มาแชร์วลีเด็ด ย่อหน้าเจ๋งสุดยอด หรือบทสนทนาสุดแซบ ให้กันและกันอ่านดีมั้ย
กระทู้คราวนี้อยากให้เพื่อนๆ น้องๆ หลานๆ มาร่วมแชร์วลีเด็ดๆ หรือฉากมันส์ๆ บทสนทนาสนุกๆ ให้อ่านกันค่ะ อยากได้แบบอันที่ตัวเองคิดว่าเจ๋งสุดยอด หรือเอาแค่ที่ชอบเป็นการส่วนตัวก็ได้ มีอะไรโชว์ก็งัดเอามาโชว์กันได้เลยค่ะ
สรุปคือกระทู้นี้เป็นกระทู้ให้ทุกคนอวดของดีของตัวเองค่ะ (หมายถึงงานเขียนนะ อย่าคิดลึก)
ไม่ต้องเม้นท์ ไม่ต้องวิจารณ์นะคะ นอกเสียจากว่าเขาจะขอ เดี๋ยวจะกลายเป็นเสร่อไป ฮิๆๆ
แต่ถ้าอยากให้กำลังใจกันและกันก็เชิญเลยค่ะ สนับสนุน
ขอร้องว่า กรุณา อย่าก๊อปปี้งานคนอื่นนะคะ มีจรรยาบรรณของการเป็นนักเขียนนะคะ
แล้วก็ลองเล่าสู่กันฟังด้วยว่า ชอบเพราะอะไร
มาเริ่มที่บทสนทนาของจขกท นะ เป็นบทสนทนาระหว่างนางเอก (ชื่อฟ้าใส) น้องชายนางเอก (ชื่อเมฆ) และเพื่อนน้องชายนางเอกซึ่งเป็นพระเอก (ชื่อศรณ์) นิยายรักโรแมนติกธรรมดาๆ ค่ะ
เป็นบทนสนทนาในรถ น้องชายกำลังด่าแฟนพี่สาวอยู่ เพราะน้องชาย ไม่ชอบแฟนพี่สาว
“เออ เมฆ ฉันไม่ยักรู้แฮะว่านายเป็นคนหวงพี่สาว” ศรณ์พูดขึ้นล้อ ๆ พร้อมยิ้มกว้างและรอยยิ้มนักทูตนี่แหละที่ทําให้สองฝ่ายต้องสงบศึกโดยสดุดี
“ไม่เรียกว่าหวง แค่ห่วงเฉย ๆ โว้ย ไม่อยากให้พี่สาวคบคนเลวนี่ผิดด้วยเหรอ” เมฆวิจารณ์รุนแรง แต่ยังมีเค้าทีเล่นทีจริง
“เหรอ แล้วต้องเป็นคนดีขนาดไหนวะ นายถึงจะไม่ห่วง” ศรณ์ถาม
“ก็... อย่างน้อยก็ดีเท่า ๆ กับฉัน ฉันก็ไม่ห่วงแล้ว”
“โอ้โห พูดออกมาได้นะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นพี่ฟ้าก็ยังโชคดี เพราะถ้าอยากหาใหม่จริง ๆ ก็คงหาได้ไม่ยาก”
ผู้เป็นพี่สาวนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ที่เบาะหลังด้วยความสะใจและพูดเสริมคำพูดของศรณ์ว่า
“ใช่ แหม... อย่างนี้พี่ก็ไม่ต้องกลัวขึ้นคานแล้วสิ ตอนแรกพี่ก็นึกว่าเมฆจะตั้งมาตรฐานไว้สูงซะอีก”
“อะไรวะเนี่ย สองคนนี้ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว” เมฆโวยด้วยความหมั่นไส้ “ปี่” และ “ขลุ่ย” คู่นี้
เหตุผลที่ชอบ เพราะตอนเขียนสนุก อ่านแล้วก็สนุก และยังเห็นความสัมพันธ์น่ารัก อบอุ่น ของสองพี่น้อง อ่านแล้วอมยิ้ม เพราะผู้เขียนแอบชอบนายเมฆเข้าแล้วค่ะ
แล้วคนอื่นล่ะ มาเอาให้อ่านกันนะ
34 ความคิดเห็น
อันนี้เป็นประโยคที่นางเอก(เซ)พูดกับเพื่อนค่ะ คือเพื่อน(อาร์คคิวบิเน่)กำลังหนีองครักษ์กันอยู่ แต่หนีไม่รอดค่ะ ตามมาจนถึงที่หมายจนได้ คือนึกฟีลลิ่งแล้วชอบประโยคนี้มากค่ะ รู้สึกกวนประสาท
“ฝีมือการหลบหนีเธอต่ำลงหรืออดีตองครักษ์เธอความสามารถสูงขึ้นกันแน่ ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมา แทบไม่มีครั้งไหนที่เธอพลาดจนเขาตามมาจนถึงที่หมายไม่ใช่เหรอ?”
ฉันมองค้อนเซไปนิด ๆ ก่อนจะตอบว่า “ไม่รู้ ฉันจะเดินอ้อมโลกหรือเผ่นไปตามซอกหลืบ กระจายกลุ่มก็แล้ว หมอนี่ก็ยังอุตส่าห์ตามมาจนได้” ฉันเน้นที่คำว่า อุตส่าห์ พลางจิกตาใส่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเรามากนัก แหม อุตส่าห์สั่งชามาจิบอีก! อาร์คคิวบิเน่ไม่ชอบแรงค่ะ!!
ดวงตาสีฟ้าพลันเบิกกว้าง รอยหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นกลับถูกปิดด้วยฝีมือใครบางคนจากข้างหลัง
“ ตอนนี้นายจะมองไม่เห็นชั่วคราว แต่มันไม่สำคัญหรอก...ไม่สำคัญ ทุกอย่างจะผ่านไป...แล้วนายจะตื่นขึ้นบนที่นอนในเช้าวันพรุ่งนี้และพบว่ามันเป็นเพียงความฝัน ”
ถ้อยคำกระซิบสะเทือนใจ ราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยผู้หลงทางว่าอย่าหวาดกลัว พรุ่งนี้นายจะได้กลับบ้าน ได้นอนบนที่นอนอุ่นๆ ข้างเตาผิง และซุกตัวลงบนหมอนและผ้าห่มอันคุ้นเคย ใกล้เคียงกับความฝันของเขา และเขาคงจะเชื่อพร้อมหลับตาลงอย่างเต็มใจหากความรู้สึกเสียดแทงในใจไม่ได้กำลังทำร้ายเขาอยู่ตอนนี้
หยดน้ำไหลผ่านช่องว่างของมือใหญ่ระมาตามแก้มเนียนอย่างเงียบเชียบ และราวกับจะไหลไปโดยไม่มีผู้ใดรู้ แต่บาร์เลย์รู้...ผ่านแสงไฟที่สะท้อน ผ่านความรู้สึกอุ่นร้อนที่รดรินลงบนมือ ผ่านหัวใจที่บาดเจ็บ ผ่านดวงตา..ขณะที่นิ้วเรียวแข็งแรงจับสิ่งที่กำบังมันอยู่ออกไปอย่างช้าๆ สบหน้ากับสิ่งที่เขาหวาดหวั่น ขณะที่คาดหวัง ขณะที่ปฏิเสธกับตัวเองมากกว่าพันครั้งว่ามันไม่จริง ขณะที่อยากให้มันเป็นจริง...ขณะที่ไม่อยากให้เป็น...
ชอบอันนี้ครับ เป็นบทนำก่อนที่จะเข้านิยายผม มันเเสดงอะไรได้หลายๆอย่างว่านิยายที่ผมเขียนเป็นยังไง อารมณ์ไหน สไตล์เนื้อเรื่องที่คนอ่านจะได้เจอเเตกต่างจากแฟนตาซีปกติยังไง
เเล้วยังดึงดูดคนดูได้ระดับหนึ่งด้วย
มัน วาย...? คือน่าสนใจมากค่ะ แต่เราสะดุดตรง แฟนหนุ่มของเบเรสโก้นี่แหละ ฮา...
กรรม ไม่ใช่ครับ 555 เเค่ตัวละครเป็นวาย เเต่เรื่องไม่เกี่ยวกับวายสักนิดเลยอ่ะ ต้องไปเเก้ไหมหว่า
เป็นไอเดียที่ดีมากค่ะ
แต่ความเห็นส่วนตัว ถ้าตัวละครหลักแบบ พระเอก-นายเอกเป็นวาย มันก็คือนิยายวายแล้วค่ะ 5555 เนื้อหายังไงไม่เกี่ยวหรอก วายมีหลายแบบ วายแฟนตาซี วายธีมไซไฟยังมีเลยค่ะ
คิดเหมือน คห 4-3 ค่ะ แค่ชาย-ชาย เราก็ถือว่าวายหมด ฮา...
เวรกรรม 5555 เเฟนพระเอกโผล่มาบทเเรกบทเดียวเองนะครับ เเล้วตัวเอกก็ปลิวไปนอกโลกเเล้ว ไม่ได้วายกันเลย โผล่มาอีกทีคือบทสุดท้าย 555
ผมควรจะเปลี่ยนไหม รุ้สึกเหมือนกันว่าบางสำนักพิมพ์พอ่านเเล้วอาจจะคิดว่านี่เป็นวายเเล้วมีอคติ
ควรจะเปลี่ยนมั้ยเราก็บอกไม่ถูกค่ะ เราว่าก็เข้ากับบริบทดีคือสามารถถอดรหัสได้อะไรแบบนี้ สำนักพิมพ์อาจจะมีอคติหรือไม่ แต่คนอ่านอย่างเรานี่มีแน่ค่ะ ฮ่าๆๆๆ คือมันแฟนตาซี ถ้ามีฉากรัก หรือพูดถึงเกี่ยวเรื่องรักๆ เราก็หวังว่ามันจะนอมัลน่ะค่ะ เพราะวายเราไม่ฟิน ฮา...
แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวเรานะคะ ยังไงก็แล้วแต่คนเขียนล่ะค่ะ
แอบมึนๆแฮะ งั้นเอางี้ค่ะ ทำไมต้องให้พระเอกมีแฟนเป็นผู้ชายหรอคะ? แสดงว่ารูทความรักทั้งเรื่องมีแค่ 10% คือไมไ่ด้จำเป็นต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้น (เราเดานะ) แบบนี้น่าจะไม่จำเป็นที่ต้องมีแฟนเป็นชายก็ได้? หรือมีสาเหตุอื่นมั้ยคะ?
คุณอยากให้ใครอ่านคะ สาววาย? สาวนอร์มอล? ชาย? มันต้องดูโจทย์ตรงนี้
ถ้าขายความจิ้นเอง แบบมีเพื่อนสนิทเป็นชาย ยังพอจะโอเคกว่านะ เพราะถ้ามาตรงๆว่าแฟนเป็นชาย สนพ.นอร์มอลเขาก็ไม่ปลื้มแหละค่ะ
ถ้าคุณอยากจะขายสนพ.ทั่วไป อาจต้องเปลี่ยนเป็นนอร์มอล หรือเขียนว่าเป็นเพื่อนสนิทแทน เราว่านะ
เชื่อครับ
งั้นเปลี่ยนเป็นเพื่อนเเทนละกัน ในนิยายจะเขียนว่าเพื่อนที่สนิทที่สุด เเต่ใครอ่านก็ต้องเอะใจกันบ้าง ถือว่ามีปมให้เเก้ 555555555555
ก็แบบนี้ไปเลยค่ะ คนอ่านเขาจิ้นเองได้นะ พูดเลย บางทีไม่ต้องชง ไม่ต้องเสิร์ฟ ไม่ต้องบอกว่าจิ้นวายได้ด้วยซ้ำ แฝงๆมายังรู้เลยค่ะ เผลอๆแบบนี้คนอ่านจะชอบซะมากกกว่าด้วย (เราล่ะคนนึง ที่ไม่ชอบให้เซอร์วิสมาให้ เราจิ้นเองได้งี้ 5555)
แล้วที่เราแต่ง เราก็เคยแฝงไว้ แต่ไม่บอกตรงๆเหมือนกัน คนอ่านเขาก็ทราบกันเองค่ะ ว่าเราตั้งใจแฝง แฝงทั้งยูริทั้งยาโอยเลยด้วยซ้ำ 555
เรื่องเก่า(เขียนจบไปแล้ว)ของเรานะ เรื่อง Out Law
พระเอกเคยพูดไว้ว่า "คนที่สำนึกผิดจริงเขาไม่ขอให้คนอื่นอภัยให้ตัวเองหรอก มีแต่ขอรับโทษให้สาสมกับความผิดที่ตนทำลงไป" พูดไว้ในตอนที่สิบกว่าๆ
แต่ผมเอามาแปะไว้ที่หน้าแนะนำนิยายเลย
เรื่องใหม่เพิ่งเอาลงแค่ 2 ตอน ยังหาเด็ดๆไม่ได้
ชอบประโยคนี้ค่ะ คมกริบเชียว
โอ๊ย ชอบค่ะ ><
เห็นด้วย
โอ้ น่าสนใจ
ของเรามีสองเรื่อง สองสไตล์
เรื่องแรกแนวแฟนตาซี
เหตุการณ์แรกคือ เสนาบดี(จริงๆในเรื่องเรียกที่ปรึกษา) 2 คนคุยกันถึงเรื่องการขึ้นครองบัลลงก์ของตัวละครสองพี่น้อง ที่เริ่มมีกระแสการเมืองสนับสนุนแตกเป็นสองฝ่าย
“ท่านว่าใครเสี่ยงที่สุด” ที่ปรึกษามหาดไทยเอ่ยถาม เสียงเบาจนแทบกระซิบ คู่สนทนาปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะยอมตอบว่า
“…ท่านยู”
“ทำไมล่ะ?” ที่ปรึกษามหาดไทยถามต่อ คนเป็นทหารชักสีหน้าไม่พอใจออกมา หยุดฝีเท้าลงในทันที
“ท่านถามตัวเองสิ ว่าถ้าเป็นท่าน ท่านอยากให้ใคร…ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์”
นั่นหมายถึงคนที่ไม่ต้องการอาจโดนกำจัดให้พ้นเสี้ยนหนาม
ทว่า ที่ปรึกษามหาดไทยกลับยิ้มออกมา “บังเอิญว่าข้าคิดต่างจากท่านซะด้วย…นักปกครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารกล้า การครองใจคน มือที่นุ่มนวลก็สามารถโอบกอด ปกป้องแคว้นได้เช่นเดียวกัน”
“แต่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านภัยจากศัตรู!”
คนเป็นทหารแย้งฉับพลัน ที่ปรึกษามหาดไทยหัวเราะออกมา กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป
“เอาเป็นว่าแค่พวกเรา เสียงยังแตกเป็นสอง แล้วจะไม่ให้เสียงอื่นๆแตกเลยได้ยังไงกันล่ะ จริงมั้ย?”
เหตุการณ์สอง คือตัวละครที่เป็นน้องสาว คุยกับผู้เป็นตา ว่ามีหลายคนค่อนขอดเธอว่าเธอไร้ความสามารถ ไม่เหมาะสมที่จะนั่งบัลลงก์ แล้วตาได้ให้คำแนะนำให้
ยูหัวเราะในลำคอน้อยๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบออกมา
“อ่อนโยนกับอ่อนแอ…มีเส้นบางๆที่คั่นอยู่ และแย่หน่อยที่ผู้คนตัดสินว่าข้าเป็นอย่างหลัง!”
ประโยคสุดท้ายเธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน…เย้นหยันต่อเสียงซุบซิบนินทาที่ได้ยินมาแต่เด็กจนโต ว่าหากเธอได้รับเลือกจากบัลลังก์ เป็นผู้ปกครองแคว้นแทนเรนแล้วล่ะก็ เธอจะกลายเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอ…ไร้ความสามารถ
ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของเธอนี่…เธอเองก็พยายามในแบบของตัวเอง คิดว่าตัวเองก็มีความสามารถไม่น้อยหน้าใคร แต่พี่สาวเธอเก่งเกินไป…ต่อให้ใช้ความพยายามทั้งชีวิตก็ไม่อาจไล่ตามความอัจฉริยะของเรนได้ ไม่อาจเทียบเรนได้
ยูเคยน้อยใจหนักๆเข้า เธอก็ไปร้องไห้ ระบายให้กับผู้เป็นตาฟัง รามิลปลอบประโลมหลานสาวคนเล็กว่า
‘พวกเจ้านั้นเหมือนกันมากก็จริง ข้างนอกอาจเหมือนกันทุกประการ แต่ข้างในย่อมแตกต่าง ทั้งด้านนิสัยใจคอและความสามารถ เรนอาจเก่งและมีความสามารถมากกว่า แต่ใช่ว่าเจ้าจะต้องทำทุกอย่างให้ได้แบบเรน ถ้าคนเราทำได้แบบนั้น ทุกคนก็เหมือนๆกันหมด…ดูนี่นะ’ รามิลกล่าวพร้อมกับยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะหยิบดอกไม้จากแจกันมาสองชนิด ซึ่งหน้าตาและรูปร่างแทบจะเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่สีเท่านั้น ชนิดหนึ่งเป็นสีม่วงงดงาม อีกชนิดหนึ่งเป็นสีเหลืองสดใส
‘ดอกเรน่ากับดอกยูเซียร์ เจ้าชอบดอกไหน?’
‘ยูเซียร์ค่ะ’
‘แต่เรนชอบดอกเรน่า ถูกมั้ย? แล้วทำไมเจ้าชอบดอกยูเซียร์?’
‘ไม่รู้สิคะ กลิ่นกับสีมั้งคะ กลิ่นของดอกยูเซียร์จะอ่อนกว่า ข้าชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ สบายใจกว่าเรน่าที่ฉุนไป’
‘ใช่ แล้วรู้มั้ยว่าดอกยูเซียร์ใช้ทำอะไร? ดอกยูเซียร์เป็นยาทำให้ผู้คนผ่อนคลาย แล้วนอนหลับสบาย อาจจะดูมีประโยชน์น้อยกว่าดอกเรน่า ที่เป็นส่วนผสมหลักในยารักษาพิษ แต่ประโยชน์ก็คือประโยชน์…ประโยชน์อาจต่างกัน แต่ก็จำเป็นเช่นเดียวกัน เหมือนเจ้ากับเรน…อาจจะมีคนบอกว่าเจ้าอ่อนแอ…เหมือนกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกยูเซียร์ ที่ว่าอ่อนไป เบาบางไป เพราะนั่นเป็นความชอบของคน มันขึ้นอยู่กับคนมอง…เจ้าไม่ได้อ่อนแอและไร้ค่าถึงเพียงนั้นหรอกนะ ความสามารถเจ้าก็สามารถพัฒนา ทำให้เชรานย์เจริญรุ่งเรืองได้เช่นเดียวกัน’
ก่อนที่รามิลจะโอบกอดหลานสาวตัวน้อย และจุมพิตที่หน้าผากอย่างรักใคร่ กล่าวว่า
‘เป็นในแบบที่เจ้าเป็น พยายามในแบบที่เจ้าพยายามเถอะ…ทุกคนจะรักเจ้าที่ตัวเจ้า เหมือนดอกยูเซียร์ ผู้คนรักในความเป็นดอกยูเซียร์ และมีค่าในตัวเองเช่นเดียวกัน’
เรื่องที่สองเป็นนิยายรัก นางเอกเป็นทนาย ส่วนพระเอกเป็นลูกความค่ะ บทสนทนาอยู่ในหน้าบทวามนี่เอง 5555
“แล้ว…เมื่อไหร่คุณจะยอมคบกับผมซะทีล่ะ?”
“ฉันไม่คบกับลูกความตัวเองค่ะ”
“แสดงว่า ถ้าผมไม่ใช่ลูกความคุณ คุณจะยอมคบด้วย?” เขาเลิกคิ้ว ยิ้มเผล่ “งั้นผมจะได้เลิกจ้างคุณตอนนี้เลย”
“นี่คุณวิน! จริงจังหน่อยสิคะ ฉันอุตส่าถ่อมาบริษัทคุณเพราะเรื่องงานนะ”
“ผมจริงจังสิ แล้วผมก็จริงจังเรื่องคุณด้วย”
“ฉันปฏิเสธค่ะ”
“งั้นผมขอยื่นอุทธรณ์…” ใบหน้าคมของลูกความตัวดีฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า “ถ้าไม่ได้อีก ผมก็จะยื่นฎีกาด้วย”
“ฉันไม่ใช่ผู้พิพากษา!”
คำตอบของเธอทำให้อนาวินหัวเราะ น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยยั่วว่า
“แน่นอนครับ ก็คุณเป็นทนายที่รักของผมนี่”
ชอบเรื่องแรกจังค่ะ อ่านดูแล้วเหมือนนิยายจะให้ข้อคิดเยอะเลย ชื่อยูกับชื่อเรนนี่ก็มาจากชื่อดอกไม้พวกนั้นใช่หรือเปล่าคะ
ขอบคุณค่ะ ^^" ใช่ค่ะ เราตั้งใจตั้งให้คล้ายกัน กะใช้ดอกไม้เป็นตัวแทนตัวละครด้วยในหลายๆฉาก 5555
ชอบการต่อปากต่อคำ นิยายสุดท้ายค่ะ (ขนาดเราไม่ใช่สายนิยายรักนะนี่ 555)
ธาวิชงัวเงียตื่นขึ้นมา เขาขยี้หัวตัวเองอย่างที่เคยทำเป็นปกติจนเคยชิน เอามือป้องปากหาว
แม้จะยังสะลึมสะลือเต็มที แต่สายตาก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งที่กำลังนั่งกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างเตียง
ชายหนุ่มเลยอ้าปากทักออกไปก่อนตามประสาเจ้าบ้านที่ดีทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาตื่นเต็มที่
"อรุณสวัสดิ์..."
เคียร์ที่เสียเวลารอธาวิชแหกขี้ตาตื่นเป็นชั่วโมงๆเพราะทำยังไงก็งัดพ่อเจ้าประคุณรุนช่องขึ้นมาจากเตียงไม่ได้แทบจะถลาเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วตะคอกกรอกใส่หูมันอย่างเหลืออด
"อรุณสวัสดิ์กะผีอะไรล่ะ นี่มันไม่เช้าแล้วโว้ย! ถ่างตาดูให้ดีๆ ชาวบ้านเค้าแค่นอนกินบ้านกินเมืองธรรมดา แต่แกน่ะ นอนทีกินไปแล้วทั้งทวีป!"
คนเพิ่งตื่นทำตาปรือๆมองผ่านร่างบางตรงหน้าออกไปยังหน้าต่างด้านหลัง ความมืดของรัตติกาลและแสงดาวประดับดินมากมายที่ส่องสว่างขึ้นมายังคอนโดชั้นสิบสามที่เขาอยู่ทำให้ธาวิชพยักหน้าน้อยๆ
"โอเค งั้นราตรีสวัสดิ์"
ว่าแล้วทิ้งตัวลงกับหมอน คว้าผ้าห่มขึ้นคลุมโปงนอนต่อทันทีโดยไม่สนใจผีสาว ทำเอาเคียร์อ้าปากค้าง มองคนที่ล้มตัวนอนต่อตาลุก ...เดี๋ยวนะ!?
>> ชอบอันนี้ เพราะสัมผัสได้ถึงความกวนสหบาทาเป็นอย่างมากและเคยทำ 555
อันนี้ความสามารถพิเศษเลยนะ เวลาเหนื่อยมากๆเราสามารถนอนข้ามวันแบบไม่ต้องตื่นมากินข้าวได้ = =;;
ฮาดีค่ะ 555555555555555
ชอบด้วยค่ะ ขำอ่ะ 555555
ตลกดีค่ะ ชอบตรง "อรุณสวัสดิ์กะผีอะไรล่ะ" ... ก็คนพูดเป็นผี... 555 ตั้งใจหรือเปล่าคะ
ตั้งใจฮะ
เป็นเรื่องที่เอาไว้เขียนคลายเครียดโดยเฉพาะน่ะ
เวลาอารมณ์ดี ตัวละครในเรื่องจะหายใจกันคล่องคอมาก
เครียด จิตตก อารมณ์ดราม่าตกค้างทีไร ตัวละครเสียวสันหลังกันวาบๆ
เพราะหวยมักจะไปออกที่ตัวละครตัวไหนสักตัว 5555555
บังเอิญฉากข้างบนนี้เขียนตอนอารมณ์ดี ^ ^
เห็นคนเอาแฟนตาซีลงเยอะแล้ว เอาระทึกขวัญลงมั้งดีกว่า 5555
“ เฮ้ย !! พี่อัน ”
“ ฟังอะไรของ- -จะแก้ตัวว่าอะไรอีก !! ”
ผลั่ก
“ -ต่อยกูเหรอ ได้ ! กูจัดให้ เจ๊ !! ”
ผลั่ก
ผลั่ก
“ กรี้ดดดดด ”
ผลั่ก!!!
“ผมรักใครรักจริงนะ”
หวงหลงเอ่ยพร้อมคว้าข้อมือของโรสิตาไว้ไม่ยอมให้หล่อนเดินหนีเขา
“เราแต่งงานกันเพราะผลประโยชน์” โรสิตาย้ำ
“โดยมีความรักเป็นของแถม” หวงหลงยิ้มกริ่ม
หญิงสาวสะบัดข้อมือออกทันที หวงหลงเห็นสายตาเย็นชาของหล่อนก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ
“ฉันไม่แถมของแบบนั้นให้คุณหรอก” น้ำเสียงหญิงสาวหนักแน่น
"พอจะมีหนังสือเล่มไหนสอนวิธีจีบเมียตัวเองบ้างไหมนะ" หวงหลงบ่นพึมพำเมื่อคล้อยหลังหญิงสาวไปแล้ว
เดาสุ่มๆไปเองนะคะว่าพระเอกต้องคอยตื๊อน่าดูทีเดียว น่ารักดีค่ะ
ใช่ค่ะพระเอกตื๊อหนักมาก ส่วนนางเอกก็ซึนเดระหนักมากเช่นเดียวกัน
"คิดจะแย่งเขาไปจากข้า ต้องดูว่าท่านสามารถหรือไม่"
สั้นๆ แต่เจ็บค่ะ พูดงี้นัดตบกันเลยดีกว่า ถถถถถถ
นางเอกมีมือมีเท้า จะยอมได้ไงฮุๆๆ
ชอบค่ะ เหมือนโดนบอกให้ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียบ้าง (เด็กสมัยนี้เคยได้ยินไหมเนี่ย) 555
เกิดไม่ทันค่ะ (โดนถีบ)
เดี๋ยวเถอะ!!! 555
เป็นเหตุการณ์ที่คิดเล่นๆ ชอบอันนี้เพราะมันกวนดี
เลยตั้งใจว่าสักวันจะเอาไปใส่ในนิยายสักเรื่อง
ฉาก : คนสองคนกำลังโดนตามล่าและเริ่มจนมุมสุดทางอยู่ที่หน้าผา
A : เอาไงดีล่ะแบบนี้! พวกมันกำลังจะตามมาทันแล้ว
B : โดดลงไปเลย (ชี้ไปที่หน้าผา)
A : นั่นเป็นความคิดที่โง่ที่สุดที่เคยได้ยินมาเลย
B : อ่า...งั้นเอาเป็น พวกเราเดินกลับไปหาพวกนั้นแล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ" กันดีไหม
A : โอเค... ตอนนี้โง่เป็นอันดับสองแล้ว
ชอบอันนี้ ฮาและกวนสร้นมาก 555555
อันนี้เป็นเหตุการณ์เปิดตัวนางเอกค่ะ แนวเกมออน์ไลน์ที่นางเอกทั้งเสื่อมทั้งด้าน(สุดๆ)ค่ะ
“ไลรา ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!!!”
“หนูตื่นแล้วค่ะ”
ไลรา โอดิเนียร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนมองหันมองประตูอีกครั้งจนกระทั่งเสียงเดินของผู้เป็นแม่หายลับไปทำให้เด็กสาวล้มตัวลงนอนอีกรอบแต่ทำไมโชคถึงไม่เข้าข้างถึงขนาดนี้ เด็กสาวเม้มปากอย่างไม่พอใจก่อนย้ายร่าง(?)ตนเองเข้าไปในห้องน้ำ เธอมักจะใช้เวลาเข้าห้องน้ำนานไปจากคนอื่นพอสมควร
แต่ว่าทั้งนี้ไม่ใช่เพราะอะไร ที่เข้านานเพราะไลราเอาเวลาส่วนมากไปนั่งพึมพำหลงตัวเองอยู่หน้ากระจก เดิมทีเธอคิดว่าตนเองพึมพำนั้นแหละ แต่จริงเสียงมันระดับที่ว่าทำให้คนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ด้านล่างได้ยินทุกอย่างเสียจนอดเอือมระอากับความบ้าบอของลูกสาวตนเองไม่ได้ ทว่าไม่นานนักเสียนั้นก็หายไปพร้อมอีกเสียงดังขึ้นมาแทน
เสียงวิ่ง...
“สายแล้วค่ะ!”
ไลรากล่าวเสียงดังพลางคว้ากล่องแกงกะหรี่ขึ้นมาแทนที่จะเป็นขนมปังอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน บางทีทำอะไรแปลกๆ บ้างก็ดี แต่ว่าเหมือนจะเสี่ยงต่อการสำลักระหว่างที่วิ่งอยู่ ทว่าเมื่อวิ่งไปถึงทางเข้าของสถานีรถไฟนั้นเด็กสาวกลับชะงักก่อนกดลงมองกระโปรงตนเองก่อนเปลี่ยนทิศทางกลับไปยังบ้านของตนเองโดยไม่ลังเล
เรือหาย(?)ลืมใส่กางเกงใน!!
ของเราเป็นแนวแฟนตาซี (อีกแล้ว ฮา)
เป็นบทสนทนาของชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนกับตัวเอก (ลาร์น) ตอนที่หมดความอดทนกับเด็กหนุ่มเพื่อนนางเอกอีกคน (แดร์ริล)
ลาร์น : ฉันบอกให้นายหุบปากซะ
แดร์ริล : ไม่หยุด เหอะ อยากจับฉันมาเองทำไม
ลาร์น : คิดว่าฉันอยากจับนายมามากรึไง - ชายหนุ่มคว้าข้อมือข้างหนึ่งที่ใส่กุญมือของเด็กหนุ่มมาบีบไว้แน่น
แดร์ริล : นายจะทำอะไร?! - แดร์ริลพยายามบิดข้อมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม แต่แรงบีบราวคีมเหล็กของอีกฝ่ายทำให้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ลาร์น : ฉันจะบอกให้นายรู้ไว้นะ...งานถนัดฉันคือจับตาย...ที่จับเป็นนายมานี่...ทำได้ก็บุญแล้ว
ประโยคสุดท้ายนี้ไรท์เขียนเองชอบเอง ฮา >< คือมันทำใหเรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มาแบบสายโหดนิดๆ (รึเปล่า)
ของผมเป็นประโยคที่ยังไม่ได้เอาลง แต่หวังว่าจะใช้ และหวังว่าคงไม่ไปซ้ำกับใครนะ
"ถ้ามันจะโหดร้ายขนาดนั้นล่ะก็ ชั้นจะเป็นคนที่ถูกหมายปองคร่าชีวิตแทนเธอเอง"
"ผมก็แค่อยากเล่นฟุตบอลเท่านั้นเอง เดวิด ผมรักฟุตบอลมากเลยนะ.. แต่ทำยังไงได้หละ จะให้ผมทำยังไง.. ในเมื่อนี่คือตัวของผม.. ผมผิดใช่ไหมที่เป็นเกย์ แล้วดันรักฟุตบอล.. ผมผิดอย่างนั้นเหรอเดวิด”
“แกแปลกๆ ไปนะ” รุสลานตัดสินใจบอกความจริงกับพี่ชาย “ดูไม่เหมือนแกคนเก่าเลย”
“อือ” เขาทำเสียงในลำคอตอบกลับมา “ทำไงได้ สัตว์โลกถ้าไม่ปรับตัวตามสภาพแวดล้อมก็ต้องตาย...กฎของการคัดเลือกโดยธรรมชาติก็บอกไว้อย่างนั้น ครูชีววิทยาไม่ได้สอนแกเรื่องนี้หรือไง?”
“แต่แกเป็นมนุษย์...คอสเตีย”
จ่าหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “แล้วสิ่งที่แกเห็นเมื่อกี้...คือสิ่งที่มนุษย์ปกติเขาทำกันหรือ?” เขาเสมองน้องชาย “แต่ก่อน ฉันก็เคยคิดว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เพราะสามัญสำนึกที่เหนือกว่า แต่ตอนนี้ฉันรู้ซึ้งแล้วว่ะ...รุสลาน...มนุษย์กับสัตว์ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “แกต้องการจะพูดถึงอะไร?”
“ในสงคราม ในสนามรบที่ไม่มีกฎระเบียบทางสังคมมาชี้บอกว่าเราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเราทั้งหมดกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ทั้งนั้น...เพื่อเหตุผลเดียวคือการเอาตัวรอด”
รุสลานนิ่งฟัง
“แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกันไปหมดเสียทีเดียว” คอสเตียว่า “สัตว์ฆ่ากันเพื่อกินเป็นอาหารประทังชีพ หรือไม่ก็ปกป้องอาณาเขตของตัวเองจากสัตว์อื่น แต่คนเราฆ่ากันเพื่อรุกรานเอาอาณาเขตของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง”
ของเราเองค่ะ เรื่องปัจจุบันที่กำลังปั่นอยู่นี่แหละ อาจจะเครียดๆ หน่อย แต่ก็แนวสงครามนี่เนอะ 55555
[Edit: แก้คำพูด ม-ึง -ก รู เป็น ฉัน - แก]
เรื่องอะไรค่ะน่าอ่านจัง
ขอบคุณครับ เรื่อง P2 the prince of two world เล่ม 1 ครับ แนว sci fi ลืมบอกไปว่าพระเอกชื่อเรมีฟ มีดวงตาสีเขียวมรกต
นางเอกชื่อ 300 เหรอคะ นึกว่าเป็นหุ่นยนต์ :P ตัวละครในเรื่องอายุเท่าไหร่คะ (สงสัยเพราะเห็นเขียนว่าเด็กหญิง เด็กชาย)
ใช่ครับ ชื่อ 300 เป็นยุวชนทหารอยู่บนโคโลนี่นอกโลกที่เป็นระบบปิด เธอไม่สามารถมีชื่อได้จนกว่าจะจบหลักสูตร เธอเป็นแพทย์ฝึกหัดและฉลาดสุด ๆ
ทั้ง 2 อายุ 12 ปีครับ
ชอบค่ะ >< คือนิยายที่ข้อมูลแน่น มันบอกความใส่ใจของคนเขียนได้ระดับหนึ่ง ^^
ขอบคุณครับผม >< จำเป็นต้องใส่ใจในข้อมูลมากเพราะมันเป็นแนวไซไฟน่ะ ซึ่งเขียนยากมาก ๆๆๆๆ น่าเสียดายที่นับแต่นั้นจนถึงตอนนี้ที่กำลังปั่นเล่ม 3 นี่เป็นบทเดียวที่มีฉากกุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรแบบนี้ นอกนั้นก็เลือดสาดกันทั้งเล่ม แถมส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่สงคราม
จริงๆประโยคนี้เป็นประโยคที่ว่างไว้ในพล็อตหยาบๆที่ชอบเองมาก555
เป็นนิยายแนวสืบสวนที่ยังไม่ได้คิดชื่อเรื่อง
ควีน " มือของฉันมีแต่เลือด แม้ไม่ได้ฆ่าคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่ฉันก็คือคนที่ชี้ทางให้คนไปตายแม้นั้นจะเป็นคนบาปที่ฆ่าคนก็ตาม "
กิล " หากมือที่เปื้อนเลือดนั้นสั่นไหว ฉันจะกุมมันไว้แล้วดึงเจ้าของมือนั้นมาสวมกอด เพราะฉันเองก็เป็นคนที่ร่วมเปิดประตูสู่ความตายให้กับฆาตกรเหล่านั้นเช่นกัน"
นักสืบสาวของรัฐบาลที่IQสูงปรี้ดแต่EQติดดินกับนายร้อยตำรวจหน้าตายที่ถูกเรียกว่าปะป๋าทั้งๆที่เป็น(ว่าที่)คนรัก
ถ้าอย่างนั้นพระเอกคงต้องบอกรักโต้งๆละมั้งนางเอกถึงจะเข้าใจ
อิจเมจคู่นี้ตั้งแต่ต้นเป็นเหมือนพ่อลูกที่ลูกสาวอายุ18(กับส่วนสูง150)ชอบนั่งตักคุณพ่อ55 แถมเจ้าตัวนางเอกยังเป้นพวกจูนิเบียวและหลงโลก2Dยิ่งกวาอะไร
ตอนสุดท้ายก็เลยไม่ได้รักกันจริงจังแต่ก็เดินคู่กันไปเรื่อยๆเป็นเส้นขนานTwT
เราชอบตอนนี้มาก ชอบความรู้สึกที่ว่า แม้เราจะโดนคนอื่นเข้าใจผิด แต่จะมีคน ๆ หนึ่งที่พร้อมจะให้อภัย ให้โอกาสเรา เข้าใจเราเสมอ...จากเรื่อง กลัวเธอจะเปลี่ยนไป
ในตอนนี้นางเอกในวัยเด็กกำลังเสียใจเพราะมีเหตุการณ์ที่เธอทำให้เพื่อนคนหนึ่งตกน้ำจนเกือบตาย แต่เพราะเธอโดนหาเรื่องก่อน แต่ไม่มีใครกล้าพูดความจริง เธอไปนั่งเศร้าอยู่ แล้วพระเอกไปตามหาจนเจอจึงเข้าไปแหย่ให้โกรธจนนางเอกหายเศร้าได้ ตัดมาเฉพาะคำพูดสำคัญละกัน เดี๋ยวจะยาวเกินไป แต่ตอนนี้เราชอบมาก ^^
ยนตร์ยิ้ม วิธีกวนประสาทของเขาได้ผล ทำให้เธอเปลี่ยนอารมณ์จากเศร้าหมองมาเป็นหมั่นไส้ หรือเริ่มโมโหนิด ๆ ได้แล้ว เขายกมือโอบไหล่เธอไว้ แล้วตบแรง ๆ
“ไม่เอาน่า…คิดเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่หรอ อย่าคิดมากเลยนะ”
“เขาว่าพ่อปาร ปารเป็นเด็กไม่ดี ทำให้พ่อถูกคนอื่นต่อว่า ทำให้คนอื่นดูถูกพ่อ ปาร…เสีย…ใจ” น้ำตาไหลซึมออกมาอีกแล้ว เสียงพาลสั่นเครือ…
“เด็กโง่!! พ่อของปานเป็นคนดี ไม่ว่าใครจะพูดยังไง พ่อของปารก็ยังเป็นคนดีเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนไปตามคำพูดของใครไม่ใช่เหรอ แม้แต่ตัวของปารเองก็ตาม ความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่แล้ว ว่าใครทำอะไร ใครตั้งใจ ใครจงใจ อย่าไปสนใจเลยนะ กับแค่คำพูดของคนน่ะ”
เขาโครงหัวเด็กหญิงเข้ามาใกล้
“ให้ตัวเราเข้าใจตัวเราก็พอ อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนอื่น บางทีมันเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้ระยะเวลานาน”
“พี่ยนตร์ ทำไมคนเราชอบใช้คำพูดที่ไม่ดีทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจ ช้ำใจ เจ็บปวดทรมานด้วยละคะ ยิ่งทำให้คนฟังเจ็บเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะใจเขา ยิ่งทำให้เขามีความสุขหรอคะ” หันไปจ้องหน้าเด็กหนุ่ม น้ำตาไหวระริกคลออยู่ในดวงตา
“ปาร…ชอบกินทุเรียนไหม” เขารู้ดีว่าเธอไม่ชอบเลย
ปารส่ายหัว
“เวลามีคนเอาทุเรียนมาให้ ปารทำยังไงล่ะ”
“ก็ไม่กินสิคะ” เธอหันมาทำหน้าฉงน ว่าเรื่องที่เธอถาม มันเกี่ยวอะไรกับทุเรียนด้วยฟะ!
“คำพูดของคนอื่นก็เหมือนกัน เมื่อมันไม่ดี ไม่อร่อย ก็อย่าไปกิน อย่าไปฟัง อย่าไปใส่ใจ” เธอจำได้แล้ว พ่อของเธอเคยเล่าเป็นนิทานสอนเธอและเขาพร้อมกัน เวลาทำงานช่วยพ่ออยู่ในสวน แต่เวลานี้เธอกลับนึกไม่ออกเอาเสียเลย
“เป็นไง กินเข้าไปเยอะล่ะสิ อร่อยมั้ยล่ะ แล้วใครให้กินเข้าไป บื้ออออจริง ๆ” เขาเขกหัวเธอ
เด็กหญิงร้องเสียงแหลมอยู่ในลำคอ “พี่ยนตร์อ่ะ เดี๋ยวเหอะ แกล้งปารหรอ” น้ำเสียงของเธอ ทำให้เขารู้ว่า เธอหายเศร้าแล้ว
“ทำไมไม่มีใครเข้าใจปารเลย ปารขอโทษ แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้ยัยอ้วนตกน้ำด้วย”
“อืม…การเสียใจกับสิ่งที่เราทำ การขอโทษ เป็นสิ่งที่ดีแล้วนะ พี่เข้าใจปารนะ และจะคอยให้โอกาสปารเสมอ ที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ แต่ปารต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะ อย่ามัวจมกับสิ่งที่ทำให้เราเสียใจ อย่ามัวทำร้ายตัวเองด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตครั้งแล้วครั้งเล่า ปารอย่าลืมให้โอกาสตัวเองด้วยนะ”
เด็กหญิงมองเขาด้วยสายตาชื่นชม เขามักโผล่เข้ามาทำให้สิ่งดีดีเกิดขึ้นกับเธอเสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม อยากจะกล่าวขอบคุณเขา แต่กลับพูดไม่ออก อยากจะเข้าไปกอดเขาอ้อนอย่างที่เคยเห็นสภาน้องสาวของเขาทำ อยากจะบอกเขาว่า รักเขาที่สุดเลย ก็ทำไม่ได้ เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีนิสัยอย่างนั้น
เป็นเหมือนพี่ชายที่อบอุ่นเนาะ
เรื่องนี้พระเอกอายุมากกว่าหลายปี เห็นนางเอกตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เคยเลี้ยงพาขี่คอตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ ทั้งคู่จะมีความทรงจำดีดีต่อกันมาตั้งแต่วัยเด็กค่ะ ^^
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?