Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

กว่าจะมีวันนี้... (จากใจเด็กซิ่ว 3 ปี)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
( ยาวหน่อยนะคะ แต่รับรองว่าถ้าอ่านจบ น้องที่กำลังจะซิ่วจะหายเศร้าเลยล่ะ :]  )

ช่วงนี้ก็คงเป็นช่วงใกล้สอบของน้องๆม.ปลายแล้ว เผลอแปบๆก็สอบ แปบๆก็ปิดเทอม เวลามันผ่านไปเร้วเร็ว (ไม่เหมือนเวลานั่งดูซีรี่เลย) ก็เพราะอย่างนี้แหละค่ะ ด้วยที่แปบๆ ม.4 -- > ม.5 ---> ม.6 แปบๆ ต้องสอบเข้ามหาลัย !! หลายคนสอบตรงติด ก็สบายใจไป พอแอดติด นี่กรี๊ดเลยยย ได้เข้ามหาลัยแล้ว และเช่นกันค่ะ แปบๆ ปี1 ถ้าใครได้เรียนในสิ่งที่ชอบ แล้วถูกใจจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ได้งานทำที่ชอบ นี่คงเรียกว่าประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง... ทุกคนอยากเป็นแบบนั้นค่ะ รวมถึงพี่ด้วย แต่ พี่ไม่ได้โชคดีแบบนั้นน่ะสิ พี่เป็นเด็กที่เรียนวิทย์-คณิต มาตลอด 6 ปี ภาคไทยโรงเรียนรัฐ ที่บ้านปลูกฝังให้พี่มาตลอด เรียนวิทย์เถอะลูก จะได้มีโอกาสเลือกเยอะๆตอนแอด พี่เชื่อแบบนั้นมาตลอด แต่พี่ไม่ใช่คนเรียนเก่ง ( และไม่เก่งเลยโดยเฉพาะ วิทย์-คณิต-ฟิสิก-เคมี-ชีวะ ) 55555555 แต่สุดท้ายก็แอดติด ( มหาลัยต่างจังหวัด ไกลมากกก ) แต่ก็โอเคคณะน่าจะถูกใจ แต่เหมือนคณะนั้นจะไม่ใช่ของๆเรา พี่จองตั๋วจะไปสัมภาษณ์ที่คณะ เก็บของบางส่วนไว้บ้างแล้ว แต่ญาติๆที่บ้านเศร้ามากตลอด 1 อาทิตย์ว่าพี่จะต้องไปเรียน แล้วเจอกันแค่เทอมละ1 ครั้ง สุดท้ายพี่เลยไม่ได้ไป ต้องทิ้งตั๋ว ทำให้พี่ต้องคิดหนักว่าเเล้วเราจะเรียนอะไร ? ในขณะนั้นเพื่อนๆก็เตรียมซื้อชุดนักศึกษากันแล้ว แต่พี่ต้องมานั่งอ่านหนังสือสอบใหม่....อีก หลังจากนั้นพี่จึงกล้าที่จะบอกครอบครัวว่า " อยากเรียนภาษาอังกฤษ ไม่เอาวิทย์คณิตอีกแล้ว.. ไหนๆก็เสียเวลาแล้ว หนูขอเรียนในสิ่งที่หนูอยากเรียน " ซึ่งโชคดีมากที่พ่อกับแม่ให้พี่ได้ลอง ปีนั้นพี่เลยเตรียมตัวเรียน สถาบันติวเตอร์ต่างๆเพื่อฝึกเขียน Writing, สอบ ielts, ทุกอย่างที่เด็กอินเตอร์ใช้ยื่นคะแนน ในที่สุด พี่ก็เลือกที่จะไปสอบ มหาวิทยาลัยมหิดลอินเตอร์ อีกประมาณ ไม่กี่อาทิตย์ ก็จะได้ไปสอบ (เพื่อนๆคงประมาณ ปี 1 เทอม2 ) แต่... พี่ก็รู้ว่า แม่พี่ต้องได้รับการผ่าตัด ในวันที่เราต้องไปสอบ ! พี่จึงตัดสินใจที่จะไม่สอบ แล้วไปโรงพยาบาลแทน เพราะคิดว่าถ้าสอบก็คงไม่มีสมาธิ+ทำออกมาไม่ดีแน่ๆ เลยคิดว่าเอาน่า เดี๋ยวเทอมหน้า ลองสอบก็ได้ (ซึ่งอีกประมาณ 3-4 เดือนหลังจากนั้น) ผ่านมาหลังจากกลับจากร.พ. .... พี่ก็เตรียมตัวอ่านนส.เหมือนเดิม และรอสมัคร รอ รอ รอ ปรากฎว่า ปีนั้นเป็นปีที่มหิดลไม่เปิดรับสมัครแล้ว แต่จะต้องรอสมัครปีหน้า ซึ่ง อีก 6 เดือน T____________T มันสุดบรรยายอะค่ะ กลัวมาก กลัวว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน 6 เดือนนั้นเป็น 6 เดือนที่อยู่บ้าน ใครถามลูกเรียนอะไร พ่อกับแม่ก็ได้แค่ตอบว่าซิ่ว รอสอบอยู่ปีหน้า ( รู้สึกเสียใจ อยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจสักที)  


ผ่านไป 6 เดือน พี่ก็ได้สอบ ปรากฏว่าติด Pre-college level 1 (มีทั้งหมด 4  level ก่อนจะเข้า college ) ตอนนั้นก็ดีใจนะที่จะได้เรียนแล้ว (เพื่อนๆ ก็กำลังเรียนปี 2) ทางบ้านก็ดีใจว่าได้เรียนใกล้บ้าน ละให้กำลังใจตลอด ว่าเรียนช้าไม่เป็นไร พื้นฐานจะได้แน่นๆ พี่ก็กำลังใจดี เรียนไป... แต่ด้วยที่เหมือนแบบ มันปรับตัวยากมากเลยอ่ะ เรียนไทยมาตลอด มาเจอแต่ภาษาอังกฤษ ต้องคิดแบบอังกฤษ ไหนจะ พูด ฟัง อ่าน เขียน ทุกอย่างมันยากสำหรับเรามาก พี่ก็โดนเรียนซ้ำ ( levelนึง เรียน 3 เดือน ) เครียดมากกกกกก ตอนนั้นที่คิดคือมันที่สุดแล้วอะสำหรับชีวิตการเรียน ไม่เคยสอบตก ไม่เคยโดนเรียนซ่อม แต่ต้องมาเรียนซ้ำ ละแบบ เรียนซ้ำในที่นี้คือ 1 level เรียน 3 เดือน ซ้ำก็ x2 = 6 เดือน/1 level ไหนจะมีปิดเทอมอีก เกือบ2 เดือน คือมันใช้เวลามากๆๆๆๆๆๆ แต่กำลังใจที่บ้านก็ยังดี คำถามที่เจอจากเพื่อนพ่อกับแม่คือ ลูกใกล้จบยัง? เรียนคณะอะไรนะ ? พ่อกับแม่ก็ยังต้องตอบว่า ซิ่วอยู่ ยังไม่เข้ามหาลัยเลย ( ตอนนั้นคือได้ยินพอดี มันเป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่าพ่อแม่ก็คงเสียใจ แต่ก็ให้กำลังใจเรา มันเสียใจกับตัวเองมากที่ ยังไม่เรียนที่ไหนสักที่เลย) มันนานไปแล้วอ่ะ เพื่อนๆจะปี3 เทอม 1 ละนะ -------


ก็เรียน Pre college มาเรื่อยๆ ชีวิตเริ่มดี มีเพื่อนสนิทมากๆ ทุกอย่างการเรียนเริ่มดี มีวันนึงได้อ่านหนังสือ " น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ 20 " (หรืออะไรสักอย่าง) ก็เปิดมุมมองว่าเออ ทำไมเราไม่ลองไปสอบที่อื่นบ้าง ที่นี่อาจจะไม่ใช่ของเรารึเปล่า เลยปรึกษาพ่อกับแม่ เขาก็บอกโอเคลองสิ โตแล้วน่าจะตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้น พี่ก็ไปเจอ SUIC (ศิลปากรอินเตอร์) ก็ดูเกี่ยวกับการโรงแรม น่าลองดูนะเลยยื่นใบสมัครไป ที่นั่นก็รับใบสมัครไป ปรากฎว่า 1 เดือนผ่านมาทางคณะบอกปีนี้จะไม่มีการเรียนการสอน คือพี่ก็แบบ เฮ้ย ไม่เคยแจ๊กพอตอะไรขนาดนี้อะ ปิดคณะเลยหรอ! TT ก็โอเคค่ะ เอาใบสมัครคืน ----- แล้วต่อมาพี่ก็เข้าไปเว็บ eduzone ก็เจอ BJM (วารสารอินเตอร์ ของ ม.ธ.) เปิดรับสมัคร ก็โอเคลองดูซิ ไปสอบ จนติดสัมภาษณ์อะไรเรียบร้อย กลับมาบ้าน อ่านน.ส. เรื่อง วิชาความคิด คุ้มค่าหน่วยกิตที่สุดในโลก (ต้องขอโทษด้วยค่ะ ชื่อนส.ประมาณนี้ นักเขียนคนเดิม) ก็รู้สึกสนใจเรื่อง business+society ก็เลยคิดว่า อยากเรียนอะไรแนวนี้จังเลย แต่คิดว่าคงไม่มีหรอก แต่!!!!  ไม่รู้ว่าจะต้องเชื่อกับโชคชะตาดีไหมหรือยังไง !!! เข้าเว็บไปเจอคณะ Global Study and Social Entrepreneurship ( GSSE ) ของม.ธ. ซึ่งเป็นคณะเปิดใหม่ กำลังเปิดเป็นปีที่ 2 (รับสมัครรอบที่ 2) ตอนนั้นมันแบบเห้ยยยย คือเหมือนในหนังสือ มันน่าเรียนมากๆ เลยสมัคร (ซึ่งรู้สึกว่าสอบหลายด่านจัง) แต่สุดท้ายก็ติด !! (ในปีที่เพื่อนๆ กำลังขึ้นปี4) 


อ่านมาถึงตรงนี้น้องๆคงเห็นถึงความรู้สึกหลายๆอย่าง กว่าพี่จะมีวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ กว่าจะได้เรียนมหาลัย กว่าจะได้ในสิ่งที่ชอบ ถึงตอนนี้คือกำลังศึกษาอยู่ มีความสุขมากค่ะ ถึงจะยากบางวิชา แต่คิดว่าชอบมากๆ และพี่ก็อยากให้กำลังใจน้องๆที่คิดซิ่ว พี่ว่าน้อยคนมากๆที่จะเป็นแบบพี่ 555 ขอให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราตัดสินใจ และเดินหน้าทำสิ่งๆนั้นให้ดีที่สุด เราเลือกที่จะเดินผ่านมันมาแล้ว เราไม่ได้เดินมาคนเดียวแต่เราเดินไปพร้อมกับพ่อ แม่ ความหวัง และ ความฝัน จำไว้แค่ว่า "เวลาไม่เคยเดินถอยหลัง" ฉะนั้นก้าวไปอย่างมั่นคง ดีกว่านั่งลงที่ปลายทาง..

*** ปล. ในปีนั้นหลังจากที่พี่ไปสอบคณะ GSSE ทางคณะ SUIC ก็โทรมาบอกว่าทางมหาลัยเราเปิดคณะใหม่เกี่ยวกับ marketing ถ้าน้องสนใจ ยื่นใบสมัครมาได้นะคะ ด้วยเหตุการ์ณนี้ทำให้พี่คิดว่า ที่ได้เรียน ณ ตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความสามารถ หรือ โชคชะตากันแน่ ! 

#ขอบคุณพ่อกับแม่และน้องสาว#ขอบคุณหนังสือเล่มนั้น#ขอบคุณคณะที่เปิดสอน#ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ#ขอบคุณกำลังใจจากเพื่อนร.ร.#และกำลังใจจากเพื่อนมหิดล 

สุดท้ายขอฝาก FB: https://www.facebook.com/English-Intime-1077311915688237/?fref=ts ( ของพี่กับเพื่อน เปิดเพื่อให้คำศัพท์และสอนเรียนเพื่อเตรียมเข้าคณะอินเตอร์)




ขอบคุณมากนะคะที่อ่าน มันยาวมากกกกกกกกกกกก TOT "   

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

ชะชะชะชะชะชะชิ 18 ก.ย. 59 เวลา 13:32 น. 1

เท่าทีอ่าน จขกท เป็นคนอ่อนไหวดีครับ การเรียนไกล ๆ ไม่ใช่สิ่งที่แย่นะครับ ห่างออกจากบ้านบ้าง มันก็มีโทรศัพท์ให้คุย Facetime บลา ๆ

เอาเถอะ คนเรามีอายุไข ประมาณ 80-90 ปี จะ เสียสละซักปีสองปี เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ทว่า ในละเรื่องที่ตัดสินใจนั้น ก็ต้องคิดอย่างรอบครอบ ไม่ควรด่วนตัดสินใจ ไม่เช่นนั้น จะเสียเวลากลับไปแก้ไข ไปเรื่อยๆ ครับ

0