผมก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ผม 'ควรอยู่' และพยายามคิดว่า 'เป็นสิ่งที่ตัวเองรัก'

มนุษย์ต้องกืนต้องใช้ งานจึงจำเป็นต้องทำตลอดเวลา ผมทำงานในสายอาชีพตัวเองด้วยความคิดว่า 'มันต้องสนุก' แต่สุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไป...ผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่


ผู้เริ่มรู้สึกไม่อยากทำงาน ไม่อยากต้องทำสิ่งที่เคยทำ ผมรู้ตัวว่าตัวเองเลือกเดินผิดเส้นทาง ผมไม่มีความสุขกับอาชีพตัวเอง...
แต่ผมน่าจะนับว่าเป็นคนโชคดี ผมพบสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ สามารถมีความสุขกับมันได้ผมศึกษาหาข้อมูลก่อนการเขียนอย่างมีความสุข ไม่เคยรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทุกวันที่ผมลุกขึ้นมาเขียนหนังสือ 

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองกำลังทำงาน...ผมคิดว่าผมกำลัง 'เล่นสนุก แต่มีความรับผิดชอบ'


ผมบอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า....ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอกครับ แม้แต่ผมเองในช่วงสี่ห้าปีก่อน ถ้ามีญาติๆ มาบอกผมว่า...

"อยากเป็นนักเขียน เขียนหนังสือขาย"

ผมคงหัวเราะพรืดตรงนั้น แล้วบอกกลับไปว่า...
"ทำงานประจำดีกว่า แล้วค่อยเขียนเวลาว่าง"
ใช่ครับ...ผมในตอนนั้นไม่คิดว่าการเขียนงาน การวาดภาพ เป็นอะไรที่จะยึดเป็นอาชีพได้...จนได้สัมผัสด้วยตัวเอง
พีรามิดแต่ละลูกมีปลายยอดของมัน...ทุกอาชีพก็เช่นกัน...ทุกอาชีพมีตำแหน่งยอดพีรามิดอยู่ทุกอาชีพ

เพียงแค่ว่าส่วนกลางและฐานของพีรามิดแต่ละอาชีพนั้น...อยู่เหนือน้ำมากแค่ไหน

อาชีพหมอ วิศวกร...ฐานส่วนมากอาจะเลยพ้นน้ำเสียส่วนใหญ่ ทำให้ชีวิตผู้มีอาชีพเหล่านี้ ต่อให้อยู่ในระดับปกติธรรมดาก็มีกินมีใช้อย่างสบาย...ไม่ต้องกลัวน้ำท่วมทับ

โดยแลกกับความรับผิดชอบที่สูงลิบลิ่ว...
รู้ไหมครับว่าขณะนี้แพทย์โดนฟ้องวันละกี่คน ทราบไหมครับว่าการเป็นวิศกร หากคุณไม่ละเอียดถี่ถ้วน วันนี้คุณอาจได้ไปเที่ยวรอบโลก แต่วันพรุ่งนี้ตึกที่คุณเซ็นอนุญาตอาจจะถล่มลงมา ชีวิตอีกหลายปีจากนั้นคุณต้องใช้มันในห้องขัง?

รู้ไหมครับว่าศัลยแพทย์ผ่าตัดมือดี จะมีช่วงเวลาทองอยู่แค่ไม่เกิน 10 ปี จากนั้นเด็กรุ่นใหม่จะแซงคุณขึ้นไป
ทราบไหมครับว่าเมื่อคนไข้เสียชีวิตโดยคุณไม่สามารถช่วยได้ ความรู้สึกที่ได้รับจะเป็นเช่นไร...
ผมนับถือสายอาชีพเหล่านี้ครับ และคิดว่า 'แพทย์ที่ดีควรได้รับคำชม'

ไม่ขอต่อประเด็นนี้ยาวนะครับ ผมแค่อยากสรุปว่า สายอาชีพที่มั่นคง...มันมีความเสี่ยงสูงอยู่ในนั้นเช่นกัน และคุณต้องทุ่มเทแข่งขันเป็นอย่างมาก...เพื่อจะได้เพียงแค่มีสิทธิ์เข้าสู่อาชีพ...คือแค่คุณจะเริ่มสตาร์ทก็ต้องฝ่าฟันแล้ว...
ผิดกับอีกหลายอาชีพ...ที่คุณสามารถเหยียบเข้าสู่ดินแดนของอาชีพนั้นได้อย่างง่ายดาย...แต่ความยยากที่แท้จริงคือการขึ้นสู่ที่สูงของอาชีพเหล่านั้น


ยิ่งเข้าง่าย...ยิ่งแข่งขันไปสู่จุดสูงสุดยาก...
แล้วถ้าอาชีพนักเขียนล่ะ นักวาดล่ะ มันจะเป็นอาชีพได้รึ?
"เป็นได้ครับ แต่มีส่วนน้อยที่เป็นได้" อันนี้ผมตอบแบบไม่ใช่โลกสวยนะครับ
จากที่ได้เห็นได้รู็จัก นักเขียนที่ผมรู้จัก มีตั้งแต่รายได้เล่มละ 15,000 บาทขายขาด จนกระทั่ง เล่มหนึ่งได้ค่าเช่าลิขสิทธิ์เกินล้านไปแล้ว แต่ก็ยังได้รับค่าลิขสิทธิ์ทุกปีทุกปีตลอดเวลากว่าสิบปี

ทุกอาชีพ...จะมีช่วงเวลาทองของมัน อย่างเช่นนักแสดงนี่จะเห็นเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุด สมัยหลายสิบปีก่อน สายอาชีพนี้ถูกดูถูกดูหมิ่นเสมอ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน ความต้องการของมนุษย์เปลี่ยน สายอาชีพนี้จึงทำเงินได่้มหาศาล


แต่...อย่าลืมว่าก็มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ ที่เป็นดาราดังได้ เช่นเดียวกันกับงานวรรณกรรมและจิตรกรรม มีคนสำเร็จ มีคนล้มลง มีคนสำเร็จโด่งดัง และในเวลาอีกปีสองปีความหยิ่งทนงตนก็พาเขาดิ่งสู่ความอับเฉา เป็นอย่างนี้ทุกอาชีพครับ

ทุกอาชีพทุกสายงานมีความยากลำบากด้วยกันทั้งสิ้น อาชีพที่ว่านี้อาจะเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะเมื่อเราบอกับคนอื่นไป แต่เมื่อวันหนึ่ง...อาชีพที่ว่านี้ถึงช่วงเวลาทองของมัน...

ผู้ที่อยู่กับสายอาชีพนั้น พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ทัศนคติที่มองเพียงตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางบังตา...


เมื่อนั้นคนในสายอาชีพที่ว่าจะได้รับโอกาส...


ขึ้นกับว่าเรา...มีดีพอจะได้รับโอกาสนั้นไหม

เรารู้จัก เจ.เค. โรลลิง เมื่อเขาโด่งดัง แต่หากจะมองไปยังจุดเริ่มต้น ผู้หญิงคนนี้เริ่มเขียนหนังสือมานานแค่ไหน นักเขียนมีกี่ล้านคนบนโลก ทำไมเธอโด่งดังที่สุด โอกาส...มักวิ่งหาคนที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะรับโอกาส


เมื่อเราทำงานที่รัก...เราจะไม่รู้สึกว่าเราทำงาน เราจะสนุกตลอดเวลา

หากคุณเบื่อล่ะ....ปกติอาการเบื่อตันมีกับนักเขียนทุกคน แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง...

"นีกเขียนที่แท้จริงจะเริ่มรู้สึกอยากเขียนจนทนไม่ได้"

แต่หากคุณไม่รู้สึกแบบนั้น...อย่ามองมาในสายอาชีพเช่นนี้เลย สายอาชีพนี้ไม่เหมาะกับคุณ
นักเขียนคืองานอิสระ ไม่มีใครบังคับคุณได้ เราต้องบังคับตัวเอง วันนี้ต้องเขียนได้กี่หน้า กำหนดว่าคุณจะพักเมื่อไร
มันไม่ใช่เรื่องง่ายครับผมขอพูดไว้....

อย่าโลกสวยครับ...ชีวิตยากเสมอ ถ้าไม่ประคองตัวให้ดี ไม่มุ่งมั่น คุณอาจจะหล่นลงข้างทาง ถ้าโชคดีอาจจะมีคนช่วยฉุดคุณขึ้นมา หรือคุณยังพอมีกำลังใจลุกขึ้นได้หากล้มเหลว และใช้มันเป็นประสบการณ์ที่จำทำให้ตัวเองแกร่งขึ้น

แต่...ก็มีอีกไม่น้อยที่จมอยู่กับความมืด ความผิดหวัง และวังวนความคิดที่ไม่ปล่อยเราออกมา...

กับดักชีวิตมีมาตลอดเวลา รัก โลภ โกรธ หลง...ทุกสิ่งมีในตัวมนุษย์อยู่แล้ว เราทำได้เพียงอย่าให้มันมากจนเกินไป จนมันบดบังสิ่งดีๆ และพาเราเข้าหาสิ่งเลว


ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ครับ ไม่สิ...สิ่งที่ได้มาง่ายอาจจะมี...แต่ยิ่งได้มาง่าย โอกาสที่มันจะจากไป...นั้นยิ่งง่ายกว่า

แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณสนุกกับมัน คุณอยากทำงานด้านนี้จริงๆ

ผมขอบอกคุณว่า...

"พีรามิดทุกลูกมียอดพีรามิด ถ้าคุณไม่คิดจะเดินไปถึงยอด ซึ่งเสี่ยงที่จะมีโอกาสตกลงมาสูง...คุณควรเลือกพีรามิดฐานกว้างมากกว่า"

แต่ถ้าพร้อมจะเสี่ยง...

มาลองปีนไปด้วยกันครับ อาจจะยาก แต่หากพร้อมแล้ว...จงเลือกสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะเมื่อเราลำบาก อย่างน้อยเราจะมีความสุขว่างานที่เราทำไม่ซ้ำเติมเรา...อย่างน้อยเราจะมีความสุขที่ได้ทำงานนั้น

เกรดเฉลี่ยไม่ได้วัดความสำเร็จในอนาคตภายหน้า แต่อย่างน้อยมันวัดความความพยายามในหน้าที่ซึ่งเราได้รับ หากเกรดเฉลี่ยในการเรียนของเราไม่ดี...เราต้องมีสิ่งอื่นที่จะยกขึ้นมาแสดงให้คนอื่นเห็นว่า...ฉันทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าไง

แต่ถ้ายังไม่มีข้ออ้างอะไรดีๆ ที่จะยกมาอ้างได้...และยังไม่พบสิ่งที่มีค่าต่อคุณมากกว่าการเรียน...จงเรียนต่อไปก่อนครับ เมื่อเริ่มออกเดินทาง ทิวทัศน์ต่างๆ จะเริ่มผ่านตา...
คุณจะรู้ว่าทิวทิศน์แบบไหนที่ตัวเองชอบเมื่อชีวิตได้ออกเดินทาง...ไม่ใช่หยุดนิ่งอยู่กับที่



สุดท้ายอยากบอกเพียงว่า...

"การได้ทำงานที่รัก คุณจะเหมือนไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต เพียงแค่เราปันชีวิตส่วนหนึ่งให้สิ่งที่เรารัก...เราก็เดินตามฝันได้โดยไม่ทิ้งความจริงครับ"

แสดงความคิดเห็น

>

55 ความคิดเห็น

หลับปุ๋ย` 6 มี.ค. 58 เวลา 21:50 น. 1

ปัจจุบันด้วยความจำเป็นบังคับ
ผมทำงานที่รู้สึกเฉยๆ กับงานครับ
ทำแล้วเหนื่อยบ้างเครียดบ้าง
ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานทุกอาชีพ

แต่สำหรับนิยายนี่เป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ
เหมือนกับการพักผ่อนที่ดีที่สุด
ถึงแม้จะทำแบบเต็มตัวไม่ได้แต่ก็บอกได้เลยว่า

" เลิกแต่งนิยายไม่ได้ "

แม้จะเคยคิดว่าจะ " ลด-ละ-เลิก " แต่
ก็ทำไม่สำเร็จ  หรือทำได้ก็ไม่นาน สรุป
กลายเป็น

" ลดได้เล็กน้อย "
" ละได้ในบางจังหวะ "
" เลิก..? ไม่มีวันซะหรอก !! "


ชีวิตเลยมีนิยายมาวนเวียนเหมือนเพื่อน
คอยดูแลปลอบใจ  เป็นทั้งการพักผ่อน
และงานอดิเรก  ก็สุข-ทุกข์ควบคู่กันไป
ถือว่าชีวิตก็สมดุลดีครับ



ปล.ผมรักนิยายครับ

0
Sarttawalee 6 มี.ค. 58 เวลา 22:01 น. 3

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้แก่คนที่ยังไม่พบทางสว่างนะคะ

เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยเบื่อที่จะเขียน ตื่นขึ้นมาครั้งแรกก็กระตอรือร้นที่จะเขียนให้จบ รู้สึกว่าตัวเองความคิดเร็วกว่านิ้วมือ อยากมีมือสักสี่มือให้ได้ตามที่ตัวเองต้องการ 5555 เพราะความคิดมันไปไวกว่ามาก

ทุกวันนี้บอกตัวเองอย่างที่ท่านบอก คนเราชีวิตมันมีเป็นช่วง บางช่วงก็อยู่สูงสุด บางช่วงก็อยู่ต่ำสุด แต่ถ้าเราพยายามที่จะเขียนและรู้สึกรักในการเขียนของตัวเอง ไม่มีทางที่ชีวิตจะต่ำเสมอไป

ประสบการณ์ของท่านเป็นแนวทางให้เราอยากจะเก่งเหมือนท่านนะคะ

0
Vanilla Ice 6 มี.ค. 58 เวลา 22:02 น. 4

ผมยังมือใหม่ครับบบบบ เพิ่งเขียนได้ 2 ปีเองครับ.....ยังอีกยาววววกว่าจะถึงคำว่าเก่งครับ ><"

0
MuI2asaki [紫] 6 มี.ค. 58 เวลา 22:10 น. 5


#ไม่เคยมีสาระเท่านี้มาก่อน
(หมายถึงเรานะคะ)
5555555+




เรามองว่า...บางคน
เรื่องของ 'โอกาส' และ 'ความโชคดี'
มีส่วนผลักดันให้ 'ความพยายาม' สัมฤทธิ์ผลด้วยนะคะ


0
v-kun 6 มี.ค. 58 เวลา 22:18 น. 7

แหม มาคล้ายกับผมเลยนะครับ แต่ท่าวนิลานี่เรียน Anatomy ปี 3 แสดงว่าไม่ได้อยู่จุฬา แน่ๆ เรียนไหนครับเนี่ยอยากรู้

ส่วนเรื่องการเรียนและทำงานแพทย์นี่... อย่าให้ผมพูดถึงรายละเอียดของมันเลย ผมเคยอยู่เวรจน hypoglycemia เกิด mild head injury มาแล้วสามครั้ง

เรื่องยอดพีรามิดที่คุณกล่าวถึง อันนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ

ก่อนที่เราจะเลือกความฝัน หรือเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ เราควรนึกก่อนมั้ยว่า-สิ่งที่เราชอบเนี่ย ทำให้เราเลี้ยงตัวเองได้หรือเปล่า

ถ้า "งานที่ชอบ" สามารถ "เลี้ยงตัวเอง" อันนี้ perfect

แต่ถ้าทำ "งานที่ชอบ" แต่งานที่ว่านั้น "ไม่สามารถเลี้ยงตัวเอง หรือครอบครัวได้" มันจะเป็นงานที่ "เหมาะสมหรือไม่"

อย่าลืมสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวนะครับ เราทุกคนไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก และครอบครัวก็ใช่ว่าจะมีกินมีใช้กันหมด

ผมเป็นลูกคนเดียวครับ ผมทำอาชีพแพทย์ เงินเดือนบวกเวรตอนนี้แสนกลางๆ

ผมคิดว่าการมีลูกคนเดียวเป็นเรื่องที่เสี่ยงนะครับ เพราะพ่อแม่จะทุ่มความฝันความหวังไว้กับลูกคนนั้น ถ้าลูกแย่ไป พ่อแม่ก็จะไม่เหลืออะไรเลย

แต่พ่อแม่โชคดี ผมเองก็โชคดีที่ผมเรียนค่อนข้างเก่ง และทำตามสิ่งที่ท่านหวังได้ตลอด ท่านทุ่มเทดูแลผม และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ผมต้องตอบแทนดูแลท่าน

แต่ผมไม่สามารถที่จะก้าวออกมาและทำตามความฝัน อย่างเช่นการเป็นนักเขียนได้เต็มที่ เพราะยังมีคนที่ผมต้องดูแลอยู่เบื้องหลัง นี่คือความจริง ผมต้องรอเวลาใฟ้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ก่อน ให้ทุกคนที่ผมดูแลอยู่ได้อย่างสบายแม้ว่าผมจะไม่ได้ช่วยอะไรก็ตาม



ที่ผมพูดมานี้ไม่ได้คิดจะโต้แย้งหรืออะไรนะครับ เป็นแค่การแสดงความเห็นในมุมของผมเท่านั้น

ถ้าการเดินตามความฝันอย่างเต็มที่ของคุณ ทำให้คนข้างหลังต้องเจ็บปวด คุณจะยังทำอยู่หรือเปล่า?

ปล. พอย้อนอ่านความเห็นตัวเองนี่รู้สึกโคตรดราม่าเลยวุ้ย

0
Vanilla Ice 6 มี.ค. 58 เวลา 22:19 น. 9

ใช่ครับ โอกาสน่าจะเป็นสิ่งที่หายากกว่า พรสวรรค์เสียอีก....

เสียดายที่หลายคนได้รับโอกาส แล้วทิ้งมันไปแบบไม่เห็นค่าเลยจริงๆ

0
Vanilla Ice 6 มี.ค. 58 เวลา 22:21 น. 10

ผมรุ่นเก่าครับ...อนาโตมีเรียนตั้งแต่ปี 2 แล้วครับ. แต่ตอนนั้นยังชิลครับ มาปีสามนี่หนัก 555...รั้วผมก็จามจุรีครับ แต่รุ่นโบราณ 5555

0
Vanilla Ice 6 มี.ค. 58 เวลา 22:23 น. 11

ความคิดเห็นของผมอาจจะไม่ได้สุดไปทางใดทางหนึ่งครับ ความคิดผมคือ งานที่ต้องทำอาจจะทำให้เราได้เงิน 100 บาท

แต่บางครั้งเราอาจจะทำเงินแค่ 75 บาท แล้วปันเวลาสำหรับ 25 บาทให้ความสุข...และสิ่งที่ชอบได้ครับ

และการทำตามความฝัน บางครั้งไม่ต้องสละสิ่งที่มีนะครับ...

เพียงแค่...ปันชีวิตบางส่วนให้มันครับ^^

0
mbth96(คณิตหรือหมอฟัน?) 6 มี.ค. 58 เวลา 22:39 น. 13

อ่านทุกตัวอักษร ตรงซะจนอึ้งเลยค่ะ ตรงส่วนที่เป็นเรื่องการเรียนในสายการแพทย์ กำลังอยู่ในช่วงสับสนในชีวิตพอดีเลยค่ะ 

เรื่องงานเขียน การเขียนนิยายเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่เคยเหนื่อยหรือเสียใจที่ได้ทำเลย ทำจนเป็นสิ่งที่ต้องทำประจำ เหมือนส่วนหนึ่งในชีวิต ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว

เคยปลื้มที่มีคนอ่านเคยบอกเอาไว้ว่า ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสอบเข้าคณะ...ถ้าได้เรียนอักษรฯคงไปได้ดีแน่ๆ ทำให้รู้สึกว่างานเขียนเราไม่ได้แย่เท่าไรนะ 

ยังคงจะมุ่งมั่นกับการเขียนนิยายต่อไป ถึงจะต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบและไม่ถนัด แต่นิยายคงจะช่วยปลอบใจในยามที่ท้อได้ 

นิยายกลายเป็นเพื่อนคนสำคัญไปแล้วล่ะค่ะ

0
Vanilla Ice 6 มี.ค. 58 เวลา 22:46 น. 14

คณะไม่จำเป็นสำหรับนักเขียนเลยครับผมยืนยัน เชื่อไหมครับ.....

นักเขียนในไทยน้อยมากที่จะจบอักษร หรือด้านวรรณกรรม ส่วนใหญ่ที่จบด้านนี้จะเป็นบรรณาธิการเสียส่วนใหญ่

การเป็นนักเขียน สามารถเรียนสาขาไหนก็ได้ สิ่งสำคัญ....

...มีเพียงเราไม่หยุดอยากรู้อยากเห็น แล้วกลั่นกรองสิ่งที่เรารู้มาฝากนักอ่านอย่างถูกต้องเพียงแค่นั้นครับ

เพียงแค่เราปันชีวิตส่วนหนึ่งให้สิ่งที่เรารัก...เราก็เดินตามฝันได้โดยไม่ทิ้งความจริงครับ^^

0
e-ram 6 มี.ค. 58 เวลา 22:59 น. 15

ผมเองก็เรียนจบแล้ว ปัจจุบันไมไ่ด้ใช้สิงที่เรียนมาในการประกอบอาชีพ ...เพราะทำงานกับทางบ้านอยู่

โดนส่วนตัวผมเองก็เป็นคนชอบอ่าน เด็กๆก็อ่านมังกะ โตมาก็อ่านมังกะ ตอนนี้ก็อ่านมังกะแต่เพิ่มโนเวลไปด้วย

จากที่อ่านมานาน จินตนาการในหัวมันก็เริ่มฟุ้งซ่าน และอยากจะเขียนอะไรออกมาบ้าง

...อาชีพนักเขียน ทำไมจะไม่ล่ะ?

ได้ทั้งเขียนเรื่องที่ตัวเองชอบ และได้ดูคนอ่านสนุกไปกับมัน (หวังว่านะ) และอนาคตก็หวังว่ามันจะช่วยทำเงินให้กับครอบครัวได้ อืม... ไม่อยากให้มันจบแค่ความฝันเลยจริงๆ

ในตอนนี้สกิลนักเขียนตัวเอง รู้ตัวดีว่ายังไม่เข้าขั้น แต่อย่างไรซะ ถ้าไม่เลิกไปก่อนผมหวังว่าตัวเองจะพัฒนาได้มากขึ้นและซักวันจะได้เป็นแบบคุณวานิลามั่ง (อืม ...ฝันเฟื่องไปมั้ยนี่)

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ

0
Sarttawalee 6 มี.ค. 58 เวลา 23:11 น. 16

อย่าอ่อนน้อมถ่อมตนนักเลยท่าน ฝีมือท่านก็ถือว่าน่ายกเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ
ตั้งใจ

0
Death With Love 6 มี.ค. 58 เวลา 23:22 น. 17

เขียนได้มากครับ มีทั้งข้อเท็จจริงและแง่คิดดีๆ

ผมขออนุญาตไม่เขียนตอบกระทู้อะไรมาก เพราะต้องการซึมซับความคิดแง่บวกของบทความนี้

ขอบอกเพียงสั้นว่า "อิจฉามาก"

0
yukina 6 มี.ค. 58 เวลา 23:22 น. 18

อ่านถึงอนาโตมีแล้วก็ยิ้ม...

เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว

อ่านถึงตอนผ่าตัดเราก็ยิ้ม...

เดี๋ยวเราก็จะเจอกันแล้วนะ TwT (ถึงจะไม่ได้ไปผ่าไส้พุงใครก็เถอะ...)

อ่านถึงเรื่องที่พูดเกี่ยวกับนิยายแล้วก็ยิ้ม...

เวลาไม่มี แต่อยากแต่งแล้ว ณ ตอนนี้...

เคยคิดไว้ว่า ถ้ามีเวลาจะแต่งจริงจังซักเรื่องแล้วส่งไปสนพ.ดู 

(มันอาจต้องเรียนจบก่อน เพราะชีวิตปีสูงดู...เหลือเกิน...)

// น้ำตาไหลพรากๆ กับสอบไฟนอล ณ คณะแสนเถื่อนที่เรียนหกปี...
 

0
เด็กน้อยในวันฤดูใบไม้ผลิ 6 มี.ค. 58 เวลา 23:32 น. 19

เหมือนกันเลย บอกตัวเองว่า พักการเขียนสักสองเดือนเนอะ สรุปสสามอาทิตย์ ก็นั่งเขียนเรื่องต่อ ฮ่า ๆ

0