ถามเด็กๆบ้าง คิดยังไงกับที่เนติวิทย์ทำวันถวายบังคมพิธีถวายสัตย์ฯนิสิตจุฬาฯ
ตั้งกระทู้ใหม่
ท่ามกลางแดดร้อนแรงระอุ นิสิตบางคนหมดสติไป
ผมและเพื่อนรัฐศาสตร์ นิสิตจุฬาลงกรณ์ได้พูดคุยและถกเถียงกันเรื่องการถวายบังคม ในพิธีถวายสัตย์เข้าเป็นนิสิต ซึ่งเราต่างก็ประหลาดใจกันว่าเหตุไฉน? การหมอบกราบดังกล่าวจึงยังได้รับการปฏิบัติมาอีก ทั้งที่ในหลวงรัชกาลที่5 ทรงประกาศยกเลิกธรรมเนียมเก่าดังกล่าวแล้ว เหตุไฉนจึงมาสิ่งที่พระองค์ทรงยกเลิกต่อหน้าพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ผู้ไม่ต้องการสิ่งดังกล่าว
ธรรมเนียมเป็นเรื่องไม่เสียหาย หากไม่มีหลักวิชาก็เป็นแค่การนำอย่างมืดบอด โดยพิธีดังกล่าวถ้าศึกษา ก็เพิ่งกลับมาไม่นานมานี้เอง
ผมและเพื่อนเมื่อคุยกันบนหลักฐานและต้องการสนองพระราชประสงค์ให้กลับมาอีกครั้ง ผมและเพื่อนอีกคนจึงกล่าวถวายสัตย์เสร็จแล้วยืนขึ้น มาเบื้องหน้าโค้งคำนับต่อพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ทั้งสอง (เราดูงานวันพ่อวันแม่สิ ธรรมเนียมการโค้งคำนับใช้ แต่ทำไมไม่หมอบคลานล่ะ ดูลักลั่นไหม) ขณะที่บางคนเห็นด้วยแต่ไม่อยากแสดงออกก็ช่วยสนับสนุนโดยให้กำลังใจ
______________________
ส่วนตัวเรามองว่า เป็นวิธีการแสดงออกที่แปลกดี ทำให้สังคมหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกันมากมาย
ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่เหตุผลที่เนเน่ใช้ก็น่าคิดอยู่นะ แต่สังคมมักจะวิจารณวิธีการของเนติวิทย์ไปแล้วสิเนี่ย
______________________
ส่วนตัวเรามองว่า เป็นวิธีการแสดงออกที่แปลกดี ทำให้สังคมหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกันมากมาย
ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่เหตุผลที่เนเน่ใช้ก็น่าคิดอยู่นะ แต่สังคมมักจะวิจารณวิธีการของเนติวิทย์ไปแล้วสิเนี่ย
56 ความคิดเห็น
เราคิดว่าวิธีคิดของเขาน่าสนใจนะ แต่การแสดงออกมันสุดโต่งไปหน่อย เขาสามารถเข้าร่วมพิธีหรือไม่ก็ได้ แล้วรวบรวมรายชื่อคัดค้านเพื่อยื่นเสนอการยกเลิกพิธีก็ยังได้
หลายคนบอกว่าเขาควรไปอยู่ประเทศอิสระกว่านี้ แต่เราว่านั่นไม่ใช่ประเด็น ความคิดใครก็เปิดให้เขา แต่ที่ทำเราว่าเขาไม่มีมารยาท ไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็ไม่มีใครลุกระหว่างการทำพิธีการ มันเสียมารยาท
เห็นด้วยเลยค่ะ บางคนบอกว่าถ้าไปอยู่กับฝรั่งเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วฝรั่งเขาก็ถือเรื่องมารยาทและกาลเทศะนะ ไม่ใช่ว่าจะทำทุกอย่างได้ตามใจฉัน
สำหรับเราถือว่าเป็นการอุปทานหมู่นะ คือคนไทยเรามีนิสัยที่ว่าเคารพทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แปลกที่ไม่เคารพความเห็นต่าง. แต่คุณเนติวิทย์ เขาก็มีเหตุผลของเขา ร.5ท่านทรงยกเลิกแล้วจะขัดพระราชประสงค์ของท่านเพื่อ? แล้วก็ชอบมีคนประเภท รับไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียนที่นี่ ฯลฯ การโค้งคำนับเป็นวิธีการแบบสากลด้วยซ้พ ผมว่าคนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
น้องลองไปห้องสมุดลองอ่านเจตนาของ ร.5 ดีๆก่อนนะคะ พี่ว่าน้องเข้าใจผิดค่ะ ลองอ่านดีๆ ท่านไม่ได้ยกเลิกหมดค่ะ
เดี๋ยวครับเดี๋ยว อ่านสเตตัสของใครบางคนออกมาบอกว่า ร.5 ทรงยกเลิกการหมอบคลานในการเข้าเฝ้า เป็นเพียงเพราะนัยยะทางพิธีทางราชการแล้วมาเบลมว่า คนที่อ้าง ร.5 ไม่เข้าใจตื้นลึกหนาบาง บอกว่าด่าอย่างเดียว เชิดชูตนเองเป็นหัวก้าวหน้า และอีกสารพัดบลาๆๆๆ
เป็นเพราะไม่เข้าใจว่า ร.5 ทรงต้องต่อสู้กับฝรั่งที่เข้ามาล่าอาณานิคม โดยอ้างว่านำความเจริญมาให้แล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้านะครับ
.
คืออ่านแล้วผมเข้าใจว่าเขาคนนั้นไม่เคยอ่าน “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ให้ผู้น้อยเลิก หมอบคลาน กราบไหว้ ต่อเจ้านาย และผู้มีบรรดาศักดิ์” ในรัชกาลที่ 5 เองเลยเหอะ (อ่อ แถมอีกนิดว่า และที่เขาเขียนมานั้นก็ผิดฝาผิดตัวมากๆ กับกรณีของเนติวิทย์ที่เป็นต้นเรื่อง)
.
อย่างแรกก็คือ ประกาศฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 1 วันจันทร เดือน 8 แรม ค่ำ 1 ปีจอฉศก 1236 แผนที่ 7 (อักขรวิธีตามต้นฉบับ) ตรงกับปี พ.ศ. 2416 แปลว่าเท่ากับ 1 ปีก่อนจะทรงประกาศพระราชดำริที่เลิกทาส ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่จะเริ่มเมกะโปรเจ็คการเลิกไพร่เลิกทาสของพระองค์ด้วย “พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย” ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2417 อันเป็นการเปิดศักราชของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการคนของสังคมสยาม ที่จะสำเร็จในอีก 31 ปีถัดมา
.
และก็แปลว่าราชกิจจานุเบกษาฉบับนี้อีกเหมือนกันที่ประกาศขึ้น 5 ปีหลังจากที่ ร.5 เสด็จขึ้นครองราชย์ (ตรงกับพระชนมายุ 20 ชันษา) ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วปัญหาที่เร่งด่วนของ ร.5 ณ ขณะจิตนั้น เป็นเรื่องการบริหารราชการภายใน มากกว่าเรื่องการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก
.
การอ้างว่า ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับนี้ เป็นเรื่องของการหมอบกราบในพิธีทางราชการ ไม่ใช่เรื่องของการหมอบกราบในเชิงวัฒนธรรมประเพณี จึงเป็นเรื่องตลกเอามากๆ เพราะในราชกิจจานุษาฉบับนี้มีสองส่วน ส่วนแรกเป็นประกาศ (ที่จะพูดถึงต่อไป) อีกส่วนเป็นพระราชบัญญัติ (เอกสารต้นฉบับเรียก พระราชบัญญัติ์) และก็มีเฉพาะส่วนที่สองเท่านั้นแหละ ที่ ร.5 ทรงออกกฎหมายบังคับเรื่องการหมอบกราบพระมหากษัตริย์ มา 4 ข้อ (ซึ่งรวมๆ แล้วก็คืออย่าหมอบกราบนั่นแหละ เพราะจากประกาศพระองค์ทรงมีพระราชดำริว่ามันเป็นเรื่องไม่อารยะ!!)
.
และในส่วนของประกาศ มีข้อความระบุเอาไว้โต้งๆ ที่สุดจนไม่รู้ว่าจะโต้งๆ ขนาดนี้ได้ยังไงแล้วว่า
.
“ตั้งแต่ได้เสดจเถลิงถวัลยราชสมบัติมา ก็ตั้งพระราชหฤไทย ที่จะทำนุบำรุงพระราชอาณาจักร ให้มีความศุกความเจริญแก่พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งสมณชีพราหมณ์ ประชาราษฎรทั้งปวงทั่วไป การสิ่งไรที่เปนการกดขี่แก่กันให้ได้ความยากลำบากนั้น ทรงพระดำริห์จะไม่ให้มีแก่ชนทั้งหลายในพระราชอาณาจักรต่อไป
ด้วยได้ทรงพระราชดำริห์เหนว่า ในมหาประเทศต่างๆ ซึ่งเปนมหานครอันใหญ่ ในทิศตวันออก ตวันตก ในประเทศอาเซียนี้ ฝ่ายตวันออก คือประเทศจีน ประเทศญวน ประเทศยี่ปุ่น แลฝ่ายตวันตก คืออินเดีย แลประเทศที่ใช้การกดขี่ให้ผู้น้อยหมอบคลานกราบไหว้ต่อเจ้านายแลผู้มีบันดาศักดิ ที่เหมือนกับธรรมเนียมในประเทศสยามนั้น บัดนี้ประเทศเหล่านั้นก็ได้เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมนั้นหมดทุกประเทศด้วยกันแล้ว” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
.
แปลง่ายๆ ว่า ในส่วนของประกาศ ร.5 ทรงมีพระราชดำริชัดเจนนะครับว่า “การหมอบกราบ” ต่อเจ้านายและผู้มีบันกาศักดิ” นั้นมัน “กดขี่กันให้ได้ความยากลำบาก” แถมยังทรงระบุไว้ชัดๆ อีกด้วยว่า “ฝ่ายตวันตก คืออินเดีย แลประเทศที่ใช้การกดขี่ให้ผู้น้อยหมอบคลานกราบไหว้ต่อเจ้านายแลผู้มีบันดาศักดิ ที่เหมือนกับธรรมเนียมในประเทศสยาม” ดังนั้นการหมอบกราบที่ ร.5 ทรงหมายถึงนั้นต้องไปเทียบกับอินเดีย จะไปเทียบกับศิลปะการป้องกันตัวของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ยูโด เคนโด คาราเต้ หรือพิธีชงชาไม่ได้ เพราะ ร.5 ทรงระบุไว้เอง (และเอาเข้าจริงแล้ว ประเพณีพวกนั้นทั้งสองฝ่ายเขาโค้งคำนับให้แก่กันนะครับ ไม่ใช่ใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องหมอบกราบ การยกตัวอย่างทำนองนี้ จึงแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่าไม่รู้จริง)
.
พระปิยมหาราชทรงบอกต่อไปในประกาศฯ ฉบับนี้ด้วยว่า
.
"การที่เขาได้พร้อมกัน เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้นั้นก็เพราะเพื่อจะได้เหนความดีที่จะไม่มีการกดขี่กันในบ้านเมืองนั้นอีกต่อไป ประเทศใด เมืองใด ที่ได้ยกธรรมเนียม ที่เปนการกดขี่ซึ่งกันและกัน ประเทศนั้นเมืองนั้น ก็เหนว่ามีแต่ความเจริญมาทุกๆ เมืองโดยมาก" (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
.
แถมพระองค์ยังทรงมีพระราชดำริต่อเนื่องอีกด้วยนะครับว่า
.
"ก็ในประเทศสยามนี้ ธรรมเนียมบ้านเมือง ที่เปนการกดขี่แก่กัน อันไม่ต้องด้วยยุติธรรมนั้น ก็ยังมีอยู่อีกหลายอย่าง" (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
.
แปลว่า ร.5 ทรงมีพระราชดำริว่าการหมอบกราบ “ไม่ต้องด้วยยุติธรรม” เช่นเดียวกับธรรมเนียมอีกหลายอย่าง ดังนั้นการมาอ้างว่า ร. 5 ทรงอยากให้มีการคลานกราบ แบบใครใคร่ปฏิบัติอย่างไร ก็ปฏิบัติไป ไม่ต้องสนพระราชประกาศ และพระราชบัญญัตินี่ก็มั่วแล้วแหละครับ เพราะในประกาศฉบับนี้ทรงแสดงให้เห็นถึงพระราชดำริแบบไม่มีเม้ม
.
ทั้งหมดนี้ พระปิยมหาราชทรงใช้พระองค์เองเป็นตัวอย่างให้ประชาชนเห็น โดยการออกพระรราชบัญญัติในราชกิจจานุเบกษาฉบับเดียวกันว่า ไม่ต้องหมอบกราบพระองค์ แถมข้อความตอนต่อในประกาศฯ นั้นยังทรงมีพระราชดำริว่า
.
“แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น ได้ความเหน็เหนื่อยลำบาก เพราะจะให้ยศผู้ใหญ่ก็การทำยศ ที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมืองแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ผู้น้อยที่ต้องมากราบไหว้ให้ยศต้อท่านผู้เปนใหญ่นั้น ก็ต้องทนลำบากอยู่ จนสิ้นวาระของตนแล้วจึ่งจะได้ออกมา พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอันนี้แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปนการกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉนั้นจึ่งต้องละพระราชประเพณีเดิมที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
.
สำหรับผม การที่ใครออกมาบอกว่า ร.5 ทรงยกเลิกการหมอบคลานในการเข้าเฝ้า เป็นเพียงเพราะนัยยะทางพิธีทางราชการ จึงเป็นเรื่องที่โคตรจะไร้เดียงสาเลยนะฮะ เพราะพระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริอยู่ชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชดำริที่ทรงประกาศออกมาตรงๆ หรือประกาศออกมาอ้อมๆ ก็เถอะ แถมการเอา case แบบ ลูกกราบพ่อแม่ ศิษย์กราบครู หรือฆราวาสกราบพระสงฆ์ยกมาเป็นตัวอย่างนี่ยิ่งตลก เพราะมันคนละเรื่องเดียวกันกับราชกิจจานุษาฉบับนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพูดถึงกรณีของเนติวิทย์ที่กราบอนุสาวรีย์ของ ร.5 และ ร.6 ซึ่งพระองค์แรกทรงออกราชกิจจานุเบกษาฉบับบนี้เองด้วยซ้ำ
.
#อยากอวดฉลาดก็อ่านราชกิจจานุเบกษาให้ละเอียดก่อนหน่อยเฮอะ
#มันจะได้ไม่ดูโง่เวลาใครที่เขาอ่านจริงๆมาอ่านเจออ่ะนะครับ
ที่พูดนี่อ่านราชกิจจานุเบกษา "จริงๆ" รึเปล่าคะ
เพราะร.5ทรงประกาศไว้ว่าเลิกทั้งหมดค่ะ
5555
มีเพื่อนคบบ้างไหมคะลูก ? เข้าใจความคิดนะ
แต่ถ้าหนูบริสุทธิ์ใจจริงๆ ทำไมไม่ลุกไปตั้งแต่ตอนซ้อมล่ะคะ ?
เรียกร้องความสนใจไปทำไม ?
สงสารจริงๆ คนแบบนี้
สงสารเหมือนกันครับ สฃสารคุณเนี่ย ถถถถถ
อืม คุณน่าสงสารนะ คุณแวะมาโบกเด็กแว่น ถึงคุณไม่เห็นด้วย คุณก็น่าจะแสดงเหตุผลหน่อยสิ ไม่ควรแสดงความคิดแบบนี้ มันแสดงถึงระดับวุฒิภาวะของคุณนะ
ผมว่าเจ้าของโพส เค้าหมายถึงถ้าจะไม่ทำ ทำไมไม่ขอไปเงียบๆ จะต้องทำให้เป็นประเด็นทำไม แตกต่างได้ แต่ไม่ทำตัวแตกแยกซิครับ คุณคนมีความรู้ทั้ง 2 คน
ลุกขึ้นเพื่อให้คนสนใจ เป็นประเด็นในสังคม เเละออกมาชี้เเจงเหตุผลเพื่อให้เกิดการดีเบตถกเถียงกันไงคะ เค้าคิดว่าการกระทำเเบบนี้มันเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชกระเเสของ ร.5 เเละเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยเป็นไปตามยุคสมัย การที่จะไปรวบรวมรายชื่อให้มีการยกเลิกก็สามารถทำได้ค่ะ เเต่คงไม่เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป เลยต้องใช้วิธีนี้เเทน ถึงอาจจะดูไร้มารยาทสำหรัพิธีการไปซักหน่อย เเต่ก็ได้ผลค่ะ มีคนออกมาพูดถึงเรื่องนี้อยู่เยอะทีเดียว เเล้วก็มีหลายๆ คนเหมือนกันนะคะที่เห็นด้วยกับเค้า ต้องดูต่อไปค่ะ ว่าจะเป็นยังไงต่อ
3-4
สังคมมันไม่ฟังไง ต่อให้ทำแบบนั้นก็จะมีพวกแก่หงอกแบบป้าอัปปรีย์นี่ออกมาแล้วบอกว่าทำอะไรของเอ็ง อย่ามาฝืนแนวคิดกรู ที่เนติวิทย์มันทำแบบนั้นเพราะมันรู้อยู่แล้วว่าโซเชี่ยลมีคนรอพิจารณาเรื่องที่ปลุกระดมได้มากกว่า ไม่ใช่เงียบๆ สังคมไทยถ้าอยากเปลี่ยนจริงๆมันต้องปลุกระดมแบบนี้ เงียบก็หงอยต้องยอมๆกันไปอยู่ดีสุดท้ายแล้ว เข้าใจหน่อยนะอีป้า
เข้าใจคำว่ารณรงค์ ป่าวครับ ?
ไม่พอใจคนเดียว เก็บไว้คนเดียว ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครับ
ไม่รับความเห็นชาวบ้าน อย่าเรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยเลยครับ
เขาก็ทำสิ่งที่ถูกต้องน่ะ ไม่ขัดประสงค์ของร.5 การออกจากพิธีก็ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามหนิ ก่อนออกก็โค้งคำนับทำความเคารพแล้ว เป็นผมก็คงเดินออก
ในความเห็นนี่นะ นี่เป็น "จงใจ" เพื่อที่จะเสียมารยาทอยู่แล้ว 55555
ต้องสน "มารยาท"ทำไมอีก ในเมื่อจะคัดค้านธรรมเนียมปฏิบัตินี่นา
ถ้าจะต่อต้านให้คนเห็นวิธีไหนมันก็เสีย"มารยาท"หมดนั่นแหละ
แล้ว"มารยาท" คืออะไรกันแน่ เคยหาความหมายและข้อบัญญัติตรงตัวของมันกันไหมอ่ะ
ถ้าจะเอาไปเทียบกับประเทศอื่นแล้วเนี่ย มีประเทศไหนที่หมอบกราบในพิธีถวายความเคารพแก่กษัตริย์กันบ้าง ไม่ว่าประเทศไหนก็ยืนกันทั้งนั้นนะ จริงอย่างที่เนเน่มันว่าแหละ ร.5ท่านไม่ได้ต้องการ
และ ถ้าจะพูดดูถูกความเชื่อของคนอื่น ถ้าคุณมีความเชื่อที่แรงกล้าในการหมอบคลาน ต่อให้เนเน่จะทำอะไรมันก็ไม่น่าจะทำลายสิ่งสำคัญของคุณได้ไม่ใช่เหรอ สู้ๆยึดมั่นต่อไป ถถถ ไม่ต้องหวั่นไหวกับหลักการอะไรหรอก
อันนี้เราคงต้องแยกประเด็นเนอะ การคัดค้านธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ได้เป็นการเสียมารยาท อะไรมันไม่ดีคุณมีสิทธิ์เปลี่ยนได้
คุณสามารถถือป้ายรณรงค์ แปะป้ายทั่วมหาวิทยาลัย หรือทำโพลเพื่อยื่นเสนอให้มีการยกเลิกก็ได้ แต่คุณไม่ควรเดินออกมาขณะที่คนอื่นเขากำลังทำกิจกรรมอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำ
เขาหาแนวร่วมยกเลิกเลยก็ได้ ทุกคนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรนี่ เพราะสุดท้ายแทนที่คนจะเห็นด้วยกับคุณแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาจะเบนไปที่วิธีการแสดงออก และทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม
อะไรคือ "สิ่งที่พึงกระทำ"ที่คุณหมายความถึงเหรอคะ
การลุกขึ้นขณะที่คนอื่นทำพิธีเหรอคะ สิ่งที่พึงกระทำนี่มันเป็นอะไรที่ไม่ตรงตัว นิยามได้ต่างกันพอๆกับคำว่ามารยาทนั่นแหละค่ะ พึงกระทำของห้าร้อยคนก็มีห้าร้อยแบบ มันไม่น่าจะใช้คำนี้มาดิสเครดิจกันนะคะ สำหรับเน นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ "พึงกระทำ"ของเขา
เอ้า ลองแปะป้ายแจกใบปลิวสิ
-คนที่จัดงานนี้ คนที่อยู่ตรงข้ามกับเนเน่ จุฬาลิซึ่ม มันก็จะมาเย้วๆ ด่าทออยู่ดีนั่นล่ะค่ะ ว่า ไม่ใช่สิ่งที่นิสิตใหม่"พึงกระทำ" เพราะคนพวกนั้นมันไม่เห็นด้วยกันเนเน่อยุ่แล้ว
แล้วแปะใบปลิวไปทำไม? บางทีคนอาจจะไม่สนใจ อาจมีคนไปดิสเครดิต แกะออก อย่างงี้? ถ้าโพสอะไรในเฟส ก็จะเป็นแค่เกรียนคีย์บอร์ด
แนวร่วมเนติวิทย์เยอะนะคะ แต่เขาไม่แสดงออก ทำไมล่ะ ในเมื่อการด่าเนติวิทย์กลายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นประเพณีในสังคมเดี๋ยวนี้ คุณคงไม่รู้หรอกว่ามีผู้ใหญ่ใจแคบมากแค่ไหนที่เด็กๆจำเป็นต้องอยู่ด้วย ใครด่าเนติวิทย์แสดงว่าดี แสดงว่ารักชาติ ส่วนคนที่แสดงออกว่าเห็นด้วย ก็ถูกมองไม่ดี ถูกผู้ใหญ่ตัดสิน บางทีคนทั้งบ้านของเด็กคนนั้นอาจจะเกลียดเนติวิทย์ก็ได้ แต่เด็กคนนั้น ก็จำเป็นต้องอยู่ในสังคมนั้นต่อไป บางคนที่เห็นด้วยแต่ไม่แสดงออกและให้กำลังใจก็มี เนเน่ก็รู้ ก็บอกอยู่
สู้ ทำไปเลย ไม่ดีกว่าเหรอ?
คำว่าพึงกระทำของคนแตกต่างกันเนอะ เขาลุกออกมาจริงๆมันก็ไม่ผิด แต่ถ้าเขาอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มันอาจจะมีวิธีอื่น เพราะอย่างนี้คนเขาจะไม่สนใจว่าคุณคิดยังไง แต่พวกHaterจะเอาวิธีการของคุณไปด่าแทน
แล้วถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนจริงๆ ช่างหัวผู้ใหญ่สิ ช่างหัวสังคมสิ คุณอยู่มหาวิทยาลัย คุณโตแล้ว คุณควรหาวิธีที่ดีกว่านี้ในการทำให้เกิดการตอบรับ ให้คนส่วนมากรู้ว่ามีคนคิดแบบเดียวกับเนเยอะแค่ไหน
ถ้าเขามีโพล หรือรวบรวมรายชื่อ เราลงแน่นอน หลายๆคนก็เหมือนกัน แล้วทุกคนจะรู้ว่ามีคนคิดแบบนั้นแค่ไหน แต่ถ้าแบบนี้มันจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นคน2ฝ่ายที่มานั่งโต้เถียงกัน
พ่อแม่ไม่สั่งสอน ลาออกไปเหอะ เสียชื่อเสียง พาไอเพนกวินออกไปด้วย
เพนกวินอยู่เตรียมอุดม จะพาออกไปไหน 555555 ฉลาดเหลือน้อยจริงๆ หรืออาจจะไม่ฉลาดเลย
ผมว่าคุณพูดแบบนี้ไม่ถูกนะครับ คุณสมหมาย
งั้นคุณช่วยให้เหตุผลของการคุกเข่าถวายบังคม ทั้งๆที่ร.5ประกาศยกเลิกไปแล้วด้วย
อย่าอ้างด้วยนะว่าร.5ไม่ได้ยกเลิกประเพณียกเลิกแค่การปฏิบัติในวัง เพราะทรงยกเลิกทั้งหมด
(อ่านได้ในราชกิจจานุเบกษา)
ขอโต้แย้งด้วยเหตุผลแบบปัญญาชน ไม่ใช่ใช้อารมณ์โวยวายแบบเด็กเกรียน
ชื่อเสียงเพราะระเบียบดาบหน้ากับชื่อเสียงเพราะความสามารถ อะไรเป็นชื่อเสียงที่ควรมีมากกว่ากันครับ?
เราว่าเขาไม่ผิดนะ ที่จะแสดงจุดยืนว่าไม่ร่วมพิธีที่ไม่เต็มใจ เป็นสิทธิของเขา เรื่องนี้ว่ากันไม่ได้แน่นอน แต่การแสดงออกมันออกจะไร้มารยาททางสังคมไปนิด พิธีนี้ต้องมีซ้อมกันอยู่แล้ว ถ้าคิดว่าจะไม่เข้าร่วมหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่ควรมาตั้งแต่แรก การกระทำนี้แสดงทั้งจุดยืด จุดประสงค์ และความเป็นตัวตนของเขามาก การแสดงออกของปัญญาชนหัวสมัยใหม่ ก็ไม่จำเป็นต้องขาดมารยาทก็ได้นี่นา ถึงก่อนหน้าจะออกไปก็โค้งเป็นการเคารพแล้วก็ตาม ในสายตาของคนทั่วไปย่อมมองว่าเป็นจุดประสงค์ไม่ดี คงจะพูดว่าไม่แคร์สังคมก็คงไม่ได้อ่ะนะ เพราะถึงจะเก่งจะทันสมัยอย่างไร ไร้สังคมยอมรับก็เหมือนพูดคนเดียวกับกระจกนั่นล่ะ ถ้าจะไม่ร่วมพิธีหรือไม่เห็นด้วย อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็ปรับวิธีการแสดงออกใหม่เสียดีกว่า คนอาจยอมรับมากขึ้นก็ได้
ส่วนการยกเลิกการหมอบกราบของรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกเพื่อไม่ให้ต่างชาติมองว่าเราป่าเถื่อนและบังคับประชาชน แต่พระองค์ก็ทรงไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้มีการหมอบกราบ ถือเป็นความสมัครใจของผู้ทำ ที่จะแดงความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเนติวิทย์เองก็คงมีวิธีการเคารพที่ต่างจากนี้ การเอาเรื่องยกเลิกการหมอบกราบมาอ้างจึงเป็นเรื่องไม่ควร เพราะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้กระทำด้วย
สรุปคือ ! เราว่าไม่มีใครผิด ทุกคนย่อมมีความเห็นต่างกกัน ไว้รอฟังเนติวิทย์พูดเผื่อจะเข้าใจมากการกระทำนี้ เป็นกลางไว้ก่อเถิด
ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้เจ้านายทุกพระองค์ทรงยกเลิกการหมอบคลาน แต่ให้ยืนคำนับแบบตะวันตก ซึ่งเจ้านายทุกพระองค์ทรงยืนหมดยกเว้นพระองค์เจ้าหญิงผ่องที่ยังทรงหมอบอยู่พระพุทธเจ้าหลวงทรงกริ้วมาก เลยเสด็จไปดึงพระเมาลี (จุก) ของพระองค์ เพราะเหตุนี้พระเจ้าอยู่หัวจึงไม่โปรดพระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้มากนัก "ถึงแม้จะเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกก็ตาม"
ขอนิดนึง แต่ชัดเจนนะครับว่า พระองค์ไม่ชอบการหมอบคลายจริงๆ
ผมว่ากรณียังขัดแย้งได้อยู่ อย่างหนึ่งคือพระองค์ไม่ได้บังคับ แต่บอกว่า "ยืนเคารพได้" แต่ที่เกิดเรื่อง เพราะพระอวค์เจ้าผ่องประไพเป็นถึงพระราชธิดาของร.5 การที่พระองค์หมอบกราบในขณะที่เจ้านายและข้าราชบริพารยืน จึงไม่สมควร (คือพระองค์เจ้าผ่องประไพมีศักดิ์สูงกว่าคนอื่น แต่ปฏิบัติในกิริยาที่ต้องก้มต่ำกว่าคนอื่น จึงเหมือนเป็นการลดศักดิ์ตนต่ำกว่าข้าราชบริพาร และเป็นการกระทำต่อหน้าพระราชบิดาด้วย จึงเป็นเสมือนการกระทำแบบตอกหน้าว่าเป็นถึงลูกกษัตริย์ แค่กลับไม่รู้ว่าควรวางตัวเช่นไร ไม่แปลกที่ร.5จะทรงกริ้ว)
สองคือในเหตุการณ์เป็นการทดลองทำ ถ้าในเหตุการณ์นั้นพวกเจ้านายเป็นฝ่ายก้มกราบแต่พระองค์เจ้าผ่องประไพยืน พระองค์อาจจะไม่โกรธถึงขนาดนั้น และสุดท้ายคือเหตุผลในการกระทำของพระองค์ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทรงกริ้วเพราะอะไร จะมายกข้อความไม่กี่ย่อหน้ามาอีกทั้งยังไม่มีรายละเอียด ก็คงอ้างอิงได้ไม่เต็มปากเต็มคำ
มันคือกฏหมายนะครับออกพระราชกิจจานุเบกษานะครับ ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าฝืนได้นะครับ
http://prachatai.com/journal/2012/10/43275
ตามนี้
๔ ข้าราชการเมื่อจะเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง แลจะออกจากพระบรมมหาราชวัง ฤาจะไปกิจธุระแห่งหนึ่งแห่งใดก็ดี ถ้าภบท่านผู้มีบันดาศักดิ์ที่ได้เคยทำคำนับยำเกรงตามธรรมเนียมเก่าฉันใด ก็ให้ทำคำนับยำเกรง อย่างธรรมเนียมใหม่ให้เหมือนกัน ธรรมเนียมที่ยืนเหมือนกับนั่ง เหมือนกับหมอบ ธรรมเนียมที่เปิดหมวกก้มสีสะ เหมือนกับกราบไหว้อย่างแต่ก่อนนั้น ถ้าผู้หญิงจะไปในที่เฝ้าแลภบท่านผู้ใหญ่ไม่ต้องเปิดหมวก เปนแต่ก้มสีสะลงคำนับ เมื่อกระทำคำนับแล้ว หมวกนั้นจะเปิดก็ได้ ไม่เปิดก็ได้ แลผู้คนข้าทาษที่ใช้ การงานอยู่ในบ้านเรือนนั้น ก็อย่าให้ท่านผู้ที่เปนเจ้าเปนนาย บังคับให้ข้าทาษหมอบคลาน ให้บังคับให้ข้าทาษใช้ยืน ใช้เดิน ตามพระราชบัญญัติ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งไว้นี้ ให้พระบรมวงษานุวงษข้าราการฝ่ายทหารพลเรือนฝ่ายน่าฝ่ายในในพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวร ให้กระทำตามพระราชบัญญัติ์ ประกาศนี้จงทุกประการ ประกาศมาณวันอาทิตย เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ ปีรกาเบญจศก ฯะ
กล่าวคือไม่ว่าจะใกล้เจอบรรดาศักดิ์ใหญ่กว่าก็ไม่จำเป็นต้องหมอบครับให้ก้มศีรษะได้เลย ถ้ามีหลักฐานเห็นแย้งก็ว่ามาได้ครับ ผมว่าไปตามหลักฐานที่มีครับ
เพราะการไม่เข้าร่วมตั้งแต่แรกกับเข้ามาลุกออกให้ผลไม่เหมือนกัน
วิธีการของเนเน่ มันเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์น่ะ จะขยายความก็คือการแสดงสิ่งที่ขัดกับบรรทัดฐานของสังคม(วิธีประชา จารีต กฏหมาย) เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งๆหนึ่ง เพื่อก่อให้เกิดการตั้งคำถาม (ทำไปทำไม เกิดประโยชน์กับใคร ส่งผลกระทบอย่างไร แก้ไขปรับปรุ่งให้ดีขึ้นอย่างไร) แน่นอนว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกครับ เพราะแต่ละคนมีแนวความคิดแตกต่างกันไป มันึ้นอยู่กับปีจจัยหลายๆสิ่งๆมากกว่า
หรือจะกล่าวได้โดยสรุปก็คือ การกระทำของเนเน่เป็นอารยะขัดขืนอย่างหนึ่งน่ะแหละครับ แต่เนเน่ก็ต้องรับผลจากการกระทำนั้นด้วย คือรู้แล้วว่าทำไปมันส่งผลอย่างไรก็รับมันให้ได้แล้วกัน
จริงๆการเข้าร่วมพิธีจะขึ้นอยู่กับความสมัครใจนะคะ จะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ ที่เหลือก็ลองคิดๆดูนะคะว่าควรไหม...สำหรับเราว่าถ้าเขาคิดได้เขาจะมาร่วมตั้งแต่แรกแล้วนะ เพราะก็น่าจะรู้ๆอยู่ว่าจะมีพิธีการอะไรบ้าง แต่การกระทำแบบนี้สำหรับเราเราว่าไม่เหมาะสมกับการเป็นปัญญาชนเลย...คงแค่ต้องการให้เป็นกระแส หรือคิดว่าเท่? แต่ดังแบบนี้ไม่ดีเลยนะน้องเนติวิทย์ ไม่สร้างสรรค์เลย = =
ว่าจะเขียนแค่ประเด็นที่คุณยกถก ไม่อยากพิมพ์ยืดยาวเพราะไล่ตอบทั้งโพสต์ของจ่าดราม่าและโพสต์ของเนติวิทย์
ที่คุณว่าถ้ามีหลักฐานให้เอามาแย้ง หลักฐานก็คือสิ่งที่คุณยกมานั่นแหละ เพราะตัวหลักฐานของคุณเองก็ไม่มีอะไรระบุชัดเจนในหลักพิธีเลยนี่ครับ สังเกตุไหมครับว่าเนื้อหาระบุว่า "ถ้าภบท่านผู้มีบันดาศักดิ์" นั่นหมายถึงตัวบุคคลที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่รูปหล่อปูนปั้น เพราะถ้ายกทั้งราชกิจจานุเบกษามาอิง จะเห็นว่าสาเหตุในการเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเนื่อด้วยเป็นวิธีที่ "เจ้าขุนมูลนาย" ใช้กดขี่ "ทาส" อีกทั้งในเนื้อหายังมีการบัญญัติเพียง 4 ข้อ ซึ่งข้อที่ 1-3 กล่าวถึงการปฏิบัติตัวเมื่อพบพระมหากษัตริย์ และข้อที่ 4 คือการปฏิบัติตัวเมื่อพบขุนนางชั้นผู้ใหญ่
แต่วิธีการปฏิบัติเพื่อเคารพรูปหล่อปูนปั้น ท่านไม่ได้มีพระกระแสรับสั่งห้ามหรือจำกัดใดๆ เราจะยกราชกิจจานุเบกษาที่ไม่มีการกล่าวถึงมาอ้างได้อย่างไร และเหตุผลสำคัญคือรูปการณ์ เหตุผลหลักคือลดการ "กดขี่ข่มเหง" แล้วถามว่าพิธีถวายสัตย์นี้เป็นการแสดง "ความกดขี่ข่มเหง" ของ "พระบรมรูป" ที่มีต่อ "นิสิต" ได้อย่างไร เราคิดเล็กคิดน้อยขนาดที่รูปหล่อปูนปั้นก็ยังข่มเหงเราแล้วหรือ?
เราถูกลดความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพียงเพราะเรา "สมัครใจ" ที่จะถวายความเคารพต่อ "พระบรมรูป" กันเลยหรือ?
อีกทั้งพิธีถวายสัตย์นี้ น่าจะมีพิธีคล้ายคลึงกับ "พิธีถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า" ซึ่งมีองค์ประกอบเหมือนกันคือ ผู้ที่เข้าร่วมมีความสมัครใจจะกระทำ และ เป็นการกระทำกับ "พระบรมรูป" ซึ่งพิธีถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้านี้เอง ถูกริเริ่มโดยรัชกาลที่ 6 หากเป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติหรือขัดพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 มีหรือที่พระมหากษัตริย์ผู้ซึ่งสืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์จะทรงขัดได้
หลักฐานมีอ้างอิง ก็ถูกปัดตกประเด็นไปแล้ว เพราะอย่างที่ยกขึ้นมา ไม่ได้มีระบุชัดเจนว่าเป็นการกำหนดขั้นตอนพิธีที่เกี่ยวข้องกับรูปหกล่อปูนปั้น แต่เกี่ยวกับตัวบุคคลซึ่งยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งเจตนารมย์ของพระองค์ก็เพื่อลดการกดขี่ข่มเหงของนายแก่ทาส และป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติยกเรื่องนี้มาข่มเหงยึดเอาบ้านเอาเมืองเราไป ไม่ใช่ห้ามผู้ที่มีใจเคารพเทิดทูนจะกระทำ
หลักฐานก็ไม่ชัดเจน เจตนารมย์ของพระองค์ก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมถึงการลุกออก "กลางงานพิธี" ยังเป็นการไม่ให้เกียรติทั้งเพื่อนผู้เข้าร่วม พี่นิสิตซึ่งจัดงาน รวมถึงประธานและคณาจารย์ที่เข้าร่วมงานด้วย การกระทำครั้งนี้จึงนับว่าไม่เหมาะสมอย่างมาก
ไม่ได้เกี่ยวกับการกดขี่ข่มแหงเลยนะ เจ้าตัวก็ออกมาบอกนะว่าที่ทำเพื่อเป็นการเคารพต่อพระบรมรูปเช่นเดียวกัน แต่เนเน่แกใช้วิธีที่พระองค์ทรงได้บัญญัติไว้เป็นกฏหมาย ในทางหนึ่งก็เป็นแบบนั้น อีกทางหนึ่งคือเป็นการส่งสารผ่านสัญลักษณ์ว่าได้ทำตามเจตนารมณ์ของพระองค์จริงๆหรือเปล่า ทั้งๆที่พระองค์ก็มีเจตนาล้มเลิกองค์ความเชื่อเก่าๆ ตามเจตนารมณ์ที่ได้เขียนไว้ในบัญญัติน่ะแหละครับ
ตามนี้
"การที่เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ เลิกหมอบคลาน ให้ยืนให้เดินนั้น เพราะจะให้เหนเปนแน่ว่า จะไม่มีการกดขี่แก่กัน ในการที่ไม่เปนยุติธรรมอีกต่อไป เมืองใดประเทศใดผู้ที่เปนใหญ่ มิได้ทำการกดขี่แก่ผู้น้อย เมืองนั้นประเทศนั้นก็คงมีความเจริญเปนแน่"
เจตนารมณ์ก็คือ การเปลี่ยนธรรมเนี่ยให้หมอบคลาน ท่านเล็งเห็นแล้วว่าจะทำให้ไม่มีการกดขี่และจะนำความเจริญสู่ประเทศได้
การที่เนเน่จะตีความเจตนารมณ์นี้แล้วทำตามเพื่อสนองคุณก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายใช่ไหมครับ แต่ละคนก็มีวิธีการที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ฉะนั้นจำเป็นจะต้องไปต่อว่าเขานี่ครับ
คุณเนติวิทย์ได้เขียนเอาไว้เองว่า "..ผมและเพื่อนเมื่อคุยกันบนหลักฐานและต้องการสนองพระราชประสงค์ให้กลับมาอีกครั้ง..." ในเมื่อเจตนาเดิมของท่านคือลดการกดขี่ข่มเหง แล้วพิธีที่เกิดด้วยความเทิดทูนและความยินยอมของผู้เข้าร่วมนี่ถือเป็นการถูกกดขี่ข่มเหงอย่างไร
ในเมื่อเนติวิทย์เข้าใจและตอบสนองพระราชประสงค์ของพระองค์ไปแบบผิดเพี้ยน ผู้คนก็ออกมาโต้แย้งให้เห็นว่าจริงๆเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการด่าทอ ก็ถือซะว่าเป็นเสียงนกเสียงกา อะไรดีเราก็รับฟังและโต้แย้ง อะไรไม่ดี เห็นว่าเจรจากันด้วยไม่ได้ ก็ไม่สนใจ
แล้วส่วนตัวผม (และไม่ทราบว่ามีคนอื่นหรือไม่ที่คิดเช่นกัน) ที่ต่อว่าเนติวิทย์ไม่ใช่เพราะเรื่องโค้งคำนับ แต่เรื่องเดินออกกลางพิธีขณะผู้อื่นปฏิบัติ ชัดเจนนะครับ ความเคารพมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล (ถึงจะไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการทำอะไรไม่ปรึกษาผู้จัดงานและประธานพิธี แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน) แต่สิ่งที่ไม่ควรทำคือการไม่ให้เกียรติผู้อื่นครับ
เห็นด้วยค่ะว่าเนติวิทย์เขาแสดงออกแบบไม่ค่อยเหมาะสมและสุดโต่งไปหน่อย คือถ้าเขาไม่ต้องการเข้าร่วมก็ไม่ต้องมาตั้งแต่แรกก็ได้ ไม่มีใครบังคับ แบบเรา พิธีการบางอย่างเราไม่อยากเข้าร่วมหรือเรารู้ว่าเราเข้าร่วมไม่ได้ เราก็ไม่ไปเลย เพราะเรารู้ว่าถ้าจู่ๆลุกไปมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
คห.5 พูดดี อะไรคือการเสียมารยาทอะ เนโค้งเคารพสามรอบแล้วปะ ออกกลางงานคือไร สำหรับคนอื่นการกราบคือวิธีจบพิธี สำหรับเนเร่มันคือการโค้งคำนับ แล้วการที่เนเน่เดินออกมันไปสร้างความเดือดร้อนยังไง คนที่บอกมีสิทธิเลือกที่จะเข้าไม่เข้าได้ เนเน่เองก็อธิบายว่าเขาเคารพร.5และอยากร่วมพิธี แค่วิธีจบต่างกันคุณก็ด่าเขา วิจารณ์ได้แต่สมควรด่าไหม บางคนโยงไรไม่รู้เต็มไปหมด ไร้เหตุผลสิ้นดี
ปล. เสียดาย มธ เหมาะกับเขามมากกว่า แต่อยู่มธ คงไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากเท่าการอยู่ ฬ เด็กมธหลายคนและคณะเราส่วนใหญ่ให้กำลังใจคุณเนติวิทย์นะ สู้ๆ
เรามาตอบแล้วนาจาาาา คืองี้ เราพูดกระทบความเห็นที่ 1 ที่บอกว่าการกระทำของเนเน่มันไม่มีมารยาท เราเลยตอบว่า เนเน่จะทำให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นได้ตั้งคำถาม ดังนั้นไม่ว่านางจะทำยังไง สำหรับคนที่เชื่อโดยไม่ลืมหูลืมตา มันก็เสียมารยาทอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างเราขอต่อต้าน คนที่เอาคำว่ามารยาทมาดิสเครดิตเนเน่ เพราะคำว่ามารยาทมันมีความหมายไม่คงตัว มันแล้วแต่ใครจะมอง เรานิยามไม่เหมือนกัน เราสนับสนุนเนเน่นะคะ อย่าเข้าใจผิด ถถถถ เราคิดว่าดีแล้วค่ะ ที่นางอยู่จุฬา เพราะจุฬาก็เต็มไปด้วยสิ่งที่นางต่อต้าน นางจะได้ไม่เบื่อ ลองคิดดูสิคะ จุฬาครบรอบร้อยปี มีนางคนเดียวกับเพื่อนอีกคนที่กล้าทำไม่รู้ตอนครบ 200 ปี จะมีคนกล้าทำอย่างนางไหม
ไม่ครับ ถ้าจะเพื่อให้คนมาถก อยู่บ้านหน้าคอมก็ยกมาถกได้ แม้แต่ในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการไหว้ครู เนติวิทย์ก็ไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ก็ยังสร้างประเด็นมาถกเถียงได้ คำกล่าวอ้างว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่เกิดการถกเถียง จึงดูจะตกไป
อีกทั้งถ้าจะทำในงาน ทำไมจึงไม่ทำก่อนพิธีหรือหลังพิธี แม้กระทั่งทำขณะพิธีดำเนินแต่ทำอยู่ข้างสนามก็ยังได้ ในเมื่อมีการชี้แจงกันและมีการตระเตรียมงานร่วม 1 ชั่วโมง ทำไมเนติวิทย์ถึง "ปรึกษา" กับ "เพื่อน" แต่ไม่ปรึกษาพี่นิสิตที่จัดงานหรือแม้กะรทั่งคณาจารย์และประธานในพิธี กลับทำการโดยพละการตามใจตนเอง
อีกทั้งประเด็นสำคัญคือการ "เดินออก" จากงานพิธีในขณะที่พิธี "ยังไม่เสร็จสมบูรณ์" เรื่องการโค้งคำนับผมไม่ได้ต่อต้าน เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่เคารพพระบรมรูปพระองค์ท่านเช่นกัน (แต่ก็ยังไม่เหมาะสมเพราะไม่ได้ปรึกษาหารือกับผู้จัดงานก่อนอยู่ดี) แต่การที่เนติวิทย์และเพื่อน "ลุกออกกลางงานพิธี" เป็นเรื่องที่ไม่สุภาพ ปัญญาชนไม่พึงกระทำ ทำไมเมื่อเนติวิทย์โค้งคำนับเสร็จถึงไม่นั่งลงและร่วมพิธีในลำดับต่อไปเหมือนคนอื่นๆเขา
ในเมื่อตนตกลงที่จะเข้าร่วมพิธี ทำไมถึงทำตามใจตนเองเช่นนั้น ถ้าใจรักจริง จะร่วมพิธีหรือไม่ ก็ถวายความเคารพต่อหน้าพระบรมรูปของพระองค์ท่านได้
เราว่าเนติวิทย์ก็แค่เด็กที่เรียกร้องความสนใจและอยากดังคนนึงล่ะ ไร้สาระสิ้นดีและไร้มารยาทด้วย ทางออกแบบอื่นมีเยอะแยะไปทำไมไม่เลือกใช้ จงใจทำให้เป็นที่สนใจอย่างชัดเจน
ผมว่าเขาแสดงจุดยืนชัดเจนนะครับ มันไม่ถูกต้องเขาถึงแสดงออกมา การแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมมองว่ามันไม่ได้ไร้สาระนะครับ เนติวิทย์เขาก็พูดถูกร.5 ทรงไม่ได้ต้องการปแ
บบนั้น
ดูมีความพยายามแสดงให้เห็น พยายามให้มีผลกระทบทำให้เกิดการถกเถียง แค่หนุ่มคนนี้ได้พื้นที่หน้าสื่อก็ถือว่าประสบความสำเร็จละนะ บางทีการแสดงออกอย่างการพูดอย่างเดียวมันอาจจะไม่เห็นภาพต้องทำให้เห็น ซึ่งมันก็กล้าที่จะทำจริงๆ
เรื่องการหมอบกราบนี้ก็เช่นกัน ซึ่งเราคิดว่าการหมอบกราบนี้เป็นการทำความเคารพที่เต็มไปด้วยความศรัทธา เราก็คิดมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะไปยุ่งกับศรัทธาของใครถ้ามันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอะนะ แต่การหมอบกราบ ร.5 นี้ อาจจะไม่ใช่ เพราะ ร.5 เองก็ประกาศไว้ชัดเจนมากๆว่าให้ยกเลิกการหมอบกราบนี้เสีย เราคิดว่าบางทีการทำตามประราชประสงค์ ตั้งใจเรียนนำความรู้ไปพัฒนาประเทศก็น่าเป็นสิ่งที่เหมือนกับการทำความเคารพโดยไม่ต้องพยายาม
บางทีสิ่งที่หนุ่มคนนี้ทำอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกพระราชหฤทัย ร.5 ที่สุดเลยก็ได้(มั้ง)
ปล ลองไปหาในจารย์google ว่า ราชกิจจานุเบกษายกเลิกการหมอบกราบ ฯลฯ เผื่อจะมีแนวคิดอะไรเพิ่มมากขึ้นก็ได้นาจา
ก็ลองให้มันไปทำกับ มหาวิทยาลัยพวกคนที่สนับสนุนมันบ้าง แล้วลองดูว่าพวกคนที่สนับสนุนจะรู้สึกยังไง
เรามธ ถ้าทำก็รู้สึกเฉยๆอ่ะ
อาจมีคนทำด้วยอีกเยอะ หนึ่งในนั้นคงเป็นเรา
แต่มธก็ไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว มั้ง
ก็เอาดิ ไม่เห็นเป็นไร
ขอเน้นว่าพี่เนติวิทย์ไม่ได้"ดูหมิ่นพิธี" ไม่ได้"หมิ่นร.5" แต่จุดประเด็นว่าทำไมยังคุกเข่าถวายบังคมทั้งๆที่ยกเลิกไปแล้ว
ปล.เราอยู่บางมด
ลองมาทำม.เราสิ ไม่เป็นกระแสหรอก เพราะส่วนมากจะมองว่าสิทธิของเขา ในเฟสเพื่อนๆพี่ๅสนับสนุนเพียบ และที่สำคัญที่สุด พิธีไม่ได้ล้มซะหน่อย เขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายและเราไม่ได้เดือดร้อน
อย่าไล่เด็กคนนี้มาเรียนรามนะคะ
ไม่รู้จักทางสายกลางเลย
ไม่เคารพแล้ว ก็ไม่ควรจะไปลบหลู่ สิ่งที่คนอื่นเคารพ
"ถึงคนอื่นจะด่าพ่อเรา แต่เราก็ยังรักพ่อเรา"
ผมชอบ เขาที่เคารพเสรีภาพของตัวเขาเอง
ผมเกลียด เขาที่ไม่เคารพเสรีภาพของคนอื่น....
ช่วยพิจารณาด้วยครับ เขาไม่ได้ลบหลู่ความเชื่อของผู้อื่นผู้ใดทั้งสิ้น เขาไม่ได้บอกว่า ทำพิธีหมอบกราบทำไม ไร้สาระ อันนี้สิถึงเรียกว่าลบหลู่ และไม่เคารพสิทธิเสรีภาพทางด้านความเชื่ออย่างรุนแรง
เขาเพียงบอกว่าเราจะทำพิธีการที่ขัดต่อพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ทำไม เขาเพียงแค่ "แสดงออกด้วยวิธีการทึ่แตกต่าง" เพียงเท่านั้น และมิได้บังคับผู้หนึ่งผู้ใดให้ทำตามเขา เขาเพียงแสดงออกและหวังว่าจะมีผู้ทำตามด้วยวิธีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น และปลายทางของเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆ คือ การถวายความเคารพต่อรัชกาลที่ 5
ผมยังไม่เห็นว่าจะมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้หนึ่งผู้ใดที่ร่วมประกอบพิธีนี้เลยระครับ
ยกตัวอย่างครับ .... กำลังอยู่ในราชพิธี ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ไม่ว่าพิธีใดก็ตาม จะไม่มีผู้คนที่นั่งร่วมในพิธี เดินยกมือออกไปเลย เพราะความเคารพในพระองค์ท่าน
....ในการนี้ การทำความเคารพ ร.5 ครั้งนี้ก็เปรียบเสมือนราชพิธี ถวายตัว (ฝากเนื้อฝากตัว) แก่พระองค์ท่าน การลุกแล้วเดินออกไป เฉยๆ ผมก็ว่าไม่ควร อย่างยิ่งครับ
......ในพิธีนี้ เขาไม่เข้าตั้งแต่แรกก็ได้ นั่นน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ
สำนึกและจุดประสงค์ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องคิดเลย
เนติวิทย์มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ดีนะ อาจเพราะเรียนรัฐศาสตร์ด้วย แต่การแสดงมารยาทหรือแสดงสารที่เป็นข้อความยังเหมือนเด็กอยู่อะ มันเลยทำให้ขัดแย้งกัน
แล้วเรื่องพิธีเป็นเรื่องสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ชอบก็ต้องอดทน เพราะการอดทนได้ นั่นหมายความว่าเนติวิทย์เริ่มก้าวหลุดพ้นจากความเป็นเด็กได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่นี่เดินออกไปกลางคัน ไม่มีความอดทนเลย
แต่ยังไงก็ยังอยากให้เนติวิทย์ตั้งประเด็นหลาย ๆ เรื่องอีกต่อไป สร้างสีสันให้กับประเทศไทยดี 55+ แต่อาจจะสร้างความหนักใจให้จุฬาหน่อย แต่อยากให้เนติวิทย์ไปหาศึกษาจิตวิทยาไว้ด้วยนาจา
ก็ไม่นะครับเขาคำนับแล้วเดินออกไปก็เหมือนคนอื่นที่ถวายบังคมแล้วตั้งแถวเดินออกเหมือนกัน จะไปว่าเขาไม่มีความอกทนคงไม่ได้แค่ของเขาทำเสร็จเร็วกว่า
มันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ คือถ้าไม่ทำมากขนาดนี้ เขาจะไม่มีทางเป็นข่าว หรือถูกพูดถึงได้เลย ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สามารถประกาศจุดยืน และหาผู้คิดเหมือนกัน ได้มากเท่านี้
เราเห็นว่ามันก็ไม่ได้แย่ ขนาดนั้น (แต่ถ้าเป็นเราก็ไม่ทำ ...คือกูไม่ได้อยากเป็นข่าวไง)
อย่างน้อย เขาก็ยังคำนับ มันถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะถูกทำด้วยใจจริงหรือไม่ก็ตาม
แต่การทำที่จุฬา ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าจุฬามีขนบธรรมเนียมที่ทำต่อกันมานาน มันทำให้มีนิสิตหลายยคนไม่พอใจ มันจะกระทบกับการดำเนินชีวิตของเขาในจุฬาหรือเปล่า เพราะทั้งนิสิตส่วนใหญ่(ภาพรวมที่เราเห็นในเฟสบุค) และอาจารย์ ซึ่งก็จบจุฬา รู้สึกว่าการกระทำแบบนี้มันแย่สุดๆ
ปล. ก็ต้องเข้าใจ คนไทยเคารพเจ้าแผ่นดินมาก
ปล.๒ มันอาจจะดูนิยมเจ้าไปหน่อย แต่ทุกวันนี้เรายังเชื่อว่าพ่อรักลูกทุกคน ไม่ว่าลูกจะรักพ่อหรือไม่ก็ตาม
รัชการที่๕และ๖ ท่านเองก็ได้ทำหน้าที่พระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ในส่วนของท่านแล้ว สำหรับเราการก่อตั้งจุฬาไม่จำเป็นต้องถือเป็นบุญคุณ เพราะมันคือหนึ่งในหน้าที่ในส่วนของการพัฒนาประชาชนของท่าน (อีกอย่างตอนก่อตั้ง จุฬาก็ค่อนข้างเจาะกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาทีเดียวเชียว)
คุณเนติวิทย์เอง ถ้าไม่พอใจธรรมเนียมที่นี่ บางทีเราก็อดกลั้นไว้บ้างก็ได้ อึดอัดจริงๆก็อย่าเข้าเลย คุณต้องประสาทเสียกับคนที่เข้าไปด่าในเพจอีกเยอะ เอาเวลาไปเรียน ไปหาความรู้แบบที่คุณสนใจดีกว่า คุณดูชอบรัฐศาสตร์และมีแรงขับเคลื่อนในตัวสูงมากๆ อีกหน่อยเราอาจมีนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์หรือนักการเมืองที่มุ่งมั่นอย่างคุณก็ได้ เราไม่รู้ว่าสังคมที่คุณอยากเห็นมันเป็นแบบไหน
เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าแค่เปลี่ยนระบบก็เปลี่ยนชาติได้
แต่พอเวลาผ่านไป มีอะไรผ่านมาในชีวิตมากขึ้น มันไม่ใช่เลยว่ะ T.T
เราไม่อยากเห็นคุณไปนอนในคุกเพราะโดน112อ่ะ มันจะทำให้เราหมดกำลังใจในการเป็นคนไทยไปอีกมากโขเลยจริงๆ (ทุกวันนี้ก็รู้สึกตลอด เวลาเห็นน้ำขังรอการระบาย)
ออกทะเลไปไกลเลยว่ะ
ก็ถ้าเขาหาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเหมาะสม มันก็พอไหว
ขอแย้งนิดนึงตรงถ้าไม่รักจุฬาจะสอบเข้าจุฬาทำไมนะคะ
คือมันไม่น่าเกี่ยวมั้ย เพราะรักมหา'ลัยนั้นๆถึงสอบเข้าเนี่ยนะ ยังไม่ทันเข้าเรียนเลยก็รักซะละ
เรานึกว่าคนเขัาจุฬาเพราะมันเป็นมหา'ลัยมีชื่อเสียงอันดับต้นๆของประเทศซะอีก...
ที่อยากเข้าเพราะแค่เป็นมหาลัยชื่อดังหรอคะ ถ้าเราไม่ชอบมหาลัยนั้นๆเราจะสอบเข้าทำไมล่ะ หรือไม่ได้ชอบเพราะแค่เห็นมันดังหรอคะเลยอยากเข้า
เขาชอบหลักสูตรและวิชาทีเรียนฮะไม่ได้ชอบชื่อมหาลัย เหมือนเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้นะตอนบอกว่าติดจุฬา
ได้ข่าวมาว่าตอนแรกเนติวิทย์ไม่ได้อยากเรียนจุฬาแต่เขาสอบไม่ติดมธ เลยต้องเรียนจุฬา
รักจุฬาเลยสอบเข้าจุฬา พี่ฟังไม่ขึ้นค่ะ 55555 ถ้ารักจุฬาจริง เค้าจะไม่ทำการกระทำแบบนี้หรอก
เป็นคนที่มีจุดยืนเป็นของตัวเองชัดเจนดีค่ะ
จุฬาเค้าไม่ได้บังคับให้คุณเข้าพิธีนะ ถ้าคุณคิดว่าไร้สาระ
ไม่ต้องไปก็ได้นี่ เราว่าคุณจงใจโชว์ว่าข้าแน่มากกว่า
คือถ้าไม่ทำคนก็ไม่ตระหนักคิดไงคะว่าการหมอบกราบแบบนี้มันขัดต่อเจตนารมย์ของ ร.5 เข้าใจไหม
แล้วไปแสดงกลางพิธีเลย..
วิถีปัญญาชนก็ใช้ได้ครับ แค่เพราะเราต้องการพูดเรื่องนึงไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเอาตัวเข้าแลก เขาทำแบบนั้นก็ได้แค่ไฟไหม้ฟาง ถึงตอนแรกจะดูแรงแต่ก็ไร้ค่า ไม่ได้สร้างความอบอุ่น ไม่ได้ให้แสงสว่างในระยะยาว ผ่านไปสักพักก็ดับ
ถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงจริงตั้งกระทู้ถกก็ได้ หรือจะเสนอไปให้ทางจุฬาหรือแม้แต่ให้ท่านอธิการบดีโดยตรงก็ยังได้ ไม่ใช่อะไรที่ทำมาแล้วมันไร้ค่า ไม่กี่วันคนก็ลืม ตัวเองก็ไม่สานต่อ แค่อยากเด่นอยากดังอยากมีชื่อในสังคม
เรามองงี้นะ คือเด็กนั่น ที่ใครถามว่าถ้าไม่เห็นด้วย จะเข้าทำไมแต่แรก คือมันไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับพิธี แต่มันไม่เห็นด้วยกับการหมอบกราบ มันเต็มใจเข้าพิธีไปเพื่อเคารพ ไม่ได้เข้าไปเพื่อหมอบกราบ พอถึงจังหวะจะหมอบ มันเลยเห็นว่าการกระทำดังกล่าว ขัดเจตนารมณ์ของ ร.5 ที่ท่านยกเลิกการหมอบกราบแล้ว มันกะเพื่อนเลยลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าเพื่อทำการโค้งเคารพแบบปกติ แบบที่ควรจะทำ ไม่ได้แก้ตัวแทนนะ แต่เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
ส่วนที่บอกเป็นพิธีการมายาวนานตั้งแต่สมัยไดโนเสาครองโลก คือเค้าทำมาไงคุณก็จะทำตามตราบชั่วลูกหลานหรอ โดยที่ไม่สงสัยสาเหตุว่าทำไมทำแบบนี้ เห็นเค้าทำมาแบบนี้ก็ทำต่อไป มิน่าเต่าล้านปีเต็มเมือง อะไรที่ถ่วงเวลาก็เปลี่ยนบ้างเถอะ
นับถือครับ
การกระทำแบบนี้บ้านเราเรียกไม่มีมารยาท
แต่เขาเลือกที่จะขัดเพื่อให้เกิดคำถาม ยอมให้ตนเองโดนด่าในขณะเดียวกันก็ทำให้หลายคนคิดตาม นึกตามในสิ่งที่ทำว่าทำไม
ซึ่งในเรื่องนี้ผมมองว่ามันคุ้มที่จะขัดเกณร์มารยาทไทย เพื่อประโยนช์ที่มากกว่า.
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?