Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

มาแชร์วลีเด็ด ย่อหน้าเจ๋งสุดยอด หรือบทสนทนาสุดแซบ ให้กันและกันอ่านดีมั้ย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมกระทู้ก่อนของจขกทเน้อ จขกทอ่านของทุกคน (แต่ขอโทษค่ะที่ไม่ได้เม้นท์ให้คนที่มาหลัง ๆ เพราะตอนนั้นชักเหนื่อย แต่ก็เห็นคนอื่น ๆ เขาทำให้แล้วนิ) รุ้สึกว่าได้ประโยชน์และความรู้มากเลยค่ะ 

กระทู้คราวนี้อยากให้เพื่อนๆ น้องๆ หลานๆ มาร่วมแชร์วลีเด็ดๆ หรือฉากมันส์ๆ บทสนทนาสนุกๆ ให้อ่านกันค่ะ อยากได้แบบอันที่ตัวเองคิดว่าเจ๋งสุดยอด หรือเอาแค่ที่ชอบเป็นการส่วนตัวก็ได้ มีอะไรโชว์ก็งัดเอามาโชว์กันได้เลยค่ะ

สรุปคือกระทู้นี้เป็นกระทู้ให้ทุกคนอวดของดีของตัวเองค่ะ (หมายถึงงานเขียนนะ อย่าคิดลึก) 

ไม่ต้องเม้นท์ ไม่ต้องวิจารณ์นะคะ นอกเสียจากว่าเขาจะขอ เดี๋ยวจะกลายเป็นเสร่อไป ฮิๆๆ

แต่ถ้าอยากให้กำลังใจกันและกันก็เชิญเลยค่ะ สนับสนุน

ขอร้องว่า กรุณา อย่าก๊อปปี้งานคนอื่นนะคะ มีจรรยาบรรณของการเป็นนักเขียนนะคะ

แล้วก็ลองเล่าสู่กันฟังด้วยว่า ชอบเพราะอะไร

มาเริ่มที่บทสนทนาของจขกท นะ  เป็นบทสนทนาระหว่างนางเอก (ชื่อฟ้าใส) น้องชายนางเอก (ชื่อเมฆ) และเพื่อนน้องชายนางเอกซึ่งเป็นพระเอก (ชื่อศรณ์)  นิยายรักโรแมนติกธรรมดาๆ ค่ะ

เป็นบทนสนทนาในรถ น้องชายกำลังด่าแฟนพี่สาวอยู่ เพราะน้องชาย ไม่ชอบแฟนพี่สาว

เออ เมฆ ฉันไม่ยักรู้แฮะว่านายเป็นคนหวงพี่สาว” ศรณ์พูดขึ้นล้อ ๆ พร้อมยิ้มกว้างและรอยยิ้มนักทูตนี่แหละที่ทําให้สองฝ่ายต้องสงบศึกโดยสดุดี

ไม่เรียกว่าหวง แค่ห่วงเฉย ๆ โว้ย ไม่อยากให้พี่สาวคบคนเลวนี่ผิดด้วยเหรอ” เมฆวิจารณ์รุนแรง แต่ยังมีเค้าทีเล่นทีจริง

เหรอ แล้วต้องเป็นคนดีขนาดไหนวะ นายถึงจะไม่ห่วง ศรณ์ถาม

ก็... อย่างน้อยก็ดีเท่า ๆ กับฉัน ฉันก็ไม่ห่วงแล้ว

โอ้โห พูดออกมาได้นะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นพี่ฟ้าก็ยังโชคดี เพราะถ้าอยากหาใหม่จริง ๆ ก็คงหาได้ไม่ยาก

ผู้เป็นพี่สาวนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ที่เบาะหลังด้วยความสะใจและพูดเสริมคำพูดของศรณ์ว่า

ใช่ แหม... อย่างนี้พี่ก็ไม่ต้องกลัวขึ้นคานแล้วสิ ตอนแรกพี่ก็นึกว่าเมฆจะตั้งมาตรฐานไว้สูงซะอีก

อะไรวะเนี่ย สองคนนี้ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว เมฆโวยด้วยความหมั่นไส้ ปี่ และ ขลุ่ย คู่นี้


เหตุผลที่ชอบ เพราะตอนเขียนสนุก อ่านแล้วก็สนุก และยังเห็นความสัมพันธ์น่ารัก อบอุ่น ของสองพี่น้อง อ่านแล้วอมยิ้ม เพราะผู้เขียนแอบชอบนายเมฆเข้าแล้วค่ะ 

แล้วคนอื่นล่ะ มาเอาให้อ่านกันนะ

แสดงความคิดเห็น

34 ความคิดเห็น

เรเซีย (เซย์) 29 ก.พ. 59 เวลา 18:27 น. 1

อันนี้เป็นประโยคที่นางเอก(เซ)พูดกับเพื่อนค่ะ คือเพื่อน(อาร์คคิวบิเน่)กำลังหนีองครักษ์กันอยู่ แต่หนีไม่รอดค่ะ ตามมาจนถึงที่หมายจนได้ คือนึกฟีลลิ่งแล้วชอบประโยคนี้มากค่ะ รู้สึกกวนประสาท

ฝีมือการหลบหนีเธอต่ำลงหรืออดีตองครักษ์เธอความสามารถสูงขึ้นกันแน่ ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมา แทบไม่มีครั้งไหนที่เธอพลาดจนเขาตามมาจนถึงที่หมายไม่ใช่เหรอ?

            ฉันมองค้อนเซไปนิด ๆ ก่อนจะตอบว่า ไม่รู้ ฉันจะเดินอ้อมโลกหรือเผ่นไปตามซอกหลืบ กระจายกลุ่มก็แล้ว หมอนี่ก็ยังอุตส่าห์ตามมาจนได้ฉันเน้นที่คำว่า อุตส่าห์ พลางจิกตาใส่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเรามากนัก แหม อุตส่าห์สั่งชามาจิบอีก! อาร์คคิวบิเน่ไม่ชอบแรงค่ะ!!

0
หมาป่าน้อยผู้น่ารัก 29 ก.พ. 59 เวลา 18:37 น. 2
 อันนี้เป็นเนื้อหาจากเรื่อง my wolf หมาป่าในดวงใจ ที่ผมแต่งในตอนก่อนที่จะจบ
ผมไม่รู้ว่ามันแต่งดีหรือเปล่านะแต่เขียนเอาไว้ก่อนเนื้อเรื่องหลักมันจะได้ไม่เขวไปเขวมา ซึ่งผมอ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันซึ้งไปกับเนื้อหาด้วย แต่สำหรับผู้อ่านท่านใดที่อ่านนิยายเรื่องนี้อยู่แล้วบังเอิญเปิดเข้ามาเจอในหน้าบอร์ดนี้ก็ถือว่าโชคดีไปนะครับได้อ่านตอนก่อนจบก่อนใครเพื่อน
เนื้อหามันเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าที่กำลังทอดทิ้งจากแม่ไป
ตอนที่กอด
สองเท้าเส้นขนสีขาวที่เลอะไปด้วยโคลนเดินเหยียบหญ้าเปียกชื้นท่ามกลางความมืดของป่าไม้ด้วยเสียงเบาบางเกือบประสานตามจังหวะลมหายใจ โดยมีร่างบางของมนุษย์เพศหญิงที่ถูกอุ้มอยู่แนบหน้าอกขนสีขาวที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ
ภาพของชาวบ้านบางส่วนที่แอบอยู่ภายในบ้านเปิดหน้าต่างมองออกมาอย่างระแวงและคบเพลิงรอบหมู่บ้านที่เห็นในสายตาสีเหลืองที่สะท้อนแสง กลับทำให้ฝีเท้าค่อยๆหยุดชะลอลง แน่นอน ว่าเขาอยากจะอุ้มแม่ไปนอนอยู่ภายในถ้ำหรือบ้านหลังเดิม สถานที่เขากับแม่เคยอยู่ด้วยกัน สถานที่ไม่มีใครอื่นนอกจากเพียงแค่เขากับแม่เท่านั้น แต่มันอาจเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เขามีสิ่งที่เป็นเหตุผลที่จะต้องจากไป แล้วอีกอย่างแซนก็รู้ตัวได้ดีว่าเขานั้นเป็นอะไรและแม่เป็นอะไร ฉะนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่จะให้นางอยู่ในสถานที่ควรอยู่ โดยเฉพาะกับพ้องพวกเดียวกัน หากไม่เช่นนั้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นมันอาจตามมาอีก แล้วสิ่งที่จะเป็นผลร้ายที่สุดก็คือชีวิตของแม่
อสูรหมาป่าหนุ่มค่อยๆวางผู้ที่เปรียบได้เหมือนมารดาที่ให้กำเนิดนอนพิงไว้ข้างต้นไม้
แซนจ้องมองดูใบหน้าของนางเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้อยากจะอุ้มไปส่งนอนอยู่ภายในบ้าน แต่ไม่อาจจะทำได้ หากตัวเขาเข้าไปในหมู่บ้าน มันอาจทำให้อะไรๆแย่ลงไปกว่าเดิมอีก ฉะนั้นจึงทำได้เพียงแค่เอาแม่มานอนตรงชายป่าใกล้หมู่บ้านเท่านั้น เขาเหม่อมองออกไปไกลที่ขอบฟ้าทางภูเขา อีกเพียงไม่นานท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มนั้นมันจะปัดเป่าความมืดให้หายไป แล้วเริ่มเปลี่ยนมาเป็นแสงสีเหลืองทองของดวงตะวันเข้ามาแทนที่ บัดนี้คงต้องไปแล้วจริงๆ เขายื่นจมูกมาแตะกับปลายจมูกของแม่ ซึ่งมันเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้สัมผัสกับนางอีกก่อนที่ร่างขนสีเหลืองจะหันตัวเดินสี่ขากลับไป
“ไม่ !  อย่าจากข้าไป !!!” เมเดลร้องสะดุ้งตกใจลืมตาขึ้นมา รีบหันซ้ายขวามองสำรวจไปมา หากได้มองสังเกตดูดีๆแล้ว จึงทำให้รู้ว่าที่นี่มันคือที่แห่งไหน เมื่อหันไปจนทั่วจึงได้เห็นแซนที่ตั้งท่ากำลังจะก้าวขาได้หยุดชะงักจนหางล่วงตก แล้วนั่นก็เป็นลักษณะที่บ่งบอกได้ว่าเขากำลังจะจากนางไป
“อภัยให้ข้าด้วยท่านแม่... ท่านคงไปเห็นแล้วว่าเพราะเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องจากไป ข้าขอโทษจริงๆที่ไม่ยอมบอกท่านถึงความจริงนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าต้องไปอยู่ดี หากตัวข้ายังอยู่กับท่าน มันก็ยิ่งมีแต่ทำให้ท่านอันตรายเพราะตัวข้า อภัยให้ข้าด้วยท่านแม่...”
น้ำเสียงที่สั่นเครือของเขานั้น ทำให้เมเดลรู้ว่าแซนต้องทนฝืนเปล่งถ้อยคำออกมามากเพียงใด แต่ถึงแม้จะรู้ว่าเขาจะต้องจากไปจริงๆ แต่ภายในใจมันก็ยากเกินจะทำใจได้อยู่ดี ยิ่งเมื่อกำลังจะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้านี้อีก “ลูกจะจากไปจริงๆ... ใช่ไหม... ?”
อสูรหมาป่าหนุ่มยังคงเงียบไร้คำตอบที่จะกล่าวออกมา จึงทำให้เมเดลเหมือนโดนความเงียบที่ได้กลายเป็นมีดนั้นกำลังทิ่มแทงอย่างเจ็บปวด
กระทั่งในที่สุดแซนค่อยๆหันกลับเดินมาหานั่งอยู่ตรงหน้าแม่ ซึ่งเขาจ้องมองสบตากลับเหมือนอ้ำอึ้งไม่มีอะไรจะพูดออกมา เมื่อได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเองตอนวัยเยาว์ในแววตาสีฟ้านั้น กลับยิ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น จนกระทั่งเขาได้ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ “ท่านแม่... ท่านยังจำได้หรือไม่ นิทานที่ท่านชอบเล่าให้ข้าฟังในตอนสมัยเด็ก มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่มันเป็นเหมือนชะตาของโชคชีวิตของเรา” แซนหลับตาลง สูบลมหายใจเข้าก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่ “นิทานเรื่องนั้น... ก็คือเรื่อง... ลูกแกะดำ...” ถึงแม้ในถ้อยคำที่เขาเปล่งออกมาให้แม่ได้ยินจะรู้ว่าอาจทำให้นางรู้สึกสะเทือนไปจนถึงหัวใจ แต่ว่าอสูรหมาป่าหนุ่มยังคงฝืนกลั้นใจที่จะถามขึ้นมาอีกคำถามหนึ่งที่ค้างคาอยู่ภายในมาโดยตลอด แม้จะรู้ถึงความจริงแล้วก็ตาม “แม่รู้ไหมว่านิทานชีวิตเรื่องนี้มันก็มีความแตกต่างในตอนจบเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะถามท่านแม่ว่า... ท่านเก็บข้ามาเลี้ยงใช่ไหม ?” แซนเห็นแม่เหมือนกำลังจะเผยอริมฝีปากขึ้นมาจนตัวสั่น แต่ว่านางคงหาคำพูดที่จะเปล่งออกมาตอบไม่ได้ มันคงยากมากในการที่จะตอบความจริงนี้ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี “ท่านแม่ เรื่องที่ข้าถูกเก็บมาเลี้ยงหรือเอามาเป็นสัตว์เลี้ยง ข้ารู้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้าต้องการได้ยินจากปากท่านโดยตรงเท่านั้น ข้าไม่ต้องการอะไรที่มันมากไปกว่านี้จากท่าน”
เมเดลหลับตาก้มหน้า ในมือขะหย่ำต้นหญ้าอย่างอดกลั้นน้ำตา “ใช่...” น้ำเสียงอันแผ่วเบาที่ลอดออกมาจากริมฝีปาก มันเป็นเหมือนความรู้สึกที่ไม่อยากจะยอมรับในความจริง แต่นางก็ได้เอ่ยมันออกไปแล้ว ซึ่งก็รู้ได้ดี ถึงแม้น้ำเสียงจะแผ่วเบา แต่ว่าอย่างไรลูกก็คงได้ยินอยู่ดี “แม่ขอโทษ ที่ไม่เคยเล่าถึงความจริงและรวมถึงยังทำร้ายเจ้าเป็นเหมือนแค่สัตว์เลี้ยงมาก่อน” ยิ่งพูดถึงความจริงไปมากเท่าไร กลับยิ่งเหมือนเอาก้อนหินทุบลงใส่ใจตัวเองมากขึ้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายในการที่จะเอ่ยออกมาจนจบคำตอบและคำสารภาพผิดขอโทษในสิ่งที่เคยทำกับเขามาก่อน เมเดลไม่รู้ว่าลูกนั้นจะรู้สึกอย่างไรกับคำตอบที่ได้ยินจากปากตัวเองโดยตรง บางทีเขาอาจวิ่งหนีหายไปเลยโดยไม่นั่งทนที่จะได้ยิน หรือว่าอย่างดีสุดให้มันสาสมกับสิ่งที่นางได้เคยทำกับเขาเหมือนเป็นแค่สัตว์เลี้ยง นั่นก็คือกระโจนใส่ตัวเองเพื่อจบชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนแอไม่มีค่าพอในสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังคู่นั้น
“ท่านแม่...” แซนเอ่ยเรียกจนเมเดลค่อยๆเงยหน้ากลับขึ้นมามองเขาอย่างช้าๆด้วยความหวาดหวั่น แน่นอน เขารู้ความหมายของคำว่าสัตว์เลี้ยงหรือเก็บมาเลี้ยงมันหมายถึงอะไร แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญ
อยู่ๆอสูรหมาป่าหนุ่มก็ก้มหัวต่ำลงสลัดคอเล็กน้อยจนบางสิ่งล่วงไหลลงมาที่พื้น แม้เสียงวัตถุที่ได้กระทบนั้นมันจะเบาบางเหมือนเสียงกระซิบ แต่มันกลับเหมือนดั่งเสียงก้องกังวาลจนเมเดลได้ยินอย่างชัดเจน นางใจสั่นเมื่อได้เห็นเขาคาบสร้อยคอฝาหอยนั้นขึ้นมา ซึ่งมันกลับเป็นภาพที่เชื่องช้าในสายตา มีแสงแรกของดวงตะวันยามรุ่งอรุณที่สาดส่องมาจากขอบฟ้าไกลสาดส่องอาบเส้นขนสีเหลืองให้กลายเป็นสีทอง เมื่อรวมกับขนที่ยังเปียกน้ำอยู่เล็กน้อยจึงทำให้ยิ่งเหลืองอร่ามทอประกาย เหมือนในวันแรกที่เมเดลได้พบเจอเขาภายใต้แสงสีส้มทองของดวงตะวันท่ามกลางฟ้าหลังฝน มันกลับยิ่งทำให้นางกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว วัตถุสิ่งนี้เปรียบดั่งชีวิตของตัวนางที่เคยมอบให้กับเขาจนมีลมหายใจมาจนถึงบัดนี้ วันที่เขาโตขึ้นและเป็นวันที่เขาจะจากไป
ฝ่ามือสีขาวอมชมพูค่อยๆยื่นออกไปแบรับจนมือสั่นกับความจริงที่รู้ว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งที่เป็นสิ่งที่รักไปอีกครั้งจากหัวใจ จนไม่อาจข่มตาให้มองดูได้อีก คำว่ารัก เมเดลรู้ดีว่ามันคงอาจไม่พอที่จะเปลี่ยนทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิมหรือเหนี่ยวรั้งเอาไว้ เมื่อเขาเลือกเดินจากไปก็พอเข้าใจในเหตุผล พร้อมที่จะยอมปล่อยเขาไป แต่ก่อนที่คำว่า เรา สำหรับนางที่เคยใช้เรียกมันจะกลายเป็นเพียงความรักในความทรงจำ นางอยากจะขอแค่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นจากดวงใจนี้ของตัวเองที่มันร่ำร้อง ทันใดนั้นร่างบางก็เข้าสวมโอบกอดลูกไว้ ฝ่ามือที่มีสร้อยลูบขนหลังคอเขา ใบหน้าแนบชิดกับใบหน้าของแซน เมเดลต้องการขอเพียงแค่ให้เขาอยู่ในอ้อมกอดเพื่อให้มันรู้สึกได้รับไออุ่นซึมซับเข้าไปจนถึงภายในหัวใจจนกว่าจะหมดลมหายใจสุดท้ายที่มี
แซนหลับตาลง ใบหูรี่พับทั้งสองข้าง ฝืนที่จะทนได้อีกต่อไปที่จะอดกลั้นไว้ได้ไหวจนเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ในตอนนี้ตัวเขาเข้าใจแล้วว่าความหมายของน้ำตาและการกอดของแม่นั้นหมายถึงอะไร แน่นอน เขารู้สึกผิด เมื่อตัวเองไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่เคยให้หมั้นกับตัวเองไว้ได้ คำสัญญาที่ว่าเขาจะดูแลแม่เอง อสูรหมาป่าหนุ่มรู้สึกเสียใจกับความจำใจที่ต้องทำ
สายลมที่พัดผ่านมาจนเส้นผมเมเดลปลิวสะบัดอย่างเชื่องช้า มันเหมือนภาพความทรงจำต่างๆที่ได้หวนกลับของวันคืนที่ได้ผ่านพบเจอด้วยกันมา วันที่มีเพียงแค่ตัวเองกับลูก วันที่นอนดูดวงดาวเล่านิทานให้เขาฟัง วันที่เห็นเขามือต้องเจ็บเพราะก่อไฟอุ่นเอาปลาย่างกับยามาให้ วันที่ได้ปาหิมะเล่นใส่กัน วันที่ได้เล่นน้ำฝนอย่างสนุก ความรู้สึกทั้งเจ็บปวดทุกข์ทรมานและมีความสุข มันล้อมรอบอยู่รอบกายของพวกเขา แต่อีกเพียงไม่นานสายลมมันก็คงพัดผ่านจากไป เหมือนที่มันได้พัดผ่านมา แม้จะรู้สึกเจ็บช้ำมากแค่ไหนหรือใจจะทรมาน อุ่นไอสุดท้ายจากลูกนั้นยังคงช่วยบรรเทาใจ ดีแค่ไหนที่ยังเคยรักและร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน มันอาจผิดที่ตัวนางนั้นที่มันเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีเพียงแค่หัวใจ แต่จะไม่โทษเขาที่ต้องการจะจากไป แม้จะทนไม่ไหวก็ตาม จะไม่มีวันฝืนใจรั้งเอาไว้ ขอเพียงอยากให้เขาอยู่ในอ้อมกอดเพื่อย้อนคืนวันเก่าให้นานที่สุดก่อนจะไม่มีเขาอีกต่อไป นอกจากเหลือเพียงแค่ความทรงจำและความอ้างว้าง
จนกระทั่งในที่สุดแซนก็ได้วิ่งออกไปจากอ้อมอกที่เคยเป็นที่พักพิงหัวใจที่อบอุ่น เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองคงจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้นานนัก เมื่อเริ่มได้ยินเสียงชาวบ้านที่เกาะกลุ่มกันมองมาตะโกนเรียกหาเมเดลพร้อมอาวุธในมือเหมือนระแวง เนื่องจากชาวบ้านได้ยินเสียงของนางที่ร้องตกใจขึ้นมาในตอนแรก
“แซนนนนน !!!!!!” ภาพของเขาที่วิ่งไกลออกไปจากสายจากตาสีฟ้าและเอื้อมมือที่ไม่มีวันเอื้อมคว้าถึง มันกลับเป็นอะไรที่ยากเกินกว่าที่จะทำใจได้ว่าเขากำลังจะจากไปจริงๆและไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกต่อไปแล้ว แต่ในสุดท้ายอารมณ์ที่โหยหาก็เริ่มเข้าใจ เมื่อได้เห็นภาพของอสูรกายตัวเมียออกมาจากพุ่มไม้หาแซนและหันมามองนางก่อนที่ทั้งสองจะหายเข้าไปในเงามืดของพุ่มไม้
แสงสว่างที่ส่องมาจากทางด้านหลังเมเดล เป็นเหมือนแสงที่ขับไล่ความมืดมนออกไปจากใจของร่างบางที่มี นางสูบลมหายใจเข้าพร้อมยกมือขึ้นมาป้องปากตะโกนออกไปสุดเสียงอย่างมุ่งหมั้น “แซนนนน !!!!  ดูแลตัวเองดีๆ แม่รักลูกอยู่เสมอ ขอให้พวกลูกมีความสุขตลอดไป !!!!” น้ำตาของนางที่ไหลออกมานั้น คราวนี้มันไม่ใช่ความเสียใจหรือความขมขื่นกับภาพนั้นที่เห็นแซนจากไป แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความสุข ความสุขที่จะคงอยู่ภายในหัวใจของผู้หญิงคนนี้ตลอดไป
0
ฟันเฟืองแห่งกาลเวลา 29 ก.พ. 59 เวลา 19:04 น. 3


ดวงตาสีฟ้าพลันเบิกกว้าง รอยหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นกลับถูกปิดด้วยฝีมือใครบางคนจากข้างหลัง

“ ตอนนี้นายจะมองไม่เห็นชั่วคราว แต่มันไม่สำคัญหรอก...ไม่สำคัญ ทุกอย่างจะผ่านไป...แล้วนายจะตื่นขึ้นบนที่นอนในเช้าวันพรุ่งนี้และพบว่ามันเป็นเพียงความฝัน ”

ถ้อยคำกระซิบสะเทือนใจ ราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยผู้หลงทางว่าอย่าหวาดกลัว พรุ่งนี้นายจะได้กลับบ้าน ได้นอนบนที่นอนอุ่นๆ ข้างเตาผิง และซุกตัวลงบนหมอนและผ้าห่มอันคุ้นเคย ใกล้เคียงกับความฝันของเขา และเขาคงจะเชื่อพร้อมหลับตาลงอย่างเต็มใจหากความรู้สึกเสียดแทงในใจไม่ได้กำลังทำร้ายเขาอยู่ตอนนี้

หยดน้ำไหลผ่านช่องว่างของมือใหญ่ระมาตามแก้มเนียนอย่างเงียบเชียบ และราวกับจะไหลไปโดยไม่มีผู้ใดรู้ แต่บาร์เลย์รู้...ผ่านแสงไฟที่สะท้อน ผ่านความรู้สึกอุ่นร้อนที่รดรินลงบนมือ ผ่านหัวใจที่บาดเจ็บ ผ่านดวงตา..ขณะที่นิ้วเรียวแข็งแรงจับสิ่งที่กำบังมันอยู่ออกไปอย่างช้าๆ สบหน้ากับสิ่งที่เขาหวาดหวั่น ขณะที่คาดหวัง ขณะที่ปฏิเสธกับตัวเองมากกว่าพันครั้งว่ามันไม่จริง ขณะที่อยากให้มันเป็นจริง...ขณะที่ไม่อยากให้เป็น...

0
AyreJ 29 ก.พ. 59 เวลา 19:31 น. 4

ชอบอันนี้ครับ เป็นบทนำก่อนที่จะเข้านิยายผม มันเเสดงอะไรได้หลายๆอย่างว่านิยายที่ผมเขียนเป็นยังไง อารมณ์ไหน สไตล์เนื้อเรื่องที่คนอ่านจะได้เจอเเตกต่างจากแฟนตาซีปกติยังไง

เเล้วยังดึงดูดคนดูได้ระดับหนึ่งด้วย


9
AyreJ 29 ก.พ. 59 เวลา 19:51 น. 4-2

กรรม ไม่ใช่ครับ 555 เเค่ตัวละครเป็นวาย เเต่เรื่องไม่เกี่ยวกับวายสักนิดเลยอ่ะ ต้องไปเเก้ไหมหว่า

0
=RAY= 29 ก.พ. 59 เวลา 20:03 น. 4-3

เป็นไอเดียที่ดีมากค่ะ

แต่ความเห็นส่วนตัว ถ้าตัวละครหลักแบบ พระเอก-นายเอกเป็นวาย มันก็คือนิยายวายแล้วค่ะ 5555 เนื้อหายังไงไม่เกี่ยวหรอก วายมีหลายแบบ วายแฟนตาซี วายธีมไซไฟยังมีเลยค่ะ

0
AyreJ 29 ก.พ. 59 เวลา 20:13 น. 4-5

เวรกรรม 5555 เเฟนพระเอกโผล่มาบทเเรกบทเดียวเองนะครับ เเล้วตัวเอกก็ปลิวไปนอกโลกเเล้ว ไม่ได้วายกันเลย โผล่มาอีกทีคือบทสุดท้าย 555

ผมควรจะเปลี่ยนไหม รุ้สึกเหมือนกันว่าบางสำนักพิมพ์พอ่านเเล้วอาจจะคิดว่านี่เป็นวายเเล้วมีอคติ

0
ฟันเฟืองแห่งกาลเวลา 29 ก.พ. 59 เวลา 20:25 น. 4-6

ควรจะเปลี่ยนมั้ยเราก็บอกไม่ถูกค่ะ เราว่าก็เข้ากับบริบทดีคือสามารถถอดรหัสได้อะไรแบบนี้ สำนักพิมพ์อาจจะมีอคติหรือไม่ แต่คนอ่านอย่างเรานี่มีแน่ค่ะ ฮ่าๆๆๆ คือมันแฟนตาซี ถ้ามีฉากรัก หรือพูดถึงเกี่ยวเรื่องรักๆ เราก็หวังว่ามันจะนอมัลน่ะค่ะ เพราะวายเราไม่ฟิน ฮา...
แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวเรานะคะ ยังไงก็แล้วแต่คนเขียนล่ะค่ะ

0
=RAY= 29 ก.พ. 59 เวลา 20:32 น. 4-7

แอบมึนๆแฮะ งั้นเอางี้ค่ะ ทำไมต้องให้พระเอกมีแฟนเป็นผู้ชายหรอคะ? แสดงว่ารูทความรักทั้งเรื่องมีแค่ 10% คือไมไ่ด้จำเป็นต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้น (เราเดานะ) แบบนี้น่าจะไม่จำเป็นที่ต้องมีแฟนเป็นชายก็ได้? หรือมีสาเหตุอื่นมั้ยคะ?

คุณอยากให้ใครอ่านคะ สาววาย? สาวนอร์มอล? ชาย? มันต้องดูโจทย์ตรงนี้

ถ้าขายความจิ้นเอง แบบมีเพื่อนสนิทเป็นชาย ยังพอจะโอเคกว่านะ เพราะถ้ามาตรงๆว่าแฟนเป็นชาย สนพ.นอร์มอลเขาก็ไม่ปลื้มแหละค่ะ

ถ้าคุณอยากจะขายสนพ.ทั่วไป อาจต้องเปลี่ยนเป็นนอร์มอล หรือเขียนว่าเป็นเพื่อนสนิทแทน เราว่านะ

0
AyreJ 29 ก.พ. 59 เวลา 20:41 น. 4-8

เชื่อครับ

งั้นเปลี่ยนเป็นเพื่อนเเทนละกัน ในนิยายจะเขียนว่าเพื่อนที่สนิทที่สุด เเต่ใครอ่านก็ต้องเอะใจกันบ้าง ถือว่ามีปมให้เเก้ 555555555555

0
=RAY= 29 ก.พ. 59 เวลา 20:49 น. 4-9

ก็แบบนี้ไปเลยค่ะ คนอ่านเขาจิ้นเองได้นะ พูดเลย บางทีไม่ต้องชง ไม่ต้องเสิร์ฟ ไม่ต้องบอกว่าจิ้นวายได้ด้วยซ้ำ แฝงๆมายังรู้เลยค่ะ เผลอๆแบบนี้คนอ่านจะชอบซะมากกกว่าด้วย (เราล่ะคนนึง ที่ไม่ชอบให้เซอร์วิสมาให้ เราจิ้นเองได้งี้ 5555)

แล้วที่เราแต่ง เราก็เคยแฝงไว้ แต่ไม่บอกตรงๆเหมือนกัน คนอ่านเขาก็ทราบกันเองค่ะ ว่าเราตั้งใจแฝง แฝงทั้งยูริทั้งยาโอยเลยด้วยซ้ำ 555

0
Tastarus 29 ก.พ. 59 เวลา 19:43 น. 5

 เรื่องเก่า(เขียนจบไปแล้ว)ของเรานะ เรื่อง Out Law
พระเอกเคยพูดไว้ว่า "คนที่สำนึกผิดจริงเขาไม่ขอให้คนอื่นอภัยให้ตัวเองหรอก มีแต่ขอรับโทษให้สาสมกับความผิดที่ตนทำลงไป" พูดไว้ในตอนที่สิบกว่าๆ
แต่ผมเอามาแปะไว้ที่หน้าแนะนำนิยายเลย

 เรื่องใหม่เพิ่งเอาลงแค่ 2 ตอน ยังหาเด็ดๆไม่ได้

3
=RAY= 29 ก.พ. 59 เวลา 19:56 น. 6

โอ้ น่าสนใจ

ของเรามีสองเรื่อง สองสไตล์

เรื่องแรกแนวแฟนตาซี

เหตุการณ์แรกคือ เสนาบดี(จริงๆในเรื่องเรียกที่ปรึกษา) 2 คนคุยกันถึงเรื่องการขึ้นครองบัลลงก์ของตัวละครสองพี่น้อง ที่เริ่มมีกระแสการเมืองสนับสนุนแตกเป็นสองฝ่าย

ท่านว่าใครเสี่ยงที่สุด ที่ปรึกษามหาดไทยเอ่ยถาม เสียงเบาจนแทบกระซิบ คู่สนทนาปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะยอมตอบว่า

ท่านยู

ทำไมล่ะ?” ที่ปรึกษามหาดไทยถามต่อ คนเป็นทหารชักสีหน้าไม่พอใจออกมา หยุดฝีเท้าลงในทันที

ท่านถามตัวเองสิ ว่าถ้าเป็นท่าน ท่านอยากให้ใครได้ขึ้นนั่งบัลลังก์

นั่นหมายถึงคนที่ไม่ต้องการอาจโดนกำจัดให้พ้นเสี้ยนหนาม

ทว่า ที่ปรึกษามหาดไทยกลับยิ้มออกมา บังเอิญว่าข้าคิดต่างจากท่านซะด้วยนักปกครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารกล้า การครองใจคน มือที่นุ่มนวลก็สามารถโอบกอด ปกป้องแคว้นได้เช่นเดียวกัน

แต่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านภัยจากศัตรู!”

คนเป็นทหารแย้งฉับพลัน ที่ปรึกษามหาดไทยหัวเราะออกมา กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

เอาเป็นว่าแค่พวกเรา เสียงยังแตกเป็นสอง แล้วจะไม่ให้เสียงอื่นๆแตกเลยได้ยังไงกันล่ะ จริงมั้ย?”


เหตุการณ์สอง คือตัวละครที่เป็นน้องสาว คุยกับผู้เป็นตา ว่ามีหลายคนค่อนขอดเธอว่าเธอไร้ความสามารถ ไม่เหมาะสมที่จะนั่งบัลลงก์ แล้วตาได้ให้คำแนะนำให้

ยูหัวเราะในลำคอน้อยๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบออกมา

อ่อนโยนกับอ่อนแอ…มีเส้นบางๆที่คั่นอยู่ และแย่หน่อยที่ผู้คนตัดสินว่าข้าเป็นอย่างหลัง!

ประโยคสุดท้ายเธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันเย้นหยันต่อเสียงซุบซิบนินทาที่ได้ยินมาแต่เด็กจนโต ว่าหากเธอได้รับเลือกจากบัลลังก์ เป็นผู้ปกครองแคว้นแทนเรนแล้วล่ะก็ เธอจะกลายเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอไร้ความสามารถ

ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของเธอนี่เธอเองก็พยายามในแบบของตัวเอง คิดว่าตัวเองก็มีความสามารถไม่น้อยหน้าใคร แต่พี่สาวเธอเก่งเกินไปต่อให้ใช้ความพยายามทั้งชีวิตก็ไม่อาจไล่ตามความอัจฉริยะของเรนได้ ไม่อาจเทียบเรนได้

ยูเคยน้อยใจหนักๆเข้า เธอก็ไปร้องไห้ ระบายให้กับผู้เป็นตาฟัง รามิลปลอบประโลมหลานสาวคนเล็กว่า

พวกเจ้านั้นเหมือนกันมากก็จริง ข้างนอกอาจเหมือนกันทุกประการ แต่ข้างในย่อมแตกต่าง ทั้งด้านนิสัยใจคอและความสามารถ เรนอาจเก่งและมีความสามารถมากกว่า แต่ใช่ว่าเจ้าจะต้องทำทุกอย่างให้ได้แบบเรน ถ้าคนเราทำได้แบบนั้น ทุกคนก็เหมือนๆกันหมดดูนี่นะ รามิลกล่าวพร้อมกับยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะหยิบดอกไม้จากแจกันมาสองชนิด ซึ่งหน้าตาและรูปร่างแทบจะเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่สีเท่านั้น ชนิดหนึ่งเป็นสีม่วงงดงาม อีกชนิดหนึ่งเป็นสีเหลืองสดใส

ดอกเรน่ากับดอกยูเซียร์ เจ้าชอบดอกไหน?’

ยูเซียร์ค่ะ’

แต่เรนชอบดอกเรน่า ถูกมั้ย? แล้วทำไมเจ้าชอบดอกยูเซียร์?’

ไม่รู้สิคะ กลิ่นกับสีมั้งคะ กลิ่นของดอกยูเซียร์จะอ่อนกว่า ข้าชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ สบายใจกว่าเรน่าที่ฉุนไป

‘ใช่ แล้วรู้มั้ยว่าดอกยูเซียร์ใช้ทำอะไร? ดอกยูเซียร์เป็นยาทำให้ผู้คนผ่อนคลาย แล้วนอนหลับสบาย อาจจะดูมีประโยชน์น้อยกว่าดอกเรน่า ที่เป็นส่วนผสมหลักในยารักษาพิษ แต่ประโยชน์ก็คือประโยชน์ประโยชน์อาจต่างกัน แต่ก็จำเป็นเช่นเดียวกัน เหมือนเจ้ากับเรนอาจจะมีคนบอกว่าเจ้าอ่อนแอเหมือนกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกยูเซียร์ ที่ว่าอ่อนไป เบาบางไป เพราะนั่นเป็นความชอบของคน มันขึ้นอยู่กับคนมอง…เจ้าไม่ได้อ่อนแอและไร้ค่าถึงเพียงนั้นหรอกนะ ความสามารถเจ้าก็สามารถพัฒนา ทำให้เชรานย์เจริญรุ่งเรืองได้เช่นเดียวกัน

ก่อนที่รามิลจะโอบกอดหลานสาวตัวน้อย และจุมพิตที่หน้าผากอย่างรักใคร่ กล่าวว่า

เป็นในแบบที่เจ้าเป็น พยายามในแบบที่เจ้าพยายามเถอะ…ทุกคนจะรักเจ้าที่ตัวเจ้า เหมือนดอกยูเซียร์ ผู้คนรักในความเป็นดอกยูเซียร์ และมีค่าในตัวเองเช่นเดียวกัน


เรื่องที่สองเป็นนิยายรัก นางเอกเป็นทนาย ส่วนพระเอกเป็นลูกความค่ะ บทสนทนาอยู่ในหน้าบทวามนี่เอง 5555 

แล้วเมื่อไหร่คุณจะยอมคบกับผมซะทีล่ะ?”

ฉันไม่คบกับลูกความตัวเองค่ะ

“แสดงว่า ถ้าผมไม่ใช่ลูกความคุณ คุณจะยอมคบด้วย?” เขาเลิกคิ้ว ยิ้มเผล่ งั้นผมจะได้เลิกจ้างคุณตอนนี้เลย

นี่คุณวิน!  จริงจังหน่อยสิคะ ฉันอุตส่าถ่อมาบริษัทคุณเพราะเรื่องงานนะ

ผมจริงจังสิ แล้วผมก็จริงจังเรื่องคุณด้วย

“ฉันปฏิเสธค่ะ

งั้นผมขอยื่นอุทธรณ์…” ใบหน้าคมของลูกความตัวดีฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า ถ้าไม่ได้อีก ผมก็จะยื่นฎีกาด้วย

ฉันไม่ใช่ผู้พิพากษา!”

คำตอบของเธอทำให้อนาวินหัวเราะ น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยยั่วว่า

แน่นอนครับ ก็คุณเป็นทนายที่รักของผมนี่


3
anolindee 29 ก.พ. 59 เวลา 21:55 น. 6-1

ชอบเรื่องแรกจังค่ะ อ่านดูแล้วเหมือนนิยายจะให้ข้อคิดเยอะเลย ชื่อยูกับชื่อเรนนี่ก็มาจากชื่อดอกไม้พวกนั้นใช่หรือเปล่าคะ

0
=RAY= 29 ก.พ. 59 เวลา 22:09 น. 6-2

ขอบคุณค่ะ ^^" ใช่ค่ะ เราตั้งใจตั้งให้คล้ายกัน กะใช้ดอกไม้เป็นตัวแทนตัวละครด้วยในหลายๆฉาก 5555

0
Esta Em Maho 2 มี.ค. 59 เวลา 17:28 น. 6-3

ชอบการต่อปากต่อคำ นิยายสุดท้ายค่ะ (ขนาดเราไม่ใช่สายนิยายรักนะนี่ 555)

0
ll.Zeitgeist.ll 29 ก.พ. 59 เวลา 20:09 น. 7

ธาวิชงัวเงียตื่นขึ้นมา  เขาขยี้หัวตัวเองอย่างที่เคยทำเป็นปกติจนเคยชิน  เอามือป้องปากหาว
แม้จะยังสะลึมสะลือเต็มที  แต่สายตาก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งที่กำลังนั่งกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างเตียง
ชายหนุ่มเลยอ้าปากทักออกไปก่อนตามประสาเจ้าบ้านที่ดีทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาตื่นเต็มที่

"อรุณสวัสดิ์..." 

เคียร์ที่เสียเวลารอธาวิชแหกขี้ตาตื่นเป็นชั่วโมงๆเพราะทำยังไงก็งัดพ่อเจ้าประคุณรุนช่องขึ้นมาจากเตียงไม่ได้แทบจะถลาเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วตะคอกกรอกใส่หูมันอย่างเหลืออด

"อรุณสวัสดิ์กะผีอะไรล่ะ นี่มันไม่เช้าแล้วโว้ย! ถ่างตาดูให้ดีๆ ชาวบ้านเค้าแค่นอนกินบ้านกินเมืองธรรมดา แต่แกน่ะ นอนทีกินไปแล้วทั้งทวีป!"

คนเพิ่งตื่นทำตาปรือๆมองผ่านร่างบางตรงหน้าออกไปยังหน้าต่างด้านหลัง  ความมืดของรัตติกาลและแสงดาวประดับดินมากมายที่ส่องสว่างขึ้นมายังคอนโดชั้นสิบสามที่เขาอยู่ทำให้ธาวิชพยักหน้าน้อยๆ

"โอเค งั้นราตรีสวัสดิ์"  

ว่าแล้วทิ้งตัวลงกับหมอน  คว้าผ้าห่มขึ้นคลุมโปงนอนต่อทันทีโดยไม่สนใจผีสาว  ทำเอาเคียร์อ้าปากค้าง มองคนที่ล้มตัวนอนต่อตาลุก  ...เดี๋ยวนะ!?


>> ชอบอันนี้  เพราะสัมผัสได้ถึงความกวนสหบาทาเป็นอย่างมากและเคยทำ 555
อันนี้ความสามารถพิเศษเลยนะ  เวลาเหนื่อยมากๆเราสามารถนอนข้ามวันแบบไม่ต้องตื่นมากินข้าวได้  = =;;

4
anolindee 29 ก.พ. 59 เวลา 21:58 น. 7-3

ตลกดีค่ะ ชอบตรง "อรุณสวัสดิ์กะผีอะไรล่ะ" ... ก็คนพูดเป็นผี... 555 ตั้งใจหรือเปล่าคะ ขำ

0
ll.Zeitgeist.ll 29 ก.พ. 59 เวลา 23:08 น. 7-4

ตั้งใจฮะ
เป็นเรื่องที่เอาไว้เขียนคลายเครียดโดยเฉพาะน่ะ
เวลาอารมณ์ดี ตัวละครในเรื่องจะหายใจกันคล่องคอมาก
เครียด จิตตก อารมณ์ดราม่าตกค้างทีไร ตัวละครเสียวสันหลังกันวาบๆ
เพราะหวยมักจะไปออกที่ตัวละครตัวไหนสักตัว 5555555

บังเอิญฉากข้างบนนี้เขียนตอนอารมณ์ดี ^ ^

0
แก้วน้ำสีฟ้า 29 ก.พ. 59 เวลา 21:04 น. 8

เห็นคนเอาแฟนตาซีลงเยอะแล้ว เอาระทึกขวัญลงมั้งดีกว่า 5555


                “ เฮ้ย !! พี่อัน ”

                “ ฟังอะไรของ- -จะแก้ตัวว่าอะไรอีก !!

                ผลั่ก

            “ -ต่อยกูเหรอ ได้ ! กูจัดให้ เจ๊ !!

                ผลั่ก

            ผลั่ก

            “ กรี้ดดดดด  ”

            ผลั่ก!!!



            

0
rookie6040 29 ก.พ. 59 เวลา 21:33 น. 9

“ผมรักใครรักจริงนะ”

หวงหลงเอ่ยพร้อมคว้าข้อมือของโรสิตาไว้ไม่ยอมให้หล่อนเดินหนีเขา

“เราแต่งงานกันเพราะผลประโยชน์” โรสิตาย้ำ

“โดยมีความรักเป็นของแถม” หวงหลงยิ้มกริ่ม

หญิงสาวสะบัดข้อมือออกทันที หวงหลงเห็นสายตาเย็นชาของหล่อนก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ

“ฉันไม่แถมของแบบนั้นให้คุณหรอก” น้ำเสียงหญิงสาวหนักแน่น


"พอจะมีหนังสือเล่มไหนสอนวิธีจีบเมียตัวเองบ้างไหมนะ"  หวงหลงบ่นพึมพำเมื่อคล้อยหลังหญิงสาวไปแล้ว

2
anolindee 29 ก.พ. 59 เวลา 22:32 น. 9-1

เดาสุ่มๆไปเองนะคะว่าพระเอกต้องคอยตื๊อน่าดูทีเดียว น่ารักดีค่ะ รักเลย

0
rookie6040 29 ก.พ. 59 เวลา 23:03 น. 9-2

ใช่ค่ะพระเอกตื๊อหนักมาก ส่วนนางเอกก็ซึนเดระหนักมากเช่นเดียวกัน

0
Crimson Rose 1 มี.ค. 59 เวลา 14:13 น. 10-1

สั้นๆ แต่เจ็บค่ะ พูดงี้นัดตบกันเลยดีกว่า ถถถถถถ

0
anolindee 2 มี.ค. 59 เวลา 07:21 น. 10-3

ชอบค่ะ เหมือนโดนบอกให้ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียบ้าง (เด็กสมัยนี้เคยได้ยินไหมเนี่ย) 555

0
ผีหลงเรือน 1 มี.ค. 59 เวลา 01:38 น. 11

เป็นเหตุการณ์ที่คิดเล่นๆ ชอบอันนี้เพราะมันกวนดี
เลยตั้งใจว่าสักวันจะเอาไปใส่ในนิยายสักเรื่อง

ฉาก : คนสองคนกำลังโดนตามล่าและเริ่มจนมุมสุดทางอยู่ที่หน้าผา
A : เอาไงดีล่ะแบบนี้! พวกมันกำลังจะตามมาทันแล้ว
B : โดดลงไปเลย (ชี้ไปที่หน้าผา)
A : นั่นเป็นความคิดที่โง่ที่สุดที่เคยได้ยินมาเลย
B : อ่า...งั้นเอาเป็น พวกเราเดินกลับไปหาพวกนั้นแล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ" กันดีไหม
A : โอเค... ตอนนี้โง่เป็นอันดับสองแล้ว

1
Gurei no kami 1 มี.ค. 59 เวลา 03:43 น. 12

อันนี้เป็นเหตุการณ์เปิดตัวนางเอกค่ะ แนวเกมออน์ไลน์ที่นางเอกทั้งเสื่อมทั้งด้าน(สุดๆ)ค่ะ

“ไลรา ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!!!

“หนูตื่นแล้วค่ะ”
             ไลรา โอดิเนียร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนมองหันมองประตูอีกครั้งจนกระทั่งเสียงเดินของผู้เป็นแม่หายลับไปทำให้เด็กสาวล้มตัวลงนอนอีกรอบแต่ทำไมโชคถึงไม่เข้าข้างถึงขนาดนี้ เด็กสาวเม้มปากอย่างไม่พอใจก่อนย้ายร่าง(?)ตนเองเข้าไปในห้องน้ำ เธอมักจะใช้เวลาเข้าห้องน้ำนานไปจากคนอื่นพอสมควร
             แต่ว่าทั้งนี้ไม่ใช่เพราะอะไร ที่เข้านานเพราะไลราเอาเวลาส่วนมากไปนั่งพึมพำหลงตัวเองอยู่หน้ากระจก เดิมทีเธอคิดว่าตนเองพึมพำนั้นแหละ  แต่จริงเสียงมันระดับที่ว่าทำให้คนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ด้านล่างได้ยินทุกอย่างเสียจนอดเอือมระอากับความบ้าบอของลูกสาวตนเองไม่ได้ ทว่าไม่นานนักเสียนั้นก็หายไปพร้อมอีกเสียงดังขึ้นมาแทน
           เสียงวิ่ง...
            “สายแล้วค่ะ!
              ไลรากล่าวเสียงดังพลางคว้ากล่องแกงกะหรี่ขึ้นมาแทนที่จะเป็นขนมปังอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน บางทีทำอะไรแปลกๆ บ้างก็ดี แต่ว่าเหมือนจะเสี่ยงต่อการสำลักระหว่างที่วิ่งอยู่ ทว่าเมื่อวิ่งไปถึงทางเข้าของสถานีรถไฟนั้นเด็กสาวกลับชะงักก่อนกดลงมองกระโปรงตนเองก่อนเปลี่ยนทิศทางกลับไปยังบ้านของตนเองโดยไม่ลังเล

              เรือหาย(?)ลืมใส่กางเกงใน!!


0
Lyaly 1 มี.ค. 59 เวลา 09:07 น. 13

ของเราเป็นแนวแฟนตาซี (อีกแล้ว ฮา)
เป็นบทสนทนาของชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนกับตัวเอก (ลาร์น) ตอนที่หมดความอดทนกับเด็กหนุ่มเพื่อนนางเอกอีกคน (แดร์ริล)

ลาร์น : ฉันบอกให้นายหุบปากซะ
แดร์ริล : ไม่หยุด เหอะ อยากจับฉันมาเองทำไม
ลาร์น : คิดว่าฉันอยากจับนายมามากรึไง - ชายหนุ่มคว้าข้อมือข้างหนึ่งที่ใส่กุญมือของเด็กหนุ่มมาบีบไว้แน่น
แดร์ริล : นายจะทำอะไร?! - แดร์ริลพยายามบิดข้อมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม แต่แรงบีบราวคีมเหล็กของอีกฝ่ายทำให้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ลาร์น : ฉันจะบอกให้นายรู้ไว้นะ...งานถนัดฉันคือจับตาย...ที่จับเป็นนายมานี่...ทำได้ก็บุญแล้ว

ประโยคสุดท้ายนี้ไรท์เขียนเองชอบเอง ฮา >< คือมันทำใหเรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มาแบบสายโหดนิดๆ (รึเปล่า)

0
Hikikomori-Sama 1 มี.ค. 59 เวลา 13:38 น. 14

ของผมเป็นประโยคที่ยังไม่ได้เอาลง แต่หวังว่าจะใช้ และหวังว่าคงไม่ไปซ้ำกับใครนะ

"ถ้ามันจะโหดร้ายขนาดนั้นล่ะก็ ชั้นจะเป็นคนที่ถูกหมายปองคร่าชีวิตแทนเธอเอง"

0
prinawi 1 มี.ค. 59 เวลา 13:38 น. 15
จากThe Curve โป้ง หัวใจปั่นไซด์โค้ง เป็นฉากดราม่าตออนที่โป้งกับคนรักของเขาโกล เจอปัญหาเมื่อมีคนรู้ว่าพวกเขาเป็นเกย์ ที่หายไปคือคำว่ามึ..งนะครับ
"ผมก็แค่อยากเล่นฟุตบอลเท่านั้นเอง เดวิด ผมรักฟุตบอลมากเลยนะ.. แต่ทำยังไงได้หละ จะให้ผมทำยังไง.. ในเมื่อนี่คือตัวของผม.. ผมผิดใช่ไหมที่เป็นเกย์ แล้วดันรักฟุตบอล.. ผมผิดอย่างนั้นเหรอเดวิด”
            เดวิด นิวฟอร์ดนิ่งเงียบ
            “พวกคุณไม่ได้ผิด.. แต่นี่คือโลก.. เราบังคับให้ทุกคนยอมรับเรื่องที่แตกต่างไปจากอุดมคติของพวกเขาไม่ได้หรอก.. เราจำเป็นต้องเลือกว่าจะทำตามเขา หรือเดินหนีเขา แล้วก็ไปมีชีวิตต่อไปของเราในแนวทางอื่นๆ เหมือนกับที่หลายคนที่เปิดเผยตัวก่อนหน้า แล้วก็เดินออกไปจากตรงนี้”
            เมื่อเดวิด นิวฟอร์ดขอตัวกลับไป โกลก็เดินกลับไปส่งหน้าบ้าน แล้วเขาก็รีบกลับเข้ามาเพราะกลัวว่าจะมีตากล้องหรือนักข่าวมารอดักสัมภาษณ์เขา
            พอเข้ามาก็เห็นโป้งเอาลูกฟุตบอลมากอดอยู่ที่โซฟา
            เขากอดมันเหมือนเด็กที่กอดของเล่นตัวโปรดที่ชำรุดแล้วเอาไว้ ด้วยความเสียดายและหวงแหน
            โกลสูดลมหายใจลึกๆ
            “โป้ง.. เราเลิกกันเถอะ..”
            โป้งหันขวับ เขาปล่อยลูกบอลตกจากอ้อมกอด
            ลูกบอลกลิ้งมาตรงกลางระหว่างทั้งคู่
            “นี่เป็นทางเดียวโป้ง.. เราเลิกกัน.. เราแยกกัน ต่างคนต่างอยู่ -ไปมีแฟนผู้หญิง ส่วนกูก็จะแถลงข่าวว่าตลอดเวลากูเป็นฝ่ายเดียวที่รัก- แต่-ไม่ได้เป็นเกย์ และไม่ได้รักกู แต่อยู่กับกูเพราะ-สงสารและเห็นแก่มิตรภาพของเรา” โกลกล่าวเขาพยายามจะจ้องตาโป้งแต่กลับสู้สายตาไมได้ ต้องหลบเลี่ยง
            เขาเงยมองเพดานแล้วกล่าวต่อ
            “กูจะเลิกเล่นฟุตบอลแล้วก็กลับเมืองไทย.. กูไปมีชีวิตของกู.. กูเบื่อฟุตบอลเต็มทีแล้ว กูอยากจะไปทำอย่างอื่นบ้าง แต่ที่กูทนอยุ่นี่ก็เพื่อ-.. ดังนั้นถ้าเราเลิกกันกูจะได้ไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ”
            โป้งเดินมาตรงหน้าโกล เขาใช้เท้างัดลูกฟุตบอลให้ลอยขึ้นแล้วโหม่งใส่
            โกลก็รับมันได้อย่างง่ายได้แล้วถือมันเอาไว้
            “-โกหก.. โกล.. -ไม่ได้เบื่อฟุตบอล กูรู้-รักมันมากไม่น้อยกว่ากู.. -อย่ามาพูดแบบนี้.. -โกหกตัวเอง” โป้งตะโกนใส่
             แววตาของโป้งที่มองหน้าโกล แข็งกร้าวและจริงจัง..
            โกลหลับตาลง ก่อนจะลืมขึ้นเพื่อสู้สายตากับโป้ง
            “โป้ง..” โกลปล่อยลูกบอลลงพื้น ก่อนเขาจะเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็กอดร่างโป้งเอาไว้
            “กูไม่เถียง.. กูโกหกโป้ง กูรักฟุตบอล.. แต่ที่กูรักกว่าคือ-.. กูอยากเห็น-มีความสุขโป้ง.. เวลาที่-อยุ่กับฟุตบอล-จะมีความสุข.. กูอยากเห็น-มีความสุขโป้ง.. นี่คือความสุขที่สุดของกู”
            โป้งสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่รินลงมาบนเรือนผมเพราะโกลแนบแก้มกับหัวเขาเอาไว้
            “กูขอร้อง.. -ไปจากกูซะ กูไม่อยากเป็นต้นเหตุให้-เลิกเล่นฟุตบอล..” เขาสะอื้น
            "ถ้าการเลิกเล่นฟุตบอลมันคือความเจ็บปวดของเราทั้งคู่ กูก็ขอเจ็บคนเดียว โป้ง.. กูขอร้อง"
            โป้งนิ่งไปจนโกลรู้สึกหวั่นใจ แต่แล้วเขาก็พูดออกมา
            “โกล-เข้าใจผิดแล้ว.. กูไม่ได้รักฟุตบอลที่สุดในโลก.. สิ่งที่กูรักที่สุดคือ-กับแม่.. กูทิ้งแม่มาแล้วเพื่อฟุตบอล แล้ว-ยังจะให้กูทิ้ง-ไปอีกคนเพื่อมันอีกเหรอ..”
             แล้วโป้งก็ผละออกจากอกโกล
            เขาเตะลูกบอลไปทางหน้าต่าง แล้วก็วิ่งเข้าไป.. ตั้งหลักเท้าขวา สับเท้าซ้ายลงไป..
            เพล้ง.. บานหน้าต่างแตกกระจาย
            ลูกบอลลอยทะลุออกไปตกไกลถึงแนวรั้ว
            โกลหันมามองตามร่างที่กำลังหอบถี่ๆไม่ใช่ความเหนื่อย แต่เพราะความกดดันแน่นอก
            “กูพอแล้ว.. กูจะไม่ทิ้งอะไรไปเพราะฟุตบอลอีก กูเสียพ่อไปเพราะฟุตบอล กูจากแม่มาเพราะฟุตบอล และกูต้องเสีย-ไปเพราะฟุตบอลอีก.. กูทำไมได้..และกูจะไม่ทำอีก”
0
Crimson Rose 1 มี.ค. 59 เวลา 13:57 น. 16

“แกแปลกๆ ไปนะ” รุสลานตัดสินใจบอกความจริงกับพี่ชาย “ดูไม่เหมือนแกคนเก่าเลย”

“อือ” เขาทำเสียงในลำคอตอบกลับมา “ทำไงได้ สัตว์โลกถ้าไม่ปรับตัวตามสภาพแวดล้อมก็ต้องตาย...กฎของการคัดเลือกโดยธรรมชาติก็บอกไว้อย่างนั้น ครูชีววิทยาไม่ได้สอนแกเรื่องนี้หรือไง?”

“แต่แกเป็นมนุษย์...คอสเตีย”

            จ่าหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “แล้วสิ่งที่แกเห็นเมื่อกี้...คือสิ่งที่มนุษย์ปกติเขาทำกันหรือ?” เขาเสมองน้องชาย “แต่ก่อน ฉันก็เคยคิดว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เพราะสามัญสำนึกที่เหนือกว่า แต่ตอนนี้ฉันรู้ซึ้งแล้วว่ะ...รุสลาน...มนุษย์กับสัตว์ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย”

            เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “แกต้องการจะพูดถึงอะไร?”

            “ในสงคราม ในสนามรบที่ไม่มีกฎระเบียบทางสังคมมาชี้บอกว่าเราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเราทั้งหมดกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ทั้งนั้น...เพื่อเหตุผลเดียวคือการเอาตัวรอด”

            รุสลานนิ่งฟัง

            “แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกันไปหมดเสียทีเดียว” คอสเตียว่า “สัตว์ฆ่ากันเพื่อกินเป็นอาหารประทังชีพ หรือไม่ก็ปกป้องอาณาเขตของตัวเองจากสัตว์อื่น แต่คนเราฆ่ากันเพื่อรุกรานเอาอาณาเขตของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง”

ของเราเองค่ะ เรื่องปัจจุบันที่กำลังปั่นอยู่นี่แหละ อาจจะเครียดๆ หน่อย แต่ก็แนวสงครามนี่เนอะ 55555
[Edit: แก้คำพูด ม-ึง -ก รู เป็น ฉัน - แก]

0
Octory 1 มี.ค. 59 เวลา 14:16 น. 17
“เอาเถอะ ๆ ไม่ต้องอธิบายแล้ว นายลองฟังฉันมั่งดีกว่า” ว่าแล้ว 300 ขยับเข้ามานั่งเสียชิดพลางบอกว่า
“นายอาจจะเคยเห็นดวงดาวมามากมายจากบนโลก แล้วดาวแต่ละดวงก็มีสีต่างกันออกไป แต่นายคงไม่เคยสังเกตล่ะสิ ว่ามีสีหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นแก่ดาวดวงใดเลย... นายรู้ไหมว่ามันเป็นสีอะไร”
เรมีฟส่ายหน้ากับคำถาม 300 ฉีกยิ้มแล้วหันมาจ้องมองใบหน้าของเขาตรง ๆ
“ตามทฤษฎี สีของดาวฤกษ์ทั้งหลายเกิดจากการแผ่คลื่นรังสี ซึ่งแต่ละช่วงคลื่นของแสงจะเป็นตัวบอกอุณหภูมิของดาวฤกษ์นั้น ๆ ว่าแต่ละดวงมีความร้อนเท่าใด มีทั้งส้ม เหลือง ฟ้า น้ำเงิน นักดาราศาสตร์จึงใช้สีที่แตกต่างนี้ จำแนกดวงดาวออกเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า การจำแนกดวงดาวตามสเปคตรัมของแสง”
“สีของดาวแต่ละชนิดจะแบ่งกลุ่มตามตัวอักษร เช่นดาวฤกษ์ชนิด M อยู่ในช่วงคลื่นสีส้ม ในกลุ่มนี้จะมีดาวแอนทาเรส (Antares) ที่ส่องแสงสว่างอยู่ในหมู่ดาวแมงป่อง ถ้าอุณหภูมิร้อนขึ้นมาหน่อยก็จะจัดอยู่ในกลุ่มชนิด A เป็นช่วงคลื่นสีน้ำเงินอย่างดาวเวก้า (Vega) ที่สว่างที่สุดในหมู่ดาวพิณ”
เรมีฟอ้าปากหวอขณะฟัง 300 อธิบาย ใบหน้าของเด็กหญิงแดงระเรื่อ แววตาก็ดูสดใสเหลือเกิด เธอดูมีความสุขมากขณะเล่า
“แล้วทีนี้นะ สำหรับสีที่ไม่เคยปรากฏขึ้นแก่ดาวฤกษ์ดวงใดเลย นายรู้ไหมว่าคือสีอะไร?” เรมีฟส่ายหน้า
“คำตอบนั้นก็คือ... แต่น แต่น แต๊น! สีเขียวยังไงล่ะ!!” 300 ยิ้มจนตาหยีแล้วอธิบายต่อไปว่า “สงสัยละซี! เป็นเพราะช่วงคลื่นสีของมัน ถูกสีอื่นกลบจนหมด เลยเหลือแค่เพียงสีขาวเท่านั้น! ดังนั้นดาวสีเขียวจึงไม่เคยมีใครเคยเห็น และมันก็เป็นดาวลี้ลับที่ล้ำค่าแก่การค้นหาที่สุด!!” 
300 ยื่นหน้ามาใกล้ เธอตั้งอกตั้งใจจ้องเข้าไปในดวงตาเรมีฟแล้วบอกว่า
“ถึงแม้ฉันจะโชคร้ายที่ไม่เคยได้นั่งทอดกายดูดาวบนท้องฟ้าเหมือนคนบนโลกเลย แต่ตอนนี้ฉันโชคดีที่สุดแล้ว...” เธอหยุดนิ่งแล้วยิ้มละไม “เพราะฉันเจอดวงดาวลี้ลับที่ว่าเข้าแล้วละ!”
เรมีฟนิ่งอึ้ง ณ เวลานั้น ใบหน้าเขาพลันร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กหญิงโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เรมีฟกลืนน้ำลาย “อารมณ์ไหนเนี่ย”
“อืม... ตานายสวยจัง ฉัน...ขอนะ!” ว่าแล้ว 300 ถือวิสาสะใช้นิ้วถ่างเปลือกตาเรมีฟแบบทีเล่นทีจริง เด็กชายอุทานเสียงหลง
“ยะ ยัยบ้า! ทำอะไรน่ะ!”
“เฉย ๆ เถอะ! ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะ มีตั้งสองข้างอย่าหวงนักสิ เดี๋ยวเอาไว้ฉันทำตาเทียมให้ก็ได้ ประสิทธิภาพเยี่ยมกว่าของจริงอีก”
6
Octory 1 มี.ค. 59 เวลา 14:54 น. 17-2

ขอบคุณครับ เรื่อง P2 the prince of two world เล่ม 1 ครับ แนว sci fi ลืมบอกไปว่าพระเอกชื่อเรมีฟ มีดวงตาสีเขียวมรกต

0
anolindee 1 มี.ค. 59 เวลา 15:25 น. 17-3

นางเอกชื่อ 300 เหรอคะ นึกว่าเป็นหุ่นยนต์ :P ตัวละครในเรื่องอายุเท่าไหร่คะ (สงสัยเพราะเห็นเขียนว่าเด็กหญิง เด็กชาย)

0
Octory 1 มี.ค. 59 เวลา 16:00 น. 17-4

ใช่ครับ ชื่อ 300 เป็นยุวชนทหารอยู่บนโคโลนี่นอกโลกที่เป็นระบบปิด เธอไม่สามารถมีชื่อได้จนกว่าจะจบหลักสูตร เธอเป็นแพทย์ฝึกหัดและฉลาดสุด ๆ
ทั้ง 2 อายุ 12 ปีครับ

0
Esta Em Maho 2 มี.ค. 59 เวลา 17:38 น. 17-5

ชอบค่ะ >< คือนิยายที่ข้อมูลแน่น มันบอกความใส่ใจของคนเขียนได้ระดับหนึ่ง ^^

0
Octory 2 มี.ค. 59 เวลา 19:50 น. 17-6

ขอบคุณครับผม >< จำเป็นต้องใส่ใจในข้อมูลมากเพราะมันเป็นแนวไซไฟน่ะ ซึ่งเขียนยากมาก ๆๆๆๆ น่าเสียดายที่นับแต่นั้นจนถึงตอนนี้ที่กำลังปั่นเล่ม 3 นี่เป็นบทเดียวที่มีฉากกุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรแบบนี้ นอกนั้นก็เลือดสาดกันทั้งเล่ม แถมส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่สงคราม

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

Iya 蛇 1 มี.ค. 59 เวลา 17:44 น. 19

จริงๆประโยคนี้เป็นประโยคที่ว่างไว้ในพล็อตหยาบๆที่ชอบเองมาก555

เป็นนิยายแนวสืบสวนที่ยังไม่ได้คิดชื่อเรื่อง

ควีน " มือของฉันมีแต่เลือด แม้ไม่ได้ฆ่าคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่ฉันก็คือคนที่ชี้ทางให้คนไปตายแม้นั้นจะเป็นคนบาปที่ฆ่าคนก็ตาม "
กิล " หากมือที่เปื้อนเลือดนั้นสั่นไหว ฉันจะกุมมันไว้แล้วดึงเจ้าของมือนั้นมาสวมกอด เพราะฉันเองก็เป็นคนที่ร่วมเปิดประตูสู่ความตายให้กับฆาตกรเหล่านั้นเช่นกัน"


นักสืบสาวของรัฐบาลที่IQสูงปรี้ดแต่EQติดดินกับนายร้อยตำรวจหน้าตายที่ถูกเรียกว่าปะป๋าทั้งๆที่เป็น(ว่าที่)คนรัก

2
anolindee 2 มี.ค. 59 เวลา 07:26 น. 19-1

ถ้าอย่างนั้นพระเอกคงต้องบอกรักโต้งๆละมั้งนางเอกถึงจะเข้าใจ เขิลจุง

0
Iya 蛇 2 มี.ค. 59 เวลา 15:48 น. 19-2

อิจเมจคู่นี้ตั้งแต่ต้นเป็นเหมือนพ่อลูกที่ลูกสาวอายุ18(กับส่วนสูง150)ชอบนั่งตักคุณพ่อ55 แถมเจ้าตัวนางเอกยังเป้นพวกจูนิเบียวและหลงโลก2Dยิ่งกวาอะไร
ตอนสุดท้ายก็เลยไม่ได้รักกันจริงจังแต่ก็เดินคู่กันไปเรื่อยๆเป็นเส้นขนานTwT

0
Whiteflower Ri 1 มี.ค. 59 เวลา 21:31 น. 20

เราชอบตอนนี้มาก ชอบความรู้สึกที่ว่า  แม้เราจะโดนคนอื่นเข้าใจผิด  แต่จะมีคน ๆ หนึ่งที่พร้อมจะให้อภัย  ให้โอกาสเรา เข้าใจเราเสมอ...จากเรื่อง กลัวเธอจะเปลี่ยนไป

ในตอนนี้นางเอกในวัยเด็กกำลังเสียใจเพราะมีเหตุการณ์ที่เธอทำให้เพื่อนคนหนึ่งตกน้ำจนเกือบตาย แต่เพราะเธอโดนหาเรื่องก่อน แต่ไม่มีใครกล้าพูดความจริง  เธอไปนั่งเศร้าอยู่  แล้วพระเอกไปตามหาจนเจอจึงเข้าไปแหย่ให้โกรธจนนางเอกหายเศร้าได้ ตัดมาเฉพาะคำพูดสำคัญละกัน เดี๋ยวจะยาวเกินไป  แต่ตอนนี้เราชอบมาก ^^


ยนตร์ยิ้ม  วิธีกวนประสาทของเขาได้ผล  ทำให้เธอเปลี่ยนอารมณ์จากเศร้าหมองมาเป็นหมั่นไส้ หรือเริ่มโมโหนิด ๆ ได้แล้ว  เขายกมือโอบไหล่เธอไว้ แล้วตบแรง ๆ

ไม่เอาน่าคิดเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่หรอ  อย่าคิดมากเลยนะ

เขาว่าพ่อปาร  ปารเป็นเด็กไม่ดี  ทำให้พ่อถูกคนอื่นต่อว่า  ทำให้คนอื่นดูถูกพ่อ  ปารเสียใจ”  น้ำตาไหลซึมออกมาอีกแล้ว  เสียงพาลสั่นเครือ

 

เด็กโง่!!  พ่อของปานเป็นคนดี   ไม่ว่าใครจะพูดยังไง  พ่อของปารก็ยังเป็นคนดีเสมอ  ไม่เคยเปลี่ยนไปตามคำพูดของใครไม่ใช่เหรอ   แม้แต่ตัวของปารเองก็ตาม  ความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่แล้ว  ว่าใครทำอะไร  ใครตั้งใจ  ใครจงใจ  อย่าไปสนใจเลยนะ  กับแค่คำพูดของคนน่ะ

 

เขาโครงหัวเด็กหญิงเข้ามาใกล้

ให้ตัวเราเข้าใจตัวเราก็พอ  อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนอื่น  บางทีมันเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้ระยะเวลานาน

 

พี่ยนตร์   ทำไมคนเราชอบใช้คำพูดที่ไม่ดีทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจ  ช้ำใจ  เจ็บปวดทรมานด้วยละคะ  ยิ่งทำให้คนฟังเจ็บเท่าไหร่  ก็ยิ่งสะใจเขา  ยิ่งทำให้เขามีความสุขหรอคะ”  หันไปจ้องหน้าเด็กหนุ่ม  น้ำตาไหวระริกคลออยู่ในดวงตา

 

ปารชอบกินทุเรียนไหม”  เขารู้ดีว่าเธอไม่ชอบเลย

 

ปารส่ายหัว

 

เวลามีคนเอาทุเรียนมาให้  ปารทำยังไงล่ะ

 

ก็ไม่กินสิคะ”  เธอหันมาทำหน้าฉงน  ว่าเรื่องที่เธอถาม  มันเกี่ยวอะไรกับทุเรียนด้วยฟะ!

 

คำพูดของคนอื่นก็เหมือนกัน  เมื่อมันไม่ดี  ไม่อร่อย  ก็อย่าไปกิน  อย่าไปฟัง  อย่าไปใส่ใจ”  เธอจำได้แล้ว  พ่อของเธอเคยเล่าเป็นนิทานสอนเธอและเขาพร้อมกัน  เวลาทำงานช่วยพ่ออยู่ในสวน  แต่เวลานี้เธอกลับนึกไม่ออกเอาเสียเลย

 

เป็นไง  กินเข้าไปเยอะล่ะสิ  อร่อยมั้ยล่ะ  แล้วใครให้กินเข้าไป  บื้ออออจริง ๆ”  เขาเขกหัวเธอ

 

เด็กหญิงร้องเสียงแหลมอยู่ในลำคอ  พี่ยนตร์อ่ะ   เดี๋ยวเหอะ  แกล้งปารหรอ”  น้ำเสียงของเธอ  ทำให้เขารู้ว่า  เธอหายเศร้าแล้ว

 

ทำไมไม่มีใครเข้าใจปารเลย  ปารขอโทษ  แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้ยัยอ้วนตกน้ำด้วย

 

อืมการเสียใจกับสิ่งที่เราทำ  การขอโทษ  เป็นสิ่งที่ดีแล้วนะ  พี่เข้าใจปารนะ  และจะคอยให้โอกาสปารเสมอ  ที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่   แต่ปารต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะ  อย่ามัวจมกับสิ่งที่ทำให้เราเสียใจ  อย่ามัวทำร้ายตัวเองด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตครั้งแล้วครั้งเล่า  ปารอย่าลืมให้โอกาสตัวเองด้วยนะ

             เด็กหญิงมองเขาด้วยสายตาชื่นชม  เขามักโผล่เข้ามาทำให้สิ่งดีดีเกิดขึ้นกับเธอเสมอ  ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม  อยากจะกล่าวขอบคุณเขา  แต่กลับพูดไม่ออก  อยากจะเข้าไปกอดเขาอ้อนอย่างที่เคยเห็นสภาน้องสาวของเขาทำ  อยากจะบอกเขาว่า  รักเขาที่สุดเลย  ก็ทำไม่ได้  เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีนิสัยอย่างนั้น

2
Whiteflower Ri 2 มี.ค. 59 เวลา 21:59 น. 20-2

เรื่องนี้พระเอกอายุมากกว่าหลายปี เห็นนางเอกตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เคยเลี้ยงพาขี่คอตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ ทั้งคู่จะมีความทรงจำดีดีต่อกันมาตั้งแต่วัยเด็กค่ะ ^^

0