Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ทำไมผู้ปกครองถึงคิดว่าการแต่งนิยายขาย จะทำให้เสียการเรียนคะ?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


((ขอจ่าหัวไว้ก่อนเลยละกันค่ะ ว่าอยากระบายก็เท่านั้นเอง))


เรื่องก็มีอยู่ว่าเราขุดนิยายเก่าเก็บที่แต่งจบนานแล้วมาลองปัดฝุ่นนิดๆ เช็ดๆ ถูๆ อีกหน่อย
แล้วลองฝากขายผ่าน application หนึ่ง ตอนวางขายก็วางไปเล่นๆ ไม่ได้หวังอะไรมาก
เพราะเป็นแนวที่ตอนนี้คนอ่านน่าจะน้อยแล้ว(เราเองก็ไม่อ่านแล้ว) แต่อยากลองวางขายดูสักครั้ง
สนองความฝันเมื่อยังเด็กน้อยที่เคยอยากเห็นนิยายเรื่องนี้เป็นรูปเล่ม ^-^
และเพราะไม่คิดว่าจะมีคนโหลดไปอ่านนี่แหล่ะ เลยไม่ได้สนใจเช็คความเคลื่อนไหวอะไรเลย
จนเมื่อเร็วๆ นี้พึ่งมาเช็คปรากฎว่ามีคนซื้อไป 200 กว่าเล่ม เลยแอบช็อค+ดีใจมาก
ที่นิยายที่แต่งสมัยยังเด็กยังมีคนสนใจอ่านอยู่ด้วย เลยอยากเล่าให้คนที่บ้านฟังบ้าง
อยากแบ่งปันความภูมิใจเล็กๆ นี้ให้ครอบครัวร่วมดีใจไปกับเราด้วย
ตอนแรกก็คิดอยู่นานมาก เพราะที่บ้านไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราเคยแต่งนิยาย
แต่สุดท้ายความรู้สึกอยากแชร์เรื่องราวนี้ก็เอาชนะความกังวล
แต่ผลที่ได้คือ น้ำเสียงออกแนวเครียดๆ ว่า "รอให้เรียนจบก่อนค่อยมาทำ
ตอนนี้ตั้งใจเรียนก็พอแล้ว อย่าเอาเวลามาเสียกับอะไรพวกนี้"
เราก็บอกไปว่าตอนนี้ไม่ได้แต่งแล้ว ที่เอามาขายนี่ก็คือนิยายที่แต่งจบไปนานแล้ว
แถมลงไฟล์ขายก็ทำครั้งเดียว แล้วก็ไม่ได้มายุ่งเสียเวลาเรียนอะไรเลย
แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นการบอกให้เลิกทำอยู่ดี...


ความรู้สึกแรกคือ เฟลมาก อึดอัด เสียใจ จากอารมณ์ที่อยู่จุดพีคดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว
แทบจะพูดอะไรไม่ออก ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดว่าการแต่งนิยายจะเสียการเรียน
ทำไมถึงเครียดแทนที่จะร่วมดีใจไปกับเรา ทำไม...




แสดงความคิดเห็น

>

27 ความคิดเห็น

K.W.E. 26 มิ.ย. 58 เวลา 23:28 น. 2

คงกลัวเราจะเอาฝักใฝ่งานสายนี้ทั้งที่ยังเรียนไม่จบกระมังครับ

ลองปรับมาเป็นงานอดิเรกทำเมื่อว่างจริงๆ หรือจัดสรรเวลากิจกรรมมาทำ อ้างว่าฝึกการใช้ภาษาไทย การเขียนบทความเรียงความ น่าจะฟังดูดีขึ้นในอีกระดับ ยิ่งถ้าเกรดด้านนี้พุ่งด้วยแล้ว ยิ่งอ้างฟังขึ้นเข้าไปใหญ่ครับ

จากนั้นก็ค่อยลองต่อยอดหรือต่อรองเอาอีกที

0
vanaya 26 มิ.ย. 58 เวลา 23:29 น. 3

เราเคยดูหนังของวิล สมิท เรื่องอะไรจำไม่ได้มีตอนหนึ่งพ่อเขาพูดกับลูกชายว่า

พ่อ: ลูกมีความฝันไหม?
ลูก: คงมีมั้งฮะ
พ่อ: ความฝันของลูกคืออะไร?
ลูก: นักบาสมั้งฮะ
พ่อ: ลูกทำไม่ได้หรอก ลูกเป็นนักบาสไม่ได้หรอก
ลูก: งั้นเหรอฮะ ผมก็ไม่ได้อยากจะทำจริงๆสักหน่อย (เสียงเศร้า)
พ่อ: อย่าให้ใครมาบอกว่าลูกทำอะไรไม่ได้ ทำไม่สำเร็จหรอก แม้กระทั่งพ่อเองก็ตาม

อยากลองถามดูเฉยๆว่า-ที่บ้านชอบอ่านหนังสือกันไหมค่ะ? พ่อ แม่ พี่ น้อง ใครติดหนังสือบ้างไหม?

คนที่ยังไม่เคยสัมผัสหรือรับรู้มาก่อนก็ต้องคิดเสมอสิ่งที่เราทำนั้นมันไม่ดีหรอก ไม่เกิดประโยชน์หรอก 

เราในฐานะที่เป็นแม่คน เราบอกได้เลยว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ยึดติดกับเกรดเฉลี่ย โรงเรียนดัง และสังคมแข่งขันงานประกวดต่างๆ 

ส่วนตัวเราว่าคุณเคยเขียนนิยายเล่นๆขายได้ 200 เล่ม เป็นเรื่องที่ดีและการเริ่มต้นที่ดี ไม่ใช่เรื่องผิด พ่อกับแม่คุณอค่มีทัศนคตินืยมตามกระแสสังคมเท่านั้น เรียนจบแล้วพ่อแม่ก็โล่งใจลูกเอาตัวรอด แต่เปล่าเลย เด็กคนไหนหาเงินได้ระหว่างที่เรียนไปด้วยนี่ต่างหากล่ะที่เอาตัวรอดได้ 

อย่าเศร้าใจไปเลย ความชอบและความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกันแม้กระทั่งคนในคริบครัวเองก็ตาม
พ่อแม่ที่สนใจในด้านกระแสสั่งคมมักจะมองผลลัพก่อนเสมอ 

ปล.ถ้าคุณเป็นลูกเรานะ แล้วมาบอกเราแบบนี้ เราจะบอกว่า "เฮ้ย!! จริงดิ ถ้าเขียนได้ขนาดนี้ ค่ารายงานก็ไม่ต้องขอแม่แล้วนะ คิดหาวิธีหาเงินได้เองแล้ว 55555" แล้วเราก็จะรอรับปริญญาลูกพร้อมกับอาชีพเสริมที่เขาสร้างขึ้นเอง โมเม้นท์นั้นคงจะภูมิใจสุดๆ
ดีกว่าเรียนมาแทบได้ ทำงานไม่ได้ เอาตัวไม่รอดเสียอีก นั่นหละพ่อแม่จะลำบาก
ปล.เสริม คุณรู้ไหม นพ.พงศกร เขียนหนังสือขายตั้งแต่อายุ 11 ขวบนะ ^^

2
Louis Forest 27 มิ.ย. 58 เวลา 00:15 น. 3-1

Pursuit of Happyness (ชื่อเรื่องตั้งใจสะกดให้เป็น Happyness แทนที่จะเป็น Happiness)

0
vanaya 27 มิ.ย. 58 เวลา 01:25 น. 3-2

เอ่อใช่ๆ ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ชีวิตอย่างทรหดอะ ดูไปน้ำตาไหลไป

0
WildLorD 26 มิ.ย. 58 เวลา 23:47 น. 4

อะไรที่ไม่ใช่การเรียน ผู้ปกครองมองว่าเสียการเรียนหมดนั่นแหละครับ

ทว่าขายได้เท่านั้น น่าจะต่อยอดเป็นอาชีพหลักได้แล้วนะครับ
ไม่ใช่ว่าจำเป็นที่จะต้องเรียนให้จบมหาลัยเพื่อไปหาอาชีพทำสักหน่อย

0
FnFaPhayu 26 มิ.ย. 58 เวลา 23:50 น. 5

แต่ก่อน

แมะ : ทำอะไร อ่านนิยายอีกแล้ว หัดสนใจหนังสือบ้าง หนังสือเรียนไม่รู้จักท่อง ไม่รู้จักจำ อ่านแต่นิยาย ดูแต่การ์ตูน เหลวไหลแล้วนะเรา
me : อ่านแล้วอยากพักสมองอะแม่ขอนิดนุง TcT
น้า : เด็กมันอยากจะอ่านอะไรก็ให้มันอ่านเถอะ อ่านการ์ตูนก็ดีกว่ามันไม่อ่านอะไรเลย
ถัดมา
เพื่อน : -นี่ก็อ่านแต่นิยาย อ่านแต่การ์ตูน เพ้อเจ้อว่ะ บ้านิยายเอ๊ย! มีตังหาแต่นิยายอ่าน หาอะไรอย่างอื่นทำเหมือนชาวบ้านเขาบ้างเถอะ
me : ทำอย่างอื่นแล้วกำลังแต่งนิยาย โอ้มีคนหลงมาอ่านด้วยนา
เพื่อน : เอ็งนี่มันจอมเพ้อฝันว่ะ อ่านแต่นิยาย นี่ยังแต่งนิยายอีกตลกว่ะ มีคนเข้าไปอ่านได้ไง.
ต่อมา
เพื่อน : เป็นไงวะยังบ้าอ่านนิยายกับแต่งนิยายอยู่หรือเปล่า 5555 มโนเพ้อฝันจริงๆคุณนักเขียน! แยกย้ายกันไปเรียนต่อแล้วก็เหงาๆเนอะ
me :..................ว่างๆก็แวะมาเลี้ยงฉลอง ไปเที่ยวเล่นกันเป็นกลุ่มซักวันสิ
เพื่อน : ไม่ได้ๆ ตอนนี้กินแกลบ สิ้นเดือนทางบ้านถึงจะโอนตังมา ต้องจ่ายค่านั้นค่านี่สารพัด ว่าแต่เอ็งนี่ดีจังนะช่วงนี้เห็นซื้อนั่นนี่ที่บ้านคงส่งให้เยอะ
me : งั้นเหรอ แต่เราใช้เงินเรานะ จากการเป็นนักเขียนนี่แหละ อย่าลืมอุดหนุนของเราด้วยล่ะ
เพื่อน :...................
#ชีวิตมันดราม่า ความฝันผมก็พึ่งเริ่มฮะ หวังว่านี่จะเป็นแรงใจได้อีกหนึ่ง สู้ๆฮะ
0
จิ้ง 27 มิ.ย. 58 เวลา 00:34 น. 6

เห็นว่าเอามาลงดาวโหลดขาย ก็น่าจะได้เงินใช่ไหมละครับจำนวน 200 โหลด ถ้าขายเล่มละ 100 บาท อย่างน้อยๆ ก็ได้ สองหมื่นเชียวนะ พ่อแม่ท่านไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีที่ลูกหาเงินได้เองหรือ (คือถ้าไม่สนจริงๆ ผมขอคาดเดาอย่างเสียมารยาทต่อไปว่า ครอบครัว จขกท คงมีรายได้สูงทีเดียว) 

แต่อารมณ์ที่ ยังไม่เห็นผลเสียที่เกิด แต่แตกตื่นไปก่อนผมก็เคยเจอเหมือนกันนะ ตั้งแต่ชอบวาดรูปอยากไปสายวาดรูป พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน ไร้สาระบ้าง เอาไปทำมาหากินไม่ได้บ้าง พอเห็นเขียนนิยายก็วนลูปเดิมๆ แต่โชคดีที่อย่างน้อยผมก็หาเงินจากสิ่งที่ทำเลี้ยงดูตัวเองได้ พอที่เขาจะบ่นอะไรไม่ได้ไม่ถนัด ถึงจะไม่ได้มากเท่าอาชีพราชการที่พ่อแม่คาดหวังก็เถอะ 

0
mbth96 (จะออกไปแตะขอบฟ้า) 27 มิ.ย. 58 เวลา 03:24 น. 7

อย่าคิดมากเลยค่ะ พ่อแม่ก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ตอนเราเปิดเผยว่าแต่งนิยาย พ่อเราต่อว่าซะเราร้องไห้ ขนาดโรงพิมพ์ส่งหนังสือมาถึงบ้านพ่อเรายังไม่แยแส เราต้องเอาหนังสือไปเก็บในโรงรถ ปูเสื่อแพคของที่สนามหน้าบ้าน กล่อมอยู่นานกว่าท่านจะยอมให้เอาเข้าบ้าน
เราแอบเขียนตอนช่วงสอบ ช่วงสำคัญสุดๆ คือมันเครียดเลยหาอะไรทำ พ่อเลยโกรธมาก ก็สั่งห้ามเขียนนะ กลัวกระทบการเรียนและสอบ แต่เราแลกกับการสอบเข้าคณะที่ท่านอยากให้เรียน  เลยได้ทำต่อค่ะ
บ้านเรารักการอ่านนะ แต่มองว่าการเขียนนิยายเสียเวลา  และไม่มีใครภูมิใจกับสิ่งที่เราทำได้เลยสักคน เพราะคิดว่าใครๆ ก็ทำได้ เราเลยชื่นชมตัวเองคนเดียวนี่ล่ะค่ะ สิ่งที่จขกท.ทำ เป็นเรื่องน่าภูมิใจนะ อย่าน้อยใจเลย คุณขายได้สองร้อยเล่ม เก่งมากนะคะ หลังเปิดเผยเรายังโดนว่าอยู่เรื่อยๆ เลยค่ะ ท่านคงคิดว่าบั่นทอนกำลังใจเราเรื่อยๆ สักวันเราจะเลิกมั้ง เรานี่เจ็บจนชิน

0
เคย์เซย์ 27 มิ.ย. 58 เวลา 04:38 น. 8

เราต้องพิสูจน์ตัวเองครับ ว่าถึงจะเขียนนิยายแล้ว มีเงิน แต่การเรียนของเราก็ไม่เสีย ช่วงที่ผมเรียนอยู่ก็เจอพ่อแม่สบประมาทรับหลัง (ท่านไม่พูดต่อหน้าครับ สงสัยจะกลัวผมเสียใจ แต่ถึงจะพูดมา ผมก็ไม่สนอยู่แล้ว ความสุขส่วนตัวของผม ใครจะทำอะไรได้) ซึ่งผมก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้น เรียนโดนที่เกรดไม่ตก ระดับอยู่ที่สองกับสามมาตลอด ที่ดีไปกว่านั้นคือ ใช้เงินที่ได้จากการเขียนนิยายส่งเสียตัวเองจนเรียนจบมหาวิทยาลัย 

ที่พ่อแม่พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจเสมอไปหรอก แต่เขาเป็นห่วงจขกท.ครับ กลัวว่าการเรียนจะเสีย ซึ่งจะเป็นเสียในอนาคต เขาจึงไม่อยากให้เรามาทุ่มเทกับมันจนมากเกินไป จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะพิสูจนให้เห็นว่า เราทำได้ โดยที่เราไม่เสียอะไรไป ถ้าเราสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ คำพูดเหล่านี้ก็หายไปครับ 

0
Crochier 27 มิ.ย. 58 เวลา 07:44 น. 9

แล้วอนาคต พ่อกับแม่ ของคุณจะรู้สึกเสียใจ
กับการห้ามคุณเขียนนิยาย
ตอนเด็กเราก็อ่านแต่การ์ตูน พ่อแม่
แทบจะเอาไปเผาทิ้ง
แต่เราก็สอบได้ที่ ม. ชื่อดัง

ถ้าเขาไม่ว่าอะไรมากเรื่องแต่งนิยายก็แอบแต่งเอานะ

แต่ถ้าเขามาว่าเราเมื่อเราแอบแต่งอยู่

ก็ลองถามผู้ปกครองดูว่า ขอให้หนูมีโลกส่วนตัวกับงานอดิเรกที่หนูรักจะได้ไหม

ทำสีหน้าเครียดๆ ด้วยนะ ผู้ปกครองจะเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง ไปล่ะ (ตอนนี้ครอบครัวเราดีขึ้นแล้วล่ะ ออกแนวต่างคนต่างรู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ครอบครัวหัวฝรั่ง ฮา)

0
ต.แทนฉัน 27 มิ.ย. 58 เวลา 08:22 น. 10

ต้องพิสูจน์ว่าถึงจะแต่งนิยายการเรียนก็ไม่ตกค่ะ
บ้างครั้งการถกกันก็เป็นเพียงด้วยเหตุผลของแต่ละฝ่าย พ่อแม่ก็มีเหตุผลของท่าน จขกท.ก็มีเหตุผลของตนเอง ซึ่งสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ พิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าถึงจะแต่งนิยายแต่หน้าที่หลักคือการเรียนก็ไม่ขาดตกบกพร่อง
ยังไงก็ขอให้ จขกท. สู้ๆนะคะ

0
MuI2asaki [紫] 27 มิ.ย. 58 เวลา 09:59 น. 11

ตอนเด็กๆ แม่จะเป็นคนจัดการดูแลเราทุกอย่าง
ทั้งเรื่องการเรียน หรือหาที่เรียนพิเศษ
ก็มีห้ามไม่ให้ซื้อมังงะอ่านมาตลอด //แต่ก็แอบซื้อจนสะสมเป็นตู้ๆ(?)

แต่พอเราเรียนจบเขาก็ไม่ห้าม
ทั้งยังสนับสนุนให้เขียนนิยาย แต่แน่นอนว่า เราก็ห้ามทิ้งงานหลักเช่นกัน

เรามองว่า ท่านคงอยากให้เราสำเร็จเป็นอย่างๆ ไป
เราผ่านจุดที่เรียนหนังสือมาแล้ว
และอยู่วัยทำงาน แม้คนอื่นจะมองว่าเรามีงานทำ/มีรถยนต์ขับ/อยู่บ้านเอง

แต่สำหรับตัวเรา เรายังคิดว่าไม่เพียงพอ จึงยังไม่อาจหันมาเขียนนิยายได้เต็มตัว

:D

0
Sleeping Fox 27 มิ.ย. 58 เวลา 11:30 น. 12

ทำสิ่งที่รักไปครับไม่ต้องเสียใจ
แล้วก็อย่าลืมว่าสิ่งที่พ่อแม่เตือนก็เพราะว่ารักเรา
เป็นความรักที่ต่างมุมมองครับ
รับฟังเสียงทั้งสองทางแล้วทำในสิ่งที่เหมาะกับเราครับ
ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะรับทำตามแนวคิดเพียงทางใดทางหนึ่ง
เพราะทั้งสองสิ่งก็เป็นสิ่งที่เรารักและรักเราด้วยกันทั้งคู่

เชื่อเถอะครับว่าดีกว่าไม่มีใครมาสนใจเป็นห่วงเป็นใยเรา
เป็นกำลังใจให้ครับ แต่ก็อย่าให้การเรียนตกละครับ

0
หนูนาโน 27 มิ.ย. 58 เวลา 12:27 น. 13

เค้าคงกลัวว่าเราจะไม่สนใจการเรียนเท่าที่ควร
ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักรับเรื่องใหม่ๆ ไม่ค่อยได้อยู่แล้ว
เราก็พยายามบริหารชีวิตให้พอดีระหว่างเรียนกับเขียนงานไป
แต่ถ้าเราเป็นแม่นะ คงภูมิใจในตัวลูกคนนี้มากอ่ะ เพราะรู้จักทำมาหากินไม่แบมือขอตังค์อย่างเดียว

0
Vor@vit Jessica 27 มิ.ย. 58 เวลา 16:32 น. 15

เคยแต่งแล้วก็เคยโดนที่บ้านว่าอยู่เหมือนกัน ว่าไร้สาระ ที่บ้านเคยอ่านก็บอกว่าอ่านนาก เอ้าเป้นการแต่งแบบวัยรุ่นนี่นา TT

0
G.g. T\'tawan 27 มิ.ย. 58 เวลา 17:59 น. 16

แต่ที่บ้านเราไม่มีใครว่านะ  เพราะแม่เราตอนอยู่ม.ต้นท่านก็เขียนนิยายเหมือนกับเราอ่ะแหละ555  ท่านบอกว่าอะไรที่คิดว่ามันมีสีสันกับชีวิตนะก็ทำไปเถอะ แล้วตอนที่เราบอกกับยายเรา  เราก็กลัวจะโดนหาว่าไร้สาระ  แต่ยายเรากลับบอกว่า''ไม่ออกไปเดินเล่นให้หัวมันแล่นล่ะ  ถ้าหัวไม่แล่นก็แต่งต่อไม่ได้อ่ะสิ''  คือเรา  happy มากเลยที่แบบว่าไม่มีใครห้ามในสิ่งที่เราชอบ แต่แม่กับยายเราก็บอกว่า  อย่าเอามันมาทำจนไม่มีเวลาเรียนล่ะ  

สำหรับจขกท.เราว่าพ่อ-แม่ของ จขกท.ยึดติดกับเกรดมากเกินไป พิสูจน์ให้ท่านเห็นไปเลยว่าเราทำได้เลี้ยงตัวเองโดยไม่มีท่านมาคอยช่วยเหลือได้ ช่วงแรกๆถ้าอยากทำจริงก็แอบๆทำไปก่อน  เดี๋ยวท่านจะหาว่าเราดื้อ พ่อแม่สมัยนี้ นะหรอ(ไม่ได้ว่าพ่อ-แม่จขกท.นะ) 
-เกรดลูกต้อง 3.80 +
-ต้องมีใบเกียรติบัตร
-ต้องสอบเข้าม.ดังๆได้ (แต่จบมาแล้วไม่มีงานทำ  มันจะขายหน้า)

เป็นกำลังใจให้จขกท.นะสู้ๆครับบบบบ


0
DreamerDoll 28 มิ.ย. 58 เวลา 09:49 น. 17

จขกท.คะ ชะตากรรมเดียวกันเลยค่ะ

ความรู้สึกของเราคือแบบ...ทำไมคะแม่ เกรดดรีมก็ไม่เคยต่ำกว่าหลัก 3.80 สายเรียนก็คณิต-วิทย์ให้แม่แล้ว นิยายดรีมฐานแฟนคลับก็ไม่ใช่น้อย ภูมิใจกันหน่อยไม่ได้รึไง orz

แต่เราก็รักของเรานี่นา แม่จะว่ายังไงดรีมก็ไม่สนละ รอส่งให้สนพ.พิจารณาเผื่อได้ตีพิมพ์จะเอาเงินยื่นให้เลย

สร้างชีวิตจากสิ่งที่ชอบไม่ใช่เรื่องไร้สาระค่ะแม่//สะบัดบ๊อบ

เราจะผ่านมันไปพร้อมๆกันค่ะ จขกท.

1
Sleeping Fox 28 มิ.ย. 58 เวลา 10:05 น. 17-1

ชอบตรงสะบัดบ๊อบเนี่ยแหละครับ ^^
แต่ได้ 3.80+ นี่เรียนเก่งกันจังครับ
ผิดกับผมตอนสมัยเรียนเยอะ

0
Atara_Mayumi[นอนตายคากองการบ้าน] 28 มิ.ย. 58 เวลา 11:23 น. 18

ยื่นหลักฐานความสำเร็จให้ดูโลดค่ะ! อีกอย่างถ้าการเรียนไม่เสียก็ไม่ต้องไปสนค่ะ

ทางนี้พอเปิดเผยความจริงพ่อก็ปล่อยไป ญาติตื๊อขอลิงค์นิยาย แม่สั่งให้พิมพ์ขายให้ได้ เครียดจัดค่ะบอกเลย

ไม่เท่าไหร่แม่บอกให้เรียนแล้วว่างๆค่อยเขียนนิยาย บอกแม่เลย ม๊าค่ะ การบ้านวันละสิบๆหน้า แบบที่เด็กห้องหนึ่งกับห้องคิง(ห้องสอง)ถ้าถูกแทงจากข้างหลังไม่เข้าแน่นอนเพราะกระเป๋าหนาเกินไป แต่ก็ได้แต่คิดค่ะ ด้านล่างแค่ระบายเฉยๆค่ะ ไม่ต้องคลุมดำก็ได้ค่ะ

บอกมี๊เลยว่าเกรดไม่เคยได้ต่ำกว่า3.00 อันดับในห้องได้ไม่เคยเกิน20 คะแนนไม่เคยต่ำกว่า80คะแนน ยกเว้นประวัติเมื่อปีที่แล้วค่ะ ได้73 ทำเอาเกรดเฉลี่ยรวมร่วงลงมาจาก4.00เป็น3.95กันเลยทีเดียวค่ะ พ่อแม่ก็สั่งห้ามนะ แต่ทำไมคะ ก็มิอยากทำอ่า(เอาแต่ใจว่างั้น) ก็ป๊าม๊าไม่รู้ว่าลูกตัวเองเป็นคนที่เรียนเก่งวิทย์ที่สุดในสายชั้นด้วยซ้ำไป(คะแนนเต็มทุกช่อง) สอบได้ตั้งที่4ของสายชั้นจาก260คน

ยังไงก็สู้ด้วยกันค่ะ ถ้าผลการเรียนไม่ร่วงไม่ต้องใส่ใจมากค่ะ

2
Sleeping Fox 28 มิ.ย. 58 เวลา 12:12 น. 18-1

สู้ต่อไปครับท่านมายุ อย่าเครียดเยอะละ ไม่ดีกับสุขภาพ
//บอกอย่าคลุมนี่คลุมทันทีเลย =_=

0
peiNing Zheng 28 มิ.ย. 58 เวลา 23:37 น. 18-2

//มาคลุมดำเหมือนกัน -___-//

ท่านเอย ข้าน้อยจะบอกว่า ผลการเรียนอาจเป็นสิ่งพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เด็กคนไหนที่เรียนดี ข้าน้อยก็ยินดีเพราะมันเป็นใบเบิกทางที่ดี แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งพิสูจน์ที่หนักแน่นเพียงพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่เปลี่ยนใจได้หรอกขอรับ

คะแนน คือสิ่งพิสูจน์ที่ดีที่สุดของเด็ก แต่สำหรับผู้ใหญ่บางคน มันคือมายาขอรับ (แม้จะเป็นรูปธรรมโดยการใช้ตัวเลข แต่ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือว่าคะแนน บางทีก็ไ่ม่ได้บ่งบอกคุณภาพและคุณค่าของเด็กคนนั้นจริงๆ)

ดังนั้นจะกะเกณฑ์ให้ผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบนั้นยอมรับมายาที่ว่ามาเป็นสิ่งพิสูจน์ตัวเอง เห็นจะยากขอรับ

(แต่ข้าน้อยไม่รู้หรอกนะว่าพ่อแม่ท่านจขกท. เป็นแบบไหน ข้าน้อยแค่แชร์มุมมองผู้ใหญ่คนหนึ่งในท่านได้รับทราบบ้างเท่านั้นเอง)

0
สื่อศิลป์ 28 มิ.ย. 58 เวลา 15:02 น. 19

ก่อนอื่นคุณเจ้าของกระทู้ต้องเข้าใจก่อนว่า พ่อแม่ ผู้ปกครองแต่ละคนใช่ว่าจะมีแนวความคิดเดียวกันทั้งหมด ผู้ใหญ่แต่ละคนก็จะมีความคิดและเหตุผลแตกต่างกันไป ที่สำคัญความคิดความอ่านของผู้ใหญ่แต่ละคนก็ใช่ว่าจะถูกหรือผิดไปเสียทั้งหมด.....

ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเราก็ไม่เห็นเป็นไร ความคิดผู้ใหญ่กับเด็กก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ในเรื่องๆเดียวกันเด็กกับผู้ใหญ่ก็จะมีความเห็นไม่ต่างกันเท่าไหร่ผิดกันแค่ว่าความคิดของผู้ใหญ่จะมีมุมมองที่มากกว่าซึ่งตรงนี้มันเกิดจากประสบการณ์ที่ผ่านพ้นมาก่อน แต่ม้นก็ไม่ได้หมายความว่าประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่มีจะทำให้ความคิดความอ่านนั้นถูกต้องเสมอไปเสียเมื่อไหร่....

เรื่องความรู้สึกก็คงทำได้แค่ว่าต้องปล่อยวางครับ ผมก็ไม่รู้จะแนะนำยังไง
อยากจะบอกแค่ว่าวันนี้เรายังเด็กก็ขอให้จดจำความรู้สึกในวัยเด็กไว้ให้ดีๆ
สิ่งไหนที่เราไม่ชอบเราก็อย่าไปทำกับเด็กรุ่นต่อๆไป ที่สำคัญเมื่อเติบใหญ่
มีลูกมีหลานแล้วก็อย่าหลงลืมความรุ้สึกในวัยเด็ก
ไม่งั้นคุณก็จะสื่อสารกับเด็กอย่างไม่เข้าใจกันเหมือนอย่างในวันนี้ครับ

0
chinchang22 28 มิ.ย. 58 เวลา 15:41 น. 20

ขนาดพี่เรียน ป เอก แล้ว แม่ยังห่วงเลยค่ะ
แม่บอกเรียนให้จบก่อน นิยายอีกหน่อยค่อยทำหลังจบก็ได้

ฉะนั้น ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ท่านเห็นค่ะ
ว่าเราสามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่กันได้
ก็ประคองผลการเรียนให้โอเคไว้ แต่ถ้า
มีฝีมือขนาดนี้ วันนึงพวกท่านจะเห็นจาก
ผลลัพธ์ที่ปรากฎเองค่ะ เพราะรู้จักพี่ที่ทำ
นิยายขายแบบ e-book แกอยู่ได้แบบไม่
ต้องทำงานประจำแล้ว หลังทำไปสักพัก

1
chinchang22 28 มิ.ย. 58 เวลา 18:40 น. 20-1

พ่อแม่ท่านเป็นห่วงคุณค่ะ และที่ท่านพูดแบบนี้
ก็เพราะท่านมองจากมุมมองของท่านค่ะ
เราก็มีมุมมองของเรา แต่ถ้าลองเอาใจเราไปใส่ใจท่าน
เราจะเข้าใจเองว่าทำไมท่านถึงคิดแบบนี้

0