Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ทุกข์อย่างไรไม่ให้ 'บ้า'

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เชื่อว่าหลายคนมีความทุกข์อยู่ในใจ ชีวิตมักเป็นเรื่องแปลกหลากปัญหามักตบเท้าเข้ามาเป็นช่วงๆ ไม่อยากรับกลับฝืนไม่ได้ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี คนที่จัดการปัญหาได้ชีวิตก็โล่งดำรงต่อไปได้ แต่ใครจัดการไม่ได้หาทางออกให้ตัวเองไม่เจอบางทีไม่มีสติยั้งคิดอาจเลือกทางที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์มากกว่าเดิม บางคนคิดมากจนสติหลุดลอยหรือประสาท ขั้นอ่อนเป็นไมเกรน ขั้นต่อมาบ้าต้องพึ่งยาระงับ ขั้นหนักสุดๆคงอยู่ในโรงพยาบาลบ้า! มาดูกันว่าทุกข์อย่างไรไม่ให้บ้า!!!
1. ตั้งสติพยายามสงบจิตใจ
2. สำรวจปัญหาสาเหตุแห่งความทุกข์ ค้นให้เจอถึงต้นตอ
3. เปิดใจยอมรับและทำความเข้าใจในสิ่งที่ทุกข์
4. วางแผนและลงมือแก้ปัญหา
ความทุกข์อยู่ไม่นานหรอกมันเหมือนความสุขนั่นแหละเพียงแต่รสชาติต่างกัน มาไปสลับหมุนเวียนบังคับหรือกำหนดไม่ได้ หากทุกข์ที่ใจตนเองหนทางแก้นั้นไม่ยาก เพียงปล่อยวางและหาวิธีที่ตัวเองพอใจที่สุด เช่น
'ทุกข์เพราะการเรียน – เกรดที่ได้ไม่เป็นอย่างที่หวัง'
ลองถามตัวเองดูว่าแท้จริงต้องการเกรดหรือความรู้ระหว่างเรียน หากใจบอกว่าเกรดสิฉันทนทุกอย่างพยายามแทบตายก็เพื่อมัน จงถามตัวเองให้ดีอีกทีว่าเวลาทำงาน เขาดูเกรดสวยอย่างเดียวหรือดูฝีมือและความรู้ที่มี : เมื่อได้คำตอบของหัวใจความทุกข์จะคลายลงส่วนหนึ่ง
หากใจบอกว่าความรู้ ฉันเรียนเพื่อให้รู้และมีอาชีพทำในอนาคต นั่นคือคุณได้ทางออกของความทุกข์แล้ว ถ้าเข้าใจความต้องการของตัวเอง ทุกข์ที่มีมันจะจางหายคล้ายฝุ่นจับมาคิดก็ไม่ก่อปัญหาให้จิตใจ แท้ที่จริงเหตุความทุกข์คือใจหลงยึดสิ่งใด ถ้าเป็นเกรดไม่มีทางที่คุณกำหนดได้หรอกการตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับอาจารย์ไม่ใช่ตัวผู้เรียน ถ้าเป็นความรู้ตัวคุณจะรู้ดีกว่าใครว่าเรียนแล้วได้รับอะไรไปบ้าง เมื่อรู้แล้วความทุกข์ที่มียังจะเรียกว่าความทุกข์ได้อีกหรือ นอกจากไม่บ้าแล้วยังเข้าใจเป้าหมายในการเรียนของตัวเองอีก
'จน ตกงาน ติดหนี้ ฯลฯ'
ในเวลาที่ทุกข์หากสงบใจไม่ลงจงอย่าอยู่คนเดียว! ถ้าไม่มีเพื่อคอยรับฟัง พูดไม่ออกมันจุกและเจ็บหรืออยู่ตัวคนเดียวไร้เงาคนช่วยเหลือไม่เป็นไร... ลองเขียนความทุกข์หรือปัญหานั้นระบายมันออกมา หรืออัดคลิปเสียงให้ตัวเองฟังบางทีมันไม่หายหรอก แต่ว่ามันจะไม่จุกอยู่ที่ใจอย่างเดียวแล้ว อย่างน้อยก็มีสติมากขึ้นไม่คิดวู่วามทำร้ายตัวเอง

การทำใจไม่ใช่ทางแก้ แต่ต้องเรียนรู้เข้าใจและยอมรับถึงเป็นทางแก้อย่างถาวร เวลาทุกข์อย่ามองในมุมแคบปัญหาที่เผชิญมันยิ่งใหญ่ในสายตา มองไปทางไหนเจอแต่ทางตัน ลองมองปัญหาในมุมกว้างสำรวจปัญหา ใช้สายตาอย่างคนนอกมองเข้ามา คนที่ไม่ตกอยู่ในบ่วงทุกข์จิตเขาจะไม่ตกและมีทางแก้สารพัดวิธี แต่คนที่เข้าใจและสามารถแก้ปัญหามีเพียงตัวคุณเอง คำแนะนำของคนอื่นบางทีไม่เข้ากับสถานการณ์ที่เจอ เผลอๆพอทำตามแล้วไม่เป็นอย่างหวังกลับนึกโทษคนแนะนำเสียอีก เอาคำแนะนำมาปรับและเลือกให้ดีที่จะไม่เสียใจทีหลังมาแก้ปัญหา ทุกข์ที่ไหนแก้ให้ตรงจุด ทุกข์แล้วอย่าหยุดไม่กรีดแผลออกมาดู เก็บไว้มันก็ไม่ย่อยสลายเป็นจุลินทรีย์หรอก มันจะตามหลอกหลอนทุกครั้งที่มีความทุกข์ใหม่เข้ามา ทุกข์ที่ไม่แก้เปรียบเสมือนอาการไอไม่หยุด เป็นง่ายหายยาก ถ้าไม่รักษามันจะเรื้อรัง!

ความทุกข์ใครๆก็ต้องเผชิญหนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่... คนทุกข์หนักกว่า! ลำบากกว่า!ยังมีแล้วเราจะทุกข์ให้ตัวเองบ้าทำไม สถานการณ์มันควบคุมยาก ง่ายกว่าไหมถ้าจะควบคุมใจของตัวเอง... ผูกแล้วจงแก้ บางสิ่งที่หนักวางบ้างสติแจ่มใสค่อยกลับมาจัดการต่อ

#ทุกข์แค่ไหนอย่าทำร้ายตัวเอง ทุกข์ได้ก็หายได้บอกตัวเองสิทุกปัญหามีทางออก ต้องใช้ปัญญาและสติเพื่อให้ผ่านมันไป... ดังนั้น... ทุกข์อย่างไรไม่ให้บ้า คำตอบคือ... มีสติอยู่กับตัวทำความเข้าใจ เรียนรู้และยอมรับมัน!

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

White Frangipani 26 ก.ค. 59 เวลา 19:59 น. 1

สวัสดีค่ะ

ทุกข์อย่างไรไม่ให้ 'บ้า'


"บางคนคิดมากจนสติหลุดลอยหรือประสาท ขั้นอ่อนเป็นไมเกรน ขั้นต่อมาบ้าต้องพึ่งยาระงับ ขั้นหนักสุดๆคงอยู่ในโรงพยาบาลบ้า! มาดูกันว่าทุกข์อย่างไรไม่ให้บ้า!!!"....เหตุนี้เกิดขึ้นจริงด้วยสินะ...จากที่หาข้อมูลอ่านมามากมายจากหลายๆแห่งนั้น  เห็นด้วยค่ะว่าเป็นความจริงอย่างยิ่งยวด...มาวันนี้ วันที่เราเรียกว่า...ยุคไฮเทค...หรือวันที่เรามาถึงจุดที่คนเราเคยฝันว่าวันหนึ่งเราจะเจริญได้แล๊ว มาวันนี้เรามีโรงเรียนในทุกๆประเทศในโลกแล้วด้วยนะ

มีในทุกซอกมุมของโลกแล๊ว...ผู้คนอ่านออกเขียนได้กันหมดแล้ว...คนเรานี่นะเก่งมากๆเลยแล้ว เยี่ยมยอดเลยนะที่เป็นคน เหลือเชื่อ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหล่ะ คนเรานี่เก่งจริงๆนะ

แต่ในความเป็นจริงเหตุการณ์ที่เป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่อ มีอีกนะคะ มีจริงนะคะ

เจ้าของเม้นต์นี้ ที่จะบอกว่าเหลือเชื่อ...หรือว่าจะเรียกว่าเหตุมหัศจรรย์ดีนะ หรืออาจะเรียกว่าอภินิหารณ์อาจจะได้นะ..(ให้ชื่อเหตุนั้น...เช่น เจ้าของกระทู้ยกมาค่ะ....ต้องใช้ปัญญาและสติเพื่อให้ผ่านมันไป...ซึ่งเป็นคำตอบของคุณในตอนท้ายนะคะ)

คือมาวันนี้ทำไมจึงมีคนที่เขาต้องเข้าโรงพยาบาลบ้าเยอะมากๆเลยอ่า เพราะอะไรอ่า

ในความเป็นจริงซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้นะว่ามาวันนี้...หลายๆประเทศทั่วโลกโรงพยาบาลบ้านะถูกสร้างขึ้นมาแข่งกับโรงเรียนเลยค่ะ...จริงนะคะ ยิ่งประเทศไหนเจริญหรือรวยมากๆนะคะ ประเทศนั้นนะโรงพยาบาลบ้า..ถูกสร้างขึ้นมาราวดอกเห็ด แปลกจังเลย

จริงอยู่...โรงเรียนคือ...สถานที่เราเรียกว่าแหล่งให้การเรียนการศึกษาเพื่อให้คนฉลาด ขณะเดียวกันนะ โรงพยาบาลบ้าก็ต้องมีอันต้องก่อสร้างคู่กันไปเป็นว่าเล่นเลย แบบนี้เราจะคิดอย่างไรดี...

ดูๆแล้วเห็นๆเป็นเหตุที่ขัดกัน หรือว่าย้อนแย้งที่แปลกมากราวกับ ดังคำพังเพยที่ว่า...ข้างนอกสดใสข้างในเป็นโพลง...แบบนั้นได้หรือเปล่าอ่า หรือว่าคำพังเพยนี้ใช้กับเหตุนี้ได้หรือเปล่าอ่า

ตามที่อ่านๆมานะคะ ในประวัติ(ในวันก่อนๆหรือในอดีต)...ผู้คนเกรงกลัวหรือขยาดที่จะต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบ้า...หรือต้องกินยากล่อมประสาท  (ทุกๆคนต้องจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนตนให้รู้จักสติ หรือการมีสมาธิที่ดีโดยปริยาย...เพราะเกรงที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับสถานที่ดังกล่าวมานั้น)

หรือคำว่า...จิตแพทย์ หรือจิตวิทยานั้นเป็นอะไร...ที่น่ากลัวหรือน่าอาย หรือน่าเกรงขามที่เราๆจะมีอันหรือโอกาส หรือที่จะต้องเข้าพบนะ

แต่มาวันนี้ ทั้งหมดนี้กลับกลาย หรือเปลี่ยนแปลงเกิดเป็นปัจจัยสำคัญของหลายๆคนไปเสียแล้วคนส่วนมากต้องพึงพาหรือต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ในทุกวันนะ 

หากไม่อย่างนั้นหลายคนเกิดเป็นความรู้สึกทุกข์ทรมาน ทำร้ายตนเองหรือคนรอบด้านเพราะขาดสติแบบหยุดไม่ได้ อยู่ๆไปทุกวันด้วยความทุกข์ทรมานของตนและสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนร่วมโลกด้วยวิธีต่างๆนานา...เกิดเป็นปัญหาเกิดขึ้นกับตนหรือนำไปให้คนอื่นๆนั้นแท้จริงมีเหตุซึ่งเป็นปัจจัยมาจากอาการของจิตสำนึกที่ทุกข์ทรมานนั้นจริงด้วยสินะ

...และมาวันนี้วัฒนธรรของเราชาวโลกก็พยายายามสอนให้ยอมรับได้ในที่สุด(ด้วยวิธีแก้ปัญหาที่ปลายมือ)...ซึ่งในที่สุด...ก็เกิดเป็นความจริง เป็นวัฒธรรม เป็นวาระและวิถีในการดำรงไปของคนที่เกิดมาบนโลกนี้ในภพนี้ในสมัยนี้อนิจจา

การเป็นคนบ้า กินยายกล่อมกระสาทเพื่อการอยู่ในทุกวันก็เกิดเป็นวัฒนธรรมเป็นธรรมชาติได้ในที่สุด(นี้อีกเหตุ...คือผลงานของเรามนุษยชาติที่เก่งกาจมากๆด้วยเนอะ)

ทั้งหมดนั้น...สาเหตุมาจากอะไรกันแน่นะ...อยากรู้จังเล๊ยยย(งง และสงสัยจริงนะคะ ฮื้ออออ อยากรู้จริงๆนะ ความสงสัยนี้นะทำให้ทรมานจริงสินะ)

ตัวยากล่อมประสาทชนิดต่างๆ แรงเท่าไรไม่มีผล นักวิจัยต้องผลักใสตนเองเกิดเป็นความเหนื่อยเมื่อยล้าไปตามๆกัน เพื่อวิจัยชนิดที่แรงกว่า แรงกว่า แรงเท่าไรก็ไม่พอว่าแรง เพื่อมีประสิทธิภาพหรือคุณภาพ..ที่จะเอาความวุ่นวายสับสน ทุกข์ทรมานที่เกิดในจิตสำนึกหรือในสมองของผู้คนให้สงบลงได้ นั้นเป็นความจริงน๊า (ฮื้อ  อ่านๆแล้วสงสารค่ะ)

สงสัยว่า...เหตุการณ์ทำไมจึงเป็นไปเช่นนั้นไปได้เนอะ...หรือว่านี้ เป็นอภินิหารณ์อ่า (เหตุนี้นะเกิดขึ้นจริงในวันนี้ไม่น่าเชื่อ)

ในเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในวันนี้ผู้คนอ่านออกเขียนได้มีความรู้แต่...แต่สติสตังนะหายไปหมดเลย เกิดขึ้นได้อย่างไรเนอะมหัศจรรย์แท้ๆเลย งง งง


เจ้าของเม้นต์นี้นะคะทั้งเอ๋อ ทั้งโง่เขลาเบาปัญญาค่ะ(หรือว่าบ้าเช่นหลายๆคนก็เป็นได้นะ เพราะคนบ้านั้นแท้จริงไม่รู้ตัวเนอะ5555)...แต่ชอบอ่านธรรมะค่ะ เพราะฉนั้นเม้นต์นี้เพื่อนๆอ่านด้วยการใช้วิจารณญาณด้วยนะคะ

อ่านๆจากคำสั่งสอน...เดิมๆของพระพุทธเจ้ามีสอนไว้ว่า...ทุกอย่างบนโลกนี้นั้น...แท้จริงมีเหตุเป็นปัจจัยค่ะ...ตราบใดที่เรามีสติ...เป็นผู้ที่เข้าถึงได้แล้ว...ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นได้...ความไม่มีสติจนเกิดเป็นอาการบ้าก็ไม่ตามมาได้ ไม่ต้องเสียเงินสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มด้วย ไม่ต้องกินยากล่อมประสาทให้เสียสมองหรือเสียสุขภาพด้วย

ไม่ต้องเสียเวลาไปพบจิตแพทย์บ่อยด้วย

คือเมื่อมีสติ...ที่มีสมาธิที่ดี...อะไรๆก็ดีหมดหล่ะ...ได้มีเวลาที่ดีๆ หรือมีชีวิตที่ดีบนโลกนี้ในภพนี้อย่างเต็มคุณค่าที่ได้มาเกิดค่ะ

มีสติดี...อยู่ที่ไหนๆ ทำอะไรก็เป็นสุขสนุกสนานหมดหล่ะ แบบนั้นเลือกที่จะตั้งใจ เรียนรู้ฝึกหัดการทำสมาธิเพื่อการมีสติที่ดีง่ายกว่า...เป็นสุขด้วยเนอะ

หากมีเวลาบ้างนำไปใช้เพื่อ...การเรียนรู้..การเรียนรู้อยู่อย่างเป็นสุข..กันดีกว่านะคะ

ขออนุญาตแบ่งปันค่ะ


การอยู่อย่างมีความสุข



ขออนุโมทนาด้วยกับ...เจ้าของคลิปและเพื่อนๆที่ได้ดูและรับฟังค่ะ


ความ...สงบ เป็นสุข ทำได้ด้วยการมีสติดี จริงด้วยสินะ (ตามคำสั่งสอนที่เป็นจริงที่มหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าค่ะ)  ไม่ต้องไปคิดอะไรๆให้มากมายตลอดเวลา ไม่ต้องเครียดหรือซีเรียสให้มากหรอกนะเดี๋ยวก็ตายเนอะ

จะเสียเวลาปล่อยให้ตนทุกข์ทรมาน จนบ้า...ให้เสียเวลาของชีวิตทำไมกันเนอะ(คนที่มีสติจะรู้เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี)

แต่หากจะต้องทำอะไรก็ขอให้ทำให้ดีที่สุด หวังในผลแห่งความดีที่จะเกิดเป็นความสุขความดี



หากพอจะมีเวลา...เราไป..นอนเล่นพักผ่อนเงียบๆแบบนี้ก็ดีนะคะ ^___^

http://i01.i.aliimg.com/wsphoto/v0/32295953917_1/Free-shipping-Hammock-Camping-Survival-Hammock-Parachute-Cloth-Portable-Double-Person-Hammock-outdoor-Leisure.jpg

ภาพนี้ดูแล้วท่าจะเป็นสุขจริงนะคะ ฮ้า...ชีวิตนั้นมีคุณภาพ คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นคนบนโลกนี้จริงๆด้วยเนอะ


...เป็นกระทู้ดีๆค่ะเจ้าของกระทู้...อ่านๆกระทู้ของคุณแล้วได้บังเกิดความรู้สึกที่อยากจะแบ่งปันแง่มุมที่แตกต่างเช่นที่เห็นนี้ค่ะ...อาจจะเป็นเม้นต์ของคนที่สติสตังไม่ดีก็เป็นได้ อย่าถือสานะคะ (คือว่า...เจ้าของเม้นต์อาจจะเป็นโรคยุคปัจจุบันหรือโรคฮิตค่ะ...นั้นคือโรคไม่มีสติ...ค่ะแบบนั้นค่ะ5555...คุณไม่ถือสาผู้ที่ไม่รู้นะคะ)

สุดท้าย...ดูคุณจะเข้าใจในเหตุ...ซึ่งเป็นปัจจัยอย่างแท้จริงด้วยค่ะ...

1. ตั้งสติพยายามสงบจิตใจ

2. สำรวจปัญหาสาเหตุแห่งความทุกข์ ค้นให้เจอถึงต้นตอ

3. เปิดใจยอมรับและทำความเข้าใจในสิ่งที่ทุกข์

4. วางแผนและลงมือแก้ปัญหา

ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆนี้ และขออนุโมทนาด้วยกับการให้ธรรมเป็นทานของคุณค่ะ สาธุ
0
Supattho 31 ก.ค. 59 เวลา 07:17 น. 2

ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยุ่งยากสลับซับซ่อนอะไรหรอก เพียงแต่ตัวเราเองทำตัวเองให้ยุ่งยากลำบาก แล้วก็มัวแต่โทษสิ่งอื่นอยู่นั้นแหละ ถ้ายากมีชีวิตที่ราบลื่นไม่มีอุปสรรคขัดข้องก็ต้องรู้ก่อนว่า การดำเนินชีวิตแบบไหนที่มันจะนำไปสู่ทางแห่งความลำบากทางแห่งความหายนะ เราจะได้ไม่ไปทางนั้น ทางแห่งความลำบาก ทางแห่งหายนะเป็นอย่างไร คือ ๑การเป็นนักเลงสุรา ๒ การเที่ยวดูการละเล่นเฮฮาบาจิงโก่ ๓ การเป็นนักเลงการพนัน ๔ การคบเพื่อนชั่วเลวทราม ๕ การเป็นคนเกียจคร้าน ๖ การเที่ยวตามตรอกซอกซอยในเวลาวิกาล นี่เป็นหนทางแห่งความหายนะหนทางแห่งความลำบาก ถ้าเราดำเนินชีวิตบนเส้นททางเหล่านี้ก็เผชิญกับความลำบากแน่นอน

0