Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ขอปรึกษาเรื่องเรียนปริญญาเอกคะ [เผื่อมีผู้รู้]

ตั้งกระทู้ใหม่
ที่เลือกกลุ่มเรียนต่อนอก ป โท เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาของกระทู้น่าจะเกี่ยวข้องมากที่สุดแล้ว

เริ่มเรื่องเลยนะคะ ขอปรึกษาคะ
พอดีตอนนี้เพิ่งจบตรีไปเมื่อปีที่แล้วคะ พอเรียนจบปุ๊บก็ได้ทุนต่อเอกที่มหาลัยหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละคะ
ซึ่งใช้เวลาเรียน 5 ปี ที่เรียนต่อเอกเพราะความฝันอยากเป็นอาจารย์มหาลัยคะ ตอนนี้เรียนไป 1 ปีแล้วคะ

ปัญหาที่เกิดก็คือเรื่องความขัดแย้งกับอาจารย์ที่ปรึกษาคะ

คืออาจารย์เขาค่อนข้างจะเยอะนิดนึงสำหรับเรานะคะ บุคลิกเขาดูเรียบร้อย นิ่งๆคะ เเต่เวลาว่าทีนี่เจ็บลึกคะ
จริงๆเรารู้สึกไม่โอเคกับคนและสิ่งแวดล้อมที่นี่ตั้งแต่เเรกเข้าแล้วคะ เเต่ด้วยเพราะว่าครอบครัวอยากให้เรียน
และเราก็ได้ทุนด้วย เลยลองที่จะเสี่ยงเข้ามาเรียนดูก่อนเผื่อจะอยู่ๆไปอาจจะดีก็ได้ เลยเซ็นสัญญาทุนไปคะ

แต่พอเราเข้ามาเรียน...
เราก็รู้สึกถึงความเยอะคะ เช่น

พิมพ์ไลน์ เราใช้ ค่ะ คะ ปนกันไป บางทีก็ค่ะ บางทีก็คะ เราก็โดนเขาตำหนิค่ะว่า
ใช้ให้มันถูกหน่อย ค่ะ คะ มันใช้ต่างกันนะ เราก็แบบอึ้งไปเลย แต่ก็รับปากกับเขาไปคะ ว่าจะปรับปรุง

เวลาพูดกับพิมพ์ไลน์คุยงาน เวลาอาจารย์สั่งงาน เราชอบใช้คำว่า โอเคค่ะอาจารย์
พอเจอหน้า เราก็โดนตำหนิค่ะว่า ใช้คำไม่ถูก เราเป็นเด็กจะใช้คำว่าโอเคคะ
กับอาจารย์ไม่ได้แต่อาจารย์ใช้กับเราได้ เราก็อึ้งนิดนึงค่ะ แต่ก็รับปากไปว่าจะปรับปรุงค่ะ

หลังจากโดนตำหนิไปเราก็เริ่มเกร็งๆในการคุยกับเขาค่ะ เพราะกลัวว่าจะโดนตำหนิอีก

เข้ามาเรียนเอก เราโดนตำหนิไปเยอะมากหลายเรื่องค่ะ
ทั้งการใช้คำ การพูด ไม่ถูกหลักภาษารวมถึงเรื่องสังคมค่ะ

คือช่วงตอนปี 1 ของ ป เอก จะมีเรียนบรรยาย จ- ศ เลยค่ะ แถมมีการบ้านไหนจะสอบอีก
และยังต้องแบ่งเวลาอ่านเปเปอร์ ทำแลป เตรียมการวิจัยด้วย

เราก็อยากเข้าแลปให้บ่อยๆ ก็เลยเอาเปเปอร์ เอาชีทไปอ่านในห้องแลปค่ะ
คือในห้องแลปก็จะมีโต๊ะทำงานของใครของมันค่ะ เราก็นั่งอ่านของเราไป
ตอนนั้นพี่ ป เอกเขาก็กำลังทำแลปอยู่ค่ะ อ ก็เดินเข้ามาพอดี แล้วมาสะกิดไหล่เราว่า
ทำไมไม่มีน้ำใจเลย ไม่ไปช่วยพี่เขาทำแลป เราก็งงนิดนึงค่ะ ในมือเรายังมีปากกากับชีทเรียนอยู่เลย
คือเราก็อ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย เราติดงาน เลยไม่ได้ไปช่วยพี่เขาทำแลป เราไม่ได้พูดไรกับ อ ค่ะ
นอกจาก อ๋อคะ โอเคค่ะ จะปรับปรุงค่ะ เพราะตอนที่เราจะอธิบายว่า แต่ อ ค่ะ คือว่าหนูมีงาน....
อ เขาก็พูดตัดขี้นมาว่า ไม่มีน้ำใจเลยนะเราอะ พอเราได้ยินเราก็ยอมรับว่ารู้สึกเฟลเล็กๆ
ว่าเรามีงานอยากให้เข้าใจเราบ้าง ด้วยความที่เราต้องทั้งเรียน ทั้งแลป ทั้งสอบ ทั้งอยากมีเวลาพักผ่อน
เราก็ต้องมีการจัดตารางเวลาเราถูกไหมค่ะ ทีนี้มันก็จะมีการคลีนแลปค่ะ การคลีนแลปนี่มีสองครั้ง
ครั้งแรกเราเข้าค่ะ แต่ครั้งที่สองที่เขานัดกัน เราไม่ได้เข้าค่ะเพราะเราติดธุระเรื่องไปเซ็นต์สัญญาหอพอดี
อันนี้ถ้าโดนว่าเรื่องที่เราขาด เรายอมรับความผิดทุกอย่างค่ะ แต่คือ ตอน 9 โมงเราเซ็นต์สัญญาเสร็จแล้ว
10 โมง เราก็ไลน์ถามเพื่อนในแลปค่ะว่า คลีนแลปเป็นไงบ้าง เสร็จยัง เราต้องเข้าไปช่วยไหม รู้สึกผิดจัง
เขาก็ตอบเรามาว่า เสร็จแล้ว ไม่มีไร ไม่ต้องมาก็ได้ เราเลยตอบไปว่า โอเคๆ งั้นเดี๋ยวทำการบ้านต่อแระ
เพราะวันเสาร์มีคอนจะไปหาเพื่อนเก่า กรี๊ดดดด ตื่นเต้นๆ จะได้ปลดปล่อยยย เดี๋ยวทำการบ้านร่ะ เราบอกไปแบบนี้ค่ะ ก็ไม่ได้คิดอะไร พอวันจันทร์มาปุ๊บ เราต้องมาคุยงานกับ อ เลยเข้าไปหาที่ห้อง เราก็เลยโดนว่าเลยค่ะ

ว่าทำไมไม่ช่วยคนอื่นคลีนเเลป ไม่มีน้ำใจเลย เราก็บอกว่าเราติดธุระตอนเช้า กำลังจะอธิบายต่อ..
เขาก็พูดเเทรกค่ะว่า หนูก็มีเหตุผลของหนูอ้างไปเรื่อยเเหละ เราก็เอิ่มม เสียใจค่ะ เหมือนเขาฟังคนอื่นมากกว่า
เขาไม่เชื่อคำพูดเราเลย เราก็เลยมาโพสต์สเตตัส ว่าเบื่อพวกขี้ฟ้อง คือตอนที่โพสต์เราไม่ได้คิดอะไร
แค่อยากระบาย พอโพสต์ไปสักพัก เพื่อนคนนั้นก็ทักมาถาม ว่าเป็นอะไร โดน อ ว่าหรอ เรื่องที่คอนเสิร์ตอะนะ
เราก็หืมมมมม เดี๋ยวว เราไปคอนวันเสาร์เย็นๆนะ ไม่ใช่วันศุกร์ ปึ๊งงงงงงงง ! จับตัวคนฟ้องได้แล้ว เราก็เฟลค่ะ
เราไม่ได้ว่าอะไรเพือนคนนี้ค่ะ ก็บ่นๆไปต่อว่าเครียดดดด ทำไงดี ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่เขาเอาเรื่องเราไปฟ้อง อ

วันที่เราคุยกับ อ มิน่า อ ถึงไม่ฟังเหตุผลเรา ไม่ฟังที่เราพูด เเต่ยังเสียใจอยู่ดีว่า อ เชื่อคนอื่นมากกว่าตัวเรา

เราโดน อ ตำหนิหลายครั้งค่ะ ทุกครั้งที่เราโดนตำหนิ เราก็มีความเครียดนะค่ะ เราก็พยายามจะปรับตัวเเล้ว
รวบมาจนครั้งล่าสุดแล้วกันค่ะ เดี๋ยวมันจะยาวไป

เราไปโพสต์เตตัสว่า อยากกลับไปเรียนที่เดิมจัง หลังจากนั้น 3 วันเราก็โดน อ เรียกให้เข้าไปพบค่ะ
เขาก็พูดเรื่องว่า เราโอเคที่จะเรียนต่อที่นี่ไหม ถ้าไม่โอเค เขาก็ยินดีที่จะทำเรื่องยุติทุนให้
เพราะถ้ายุติทั้ง อ และเราจะต้องชดใช้ทุนที่รับมาค่ะ เราก็อึ้งนะค่ะ เพราะเราคิดเรื่องนี้มาบ่อยมากเหมือนกัน
บอกเลยว่าตั้งแต่เข้ามาเรียน 2 เดือนเราก็รู้สึกแล้วค่ะ แต่ที่ทนเพราะคิดว่า อะไรๆมันอาจจะดีขึ้นก็ได้ อีกอย่างที่ทนเพราะพ่อแม่พี่ชายค่ะ เพราะเราคาดหวังอยากให้เราเรียนจบเอก แล้วก็เรื่องเงินด้วย เพราะเราไม่มีเงินจะมาชดใช้ทุนคืน นอกจากจะไปหาหยิบยืมมา เราก็บอกเขาไปค่ะว่า เรื่องหัวข้อทีซิส เรื่องวิชาการ หนูโอเคทุกอย่างแต่หนูไม่โอเคเรื่องสิ่งแวดล้อมค่ะ 60% โอเคกับเรื่องเรียนค่ะ แต่ 40 % ไม่โอเคกับเรื่องสิ่งแวดล้อมค่ะ ในใจอยากบอกว่าเรื่อง อ ก็รวมอยู่ใน 40 % นะค่ะแต่เราไม่ได้พูดไปหรอกค่ะ เราก็บอกว่าเราคิดอยากจะออกอยู่เหมือนกันแต่พ่อแม่เราไม่ยอมอีกอย่างเราไม่มีตังค์จะใช้ทุนคืนด้วย เลยเลิกคิดไป เขาก็บอกว่า ถ้าจะตัดสินใจออก เขาให้เวลาเราแค่ไม่กี่วันนี้
เพราะถ้าเปิดเทอมเราก็ขึ้นปี 2 แล้ว ถ้ามาบอกตอนปี 2 เขาจะไม่ทำเรื่องยุติทุนให้นะ แต่ถ้ายืนยันว่าจะอยู่ต่อ เราจะต้องปรับตัวให้มากกว่านี้

เรานี่เครียดเลยค่ะ ไม่รู้จะทำยังไงต่อดี
ลึกในใจเรา ถ้าไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยว เราตัดสินใจได้เฉียบขาดมาก
ว่าอยากออกจากทุน และจะขอทำเรื่องเรียนต่อแค่ ป โท เรียนอีกแค่ ปีสองปี พอไหว
แต่พอมีเรื่องเงินที่ต้องใช้คืนมาเกี่ยว เราก็คิดหนักค่ะ ไม่รู้จะเลือกทางไหน เพราะยอดเงินก็ เกือบ 2 เเสน
(นี่แค่เรียน 1 ปีนะ ) ถ้า อ ยังเป็นแบบนี้อยู่ เราจะทนไหวไหม มันอีก 5 ปีเลยนะ เเล้วถ้าทนไปมารู้ตัวทีหลัง
ตอนปีแก่ๆ ยอดเงินคงไปเป็นล้าน แล้วเขาก็ไม่ทำเรื่องให้ออกด้วย เราก็ต้องทนต่อไปแบบนั้น เราจะไหวไหม

เรื่องเรียนเอกในหัวเรายังคิดค่ะ ว่าถ้าสมมติทำเรื่องเรียนโทได้แล้วเรียนจบ
ก็จะไปทำงานหาเงินเรียนเอกต่อค่ะ ที่นี่ที่จะถามจะคือ

ถ้าสมมติว่าคุณเป็นเรา จะตัดสินใจแบบไหนคะ เราอยากรู้คำตอบของหลายๆคน จะเอามาประกอบการตัดสินใจค่ะ
เพราะอาจจะยังมองโลกแคบไป หรือมองโลกว่ามันโรยด้วยกลีบกุหลาบมากไป

เราควรทนเรียนต่อไปอีก 5 ปี หรือควรถอยมาเรียนแค่ 2 ปีดีคะ?

ปล. เราไม่มีปัญหาในเรื่องวิชาการหรือเรียนนะ เกรดเราผ่านเกณฑ์และแม้เรียนจะยากแค่ไหนเราก็พร้อมจะสู้
ปล.2 เราคาดหวังอยากได้ยินคำพูดให้กำลังใจจาก อ ทุกครั้งเพราะตอนเรียนตรีเราได้ อ ที่ปรึกษาที่ให้กำลังใจตลอด ตำหนิบ้างง แต่จะเป็นเชิงสอนให้รู้มากกว่า แล้วโปรเจคก็ผ่านมาได้ด้วยเอ เราก็ยังติดต่อกับ อ ตอน ป ตรีตลอด แต่กับ อ ตอน ปเอก สิ่งที่ได้กลับมามีแต่คำตำหนิค่ะ เขายัดแต่ความเครียดให้เรา เรารู้ว่า คนแต่คนต่างกัน
แต่ความรู้สึกเราก็ยังอดเปรียบเทียบแล้วหวนคิดถึงตอน ปี 4 ไม่ได้สักที ถ้า อ ป ตรีขอทุนได้ เราเรียนต่อที่เดิม แต่ก็นะ เเย่ตรงที่เขาขอทุนยังไม่ได้ เพราะเป็น อ จบใหม่
ปล.3 ขอบคุณที่อ่านจบจบนะ เราขอคำแนะนำที ที่เราตั้งกระทู้นี้ เรายังแอบกลัว อ เขาจะมาเห็น หรือมีคนไปฟ้อง อ
เรารู้สีกเราระแวงมากก ขอคำแนะนำที เศร้าจัง

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

Rokugatsu Giugno 23 พ.ค. 58 เวลา 15:17 น. 1

สวัสดีค่ะ เข้ามาดูสักหน่อย หนูเป็นเด็กป.ตรี ยังเรียนไม่จบค่ะ เพราะงั้นคำแนะนำหนูอาจจะเด็กๆไปหน่อยนะ

ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องตัวเองสักหน่อย (ถ้าไม่อยากอ่านให้ข้ามไปได้เลย)

คือแม่หนูสอนเสมอว่า ไม่ว่าจะเจออะไร เราจะต้องอดทน ผ่านมันไปให้ได้ สิ่งที่หนูเคยเจอ(ทั้งม.ปลายและมหาลัย)คือ อ.ที่แย่มาก หมายถึงแย่จริงๆ ไม่ใช่แค่ดุ หรือเพื่อนร่วมห้อง(รูมเมท)ที่มือถือสากปากถือศีล ฟังดูจิ๊บๆใช่มั้ยคะ แต่ไม่เลยค่ะ หนูมาเรียนปี 1 ที่ปักกิ่งและเช่าห้องอยู่กับรูมเมท 2 คนที่เป็นรุ่นพี่ คนไทยกับคนญี่ปุ่น รุ่นพี่คนไทยรู้จักกันมาตั้งนานแล้วค่ะ แล้วหนูก็มองเขาเหมือนพี่สาว แต่พอมาอยู่ด้วยกันจริงๆหนูเครียดมากค่ะ หนูก็เป็นพวกที่ซุ่มซ่ามด้วยเลยโดนด่า แต่คือเขาด่าหนูด่าแบบแรงเกินไปค่ะ แล้วนิสัยส่วนตัวเขาก็ไม่ดีด้วย เช่น ชอบดูถูกคนอื่น ด่าคนเพื่อความสะใจ หลงตัวเองมากๆ หนูอยู่นี่เครียดมาก เรื่องบางเรื่องเล็กๆแต่เขาก็ด่าซะเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แล้วอยู่กับเขามา 2 ปี หนูเครียดจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่ามากค่ะ แต่แม่ก็บอกให้อดทน มันคือบททดสอบ

พอปี 2 เทอม 2 มีรุ่นพี่อีกคนมาอยู่ด้วยกันค่ะ แต่เขาเรียนภาษาอย่างเดียว รุ่นพี่คนนั้นดีมาก คือแกเป็นคนใจเย็น หนูทำผิด เขาก็ตำหนิ แต่เขาเลือกจะพูดแบบดีๆ ทำให้หนูรับฟังและปรับปรุงตัวได้มากกว่าที่ด่าเสียๆหายๆแบบรูมเมทอีกคนอีก หนูเลยใช้ชีวิตช่วงเทอม 2 ได้อย่างสบายใจและไม่เครียด ตอนนี้หนูอยู่ปี 3 ย้ายออกมาอยู่คนเดียวค่ะ เลยรู้สึกอิสระมาก

ไคลแม็กซ์อยู่ตรงที่ ตอนเทอม 2 ที่หนูย้ายบ้าน เขาหาเรื่องด่าหนูอีกแล้วค่ะ แต่หนูสามารถสวนกลับได้ ด้วยเหตุและผลที่เขาเถียงไม่ออก แล้วหนูก็ด่าแบบเต็มที่มากค่ะ (สะใจ) เพราะปกติด่าไม่ได้ เถียงอะไรไป ต่อให้เราพูดถูก เขาก็ไม่ฟังอยู่ดี พอจะจากกันแล้ว เอาซะหน่อย ฮา

ส่วนคำแนะนำของหนูนะคะ หนูว่าให้พี่หาเพื่อนสักคนที่คุยได้ โอเค ใจกว้าง ยอมรับฟังไว้พูดคุยหรือระบาย เป็นเพื่อนแบบเพื่อนจริงๆ แล้วแบบนี้ต่อให้พี่เจออะไรพี่ก็จะผ่อนคลายขึ้นเพราะมีเพื่อนที่ดี ส่วนอ.นี่หนูมี 2 วิธีค่ะ

1. คือ เขาว่าอะไรมา เราก็ตอบค่ะๆ ไป แค่นี้พอ ไม่ต้องพูดต่อ เฉยๆไปเลย หนูใช้วิธีนี้ตอนโดนด่าค่ะ ฝ่ายนู้นเลยเริ่มไม่ค่อยด่า เพราะเห็นว่าหนูไม่สนใจ

2. ถ้าอ.ยังไม่เลิกงี่เง่า(ขออภัย) สวนไปเลยค่ะ แต่ไม่ใช่ด่านะคะ จริงๆข้อนี้เป็นนิสัยหนูเอง ไม่ชอบให้ใครมาเข้าใจผิด ต่อให้อ.จะพูดอะไรต่อ เราแทรกไปเลย อธิบายไปเลยค่ะ ใช้น้ำเสียงกดๆนิดนึง ออกแนวบังคับให้อีกฝ่ายฟังค่ะ พอเขาได้ฟังเขาจะเถียงไม่ออกเอง (แต่ต้องพยายามใจเย็นไว้นะคะ อย่าให้ถึงขั้นตะคอก) เช่น

"อ.คะ อ.เป็นอ.ที่หนูรักและเคารพเสมอมา อ.คอยดูแลคอยให้คำแนะนำหนู หนูซาบซึ้งใจมากค่ะ แต่หนูขออย่างเดียว อ.ฟังหนูอธิบายก่อนได้มั้ยคะ พออ.ฟังจบ อ.จะดุด่ายังไงก็ได้"

ประมาณนี้อะค่ะ (ถ้าทนไม่ไหวจริงๆนะ)

และถ้าเหลืออดมากๆ เปิดใจคุยกับอ.ไปเลยค่ะว่าทำไมถึงโพสสเตตัสแบบนั้นไป พรั่งพรูความในใจออกมาเลยค่ะ ถ้าเราพูดออกมาจากใจจริงๆ เป็นใครๆก็ฟังค่ะ

เช่น

"(ขึ้นต้นคล้ายๆตะกี๊) แต่จากใจจริง หนูอยากให้อ.ฟังหนูบ้าง ให้กำลังใจหนูบ้าง เพราะการโดนดุด่าบ่อยๆมันก็ทำให้หนูเครียด บลาๆๆ ฯลฯ"

"อ.คะ หนูว่าบางทีเราน่าจะลองมาคุยกันนะคะ อ.มีอคติอะไรกับหนูรึเปล่า บลาๆๆ"
(ตรงๆไปเลยก็ได้)

//วิธีพวกนี้หนูเรียนรู้มาจากประสบการณ์ตัวเองนี่แหละ

ลองทนๆไปก่อนละกันค่ะ แล้วก็ถ้าใครเขาด่าอะไรมาที่มันไม่จริง ให้เราคิดว่า "ช่างแม่ม" แล้วสะบัดบ๊อบใส่เลยค่ะ อย่าไปยอมรับ อย่าไปเอามาใส่ใจ เราไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย คนที่ด่าเนี่ยช่างไม่รู้อะไรเอาซะเล้ย น่าสงสาร...อะไรแบบนี้

//คิดแบบนี้แล้วมันสบายใจขึ้นจริงๆนะ หนูทำบ่อยๆ เอิ๊ก

อาจจะเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีมากนัก ช่วยได้เท่านี้แหละค่ะ

0
น้าวิไลเองจ๊ะ 23 พ.ค. 58 เวลา 18:26 น. 2

เอ่อ..คิดต่างค่ะ เคยได้ยินไหม ติเพื่อก่อ
ที่อ.เค้าว่ามันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือค่ะ แต่เค้าว่าตรงๆ แรงๆเลยไม่ชอบใช่ไหมค่ะ
อ.คนนี้คงเป็นคนที่เข้มงวดมาก คนแบบนี้มาตราฐานสูง อยู่ด้วยจะกดดัน เครียด แต่ถ้าเราทำอย่างที่เค้าต้องการได้เค้าจะพอใจมากค่ะ
โลกทุกวันนี้มันโหดร้าย ไม่มีใครมาพูดเอาใจกันตลอดเวลาหรอก แล้วถ้าไม่ระวังก็ถูกแทงข้างหลังด้วย
อย่าหนีเลยค่ะ ปรับปรุงตัวใหม่(ในส่วนที่เค้าตำหนิ) ถ้าอดทนผ่านมาได้จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตใจมากเลยคะ่ (เสียดายเงิน 2 แสนด้วย พี่ต้องทำงานเป็นปีเลยนะนั้น)

พี่อาจให้ความเห็นไม่ตรงใจน้อง ขอโทษด้วย คือทำงานมานานแล้ว เห็นอะไรก็เยอะ ก็ให้เหตุผลไปประกอบการตัดสินใจ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องแล้วแต่ตัวน้องละนะ

ขอให้โชคดี สู้ๆ

0