เมื่อพ่อถามว่า "ลองเขียนหนังสือดูไหม"
ตั้งกระทู้ใหม่
วันนี้ไปงานหนังสือค่ะ แล้วกลับมาก็โม้เรื่องหนังสือ ลากไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องเรียนให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า ถ้าชอบเรียนเกี่ยวกับวรรณกรรม ภาษา แล้วก็ชอบอ่านหนังสือ ลองเขียนหนังสือของตัวเองดูบ้างไหม ;-; ถึงกับเงิบไปชั่วขณะหนึ่ง คือพ่อคะหนูเขียนนานแล้ว คิดแบบนี้ แต่บอกพ่อไปว่า ก็ลองเขียนอยู่นะคะ จริงๆ คือเคยเขียน แต่เขียนไม่จบ ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเขียนแล้ว คือหยุดมาอ่านก่อน อ่านเยอะๆ เพื่อซึมซับสกิลแล้วไปเกลาผลงานตัวเอง(แต่เอาจริงๆ ก็คือยัดลงไหฝังดินนั่นแหละค่ะ...)
ปกติแม่เราไม่ค่อยสนับสนุนให้เขียนนิยายกับวาดการ์ตูนค่ะ(ทั้งที่เราชอบมากแท้ๆ) แม่บอกไร้สาระ ก็เลยปิดๆ ไม่ค่อยพูดเรื่องว่าตัวเองเขียนนิยาย เขียนการ์ตูนเท่าไหร่ กะว่าไว้ทำสำเร็จ คือเขียนจบ ผ่านพิจารณาอะไรค่อยบอก แต่พอพ่อพูดแบบนี้ก็...ลอย แล้วก็เขินจนคิดว่าคงไม่กล้าเขียนต่อ กลัวพ่อมาเปิดดู #ผิด ส่วนหนึ่งก็เพราะพ่อชอบอ่านหนังสือด้วยแหละ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วถ้าจะซื้อของอย่างอื่นจะต้องคิดนานหน่อย แต่ถ้าเป็นหนังสือพ่อจะสนับสนุนมากไม่ว่าจะวรรณกรรมหรือหนังสือเรียน
แล้วชาวบอร์ดล่ะคะ ถ้าคนในครอบครัวถามแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร มีคำตอบแบบไหน เคยบอกคนในครอบครัวเกี่ยวกับที่ตัวเองเขียนนิยายหรือเปล่า มาเล่าสู่กันฟังดีกว่าค่ะ
38 ความคิดเห็น
ก็เฉยๆนะ เพราะขึ้นชื่อว่างานอดิเรกนี่ผมไม่ค่อยบอกใครอยู่แล้ว เว้นแต่มีประเด็น หรือพูดเอาฮา
เอาเข้าจริงนี่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่แม่ญาติๆที่บ้านก็ไม่รู้ครับว่าผมแต่งนิยายแนวไหน ... บางทีถ้าเขารู้จำนวนผลงานและความยาวทั้งนิยายและบทความที่ผมเขียนเอาไว้อาจจะตกใจก็ได้
ไว้ถ้าเขาอ่านแล้วมาชมชอบจริงๆ นั่นล่ะครับอาจมีหลุดยิ้มให้เห็นกันบ้าง
ทีแรกเราก็ไม่กล้าบอกเลยค่ะ เพราะแม่ไม่สนับสนุน เขียนมาเงียบๆ เว้นแต่มีประเด็นหรือพูดเอาฮาเหมือนคุณกวีเลย จนพ่อบอกแบบนี้เลยดีใจมาก หลุดไปพอสมควร แต่ไม่มาก กลัวพ่อมาเปิดคอมฯ แล้วเจอนิยายที่เราแอบเขียนไว้ เขิน ไม่อยากให้อ่าน ยิ่งบางเรื่องเป็นนิยายวายด้วยแล้ว ;-; พ่ออาจตกใจได้
ญาติเราเขาก็รู้กันทั้งบางนะคะว่าเราเขียนนิยาย 5555555555
คือตอนเริ่มแรกๆ เหมือนเคยโดนว่าว่า "ไร้สาระ" ก็ติดสตั๊นท์ไป
แต่เราก็เขียนๆ เล่นๆ ใช้ชีวิตมาได้โดยเกรดไม่พังทลายหรือย่อยยับอะไรนัก แถมพยายามทำให้ดูว่าสิ่งที่เราทำมันทำให้รู้ว่าเรามาถูกทาง เราได้เข้าค่ายกล้าวรรณกรรมของซีพีออลล์ อย่างน้อยก็พอยืนยันได้ว่า เราไม่ใช่แค่เล่นโดยทั่วไป อย่างน้อยก็พอมีหนทางสำหรับที่จะไปบ้างนะ อะไรแบบนั้น
ทุกคนก็เริ่มเลิกบ่น
จนพอเราบอกว่าจะเข้าคณะอะไร แรกๆ พ่อก็ไม่อยากยอมรับ เพราะคณะที่เราจะเข้าเป็นคณะของสายศิลป์เขา(เป็นคณะเกี่ยวกับการเขียนๆ และภาษานี่แหละค่ะ คงพอเดาออก 555) แต่เราเรียนสายวิทย์(พ่อก็ตั้งความหวังว่าจะให้เราเป็นเภสัช แต่ไม่เคยดูสมองเราเลย ถ่อววววว)
พอม.5 คณะในฝันเราก็ยังเป็นคณะเดิม พ่อก็เปลี่ยนมาสนับสนุน ถามว่าต้องทำอะไร ต้องใช้อะไรบ้าง พอเราอธิบายพ่อก็บอก
"จริงๆ ตอนนี้ควรมีผลงานได้แล้วนะ" (อารมณ์แบบ ได้ตีพิมพ์บ้างไรบ้าง จะได้เป็นพอร์ต)
"..." //เงิบ
ก็พยายาม(อยู่นิดนึง)นะคะพ่อ แต่เอาลงไหซะส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ทำไง 5555555
#ซอร้องไห้ทำไม
จริงค่ะ เรื่องเรียนเราก็เรียนสายวิทย์มา ทั้งที่อยากเรียนด้านภาษามาตั้งแต่ประถมแล้ว คือแม่อยากให้เข้าหมอ(คือแม่ดูเกรดหนูก่อนค่ะ...) สุดท้ายเราก็สอบเข้าสถาปัตย์ แต่มันไม่ใช่ จนตอนนี้เลยซิ่วมารอแอดคณะสายภาษาอยู่(อักษร/มนุษย/ศิลปศาสตร์) ที่จริงคณะนี้ไม่ต้องมีพอร์ตเป็นงานเขียนก็ได้ ถ้าไม่ใช่คณะด้านออกแบบหรือศิลปะเขาก็ไม่ค่อยอะไรกับพอร์ตเท่าไหร่ ที่เรียนด้านนี้บางคนจบแล้วไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับหนังสือก็มี(แต่เพื่อนที่เรียนอยู่บอกว่าตอนเรียนต้องอ่านหนังสือเยอะมากจนอยากต้มกิน และบางเรื่องก็ไม่สนุกเอาซะเลย) ยังไงก็สู้ๆ นะคะ มาเรียนด้วยกัน
โอ้วววว จะตามไปค่ะ
ข้าน้อยจะบินรอบบ้านสักสิบรอบค่ะ ตอนนี้ที่ข้าน้อยเป็นอยู่อยากจะร้องไห้
ข้าน้อยอยู่กับแม่ ท่านไม่ค่อยสนับสนุนด้านนี้เท่าไรแม้แต่ซื้อมาอ่าน ท่านสนับสนุนเรื่องหนังสือเรียนมากกว่า แล้วข้าน้อยอยู่ในบ้านนอก (ไม่ถึงกับชนบท) ร้านหนังสือก็ต้องเข้าไปในตัวอำเภอ ดังนั้นทางที่สะดวกที่สุดคือสั่ง แต่การใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ข้าน้อยต้องบอกแม่ แล้วถ้าแอบสั่งก็ต้องรับของที่หน้าบ้านอยู่ดี โอกาสที่จะได้อ่านคือห้องสมุดโรงเรียนอย่างเดียวค่ะ แต่ก็นะอยากมีหนังสือของตัวเองบ้าง ตอนนี้อาศัยอ่านในเว็บค่ะ แล้วก็เริ่มพยายามเขียน แต่ก็ไม่ค่อยได้แตะเพราะแม่ไม่ชอบเท่าไร นอนกลางวันมาแอบแม่เขียนดึกๆ ทุกที
#ร้องไห้หนักมาก #อยากมีแบบเจ้าของกระทู้
เราเองก็เคยค่ะ อย่างที่บอก แม่เราไม่ค่อยสนับสนุนให้เขียน ซื้ออ่านก็บ่นบ้าง แต่ก็ปล่อยๆ ไปเพราะถือว่าเราเอาค่าขนมของตัวเองซื้อ แม่เคยบอกด้วยว่าอ่านนิยาย เขียนนิยายไร้สาระ เราก็แอบๆ เขียนมากะว่าสักวันหนึ่งที่เราได้มีงานตีพิมพ์ค่อยบอก จริงๆ แม่ก็รู้แหละ แต่ผลการเรียนไม่ได้แย่ลงก็ไม่ได้ว่าอะไร(เอาจริงๆ ตอนทะเลาะกันก็มีว่าบ้าง แบบเห็นไหม เพราะเอาเวลาไปวาดรูปเขียนนิยายไงถึงคะแนนไม่ดี สอบไม่ติด โน่นนี่นั่น แต่เราก็ยังเขียนมาเรื่อยๆ เพราะเขียนแล้วมีความสุข เขียนแล้วสบายใจ) เมื่อกี้พอพ่อบอกแบบนี้เลยดีใจมาก ยังไงก็สู้ต่อไปนะคะ สักวันเขาจะเข้าใจเราค่ะ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องมีสักคนที่เข้าใจเราแน่ๆ
อยากมีโอกาสได้ฟังแบบจขกท.สักครั้งเหมือนกันค่ะ ถ้าได้ฟังคงมีความสุขมากๆ บอกพี่ชาย เหมือนจะรับได้ ยังเดาใจพี่ท่านไม่ค่อยออก ไม่ได้ด่าอะไรก็เฉยๆ บอกแม่ แม่ก็ด่า บอกว่าไร้สาระค่ะ ยังไม่กล้าบอกพ่อ แม่มีปฏิกิริยาด้านลบมากเท่าไร ก็คูณสิบเท่าให้พ่อล่วงหน้าได้เลย พ่อแม่อยากให้เป็นหมอและหมอฟัน การข้องแวะกับหนังสืออ่านเล่นท่านไม่ปลื้ม แต่ถ้าหนังสือเรียนและหนังสือสอบ ต่อให้แพงแค่ไหนท่านก็จ่ายให้น่ะค่ะ...
สู้ๆ นะคะ ที่จริงแม่เราเมื่อก่อนก็เหมือนกันเลยค่ะ นิยายจะดูเฉยๆ ไม่ก็ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ แต่ถ้าหนังสือเรียนหนังสือสอบจะยินดีมาก อยากให้เป็นหมอเหมือนกัน โชคดีที่พ่อค่อนข้างเข้าใจ แล้วก็สนับสนุนให้อ่านตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะหนังสือนิยาย วรรณกรรม หรือตำราเรียน
ไม่เป็นไรนะคะ สู้ๆ หมอหรือหมอฟันก็เขียนได้ค่ะ ดูอย่างพี่กัลฐิดาเป็นหมอฟันยังโด่งดังจากการเขียนหนังสือเลยค่ะ หรืออย่างคุณหมอพงศกรเองก็เขียนหนังสือเยอะเหมือนกัน นิยายเขายังได้ไปทำเป็นละครตั้งหลายเรื่องด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ^^
ยังไม่เคยมีโมเม้นท์แบบนี้เลยครับ
ซึ่งโอกาสที่คุณพ่อจะเอ่ยแบบนั้นก็
เป็นไปได้ยากด้วยในความเป็นจริง
ครับผม T T
ยินดีด้วยค่ะที่มีโมเมนต์นี้
พิสูจน์ตัวเองให้คุณพ่อคุณแม่ได้ชื่นใจเลยค่ะ ว่าเราทำได้
เราก็เคยเรียนสายวิทย์มาก่อน ชอบวาดชอบเขียน
แต่ช่วงแรกพ่อแม่ไม่ค่อยเต็มใจสนับสนุนเท่าไหร่
ตอนหลังเราต้องพิสูจน์ตัวเอง
คุณพ่อคุณแม่ก็เปิดใจขึ้นมาพอสมควรแล้วค่ะ
ครอบครัวเคยถาม โดยเฉพาะแม่ แต่ไม่เคยบอกพวกท่านเลยว่าลูกคนนี้กำลังลงมือเขียนจริงๆ แล้ว
:)
มีความหวังว่าจะเขียนให้จบจนส่ง สนพ. แล้วได้ตีพิมพ์ ถ้าความหวังไม่เป็นไปตามนั้น ก็คงเก็บเป็นความฝัน แล้วมุ่งหน้าในชีวิตจริงต่อไป :)
ที่บ้านไม่เคยรู้อะไรเลย มารู้ก็ตอนได้ตีพิมพ์แล้วค่ะ (ฮาาาา)
พ่อ :"เราเป็นสัตวแพทย์ ไปทำอะไรที่เราไม่ถนัดทำไม สู้เขาไม่ได้หรอก"
ผม : "แต่ส่งผลงานให้สำนักพิมพ์พิจารณาแล้วนะพ่อ"
พ่อ : "เริ่มเขียนมาไม่นาน สู้เขาไม่ได้หรอก อย่าไปหวัง มันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด"
ป้า : "นักเขียนไส้แห้งนะ เล่มหนึ่งได้ถึง 2 หมื่นรึเปล่า"
ผม : "มีตั้งแต่ 8,000-หลักล้านครับเท่าที่รู้มา"
ป้า : "เขียนแล้วจะขายได้รึ"
พ่อกับป้าผมพูดไว้แบบนี้ครับ....แต่แม่กับน้องสาวผมเชียร์สุดใจ...
เรื่องเกิดเมื่อราวๆ 3 ปีก่อน....
ณ วันนี้....พ่อพูดว่า
"พ่อภูมิใจและดีใจที่ลูกพบสิ่งที่ตัวเองรัก"
ส่วนแม่บอกว่า...
"ไม่มีอาชีพใดไม่มีความเสี่ยงลูก"
ตอนนี้ดูเหมือนผมจะเดินทางสายนี้เกือบเต็มตัวซะงั้น 5555
จำได้ว่าเคยอ่านกระทู้หนึ่งของคุณ Vanilla Ice ที่เคยพูดถึงการเรียนแพทย์แล้วตอนหลังก็มาเขียนหนังสืออยู่ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นเพราะเปิดในมือถือ รู้สึกประทับใจมากๆ เลยค่ะ เป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจอย่างดีทีเดียว
เมื่อก่อนไม่มีใครรู้
ตอนนี้...รู้กันทั้งตระกูลแล้วครับ
ส่วนพ่อหลับไปตั้งนานแล้วว
พี่ชายบอกว่า'ไร้สาระ'
น้องสาวบอกว่า 'เขียนให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูดเหอะ'<<<แอบจี้ใจดำเล็กน้อย ดองยาวไม่เคยอัพลง ฮา..
แม่ข้าพเจ้าสนับสนุนทุกด้านเลย ยกเว้นอะไรๆที่มันใช้เงินเยอะๆ อาทิเช่น
เรา:แม่หนูอยากเป็นหมอศัลยกรรม แบบเรียนไปทางสายนั้นตรงๆเลยอะ
แม่:โอ้ย อย่าไปคิดเถอะลูก ถึงเกรดหนูจะได้3.9 อัพตลอดแต่ครอบครัวเราไม่มีเงินส่งเรียนนะ
______________
เรา:แม่หนูอยากเรียน ร.ร.กวดวิชาค่ะ ที่ร.ร.สอนแล้วไม่เห็นจะตรงกับทีเขาออกสอบทั้งประเทศเลย และถึงตรงข้อสอบก็มีนิดเดียว เวลาก็น้อย ฉุดเกรดหนูหมด
แม่:เก็บเงินไปเรียนเองเถอะนะ แค่ค่าเทอมสามคนแม่ยังจ่ายเขาไม่หมดเลย(มีทุนช่วยนิดหน่อย)
________________
เรา: แม่หนูอยากดัดฟัน เวลาเคี้ยวข้าวปวดฟันมากเลย และเนื้อติดฟันตลอด
แม่:ถ้าดัดฟันก็ต้องมีเงิน และถ้าดัดมาโครงเล็กที่ดัดฟันก็จะพัง เพราะลูกชอบนอนกัดฟัน ฟันเลยเบี้ยว ทรุด บลาๆ อีกอย่างลูกก็จะไม่ได้รับทุนอีก เพราะเขาคงคิดว่าถ้ามีเงินดัดฟัน ค่าเทอมก็ต้องมีจ่าย ถึงฟันจะเริ่มยื่นออกมาก็เถอะ
____________
เรา:แม่หนูเริ่มแต่งนิยายแล้ว มี๊คิดว่าไงคะ
แม่:แต่งถึงไหนแล้ว เอามาให้แม่ลองอ่านสิ เพื่อจะได้ทำเป็นเล่มขาย ยิ่งจินตนาการดีอยู่ด้วย เผลอๆจะได้เป็นนักเขียนมืออาชีพเชียวน้า ขายได้เงินเยอะเชียวล่ะ ถ้าเก่งๆนะ บลาๆๆ
___________
อายมากบอกปัดแม่เลย บทนำได้ไม่กี่บรรทัดเองเจ้าค่ะ _ _ คิดได้เรื่อยๆนะ แต่ขี้เกียจพิมพ์ กลัวไส้แห้งเพราะความขี้เกียจสุดๆ เสียดายเกรด...
ชาวเด็กดีท่านนี้ ยาจกเรียกพี่เลยเจ้าค่ะ...
อืม... เขียนวันล่ะ7หน้าไม่น่าเกรดตกหรอกมั่ง ผมยังเกรดไม่ตกเลย(คงที่ตลอดไม่ห่วยไม่เก่ง)
เหมือนคุณแม่ไม่สนับสนุนให้ใช้ตังแต่หาตังนะคะ น่ารัก สู้ๆ นะคะ
พ่อกับแม่เป็นนักแกะสลักต้นยาง ความรู้ก็แค่ป.4
แต่ประสบการณ์ชีวิตระดับดอกเตอร์
ไม่เคยถาม ไม่เคยสนใจ บอกอย่างเดียวให้ตั้งใจเรียน เพราะพ่อกับแม่ ไม่มีสมบัติหรือมรดกเก่าจะให้ มีแค่การศีกษานี่แหละที่จะนำพาให้มีงานเลี้ยงชีพได้
ผมก็ตั้งใจเรียนมาตลอด จนมีงานมั่นคง มีเวลาว่างมากขึ้น เลยมาหยิบความฝันในวัยเด็กขึ้นมาทำอีกครั้ง คือการเขียนนิยาย ใช้เวลา เกือบปี จึงเขียนจบ
แม้จะจบแบบกากๆ แต่ก็จบนะ
ยินดีด้วยนะคะ แต่งนิยายจบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พ่อกับแม่เรารู้แค่ว่าเราเขียนนิยายจีน,นิยายแฟนตาซี
เพราะเรามีหลายไอดี เอาอีก2อันให้พ่อดู
ส่วนอีก2ไอดีที่แต่งนิยายวายก็ปิดไว้
คุรพระ! ทำไมไม่ให้หม่อมเเม่อ่าน
อุ---หน้ากระต่ายโยโย่ได้อารมณ์มากค่ะ
เราเอาให้อ่านเลยน่ะค่ะ
พอดีแม่ชอบอ่านนิยายอยู่แล้ว
(ส่วนมากเป็นงานแปล นิยายดัง
คือจริงๆเราซื้อมาอ่านค่ะ อ่านจบก็ให้แม่อ่านต่อ 55)
ฟีดแบ็คค่อนข้างดีอยู่แล้วค่ะ แม่ก็ตามอ่านอยู่ตลอด
เรียกว่าเป็นแฟนคลับเลย
ตอนแรกอ่านอย่างเดียว เพิ่งกลับมาเขียนก็ปีที่แล้ว
ตอนบอกแม่ แม่ก็ยังแปลกใจว่าเขียนด้วยเหรอ ฮ่าๆ
กิ่งทำธุรกิจส่วนตัวอยู่แล้วน่ะค่ะ ดูแลตัวเองทั้งหมด
อยากจะทำอะไรเลยไม่มีใครมาห้ามหรืออะไรอยู่แล้ว
เรียกว่ารู้กันว่ามีสิทธิ์ที่จะทำได้ตามใจชอบ
ไม่กระทบกับงานประจำอยู่แล้วค่ะ
แรกเริ่มไม่บอกใครเลยค่ะ อายด้วย กลัวโดนหาว่าไร้สาระด้วย แต่โดนพ่อแม่ด่าทุกวันว่านั่งอยู่แต่หน้าคอม แชทๆ เล่นเฟซบุ๊ก ทำตัวไร้สาระไปวันๆ อยู่ได้จนทนไม่ไหว...เลยต้องบอกความจริงไปว่าหนูเขียนนิยายค่ะ หวังว่ามันจะทำให้พ่อแม่มองดูแล้วมีสาระขึ้นนิดนึง แต่ว่า...
ไม่เลยค่าาาา เย้!! //หัวเราะทั้งน้ำตา
ตอนนี้ก็เป็นงานอดิเรกที่ทำได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องปิดๆ หลบๆ ซ่อนๆ มันก็ดีไปอย่างค่ะ แต่แค่ต้องทนฟังเสียงบ่นเท่านั้นเอง (ฮา)
แหม่ ถ้าพ่อเดียร์มาพูดอย่างพ่อจขกท.นี่ ตัวลอยเลย มีกำลังใจในการเขียนจนจบ+ส่งสนพ.มากขึ้น 20% (แต่มันคงไม่มีวันนั้นนี่สิคะ...)
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สู้ๆ บางทีอาจจะมีวันที่คุณเดียร์ต้องลับๆ ล่อๆ ออกจากบ้าน พอพ่อแม่ถามจึงต้องบอกความจริงไปว่า "หนูจะไปแจกลายเซ็นที่งานหนังสือ" ก็เป็นได้
เข้ามาบอกว่าเป็นคนพ่อที่น่ารักมากครับ ให้ความสำคัญกับกิจกรรมของลูก(สาว)มากครับ
ตอนเด็กๆ ผมก็ชอบบังคับให้พ่อซื้อการ์ตูนให้บ่อยๆ แล้วแม่ก็ด่าทั้งพ่อและผม (ฮา)
สมมติ ถ้ามีคำถามจากพ่อ
"ลองเขียนการ์ตูนดูไหม"
ผมก็จะตอบกลับไปว่า...
"เคยดูลูกตัวเองไหม ความพยายามมีไม่พอเขียนการ์ตูนเป็นเรื่อง เป็นเล่มได้หรอก พ่อ (ฮา)"
พ่อเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความอัจฉริยะหรือความเก่งกาจในตัวเองน่ะค่ะ ก็จะพยายามสนับสนุนเท่าที่ทำได้เพื่อให้เราค้นพบตัวเอง อุ แต่เราว่าคุณเดธทำได้นะคะ ชอบงานคุณเดธมากๆ เลย จะต้องมีสักวันแน่นอนค่ะ
อยากมีโมเม้นแบบนั้นบ้างเหมือนกันค่ะ 5555
ทุกคนที่บ้านเรารู้นะคะ พ่อเฉยๆ กึ่งไม่ค่อยชอบ แบบแนวกังวลมากกว่า (ส่วนนึงอาจเพราะเราไม่ค่อยสนิทกับพ่อด้วยมั้งเลยไม่เคยคุยเรื่องนี้ตรงๆ สักที มีแต่แม่มาบอกว่าพ่อเขาไม่ชอบนะลูก 555) แม่สนับสนุนบ้างบางครั้ง แต่ก็อยากให้งดๆ เพราะเราม.ปลายแล้ว แถมพอมีเรื่องการเรียนเข้ามาเกี่ยว แม่เราก็จะเอาเรื่องนี้ยายมาปนด้วยทุกครั้งเลย //เศร้ามาก ส่วนพี่สาวนี่สนับสนุนนะ แต่แนวว่าอยากทำไรทำไป มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีนิ ขอแค่อย่าทำเป็นอาชีพหลักก็พอ เธอต้องมีงานประจำนะ ฉันขี้เกียจหาเงินเลี้ยงเธอ ตังมันไม่พอยาไส้หรอก อะไรประมาณนี้ ขำเล็กๆ เหมือนกัน
โดยรวมของครอครัวเราก็พอโอเค ไม่ได้กีดกันอะไรมาก แค่เขม่นเท้านั้นเอง(ฮา)
เราไม่ใช่สายการเขียนแต่อยากจะเขียนค่ะ ฮาา
ยินดีกับ จขกท. ด้วยนะคะที่มีคนสนับสนุน ทางเราได้รับการสนับสนุนมาตลอด (เราสายวาดค่ะ) จนตอนนี้เครียดที่โดนเร่งเร้าให้ไปหางานทำได้แล้วมากกว่า (ถี่มาก) เลยอยากจะบอกแม่เหลือเกินว่ามันไม่ง่ายและคิดว่าฝีมือยังไม่ถึง Y v Y
จขกท. สู้ๆ ต่อไปนะคะะ ขอให้ประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง
สายวาดถ้าพอมีงบหน่อยน่าลองไปออกงานโดอะไรพวกนี้นะคะ เราก็ติดตามสายวาดอยู่ ชอบไปเดินเล่นงานโด หลังๆ นี้แต่ละงานมีนักวาดทั้งมืออาชีพมือใหม่ออกบูธเต็มไปหมดเลยค่ะ ยังไงก็สู้ๆ ขอให้ประสบความสำเร็จเช่นกันนะคะ
ของเรานี่ไม่ค่อยสนับสนุนนะ เราซื้อมาอ่านก็โดนว่าตลอด เราไม่ค่อยบอกเรื่องนี้กับครอบครัวเท่าไหร่ เราก็ลองเขียนๆมาสักพักแล้ว (แต่ด้วยอายุน้อยเลยยังไม่คล่อง) ส่วนสายวาดนี่ห่วยมาก เราวาดรูปไม่ค่อยเป็น แต่ยินดีกัล จกขท.ด้วยนะคะ ^^ มีผปค.สนับสนุน
กระทั่งเราได้รับรางวัลจากการประกวดมาเท่านั้นแหละ ญาติกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ชื่นชมเรากันใหญ่ ปัจจุบันเราก็เดินทางสายนักเขียนเต็มตัวแล้วค่ะ ถ้าจขกท.ชอบจริงก็ลุยเลยค่ะ สักวันต้องสำเร็จได้แน่นอน ^ ^
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?