[กระทู้บ่น] เส้นทางนักเขียนช่างลำบากยิ่งนัก
ตั้งกระทู้ใหม่
เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะได้ตีพิมพ์ส่งไปให้สำนักพิมพ์ดูก็เหลวอีก จนทางบ้านเริ่มบ่นว่าเขียนไปไม่เห็นจะได้อะไร ความนิยมก็แย่ลงๆ คนอ่านหาย ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สู้เอาเวลามาช่วยงานจะดีกว่า
-เราอยากจะเถียงว่าถึงไม่ได้อะไรก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่พอโดนสวนกลับมาว่าทำแล้วมันอิ่มท้องไหม เขียนให้คนอื่นอ่านฟรี เงินก็ไม่ได้ แถมยิ่งเขียนยิ่งตกต่ำ ทำแล้วมีความสุขจริงรึ? ผมที่เถียงอะไรไม่ออกเลย...
ถามความเห็นครับ ผมจะเอายังไงต่อดี ใจมันก็รักการเขียน ถึงตอนนี้จะไม่มีคนเหลียวแล แต่ถ้าไม่ท้อถอยซักวันอาจจะได้แจ้งเกิด ...ในทางกลับกันถ้าแจ้งเกิดไม่ได้ก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆผมเองก็ไม่ถึงกับไม่เห็นด้วยกับที่ทางบ้านว่ามา แต่อีกใจมันก็ยังอยากเขียนต่อ อย่างน้อยเรื่องที่เขียนค้างไว้ก็อยากให้มันดำเนินมาถึงตอนจบ
ถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบผมคุณจะทำยังไงดีครับ?
24 ความคิดเห็น
คิดว่าไม่จำเป็นต้องแคร์ทางบ้านขนาดนั้นค่ะ
เราว่าง มีเวลาก็แต่งเงียบๆ ไม่ต้องบอกเขาก็ได้ค่ะ
ทำอะไรที่อยากจะทำ ดีที่สุดค่ะ
ในฐานะที่ยังเขียนนิยายเป็น "งานอดิเรก" ที่ทำแล้ว "โคตร" มีความสุขอยู่ จะบอกว่า การทำงาน ก็ไม่ได้แย่นักนะคะ
คุณจะช่วยที่บ้าน ทำฟรีแลนซ์ ทำงานบริษัท ก็แล้วแต่สถานการณ์ของคุณ เราจะบอกว่า งานเป็นแหล่งวัตถุดิบในการเขียนที่ไม่เลวเลย เพราะงานทำให้เราได้ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ชีวิตทำให้เราได้พล็อตและแนวคิดสำหรับการเขียน (แต่ไม่ได้แปลว่าให้ทำงานเช้าชามเย็นชาม หาพล็อตอย่างเดียวนะคะ ต้องทำงานให้ได้งานและผลงานด้วย อย่าให้คนอื่นรอบตัวคุณว่าเอาได้) ที่สำคัญ งานนำมาซึ่งเงินในการต่อทุนค่ะ
ถ้าคุณรักการเขียนจริง ยังไงเสียมันก็ไม่หายไปจากคุณหรอกค่ะ เราเอง เอาเป็นว่าจบประถมมาก็ไม่เคยเขียนเนื้อเรื่องอะไรยาว ๆ อีกเลย (ไม่ใช่นิยายด้วยซ้ำ) แต่มีเขียนบล็อกร้าง ๆ บ้าง ตามประสา และพอจังหวะชีวิตมันได้ คุณจะคิดถึงการเขียน และคุณจะได้เขียนค่ะ ส่วนมันจะนำไปสู่อะไร คุณก็จะไม่เครียดกับมันแล้ว เพราะคุณมีเงินต่อทุนแล้วนี่
โชคดีนะ
มาสู้ไปด้วยกันน้าเจ้าของกระทู้! <3
*โดดกอดคอ*
เข้าใจความรู้สึกเลยครับ งานเขียนตัวเองที่คิดว่าสนุกชัว แต่พอส่ง สนพ แล้วไม่ผ่านนี่ น้ำตาตกในเลย
เขียนต่อไปครับผม ถ้าเป็นผมแล้ว ผมจะ
เลือกเขียนต่อ อาจจะเจอสวนจนเงิบ
มาหลายครัังแต่ก็ยังจะเขียนต่อไปครับ
เราจะทำงานที่ก่อให้เกิดรายได้ ส่วนงานเขียนทำพอสนุกๆ ค่ะ ไม่คาดหวังกับมัน
การสร้างสรรค์งานเขียนให้มีความงามเฉพาะตัวนั้น...เป็นสิ่งที่ยากและน้อยคนจะเข้าใจ ถ้าหากรักงานเขียนจาก "ใจ" ไม่ใช่เพราะ "เงิน" ล่ะก็...อย่าดับฝันที่ตัวเองเป็นคนใฝ่ครับ
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะเขียนนวนิยายเพราะอะไรนะ แต่สำหรับผม...ผมเขียนเพราะผมรักครับ ไม่ว่ามันจะได้เงินหรือไม่...แต่มันคือความสุขที่ได้มีโลกเป็นของตัวเอง
ความยากลำบากนั้นมีอยู่ในทุกงานที่คุณจะเจอครับ แต่มันจะดีกว่าไหมหากจะใช้เวลาที่ว่างจากการทำงานมาทำในสิ่งที่ตนรัก ? ลองถามตัวเองก่อนว่ารักงานเขียนจากใจจริงหรือไม่ เพราะถ้าหากการเขียนเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกข์ใจก็ควรวางมือจากมันครับ และถ้าหากมองกลับกัน การทำงานอื่น ๆ นอกจากงานเขียนเป็นเสมือนการหาประสบการณ์จริงที่ใช้ในการเขียนนวนิยายครับ คุณจะเข้าถึงตัวละครมากขึ้นเมื่อคุณเขียน และแน่นอนว่า...การท้อและลังเลในครั้งนี้ก็เช่นกัน
ผมชอบงานเขียนครับ มีความสุขเวลาได้เขียนและเห็นคนอ่านสนุกไปกับมัน
ทว่าบางครั้งก็เป็นทุกข์เหมือนกันครับเวลาความนิยมตกต่ำ ก็โทษใครไม่ได้ครับนอกจากตัวเองที่คงจะเขียนไม่สนุกพอ ต้องพัฒนาตัวเองอีกเยอะเลยครับ
ตั้งใจจะประกอบเป็นอาชีพหรืองานอดิเรก ละครับ
ผมอ่านแล้วรู้สึกจขกท.ค่อนข้างมองเป้าหมายที่ได้ออกผลงานแจ้งเกิดกับสนพ.
ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องมีความตั้งใจและพยายามสูงครับ และต้องแสดงออกมาอย่างชัดเจน
ที่ทางบ้านเป็นห่วง อาจจะเพราะยังไม่เห็นความพยายามอย่างแรงกล้าของจขกท.
ทุ่มเทให้งานเขียนมากเท่าไรละครับ? เขียนทั้งวันทั้งคืนไหม ตั้งใจศึกษารายละเอียดประกอบงานเขียนสม่ำเสมอ ดูตลาดมองหาลู่ทางไว้บ้างไหม
ไม่แปลกครับที่บ้านอาจจะเป็นห่วง ถ้าจขกท.ดูยังลังเล ไม่มุ่งมั่นพอ
ผมก็เคยทราบว่ามีนักเขียนที่ใช้เวลาไม่ถึงปี ก้าวมาเป็นมืออาชีพมีผลงานหลายเล่ม
ซึ่งคาดได้เลย นักเขียนท่านนั้นต้องทุ่มเทมากกว่าปกติหลายเท่าตัว
ส่วนถ้าเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก ก็หางานประจำครับ ทางบ้านจะได้ไม่ห่วง
ผมตั้งเป้าจะเป็นนักเขียนอาชีพครับ
ตอนแรกทางบ้านก็สนับสนุนดี ผมก็เขียนไแพร้อมช่วยงานที่บ้านไปด้วย จนเวลาผ่านมาจะเกือบ 1 ปีนี่ล่ะครับ ทางบเานคงจะเริ่มหมดความอดทน แต่ก็ไม่ถึงกับสั่งเลิกเสียทีเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาคงจะเห็นผมทุ่มเทพอควรนั่นล่ะครับ
ผมไม่ใช่คนมีความสามารถิัไรนัก 1 ตอนผมใช้เวลาเขียนมากพอสมควร บางทีเขียนนานถึงตี 2 ตี 3 ก็เคย (บ่อยด้วย)
ตอนนี้ผมอยู่ในโค้งสุดท้ายล่ะครับ มีสามตัวเลือก
1 ทุ่มเทต่อไปพร้อมทำงานอย่างตั้งใจไปด้วย ...ข้อนี้จะโหดต่อสุขภาพน่าดู
2 เปลี่ยนเป็นงานอดิเรก เขียนแบบไม่ตั้งความหวังอะไรอีกต่อไแ เขียนเอาสนุกพอ
3 บอกลางานเขียน เอาเวลาไปทุ่มเทให้กับงานทางบ้านแทน
ถ้ามีแนวทางแล้วก็ดีครับ อย่างไรเสียก็คงเป็น 1ใน 3
ผมคงไม่ก้าวล่วงแนะนำ เพราะไม่ทราบถึงแรงกดดันของจขกท.
อันที่จริงทั้งสามทางเลือกก็เป็นอะไรที่ไม่เลวร้าย ผมเคยเห็นมาแล้วคนที่ผ่านมาแล้ว
ข้อ.3 เมื่อทุ่มเทกับงานหลักได้เข้าที่เข้าทางสมบูรณ์พร้อม อีก 2-3 ปี ก็ยังกลับมาจับงานเขียนที่รักใหม่ได้นะครับ
กำลังตัดสินใจอยู่ครับว่าจะเลือกตัวเลือกไหนดี
ส่วนตัวไม่อยากเลิกเลย แต่ตัวเลือกที่ 3 น่าจะช่วยให้ทำใจได้ง่ายกว่า ไม่มามัวพะว้าพะวงอีก
คงต้องใช้เวลาตัดสินใจอีกซักพักครับ
พ่อแม่ผมแรกๆ แกก็ไม่เห็นด้วยที่ผมเขียนนิยายนะ ผมก็ยอมรับแหละว่าอาชีพนี้มันไม่มั่นคง ต่อให้ขยันมาก เขียนงานเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่างานจะผ่านทุกเรื่อง ขายได้ทุกเรื่อง มีความสุขที่ได้เขียนมันก็มีความสุขแหละครับ แต่เราต้องมองความสุขกับความจริงคู่กันไปด้วย
เราได้เขียนนิยายเรามีความสุข แต่ไม่มีเงิน
เราจะอยู่ยังไง เราจะเอาเงินมาจากไหนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน (ไม่ต้องไปคิดถึงว่าจะเลี้ยงพ่อแม่พี่น้องเลยนะ เอาเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน)
ถ้าเงินจากหนังสือมันขาดไป เราก็ต้องหางานที่สร้างเงินได้ "แน่นอน" ให้ตัวเองก่อนแหละครับ คิดเสียว่าให้มันเป็นรากฐานเพื่อให้เราดำเนินความฝันของเราต่อไปได้ กว่าพ่อแม่ผมจะปล่อยให้ผมเขียนนิยาย ผมก็ทำงานประจำเป็นลูกจ้างเขา ผมว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยนะ การทำงานอย่างอื่นมันไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญสิ้นโอกาสที่จะเขียน หลายคนก็ทำงานประจำไป เจียดเวลาเขียนคู่กันไป (เมื่อก่อนผมทำงาน 2 โมงเช้า เลิก 5-6 โมงเย็น บางวันกลับมาหลับเป็นตาย แต่ก็ยังมีบางเวลาที่นั่งเเขียนนิยายลงในสมุดได้) คือใจมาทางนี้จริงๆ ผมว่าเราทำมันคู่กันได้นะ เผลอๆ ผมว่าคนที่ทำงานประจำ ได้พบเจอผู้คน ได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนไปทุกๆ วันที่ออกไปทำงาน เขาได้ข้อมูล ได้ประสบการณ์ที่จะเอามาใช้ในงานเขียน มากกว่าคนท่ี่เขียนหนังสืออย่างเดียว แต่ไม่มีโอกาสได้ออกไปเจอประสบการณ์จริงแบบนั้นอีก
เมื่อก่อนแม่ชอบบอกว่าจะแต่งไปทำไม ไม่เห็นได้อะไร เราก็ฟังนะแต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรมาก
แต่ถึงจะโดนว่ายังไง เราก็ยังไม่เลิกเขียนเพราะมันเป็นสิ่งที่เรารัก ทำแล้วมีความสุขค่ะ จนในที่สุดความพยายามของเราก็เป็นผลคือได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง
พอแม่เห็นว่าสิ่งที่เราทำมีประโยชน์ สามารถสร้างรายได้ได้ ( คือไม่ได้จะให้เห็นแก่เงินนะคะ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่แสดงให้เห็นถึงข้อดีได้มากที่สุด ) แม่เราก็ไม่ค่อยว่าอะไรแล้ว
ตามความคิดของเรานะ การจะเลิกเขียนหรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวจขกท. ค่ะ
ถ้าหากว่าทำแล้วทุกข์ทรมานจนเกินจะรับไหวก็เลิกค่ะ แต่หากทำแล้วมีความสุขและสนุกก็ทำต่อไปค่ะ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจขกท. ค่ะ
ถ้าหากต้องการจะเดินทางสายนี้จริงๆ จะต้องมีความตั้งใจ เพียรพยายาม และอดทนอย่างสูงค่ะ คนเราใช้เวลาที่จะประสบความสำเร็จไม่เท่ากันแต่ถ้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จะต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ
สู้ๆ นะคะ ขอให้จขกท. ได้ทำในสิ่งที่รักนะคะ :)
ยินดีด้วยครับที่ได้ตีพิมพ์
ส่วนตัวผมต้องการแสดงให้เห็นด้วยว่าสามารถสร้างรายได้จากงานที่ชอบได้ (ทางบ้านทีกิจการเล็กๆอยู่ครับ) แต่พอเวลาผ่านมาจะปีแล้วนิยายยังไม่ก่อให้เกิดรายได้เลยโดนบ่นมานี่แหละครับ แงงง
อาชีพนักเขียนใช่ว่าจะไม่ดี แต่น้อยคนนักที่จะไปถึงจุดนั้น
ผมก็คนหนึ่งที่ไฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน และมีคนพูดถึงในวงกว้าง
แต่ผมก็รู้ความสามารถของตัวเองว่าผมคงทำไม่ได้แน่ ผมจึงวางมันลง
ไม่อยากแบกให้ทุกข์ใจ
แล้วหันไปมุ่งมั่นเรียนหนังสือ และทำงานที่สร้างรายได้มั่นคง จนพ่อกับแม่มั่นใจว่าท่านสามารถฝากผีฝากไข้กับผมได้ ตอนนี้ผมจึงเอาเวลาที่ว่างจากการทำงานมาสานต่อความฝันที่เคยอยากทำ
5555555 ช่วงแรกมันเลวร้าย มีคนบ่นว่าเขียนห่วย น่าเบื่อ เสียดายเวลาที่มาอ่านนิยายของผม
แต่เสียงเหล่านั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอก กลับยิ่งทำให้ผมมีแรงที่จะพัฒนาตนเอง และตั้งเป้าว่าจะแต่งให้จบก่อนเมษา 58 ซึ่งผมก็เขียนจบก่อนเป้าที่ตั้งไว้
มีคนบอกว่าเขียนจบแล้วไง ตีพิมพ์หรือเปล่า ผมนี่ขึ้นเลย ไปรีไรท์ใหม่ และจะลองส่งสำนักพิมพ์ดู เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้น
เขียนมาตั้งเยอะ ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากบอกว่า เสียงของใคร ก็ไม่สำคัญเท่าเสียงหัวใจของตัวเอง แต่เสียงนั้นควรอยู่บนหลักของความจริงด้วยนะครับ
เป็นแนวทางที่น่าสนใจดีทีเดียวครับ เอางานหลักสร้างฐานะให้มั่นคงก่อนแล้วค่อยเอางานรองมาทีหลัง
ถึงผมจะอยากให้งานเขียนเป็นงานหลักก็ตาม.... แต่ถ้าความสามารถไม่ถึงคงต้องเตรียมตัวเลือกอื่นไว้ก่อนล่ะนะ
ขอบคุณครับ
เวลาใครถาม ให้บอกว่าเขียนนิยายเป็นงานอดิเรกครับ เวลาเขียนก็แอบๆ สักนิด ปิดบังคนรู้จักสักหน่อย เรื่องบางเรื่องถ้าเขารู้แล้วเขาไม่ชอบ ส่วนเราเองก็ไม่สบายใจ สู้ให้เขาไม่รู้เลยเสียดีกว่า ให้ความลับมาแตกตอนมันเป็นเล่มแล้วละกันครับ สนุกกว่าเยอะเลย
เขียนให้มีความสุขค่ะ เหมือนตอนเราดูหนังหรือปั่นจักรยานแล้วมีความสุข
เราก็ไม่ได้คิดป่าวนะว่าจะได้อะไรจากการทำเรื่องพวกนี้ รู้แค่อยากทำเพราะทำว่ามันฟินอ่ะ มันใช่ ได้เขียนแล้วเหมือนพลังงานให้ตัวมันไหลๆๆๆ 555+
ถ้าเขียนแล้วมีความสุขคือจบจริงๆนะ ไม่ต้องไปสรรหาอะไรมาเพิ่มเติมอีกเลย
ปล. แต่ยาก เพราะการได้รับการยอมรับก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง OTL
ทำงานประจำ(ถ้ามี และหาได้) และเขียนนิยายเมื่อว่าง เอามันเป็นงานอดิเรกก่อน เพราะถ้าให้พูดตามความเป็นจริง ยังไงงานหาเงินเลี้ยงปากท้องย่อมสำคัญกว่า
การมีงานประจำ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการทิ้งความฝัน ยิ่งความฝันที่ว่าเป็นการเขียน ผมว่ามันเป็นความฝันที่สามารถปฏิบัติได้จริงง่ายกว่าความฝันในด้านอืนๆ ด้วยซ้ำ เพราะแคมีเวลาว่างวันล่ะชั่วโมง สองขั่วโมงก็สามารถจะทำได้ หากมีคอม หรือกระดาษดินสอ
ดังนั้นผมมองว่าการทำงานประจำและการเขียนนิยายนี่แทบไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าเรารู้จักจัดสรรค์เวลา รักที่จะทำ ยังไง๊ ยังไง มันจะหาทางทำได้เองนั่นแหละ นักเขียนที่มีผลงานหลายท่านก็ทำงานประจำกันอยู่ และก็เขียนนิยายไปด้วย บางคนเป็นหมอด้วย ยุ่งกว่างานสาขาอื่นๆ ตั้งกี่เท่าเขายังทำได้ ทำไมแค่ทำงานประจำสักอย่าง จะเจียดเวลามานั่งพิมพ์ไม่ได้ หรือถ้าอยากเป็นนักเขียนมืออาชีพนัก ก็แค่ทำงานประจำได้ แล้วเขียนนิยายไป พอมั่นใจว่านิยายมันอยู่ตัว มีผลงาน น่าจะอยู่รอด ตอนนั้นคอยออกจากงาน มาจับงานเขียนจริงจังก็ไม่สาย แต่บอกได้เลยว่ามีนกเขียนน้อยคนที่ทำแต่งานเขียนเพียงอย่าง ส่วนใหญ่ก็มีงานประจำ หรือต้นทุนที่บ้านดีอยู่แล้ว(หลายคนเป็นแม่บ้านอยู่ มีคุณสามีเลี้ยง มีเวลาอยู่บ้านว่างๆ เกือบทั้งวัน หรือบางคนบ้านมีกิจการ ฐานะ)
การอยากตามความฝัน ไม่มีใครว่า แต่คิดถึงความเป็นจริงด้วย ควบคุมให้มันเดินไปพร้อมกันให้ได้ มันเป็นเรื่องยากแน่นอน แต่การทำความฝันมันก็เป็นเรื่องยากอยู่ ถ้ากลัวยาก กลัวลำบากก็อย่าคิดจะทำตั้งแต่แรก ใช้ขีวิตต้องใช้สมองและหัวใจไปพร้อม อย่าใช้แค่สมอง หรือหัวใจเพียงอย่างเดียวครับ
เราเจอคล้ายๆกัน ตอนนี้เราออกจาก มหาลัยฯ ทั้งๆที่เรียนถึงปีสี่เเล้ว ออกเพราะคณะที่เรียนเริ่มไม่ใช่ เเละสองเราเลือกที่จะอยากเป็นนักเขียนนิยาย เราทุ่มเทมาก ถึงมากที่่สุด เรานอน 10 โมงเช้า เเละตื่น บ่ายโมง ติดต่อกันทุกวัน จนหมอสั่งว่าห้ามทำ เพราะโรคประจำตัวที่เป็นอยู่
ที่บ้านว่ามั้ย? คำว่า ว่านี่น้อยไป ขอใช้คำว่าด่า ด่าเเบบหยาบคายด้วย เพราะพ่อหวังเอาไว้มาก เพราะเป็นพี่คนโต เเต่เรากลับทำทุกอย่างพังยับเยินเพราะเราตัดสินใจที่จะออก เพราะมันไม่ใช่ อีกอย่างการเรียนมันรอได้สำหรับเรา เราอยากทำงานที่ตัวเองรัก ถ้าได้เงินเก็บเงินเรียนใหม่ก็ได้ รามก็มี เราคิดเเบบนี้ เเต่พ่อไม่
เเต่สิ่งที่เราทุ่มเทมันก็เกินขาดนะ เพราะเราฮึดเเละเคยคิดท็อป 20 หมวดหวานเเหวว อันดับที่ 1ุ6 ถึงจะเเค่วันเดียวก็เถอะ
เเต่ผลสุดท้ายการติดท็อปเนี้ยเป็นเหมือนตลกร้าย เพราะพอเอาให้พ่อดู พ่อก็สวนมาว่า
'มึ*ทำเเล้วได้เงินมั้ย? -ท็อปห่าเหวที่เอามาให้ดู ทำให้มึ* มีข้าวกินมั้ย? โง่เขียนให้เขาอ่านฟรีเเล้ว-ได้อะไร'
เเน่นอนว่าในใจของเราจะเถียงพ่อว่า มันมีความสุข เเต่ก็อีกนั้นเเหละ ความสุขกินไม่ได้วะ
เจ้าของกระทู้กับเราคงจะคล้ายๆกัน เเต่ขของเราอาจจะไม่มีทางเลือกเเล้ว เพราะเลือกที่จะเดินออกจากมหาลัยฯ เรากลับไปเรียนต่อไม่ได้เเล้ว เเละถ้าอยากจะเริ่มต้นใหม่ เราก็จะต้องส่งตัวเองเพราะพ่อยื่นคำขาดเเล้วว่าจะไม่ส่ง ชะนั้นสำหรับเราต่อให้กดดันมากเเค่ไหนก็จะต้องเขียนหนังสือใ้ห้เป็นเล่มให้ได้
เราเป็นพวกโหยหาความสำเร็จ สำหรับเราคือจะไม่หยุดเเละหยุดไม่ได้
คนเรามีทางเลือกไม่เหมือนกัน เเต่ถ้าเลือกเเล้วอย่างลังเล
ก้าวเดินไปได้ครึ่งทางเเล้วหันหลังกลับไปจุดเริ่มต้นคือเราต้องเดินย้อนมาทางเดิมมันคงเหนื่อย
เราว่าจขกท.มีคำตอบอยู่ในใจเเล้ว เเต่มันอาจจะขัดกับทางบ้าน หรือว่าคล้อยตาม อยากให้จขกท.เคารพการตัดสินใจของตัวเองค่ะ
สู้ๆค่ะ เป็นกำลังใจให้
ตอนนี้เราก็มุ่งมั่นที่จะเขียนหนังสือเหมือนกัน
ซึ่งทางบ้านก็ไม่ได้สนับสนุนอะไรนักในตอนแรก
แต่หลังๆ เห็นจริงจัง ท่านก็เลยปล่อยให้เราทำ
ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่ผ่านการพิจารณา แต่เราเลือกที่จะขายเองและทำอีบุ๊กค่ะ
(และคงจะส่งสนพ.ให้พิจารณาอีกเรื่อยๆ)
มันคงยังไม่มั่นคงตอนนี้ แต่ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ก็เชื่อว่างานก็จะพัฒนาไปอีักขั้น
ดีขึ้น คนรู้จักขึ้น เพราะมันมีความต่อเนื่องในงานเขียนใช่ไหมคะ
นอกจากนั้นอยากให้ จขกท. ลองเขียนประกวดด้วยค่ะ มันก็ช่วยให้เราพัฒนาการเขียนได้ดีขึ้นจริงๆ
ส่วนได้รางวัลหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ดวงละกัน
ซึ่งเราก็ไม่คิดว่างานเขียนจะเป็นงานสร้างรายได้หลักนะคะ เพราะตอนนี้เราก็มอง
หางานอื่นๆ ทำด้วย ต้องอย่าลืมว่าเรามีความฝันอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ เพราะเราอยู่กับความจริงด้วย
ดังนั้นแนะนำว่า จขกท ควรมีงานหลัก และใช้งานเขียนเป็นงานเสริมจะดีกว่าค่ะ
หนึ่งล่ะพ่อแม่ก็ไม่ต้องห่วงเรา และสองเราก็ได้ทำตามฝันของตัวเองด้วยค่ะ^^
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ
ตอนแรกผมก็มีตัวเลือกให้ตัวเองหลายข้ออยู่ งานทางบ้านก็ไปได้เรื่อยๆ แต่ทางบ้านก็อยากให้ผมช่วยงานมากกว่านี้
ตอนนี้หลังจากได้ความเห็นจากหลายๆท่านก็ทำให้ผมเห็นทางเลิอกที่มากขึ้น ตอนนี้อยากใช้เวลาตัดสินใจอีกหน่อย อาจจะบอกที่บ้านว่าเลิกแล้วแต่หาเวลาว่างมาเขียนสะสมไว้ก็ดี ถ้างานยุ่งมากก็พักไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน
ส่วนเรื่องยอดวิวหาย คอมเมนหดนี่คงจะต้องทำใจไว้เลยสินะว่าแก้ไขไม่ได้แน่นอน (กระซิก) ยิ่งหลังจากนี้จะยิ่งอัพช้ากว่าเดิมอีก
ทำใจตั้งแต่ตอนนี้แล้วคิดว่าเขียนสนองนีดตัวเอง คนจะอ่านไม่อ่านพยายามไม่เก็บมาใหปวดใจตัวเองดีกว่าแฮะ.....
อย่ากังวลเรื่องยอดวิวกับคอมเมนท์เลยค่ะ นักเขียนหลายท่านป้อนผลงานสู่สนพ.อย่างเดียว ไม่ได้อัพลงเว็บด้วยซ้ำไป อย่ายึดติดกับตัวเลขค่ะ สนใจที่ผลงานดีกว่า ^-^
การจะเขียนนิยายเป็นอาชีพ มันเป็นเรื่องยากครับ ไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวไหนๆ ก็มีสิ่งที่ตลาดต้องการอยู่ ถ้าเราตอบโจทย์ของตลอดได้ และเขียนได้ดี มีความขยันและรู้จักพัฒนาตัวเองได้มากพอ การตีพิมพ์ก็เกิดขึ้นได้
แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ นักเขียนหน้าใหม่แต่ละคนยังมีประสบการณ์ ยังไม่ทันอ่านตลาดให้เป็น ยังไม่ทันพัฒนาตัวเองให้ตรงตามที่สำนักพิมพ์ต้องการได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ของแบบนี้ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนา ไม่มีนักเขียนคนไหนที่เขียนนิยายในระยะเวลาสั้นๆ เดือนสองเดือน แล้วประสบความสำเร็จในระยะเวลา 1 ปีหรอกครับ แม้ว่าจะสามารถทำได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนอาชีพ
แทนที่จะรีบร้อนตั้งเป้าหมายว่าตัวเองอยากเป็นนักเขียนมืออาชีพ ผมว่าควรจะตั้งฐานหลักของตัวเองให้ดีก่อนครับ เท่าที่ดู จขกท.ยังไม่ได้ทำงานประจำใช่ไหม หรือว่ายังเรียนอยู่ ทางบ้านคงไม่ได้มีฐานะมากมายขนาดจะเลี้ยงดูจขกท.จนกว่าจะแจ้งเกิดกับสำนักพิมพ์ได้ด้วย ผมแนะนำให้หางานประจำทำ วันหยุดก็เขียนนิยายและฝึกฝนไปเรื่อยๆ พร้อมกับวางฐานรากของตัวเองในฐานะนักเขียนมือสมัครเล่นและนักเขียนตีพิมพ์งานเองไปด้วย เมื่อถึงเวลาหนึ่ง จขกท.ก็จะประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนมืออาชีพได้เหมือนกัน
ในนี้มีนักเขียนหลายคนที่ทำงานประจำไปด้วย เขียนนิยายไปด้วย และนักเขียนที่เป็นนักเขียนมืออาชีพ พวกเขาแต่ละครอยู่ในวงการนี้ (หมายถึงตั้งแต่เริ่มเขียน) ไม่ต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไปทั้งนั้น บางคนกว่าชื่อจะติดตลาด กว่าจะมีงานเป็นที่ยอมรับใช้เวลาเป็นสิบปีก็มี นักเขียนชั้นครูแต่ละคน ดูได้เลยครับ แต่ละท่านกว่าจะโลดแล่นได้อย่างทุกวันนี้ เหยียบ 10 ปีกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่เดินสั้นๆ ก้าวนิดหน่อยก็ประสบความสำเร็จสักคน
ถึงเวลาที่จขกท.จะต้องมองความจริงให้ออก แยกแยะระหว่างความฝันกับความจริงออกจากกันให้ได้ และคิดว่าจะทำอย่างไรให้ความจริงกับความฝันดำเนินไปด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้น...ความฝันพังอย่างเดียวครับ ไม่มีชิ้นดีด้วย
คงต้องทำเป็นงานอดิเรกจริงๆแล้วมั้งแบบนั้น เส้นทางหฤโหดเกิน
ทางแยกนี้สำคัญมากครับ
หากท่านเลือกที่จะเขียน ก็ให้หางานทำก่อน งานที่สบายๆ มีเวลาพักผ่อนเยอะ เงินอาจไม่ต้องมาก แล้วแต่งนิยายไปเรื่อยๆ พยายามคิดพล็อตเรื่องแปลกๆ ประกวดตามงานประกวดต่างๆ อาจจะเขียนนิยายในกระแสให้มียอดวิวเยอะๆ แล้วค่อยเริ่มไปเขียนงานแนวอื่น เขียนไปพร้อมกับทำงาน แบบนี้พอจะมีอนาคตอยู่บ้าง แต่ปลายทางก็ยังคงลำบากอยู่ดี
หากเลือกงาน ซึ่งผมเห็นว่าท่านควรเลือกทางนี้มากกว่า เพราะการเขียนนิยายที่ประสบความสำเร็จ รักที่จะเขียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเรียนรู้ และปรับตัวเป็นด้วย หากท่านไม่มีแววที่จะประสบความสำเร็จ มันก็จะไม่มีแววตลอดไป ไปทำงานเถอะครับ... เพื่ออนาคตของตัวเอง
บ้านเรายิ่งไม่ค่อยส่งเสริมด้านนี้เสียด้วย ช่องทางการเกิดจึงยากเป็นทวีคูณ เห็นใจ และเป็นห่วงจริงๆ
ขอให้เลือกงานเถอะครับ งานเขียนไม่มีอนาคต หากท่านไม่มีพรสวรรค์จริงๆ
เราว่าสำหรับผู้ใหญ่ เกม การ์ตูน นิยาย ถือเป็นอะไรที่ไร้สาระมาก
เพราะอย่างนั้นถ้าไม่อยากให้คนรอบข้างว่า หน้าที่หลังเราต้องไม่บกพร่องค่ะ อย่างเช่นหน้าที่เรียน ทำงาน คือถ้าตราบที่คุณยังไม่ได้ตีพิมพ์ทำเงินจากการพวกนี้ได้ คุณต้องมีส่วนหลักรองรับ ไม่เช่นนั้นก็จะโดนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
จากประสบการณ์ตรงค่ะ เราติดทั้ง3อย่างที่ว่า แต่ไม่เคยมีปัญหาแม้เค้าจะบ่นๆแต่ก็ว่าอะไรมากไม่ได้ เพราะหน้าที่หลักเราไม่บกพร่อง เราสามารถเถียงได้เต็มปากเต็มคำว่ามันช่วยผ่อนคลายเป็นงานอดิเรกไป
หลายท่านแนะนำดีแล้ว สุดท้ายท่านก็ลองดูทางที่พอเป็นไปได้ดูขอรับ
ข้าน้อยเชื่อในเรื่องจังหวะชีวิต ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาของท่าน แต่ก็ตอบไม่ได้อีกว่าจังหวะที่ท่านหวังจะเกิดเมื่อไร สำหรับคนที่มีความเชื่อแบบนี้ ข้าน้อยจึงขอแนะนำว่าทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและดูแลภาระที่มีก่่อนเถอะท่าน แต่ก็คอยพัฒนาตัวเองในเรื่องงานเขียนไปด้วย (จะเรียกว่างานอดิเรก หรืองานที่ตั้งใจต่อไปในอนาคตหรือจะเรียกอะไรข้าน้อยไม่สนล่ะ คำจำกัดความแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
ข้าน้อยรู้ว่ามันหนัก มันเหนื่อย (แต่งานไหนไม่หนักไม่เหนื่อยบ้างล่ะท่าน ยิ่งควบสองยิ่งต้องฮึดเป็นสองเท่า) แต่เมื่อจังหวะชีวิตที่ท่านรอเกิดขึ้น และท่านมีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะรับโอกาสนั้น สิ่งที่ท่านหวังย่อมเกิดได้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?