สมัยนี้อาชีพนักเขียนยังมีตัวตนอยู่ใช่มั้ย
ตั้งกระทู้ใหม่
ปล. พอดีเราเป็นนักเขียนมือใหม่น่ะ หากพิมพ์ผิดประการใดขออภัยด้วยน้า
13 ความคิดเห็น
ผมว่า.... เพื่อนคุณตีโจทย์ผิดประเด็นไปไกลเลยนะ โดยเฉพาะตรงนี้น่ะ
ถ้าใครอยากรู้อะไรเขาก็จะไปหาข้อมูลในเน็ตเอา
หาในเน็ตเอานี่มันคือพวกข้อมูลอ้างอิง หรือพวกบทความไม่ใช่หรือครับ
ถ้าเป็นนิยายล่ะก็ ยังไงก็ต้องมีคนเขียนอยู่ดีถูกไหมล่ะครับ
ไม่มีคนเขียนนิยาย แล้วจะเอานิยายไหนอ่าน?
ไม่งั้นแล้วสิ่งที่เพื่อนคุณคิดน่าจะมองว่า นิยายรูปเล่มน่ะเริ่มถดถอย
ถ้ากรณีนี้น่ะพอฟังขึ้น เพราะทุกวันนี้สื่อสิ่งพิมพ์กำลังถูกกระแสไซเบอร์ ออนไลน์เข้ายึดตลาด เพราะเข้าถึงง่ายกว่า ไวกว่า ไม่ต้องลำบากเรื่องสายส่ง
ตอนนี้การ์ตูนรายสัปดาห์ทะยอยปิดไปจนจะหมดแล้ว ล่าสุดก็ CKid
หนังสือเกมก็เปลี่ยนตัวเองไปขายบนเน็ตแทนเช่นกัน
ยังไม่รวมถึงนิตยสารที่ไม่ปิดก็เปลี่ยนรูปแบบไป
วงการนิยายเองก็มีลู่ทางขายในเน็ตมากขึ้น ขนาด dek-d ยังมีระบบเหรียญเลย
เพราะงั้นมันก็ไม่ผิดนะ ถ้าเพื่อนคุณจะมองว่าสมัยนี้หาในเน็ตได้ง่ายขึ้น
แต่เขาคิดผิดว่าแค่ส่วนน้อยครับ
ทุกวันนี้อย่าว่าแต่นิยายเลย แค่บทความ รีวิว อะไรพวกนี้ก็เต็มเฟสเต็มบล็อคเต็มเพจทั้งหลายแล้ว คนชอบอ่านและคนชอบเขียนมีอีกเยอะครับ แต่ที่เดินตามฝันจนมีรูปเล่มผ่านทาง สนพ. น่ะ อันนี้ส่วนน้อยจริง แต่นักเขียนอิสระ นักเขียนสมัครเล่นมีเยอะแยะมากมาย
คือต้องทำใจอย่างว่าเรื่องบางเรื่องเนี่ย ถ้าไม่ได้เข้ามาคลุกคลีจริง
คนหนึ่งๆก็มักจะตัดสินในสิ่งที่เห็น หรือสิ่งที่ตนเชื่อนั่นแหล่ะครับ
มันอาจถูกในมุมมองเขา แต่ไม่ได้ถูกในข้อเท็จจริงเสมอไป
ถ้าไม่กระไร วันสัปดาห์หนังสือก็ลองลากเพื่อนไปเดินเล่นแล้วปล่อยกลางงานดูสิครับ
แล้วเขาจะเห็นอะไรในมุมกลับว่า... ตนเองคือส่วนน้อยที่อยู่ในส่วนมาก
เห็นด้วยทุกตัวอักษรค่ะ
แต่ก่อนแบร์อยากเป็นนักเขียนมากเหมือนกันค่ะ ^^
คนไม่อ่านนิยายแล้วไม่จริงหรอกค่ะ นิยายก็คือศิลปะ มนุษย์เรายังไงก็ต้องมีศิลปะในหัวใจอยู่ดี เพียงแต่มันอาจจะเปลี่ยนหน้าตาไปตามยุคสมัย เช่นจากกระดาษเป็นอีบุ้คส์อะไรก็ว่าไป แต่มันจะไม่มีวันหายไปค่ะ ไม่อย่างนั้นโรมิโอแอนด์จูเลียตคงไม่โด่งดังมาเป็นร้อยๆ ปีแบบนี้หรอก
อาชีพนักเขียนมีตัวตนไหม...? มีค่ะ มีแน่นอน ตราบใดที่ยังมีหนังสือก็ยังมีคนเขียนหนังสือ เพียงแต่ต้องยอมรับความจริงด้วยว่างานเขียนเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์นะคะ มันยากมากที่จะประสบความสำเร็จเพราะคู่แข่งมันเยอะไปหมด
พอมาได้ทำจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันยึดเป็นอาชีพได้นะคะ แต่คุณต้องมีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา สั่งสมบารมีมาพอสมควร และมันต้องใช้เวลา มันเหนื่อยมากค่ะกว่าจะ success เป็นนักเขียนมันใช้ทักษะทุกด้านนะคะ รวมทั้งดวงด้วย ถ้าจะแนะนำคือยึดเป็นอาชีพเสริมอย่างว่านั่นแหละค่ะ
แต่พอมันประสบความสำเร็จขึ้นมาแล้วมันหายเหนื่อยเลยนะคะ ^^ มันคุ้มมาก แบร์รู้จักพี่ที่เป็นนักเขียนมากมาย ยังไม่เห็นใครอดตายนะคะ ^^ พวกเขาก็ยังยึดเป็นอาชีพและเรียกตัวเองว่านักเขียน
สู้ ๆ นะคะ ไม่ต้องท้อไป การซื่อสัตย์ต่อความฝันไม่เคยทรยศใคร แบร์พิสูจน์มาแล้ว ^___^
อย่าซีเรียสค่ะ...ตราบใดที่ยังมีความฝันอย่าเพิ่งท้อ ยิ่งตอนนี้มีช่องทางให้เผยแพร่ผลงานมากมายเราว่าเป็นโอกาสอันดีนะคะ
เราอ่อนไหวกับคำพูดได้แต่ห้ามอ่อนแอหรือท้อแท้ค่ะ
คนที่ไม่ได้ทำงานประจำ เขียนนิยาย..ส่งสำนักพิมพ์บ้าง..ทำอีบุกเองบ้าง
และก็มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองในแต่ละปี
แต่แน่นอนว่าไม่ได้ล่ำซำขนาดซื้อบ้านซื้อรถได้..พอแค่เลี้ยงตัวเองไปเท่านั้น
นักเขียนพวกนี้มีค่ะ มีข้อแม้คือฐานะทางบ้านไม่เลวร้ายนัก และต้องคุยกับคนในครอบครัวให้เข้าใจ
ตอนนี้สำนักพิมพ์และสื่อนิตยสารกำลังทรุดจริงค่ะ
แต่หนังสือเล่มยังพอไปได้...
นักเขียนบางคนที่เรารู้จัก..นางเขียนเอง..ทำอีบุกทำเล่มเอง(ถนัดแนวจีนที่กำลังฮิตกันตอนนี้)
นางบอกว่าก็พออยู่ได้สบายๆ (แบบว่านางสมถะด้วยแหละ)
นักเขียนไม่มีความหมาย?
สมัยนี้ไม่อ่านนิยายกันแล้ว?
ถ้าคุณให้ราคากับคำพูดทุกคน ชีวิตจะอยู่ยากครับ
กลั่นกรองหน่อยก่อนจิตตก ว่าอันไหนเป็นคำพูดผู้รู้
อันไหนเป็นคำพูดของคนที่เก็บสมองไว้ในกะลา
มี แต่มีเป็นส่วนน้อย เมื่อเทียบกับสายอาชีพอื่น
ยึดจับเป็นอาชีพจริงๆ หายาก บางคนก็ไหว บางคนก็ไม่ไหว
ส่วนเรื่องข้อความที่ว่า "สมัยนี้ไม่มีใครเขาอ่านนิยายกันแล้ว"
ก็ต้องเรียนตามตรงว่า หนัง ภาพยนตร์ ละคร ซีรีย์ ละครเวที ทั้งหมดล้วนใช้ทักษะการแต่งเรื่อง และมันก็ไม่หนีไปจากการเขียนอยู่ดี
เรื่องราวต่างๆ ที่รายล้อมเราอยู่ มีส่วนของการเขียนไม่มากก็น้อย
เพื่อนคุณคงนึกว่านักเขียนแต่งแต่นิยายเล่มเท่านั้นล่ะสิ ซึ่งขอบอกเลยว่า นักแต่งเรื่อง หรือนักเขียน ทำได้มากกว่าเขียนนิยายเป็นเล่มเน้อ....
//สถานการณ์ปัจจุบันที่คาดเดา น่าจะประมาณนี้
สื่อสิ่งพิมพ์ไม่โตเท่าที่ควร
นิตรสารลาแผงไปเรื่อยๆ
สื่อออนไลน์เติบโตก้าวกระโดด
คนเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
คนมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินผ่านเน็ตมากขึ้น
โลกกำลังเปลี่ยน.... แค่เราไปยืนอยู่ให้ถูกจุด แค่นี้ก็ไม่น่าจะอดตายแล้ว
ถ้าคุณเจ๋ง คุณมีแพชชั่น คุณจะไปกลัวอะไร
ถ้าคุณชอบในการเขียนจริง ๆ ชอบการคิด การจินตนาการ เขียนต่อไปนั่นแหละ
จริง ๆ แล้วถ้าคุณชอบในการเขียน อาชีพบนโลกใบไม่ได้มีแค่นักเขียนนิยายนะ มันมีนักเขียนบทละคร นักแปล ฯลฯ ยังไงถ้าคุณชอบแล้วทำได้ดี มันมีหนทางอีกเยอะ
วรรณกรรมไม่มีวันตาย
ตามหานักเขียนหรือผู้มีใจรักด้านงานเขียน มีความสามารถในการแต่งบทความภาษาไทย ตามหัวข้อที่กำหนดได้ โดยต้องไม่ก๊อปจากในเน็ต และต้องไม่เอาบทความจากในเน็ตมาเปลี่ยนคำเหมือน/คำพ้อง(spin) มีเวลาทำงาน ส่งงานตรงเวลา
จะมีงานเขียนบทความเข้ามาให้เรื่อยๆครับ จะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือท่านที่อยู่บ้านอยู่แล้ว อยากหาอาชีพสร้างรายได้เสริม ได้หมดครับ
ท่านที่สนใจ สามารถติดต่อได้ที่ Line ID : customerservice99
โดยผมจะให้ทดลองแต่งบทความดูว่าผ่านไหมก่อนนะครับ(เช็คว่าไม่ก๊อปมา หรือไม่pin) หรือจะแต่งมาเองแล้วมาให้ผมดูก่อนได้ครับ
ถ้าสมัยนี้เขาไม่อ่านนิยายกันแล้ว แล้วทำไมแฮร์รี่พอตเตอร์ของท่านเจ.เค.โรว์ลิ่งถึงยังขายดิบขายดีล่ะค่ะ
ไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะถ้าคุณยังมีความฝันอยู่
เราว่าไม่ใช่และละ ที่ว่าอยากรู้อะไรก็หาเอาในเน็ตนะจริงอยู่นะคะ แต่ไม่ใช่กับนิยายละมั้ง ข้อมูลพื้นฐานหรือข้อมูลอื่นๆหาในเน็ตได้อยู่แล้วค่ะ ใครๆก็ทราบดี แต่นิยายมันไม่ใช่แล้วมั้ง นิยายสร้างมาเพื่อให้ความเพลิดเพลิน จรรโลงใจนะคะ ไม่ใช่ข้อมูลใช้ในชีวิตประจำวันหรือนำมาทำรายงานส่งอาจารย์
อาชีพนักเขียนมีความหมายมากนะคะ หากไม่มีนักเขียนแล้วจะมีหนังสือออกมาให้เราอ่านหาความรู้หรอค่ะ?? เราว่าเพื่อนคุณตีกรอบความคิดทางด้านนี้มากเกินไปนะ นักเขียนมีอยู่มากมายค่ะ แค่เราอาจจะไม่รู้หรือเห็นตัวตนของเขา เพราะเขาไม่ได้ออกมาบอกว่า นี่ฉันเป็นนักเขียนเล่มนู้นนี้นั่นนะ บลาๆๆๆๆๆ ฉันเริศฉันเด่นฉันดังฉันปัง โอ้ลั้ลลา
คามคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
เราว่าอาชีพนักเขียนไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่อยากจะถ่ายทอดอะไรบางอย่างให้กับคนที่อ่านเท่านั้นเอง อาชีพนักเขียนมีความหมายมากนะคะ เพราะมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังท้อหรือหมดหวังได้ เปลี่ยนความคิดและเปิดโลกกระทัดคนๆหนึ่งได้ เล่าเรื่องราวและสอนบทเรียนบางอย่างให้กับใครหลายๆคนเพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของอีกคนได้ หากไม่มีนักเขียนแล้ว เราจะหาความรู้จากไหนหรอค่ะ ? นิยายบางเรื่องให้ข้อคิดมากมายนะคะ เราคิดว่านักเขียนก็เหมือนกับอาชีพครู ที่สอนให้เราเรียนรู้ ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ ได้ทัศนคติ ได้ข้อคิด ที่จะทำให้คนๆหนึ่งเติบโตขึ้นเป็นคนดีได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะบอกให้อ่านหนังสือเยอะๆหรอคะ??
ถึง จขกท.
ถ้าให้เราแนะนำนะ อย่าไปสนใจเลยค่ะ เราทำในสิ่งที่เราชอบ ในสิ่งที่เรารักอยากจะทำ
เข้าใจนะคะเพื่อน จขกท อาจจะหวังดีอยากให้จขกทมีอาชีพการงานที่ดีในอนาคต แต่เรื่องจะให้เลิกทำในสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่รักเนี่ยมันผิดประเด็นไปหน่อยนะ อย่าไปคิดมากเลยนะคะ ชีวิตเรามันสั้นนะคะ เกิดมาทั้งทีทำในสิ่งที่เราต้องการดีกว่าไหม ดีกว่ามานั่งเสียดายที่ไม่ได้ทำมันนะคะ และในเมื่อได้ทำแล้วก็ทำให้เต็มที่นะ ชีวิตเราเราเลือกได้เองนะคะ อย่าให้คำพูดของคนอื่นมาทำให้เรานั่งเสียใจสิ แล้วถึงเขาจะวิตกกังวลไปก็ไม่ได้อะไรด้วยรังแต่จะทำให้เรากลุ้มใจเปล่าๆ ถ้าจขกทไม่รู้สึกโอเคกับสิ่งที่เพื่อนพูด เราอยากให้จขกทเข้าใจเพื่อนด้วยนะคะ เขาอาจจะหวังดีกับเรา แต่เขาไม่รู้แล้วแสดงความคิดเห็นในส่วนที่ตรงข้ามกับความคิดของเรา มันไม่ผิดนะคะ แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเขาไม่ได้ชอบหรือรักในสิ่งที่เราชอบ เขาเลยอาจจะมองไม่เห็นส่วนนี้ ในทางกลับกันหากเพื่อนจขกทชอบหรือรักในสิ่งๆหนึ่งแต่จขกทไม่ชอบมันแล้วเห็นว่ามันไม่เห็นจะทำให้ชีวิตเพื่อนประสบความสำเร็จหรือดีขึ้นเลย จขกทก็อาจจะพูดแบบเดียวกันกับเพื่อนก็ได้นะคะ อย่าเก็บมันมาเป็นอารมณ์ก็พอค่ะ แค่เราเข้าใจก็บอกเขาไปว่า เราชอบเรารัก อยากที่จะทำมัน เราว่าเพื่อนจขกทเข้าใจแน่นอนค่ะ เพราะทุกคนก็มีสิ่งที่รักและชอบอยากจะทำมันเหมือนๆกันทั้งนั้น แค่มันแตกต่างกันออกไป แค่นั้นเอง
ยังไงก็สู้ๆนะคะ สังคมต้องการนักเขียนอีกมากค่ะ ไม่ใช่น้อยนะเราว่า อิอิ
ตราบใดที่ยังมีละคร มีหนัง หรือแม้แต่บทเรียนในตำรา นิยายก็ยังมีอยู่ค่ะ จขกทไม่ต้องคิดมากไป
ส่วนที่เพื่อนคุณพูดมันก็อาจจะถูกแค่บ้างส่วน เพราะสมัยนี้ทุกอย่างคือเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วเจอทุกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าอินเตอร์เน็ตจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องเสมอไป เราก็ต้องมาพิจารณาเองว่าสารที่เราได้รับมีความถูกต้องแค่ไหน
ปล. เราว่าต่อให้อีกสิบปีหรือร้อยปีข้างหน้าไม่ว่านิยายจะอยู่ในรูปแบบไหน นิยายก็จะยังคงอมตะคู่ควรกับมนุษย์ผู้ต้องศึกษาเรียนรู้ค่ะ
ประเด็นที่เพื่อนพูดคือ "เขาเป็นห่วงว่าจะอดตาย" แค่นั้นแหละครับ
ส่วนเรื่องข้อมูลอะไรที่เขาพูดมาไม่ต้องไปเถียงด้วยเลย ไร้สาระมาก
ถามหน่อย รู้จักแฮรี่ พ็อตเตอร์มั้ย? ถ้าไม่ใช่นิยายแล้วนั่นคืออะไร?
อีกอย่าง อาทิตย์หน้าก็งานหนังสือแล้ว คิดว่ามีนิยายกี่เล่มล่ะที่คนไทยไปซื้อกัน
สิ่งบันเทิงมันอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่ยุคที่คนเริ่มทำอาหารเป็นแล้วครับ และมันจะอยู่ต่อไปจนกระทั่งมนุษยชาติล่มสลาย
นิยายคือสื่อบันเทิง และสามารถแปรรูปแบบไปได้หลากหลาย นักเขียนสามารถนำความสามารถไปสร้างสิ่งบันเทิงรูปแบบอื่นได้ไม่จำกัด หากนิยายขายไม่ได้ก็เอาความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการสร้างเรื่องราวไปเขียนบทหนัง เขียนโฆษณา ออกแบบผลิตภัณฑ์ ทำเว็บ ขายสินค้า ฯลฯ ได้อีกมากมาย
ถ้าหนังสือเป็นเล่มจะหายไปจากโลกก็ไม่มีผลกระทบต่อนักเขียนอยู่ดี เพราะงานของนักเขียนคือการสร้างเรื่องราวดีๆออกมา ส่วนคนจะอ่านในกระดาษหรือจากหน้าจอก็ไม่ใช่ปัญหาของนักเขียน
ทว่า ที่เพื่อนเป็นห่วงนั่นก็ทำความเข้าใจได้ เพราะการทำงานเป็นลูกน้องแล้วรอรับเงินมันมีเงินเข้าทุกเดือน
แต่หาเงินจากการเขียนหนังสือหรือเขียนนิยาย "มันต้องใช้ความสามารถมากกว่าการรับคำสั่งหัวหน้า" คนที่ไร้ความพยายามจึงมีโอกาสไส้แห้งสูง
การหาเลี้ยงชีพด้วยการเขียนนิยายมันต้องใช้ความทุ่มเทครับ คนที่หวังใช้พรสวรรค์หากินจะอยู่ได้ไม่นานถ้าไม่พัฒนาตนเองเรื่อยๆ
นักเขียนดังๆ ทั่วโลกมีแต่คนที่ทุ่มเทกับผลงานทั้งนั้น คนแต่งเรื่องDuneใช้เวลาหาข้อมูล6ปีกว่าจะเขียนจบ1เล่ม(แล้วก็รวยไปเลย)
คนแต่งแฮรี่ พ็อตเตอร์ก็ต้องทนยากจนตั้งหลายปีกว่าจะเขียนจบและงานได้ตีพิมพ์
คือถ้าอยากหาเลี้ยงชีพด้วยการเขียนนิยายอย่างเดียวล้วนๆ มันต้องทุ่มเทมากกว่าพนักงานออฟฟิศเยอะครับ
อยู่ที่ว่ามีใจรักมากพอที่จะทนลำบากก่อนที่นามปากกาของเราจะดังรึเปล่า
ถ้าคิดจะเลี้ยงชีพด้วยสิ่งนี้จริงๆต้องมองไกลกว่า "ขอแค่ได้ตีพิมพ์ซักเล่มก็พอ" ครับ
มันต้องสร้างผลงานที่ดีและได้รับการยอมรับจนสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานอื่นอีก
อาจเขียนเรื่องที่ยอดเยี่ยมจนได้พิมพ์ซ้ำหรือเอาไปทำเป็นสื่ออื่น ไม่ก็เขียนเรื่องใหม่ๆที่ขายได้เรื่อยๆ จนมีเงินอยู่ได้ไม่เดือดร้อน
แต่ถ้าไม่มีความตั้งใจถึงขนาดนั้น แค่อยากเขียนจบได้ตีพิมพ์บ้างก็พอ แบบนั้นจำเป็นต้องมีงานอื่นเลี้ยงชีพด้วยครับ ถ้าเราแบ่งเวลาได้ก็ไม่มีปัญหา
หรือสำหรับคนที่อยากทำเป็นงานอดิเรก ก็ยิ่งไม่มีปัญหา เราอยากใช้เวลาว่างทำเรื่องที่มีความสุขและไม่เดือดร้อนใคร มันต่างจากดูหนัง ดูละคร เล่นเกม กินบุฟเฟ่ต์ตรงไหนล่ะครับ
การทำอะไรที่ตัวเองมีความสุขนั้นไม่ใช่การเหนื่อยเปล่าแน่นอนครับ
ขอย้ำอีกรอบ...
ความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งบันเทิง มันจะยังเป็นที่ต้องการไปจนกระทั่งมนุษยชาติล่มสลายนั่นแหละครับ
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคทองของนักเขียนนิยาย แต่งานเขียนก็ไม่ตาย ขึ้นอยู่ว่าเราจะปรับตัวยังไง เราก็เคยเป็นนักเขียน ไปๆมาๆ เราก็ไม่ได้ยึดเป็นอาชีพ หันไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่จิตใจอยากเขียนก็ยังมีอยู่ แต่คงไม่เขียนส่งสำนักพิมพ์แล้วล่ะ หมดยุคแล้ว ถ้าเขียนเสร็จคงส่งประกวดไม่ก็อัพลงบล็อค ลงเฟสบุ๊คอะไรประมาณนั้น คือถ้ากะเอาเงินกับงานเขียนโดยทำแบบนักเขียนโบราณ ส่งงานไปให้สำนักพิมพ์แลกกับเงินค่าเรื่อง เราว่าไม่ไหวแล้วอ่ะ แต่แนวทางประยุกต์ให้ทันสมัยมันมีอยู่
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?