(รีวิว) ทัวร์ญี่ปุ่น #ซากุระบาน 37,900 บาท #รูปเยอะ (วันแรก เหินฟ้าสู่นาริตะ #ประสบการณ์หลอน)
ตั้งกระทู้ใหม่
หลังทำงานเก็บเงินอยู่ 4 ปีเต็ม นิลก็มีโอกาสพาคุณแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่นสมใจอยาก โดยนิลเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายเองทุกบาททุกสตางค์ (ภูมิใจ หมดไปแสนกว่าบาท แหะๆ หมดตัวกันเลยทีเดียว d(>o<)b) ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเกิดปัญหาขึ้น เพราะคุณแม่ของนิลล้มในห้องน้ำข้อมือหัก แต่สุดท้ายเราก็ประคบประหงมกันจนคุณแม่เดินทางไปได้ตามระยะเวลาที่วางแผนไว้ในช่วงซากุระบาน แต่ก็ยังต้องใช้สายรัดพยุงข้อมืออยู่
โฆษณาห้องน้ำสนามบินดอนเมืองซะหน่อย สวยมากค่ะ
27 มีนาคม 2558 เวลา 04.30 น. นิลกับคุณแม่ออกเดินทางจากบ้าน ไปถึงสนามบินเวลา 06.30 น. ก่อนเวลาที่บริษัททัวร์นัด 1 ชั่วโมง แต่ไกด์มารออยู่แล้ว สำหรับโปรแกรมทัวร์ในครั้งนี้ นิลได้รับการแนะนำจากเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันสมัย ม.ต้น เป็นการเดินทางไกล 5 วัน 3 คืน จุดหมายคือโตเกียว – โอซาก้า และมีเกียวโตร่วมด้วยเล็กน้อย ซึ่งนับว่าคุ้มค่าสำหรับราคา 37,900 บาท / คน ทั้งที่เป็นช่วงซากุระบาน ดำเนินการโดย Bestfriend Holiday (บริษัทเบสเฟรนด์ ฮอลิเดย์) ในนาม I Japan
ระหว่างนั่งรอเครื่องบินค่ะ
เครื่องบินของสายการบิน Air Asia พาเราทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าสู่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นในเวลาเกือบ 11 นาฬิกา (เลทนิดนึง) อาหารเที่ยงของพวกเราจึงเป็นอาหารบนเครื่องที่ทางบริษัททัวร์สั่งจองไว้ให้ และมันก็คือข้าวหน้าไก่เทอริยากิ (+น้ำ 1 ขวด) โดยส่วนตัวนิลว่ามันใช้ได้นะ อร่อยดี ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูค่ะ มัวแต่กิน แหะๆ (= =")
ขึ้นเครื่องแล้ว ที่นั่งของนิลเป็นแบบ 2 ที่ค่ะ อยู่ด้านหลังสุด เข้าห้องน้ำสบาย ฮาาาา อาจเป็นเพราะคุณแม่นิลใช้วีลแชร์ด้วยมั้ง ลุยกันสองคน บ่ยั่นเฟ้ยยยยย
ตลอดระยะเวลาการเดินทางกว่า 5 ชั่วโมง พวกเราประสบกับสภาวะอากาศแปรปรวน เครื่องสั่น มีประกาศเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยเป็นระยะๆ เอิ่ม ตูจะรอดไหม นั่นคือสิ่งที่นิลคิดมาตลอดทาง แต่สุดท้ายพวกเราก็มาถึงยังที่หมายโดยสวัสดิภาพ เร็วกว่าเวลาตามหมายกำหนดการเล็กน้อย (กัปตันทีนผีน่าดูเลยนะนั่น)
บนปุยเมฆ ภาพจากนอกหน้าต่างเครื่องค่ะ คุณแม่นั่งติดหน้าต่าง นิลเลยถ่ายออมาได้แบบนี้ แหะๆ
โชคดีได้นั่งตรงตำแหน่งที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิกับพระอาทิตย์ตกดินด้วยล่ะ
(ต่อ คห.1 นะคะ)
ใครอยากล่วงหน้าไปดูรูปวันต่อๆไป เชิญที่เพจถ่ายรูปของนิล หรือ ไอจีของนิลได้เลยนะคะ แต่เพจอัพช้ากว่ามากๆ แหะๆ
Yumio Hikari Ameyuki Moe สตูดิโอ
IG ploynil_chitima
***กระทู้วันที่ 2 ภาคต่อ จิ้มๆ
*** กระทู้รีวิววันที่ 3 ค่ะ พร้อมประสบการณ์หลอนตอนจบ จิ้มเลย
***กระทู้ภาคจบ วันสุดท้าย เกียวโต - โอซาก้า จิ้มได้เลยจ้า
11 ความคิดเห็น
ความประทับใจอย่างแรกบังเกิดที่สนามบินนาริตะ กับเรื่องราวของคุณลุงเจ้าหน้าที่สนามบินชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้อำนวยความสะดวกเข็นวีลแชร์ของคุณแม่ พาพวกเราไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง (จะบอกว่านี่คือเดจาวูแรกในชีวิตของนิล) ระหว่างทางคุณลุงยังให้ความกรุณาอาสาถ่ายรูปให้เราสองแม่ลูกเป็นระยะๆ อีกทั้งยังคอยหันมามองนิล ซึ่งเดินตามหลังคงเกรงว่านิลจะหลงทาง (ขนาดในเกมมันยังหลงทาง แม่นแล้วคุณลุง)
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถึงบริเวณสายพานลำเลียงกระเป๋า คุณลุงยังช่วยคัดแยกกระเป๋าเดินทางของสมาชิกกรุ๊ปทัวร์ของพวกเราทั้งหมดออกมา โดยดูจากบัตรที่คล้องอยู่บนกระเป๋าของนิล และเมื่อจะคุยกับพวกเราก็ยังใช้แอพฯ บนโทรศัพท์มือถือของคุณลุงเปลี่ยนภาษาญี่ปุ่นให้เป็นภาษาไทยเพื่อความเข้าใจของพวกเราอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดคือคุณลุงมีใบหน้าที่ระบายยิ้มอยู่ตลอดเวลา
ข้าน้อยขอคารวะ
นี่แหละค่ะ 1 ในรูปที่คุณลุงกรุณาถ่ายให้ พยายามจะหาโอกาสแอบถ่ายรูปคุณลุง แต่สุดท้ายโอกาสก็ไม่อำนวย (จะถ่ายรูปชาวญี่ปุ่นควรขออนุญาตก่อนนะคะ นิลนี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี) สลด โธ่ คุณลุงผู้เป็นเดจาวูแรกของข้าน้อยยยย
ส่วนอันนี้ ห้องน้ำและด้านนอกสนามบินนาริตะค่ะ (สนามบินนาริตะ ติดอันดับ 3 ในการจัดอันดับของสกายแทรกซ์ ในหัวข้อสนามบินที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีที่สุด และอันดับ 14 จาก 30 สุดยอดสนามบินแห่งปี 2015) (ที่มา MSN ไลฟ์สไตล์)
เราเดินทางออกจากสนามบินนาริตะเวลาประมาณ 20.00 น. เศษ ตามเวลาในญี่ปุ่นซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง โดยรถบัสที่ทางโรงแรมจัดมารับพวกเรา 31 ชีวิต (รวมไกด์) ท่ามกลางอุณหภูมิประมาณ 16 องศา (ยังชิลๆ) ตลอดทางถนนโล่งแทบไม่มีรถ บ้านเรือน ร้านค้าปิดร้านปิดไฟกันจนเกือบหมด พวกเราใช้เวลาเดินทาง 40 นาทีก็มาถึงโรงแรมที่พัก ซึ่งมีนามกรว่า Radisson Hotel Narita เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน รวมทั้ง wi-fi ในห้องพัก
ภาพสั่นนิดนึง เพราะอยู่ในรถบัสที่กำลังเลี้ยวเข้ามาค่ะ
ภายในโรงแรมตอนไปถึง
อันนี้ภายในห้องพักนะคะ
ภาพช่วงเช้า ก่อนออกเดินทาง
มื้อเย็นวันนี้เราต้องหารับประทานกันเองค่ะ บางคนอาจจะคิดว่าลำบาก แต่ไม่เลยนะสำหรับนิล ไกด์พานิลเดินออกจากโรงแรมไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณครึ่งกิโล (= =”) (คนอื่นไปกันหมดแล้วค่ะ เหลือนิลที่ร่ำไรพอกับไกด์ แหะๆ) มีให้เลือกระหว่างมินิมาร์ท กับร้านราเมน
และแล้ว... ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย และฝรั่งแถบยุโรปที่ขี่จักรยานกันขวักไขว่จนแทบจะเฉี่ยวตูตาย เบื้องหน้าเป็นร้านมินิมาร์ท Lawson ซึ่งมีขนมนมเนยมากมายรอคอยนิลอยู่ โอ้ สวรรค์ นิลเลยกวาดขนมมาซะเพียบพร้อมสลัด ป้องกันอาการท้องผูก แต่ดันไม่ได้ซื้อน้ำสลัดมาก เพราะคิดว่ามันมีให้ นอกจากนี้ยังต้องใช้ตะเกียบกินอีกด้วย วะ ฮ่าๆๆๆ ได้อารมณ์ญี่ปุ่นแท้ๆ กันตั้งแต่วันแรก (แม่มองหน้า) ที่จริงร้านเค้ามีขายทุกอย่างค่ะ ข้าว ขนม ผลไม้ เครื่องดื่ม เสียดายมากที่นิลดันเมินครีมโรลอันนึง
พึ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือครีมโรลที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น ขายได้วันละเป็นแสนชิ้น แถมไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมา เพราะมัวแต่เลือกของกิน ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ช่วงเช้าจะมีโทรศัพท์อัตโนมัติของทางโรงแรมปลุกในเวลา 6.00 น. พอ 7.00 น. ก็เป็นเวลามื้อเช้า ที่นี่มีบุฟเฟ่ต์นานาชาติ อาหารหลากหลายและอร่อยมากค่ะ มีทั้งแพนเค้ก วาฟเฟิล สลัด ซูชิ ข้าวโอ๊ตต้ม ข้าวผัด หมี่ผัด ผลไม้ ขนมหวาน ขนมปัง โยเกิร์ตถ้วย โยเกิร์ตสด และเครื่องดื่มหลากหลายประเภท ยาคูลท์ญี่ปุ่นยังมี เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ มัวแต่กิน (= =”) อีกแล้ว
รอบๆ โรงแรมช่วงเช้าค่ะ มีน้องๆ นักกีฬาเบสบอลมาเข้าค่ายกันด้วย
เดินเก็บภาพรอบๆ ชอบมากกกกกกกกก
จากด้านหน้าโรงแรมตรงนี้ เดินตรงออกไปนิดนึง จะถึงถนนสายหลักค่ะ <--- เลี้ยวซ้ายไปร้าน Lawson / ---> เลี้ยวขวาไปร้านราเมน แต่เมื่อคืนนิลกันไกด์เลือกเลี้ยวซ้าย ฮิๆ
ที่เห็นต้นโกร๋นๆ นี่คือต้นซากุระที่ดอกยังไม่ผลิบานนะคะ หาใช่ตันไม้ตายไม่
ที่กองกระเป๋า เอ้ย ด้านหน้าห้องอาหารค่ะ กองกระเป๋ากันเต็ม แหะๆ
เรื่องผี ต่อ คห. 2 นะคะ
เรื่องผี ประสบการณ์หลอน มาๆ นั่งล้อมวงค่ะ
**ขอย้ำว่าไม่เกี่ยวกับโรงแรมนะคะ เพราะคุณลุงท่านนั้นตามนิลไปทุกโรงแรม (T T)**
ห้องพักของเราอยู่บนชั้น 1 คุณแม่ของนิลอาบน้ำเข้านอนก่อน ส่วนนิลอาบทีหลัง กว่าจะออกมาจากห้องน้ำคุณแม่ก็หลับแล้ว นิลเลยรีบปิดไฟ แล้วก็พบว่า...
ในห้องมืดมาก ไม่มีแสงไฟนอกห้องเลยแม้แต่นิดเดียว โชคดีที่นิลเป็นคนกลัวความมืด (โชคดีตรงไหนฟะ (= =”)) เลยจำต้องรีบคลำทางมาที่เตียงซึ่งก็อยู่ใกล้นิดเดียว แน่นอนไม่ลืมสวดมนต์อุทิศบุญกุศลตามประสาคนเห็นผีได้เป็นระยะๆ และอาจเจอแจ็คพอตที่นี่ เวลานี้ แต่มันไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เพราะมัวคิดว่าตัวเองจะนอนได้หรือเปล่าฟะ ทำไมมืดจัง และตอนนั้นเอง...
ก็มีแสงสว่างจากด้านนอกหน้าต่างสว่างขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นแสงจากไฟส่องทางภายในสวนของโรงแรม นิลเลยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นดู (ตอนสวดมนต์หลับตาอยู่ แหะๆ) สิ่งที่คิดตอนนั้นคือ เย้ ตูนอนได้แล้ว และพอคิดแบบนั้น...
เสียงหัวเราะของใครบางคนก็ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง เป็นเสียงใหญ่ๆ ของผู้ชายอายุน่าจะเกินกว่า 60 ปี หัวเราะคล้ายกำลังขบขันอะไรสักอย่าง ซ้ำยังพูดภาษาญี่ปุ่นปิดท้ายประมาณ 2 ประโยค น่าเสียดายที่เร็วและยากเกินกว่าที่นิลจะแปลออก
ตอนนั้นคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือ รปภ.ที่มาเปิดไฟ คงจะคุยกับใครสักคนแถวนั้น มาเอะใจตอนหลังว่าประเทศเจริญทางเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่น เหตุใดจึงต้องถ่อสังขารออกมาเปิดไฟนอกโรงแรม แถมตอนมาถึง ไฟส่องทางดวงอื่นก็เปิดทั่วโรงแรมแล้ว ข้างนอกหน้าต่างห้องก็ไม่เห็นเงาของผู้ใด ทั้งที่ห้องพักอยู่ชั้นล่างสุด และเสียงที่ว่าก็ดังมาจากด้านนอกหน้าต่างห้องแท้ๆ มิหนำซ้ำตื่นมาตอนเช้ามืดช่วงตี 4 กว่า ไฟส่องตรงนั้นก็ถูกปิดไปเสียแล้ว (= =?) เอ่อ ยังไงเนี่ย หรือมันไม่เคยเปิด แล้วแสงที่ตูเห็นล่ะ
เฮ้ย !!!!!! ช่างๆๆๆๆๆๆ เตรียมตัวไปเที่ยวให้สมอยากดีกว่า นิลคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะไม่รู้ว่ามันจะมีคืนที่ 2 ที่โรงแรมที่ 2 อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!
To Be Continued โปรดติดตามต่อกระทู้หน้านะจ๊ะ อย่าพึ่งทิ้งกันไป
นี่แหละค่ะ ไฟส่องทางที่มันน่าจะยังสว่างอยู่ ตอนนิลตื่นขึ้นมา
มีแต่คนไปญี่ปุ่น เราอยากไปมากเลย แต่คงต้องเก็บเงินอีกนาน
เอาใจช่วยนะคะ
ขอให้เป็นเสียงหัวเราะของคนนะคะ
มั่นใจว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะคุณลุงท่านนั้นตามนิลไปทุกโรงแรม (T T)
ขอบคุณมากๆนะคะ ปลาบปลื้ม
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?