Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรื่องเล่าจากเด็กโง่

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ยาวหน่อยนะคะ เราไม่อยากจะเขียนมันในหลายๆกระทู้แล้วต้องเอามาปะติดปะต่อกัน จริงๆตัวเรื่องไม่ได้น่าสนใจอะไรหรอกค่ะ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องเล็กๆของใครอีกหลายคนเลยก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นเด็กผู้หญิงคนนึงค่ะจากต่างถิ่น เกิดจับพัดจับพูได้มาอยู่ในจังหวัดที่ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว มีผู้คนมากหน้าหลายจากทุกแห่งหน ทุกๆอย่างดำเนินมาด้วยดีค่ะ มันดีมากซ่ะด้วยซ้ำ  วันนึงเราได้เจอกับพี่คนนึง ตอนนั้นคงจะปีหนึ่งได้หลังจากที่รับน้องเสร็จใหม่ๆ มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากค่ะ ได้คนๆนึงดูแลเราก็คงจะดี พี่เค้าอยู่ปี 4 ค่ะ ใช่เลย เขาเป็นปีรับของน้องปีหนึ่งโง่ๆคนนี้นี่เอง เราสนิทกันมาก จนเรียกได้ว่าใครๆก็คงอิจฉาที่เราสนิทกับพี่เขา เราเป็นผู้หญิงห้าวๆนะคะ ออกจะแมนๆเลยด้วยซ้ำ แต่ที่น่าแปลกที่สุดคงจะเป็นเพราะพี่เขาคนนั้นเป็นเพศที่สาม อย่างที่ทุกคนคิดแหละค่ะ เขาคือกะเทย คนนึงในคณะที่ค่อนข้างมีหน้ามีตามากๆ แปลกนะคะที่อยู่ดีๆผู้หญิงห้าวๆออกจะแมนๆคนนี้ได้เป็นแฟนกับกะเทย เรื่องของดังไปทั่วคณะ บวกกับพี่เขารู้จักกับเพื่อนต่างคณะเยอะด้วยเรียกว่าเป็นที่จับตามองเลยก็ว่าได้ รักของเราดำเนินมาด้วยดีค่ะ เราดูแลกันและกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน เหมือนคู่อื่นๆทั่วไปแหละค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง เราเดินมาถึงจุดที่ไม่เข้าใจกันค่ะ เราดันไปสนิทกับน้องคนนึงมากๆ น้องเค้าน่ารักดีค่ะ เป็นน้องคณะคนนึงในวันที่เราเป็นปีสองแล้ว พี่เขาก็ปีห้า เป็นเวลาของการฝึกสอน เราอยู่คอนโดด้วยกันก็จริงค่ะ แต่เราเจอกันน้อยมาก เราเองก็ติดคณะในตอนนั้น พี่เขาก็ต้องไปโรงเรียน ไปสอนทุกวัน ออกจากคอนโดก็ 07.30 กลับมาก็ค่ำๆ ซึ่งตอนเช้าตอนเขาออกไปเราก็ยังหลับอยู่เขาเลยไม่ได้ปลุก ในเวลาที่เขากลับมาคอนโด เราก็ยังไม่กลับจนพี่เค้าหลับไปแล้ว เป็นอย่างงี้ซ้ำๆทุกวันเลยค่ะ เกือบเดือนมันทำให้เรากะน้องคนนั้นสนิทกันเกินพี่น้อง จนเราต้องเลิกกับพี่เขา แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ เราอยู่ด้วยกันก็ใกล้กันแค่เพียงตัว เวลาที่มีให้กันมันน้อยลง บอมรับผิดทุกประการค่ะ ไม่อธิบายแล้วน่าจะดีกว่า มันคืออดีตนี่คะ พูดไปก็กลับไปแก้ไขมันไม่ได้ ... ตอนนี้เราปี 3 แล้วค่ะ กลับมาเป็นคนที่ต้องดูแลตัวเอง ภายในคอนโดที่กว้างเพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่ที่พีคที่สุดในชีวิตแล้วคือหลังจากนี้ค่ะ เราเกิดอาการนอนไม่หลับเป็นเดือน กลางวันง่วงมากแต่กลางคืนกลับไม่หลับไม่นอนเลย อยู่ได้จนถึงเช้ามันเหมือนโลกเรากลับด้านไปเลย แปดโมงเช้าของทุกวันคือสัญญาณของการนอน ส่วนหลังจากหนึ่งทุ่มตาเราจะสว่างมากค่ะ คืนนึงดูหนังได้สามสี่เรื่องจนถึงเช้าโดยไม่มีอาการง่วงแต่อย่างใด แต่นั่นแหละค่ะ แปดโมงเหมือนกดปุ่มให้ตัวเองหลับ ภาพตัดไปเลย จนรู้สึกตัวแล้วว่าหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆชีวิตเราคงลำบากแน่ๆกับการต้องไปเรียนแปดโมง เตรียมตัวทำงานเยอะๆที่อาจารย์สั่งแบบไม่ปราณีใดๆ วันแรกที่เราตัดสินใจไปหาหมอ หมอบอกแค่ว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ สระผมมาด้วย พร้อมยานอนหลับให้เราเพียงแค่หนึ่งเม็ดที่ใช้ทานในคืนนั้น เช้าแล้วต้องไปหาหมอสินะ เราเดินไปยื่นบัตรนัดพร้อมกับบอกหมอว่ามาตามที่หมอบอกแล้วค่ะ หมอก็พาไปที่ห้องๆนึง ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก เหมือนห้องพักฝื้นของคนไข้ทั่วๆไปแหละค่ะ แต่ในห้องนั้น มีสายโน่นสายนี่เต็มไปหมดพร้อมเครื่องบ้าบอคอแตกอะไรไม่รู้อยู่ตรงหัวเตียง จากนั้นไม่นาน ก็มีพยาบาลเดินหน้ายิ้มแป้นมาหาเราพร้อมบอกว่าเดี๋ยวพยาบาลจะขอวัดเครื่องสมองหน่อยนะคะ ใช้เวลาเพียงไม่นานค่ะ ไม่เจ็บ ไม่ปวดใดๆทั้งสิ้น พยาบาลก็นำสายที่บอกไปตอนต้นมาแป๊ะที่หัวทั่วไปหมด มันเหนียวมากค่ะ จากนั้นพยาบาลก็ให้เรานอนโง่ๆบนเตียงพร้อมแอร์หนาวๆอย่างสบายใจ พยาบาลกลับมาแล้วค่ะ แกะทุกอย่างออกหมดพร้อมทั้งให้ไปอาบน้ำและลงไปหาหมอที่ชั้นหนึ่งค่ะ พบหมอครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมค่ะ หมอให้ยานอนหลับเรามา 3 เม็ดพร้อมบอกแค่ว่า อีกสามวันเจอกันนะ ใช่ค่ะ หมอนัดเราอีกแล้ว ระหว่างนั้นยาสามเม็ดนี้ในแต่ละคืนไม่ได้ทำให้เราหลับได้เลยแต่อย่างใดค่ะ ยังคงนั่งโง่ๆ จนเช้าเหมือนเดิม เหงาสิคะ อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหละ ใครจะมาคุยกับเราได้ทั้งคืน เพื่อนเองมันก็คงต้องหลับตามปรกติของคนอยู่แล้ว เช้าวันที่สามมาถึงแล้วค่ะ เราเดินโง่ๆไปหน้าเคาท์เตอร์เหมือนเดิมค่ะ พร้อมบัตรนัดและบอกพยาบาลว่าหนูมาตามนัดแล้วค่ะ รอประมาณครึ่งชม.ก็ได้เข้าไปพบหมอค่ะ ต้องบอกก่อนนะคะว่าเรามาเรียนที่นี่เพียงคนเดียว เข้าห้องตรวจไปเจอเก้าอี้สองตัวขวางด้วยโต๊ะและหมอก็นั่งอยู่หลังโต๊ะนั้น หมอเชิญเรานั่งค่ะ ถามว่ามากับใครบ้าง เราตอบไปว่ามาคนเดียวค่ะ เราเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าหากหมอถามแบบนี้มันหมายความว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ เราตั้งสติอีกครั้งค่ะ หมอก็ชวนคุยเรื่องอื่นไปได้อีกสักพัก จากนั้นไม่นานค่ะหมอก็บอกว่า โอเควันนี้เรารู้แล้วเนาะว่าต้องมาฟังผลที่เราตรวจคลื่นสมองไป เราตอบอย่างทันควันเลยค่ะ ว่าใช่แล้วค่ะวันนี้ต้องทราบผลแล้ว หมอตอบมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นห่วงด้วยคำว่า ' คลื่นสองเราผิดปกตินะ ' หูดับสิคะ มันอื้อไปหมด เหมือนในห้องนั้นคือห้องโล่งๆ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ไม่มีหมอและพยาบาล พอตั้งสติได้ เราถามหมอกลับไปว่า หนูจะกินเหล้าไม่ได้แล้วใช่มั้ยคะ เพื่อกลบน้ำตาที่กำลังจะไหล-ิ้มค่ะและบอกกับเราอย่างมั่นใจว่า หมอจะทำให้หนูหายนะ พร้อมยิ้มพอที่จะทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า สองสามปีต่อจากนี้เราจะมีผู้ช่วยทางสมองคนนี้อยู่ข้างๆ ออกจากห้องตรวจมาก็หยิบโทรศัพท์กดเบอร์ที่เราจำได้ไม่เคยลืมเลยคือเบอร์พ่อค่ะ โทรไปแอบหัวเราะเบาๆ ว่าผลตรวจออกแล้วนะ พ่อถามกลับโดยไม่รอให้จบประโยคเลยค่ะ เป็นไงบ้างไม่มีไรใช่มั้ย เราไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงเลยค่ะ แต่ก็ต้องบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า คลื่นสมองผิดปกตินะ เราทั้งคู่เงียบค่ะ ไม่มีเสียงใดๆทั้งสิ้นนานพอที่จะทำให้รู้ว่าพ่อเองก็ช๊อคไม่น้อย พอพูดกลับมาคำเดียวค่ะว่า ลูกต้องหายนะ พ่ออยู่ตรงนี้แม่ด้วยน้องอีกหนึ่งแรงนะ ใช่ค่ะ น้ำเสียงสั่นจนรู้ได้ว่าพ่อร้องไห้ เราทั้งคู่วางสายไป ไม่ต้องสงสัยนะคะ เราร้องไห้กลางโรงพยาบาลทั้งที่มีคนเยอะแยะนั่นแหละค่ะ ครึ่งนี้หมอจ่ายยา2ตัวค่ะ ตัวแรกเป็นยานอนหลับ ตัวนี้จะแรงกว่าตัวที่แล้ว และอีกตัวคือยาที่ต้องกินเพื่อปรับคลื่นสมองให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งยาสองตัวนี้เอฟเฟคของยาแรงมากค่ะ มันทำให้เราเบลอไปเลยในตอนเช้า แต่แน่นอนค่ะ สิ่งที่ตามมาของเราคือสภาพจิตใจแย่มากจนหมอประสาทต้องส่งตัวไปพบกับจิตย์แพทย์เพื่อจัดการกับอารมณ์ที่ค่อนข้างจะแย่ หมอก็จ่ายยาเพิ่มค่ะ ไม่พูดเยอะ แต่ใช้เคมีในการรักษาซ่ะมากกว่า ได้ยาเพิ่มอีก 1 ตัวค่ะ เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างที่ทุกคนอ่านนั่นแหละค่ะ โรคซึมเศร้า พยายามที่จะหายไปจากโลกนี้ตั้งหลายครั้ง เราคิดแค่ว่าการที่ไม่มีเราอยู่บนโลกนี้เงินเดือนของพ่อแม่คงจะเหลือพอที่จะทำให้ครอบครัวเราสบายกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้และคิดด้วยว่าถ้าไม่มีเราใครหลายๆคนคงสบายใจมาก มันเป็นโรคที่คนมองว่าไร้สาระ พูดต่างๆนาๆเพื่อให้มันดีขึ้นแต่ไม่เลยค่ะมันแย่ลงมาก เราเก็บตัวอยู่ในห้อง เอายาและทุกๆอย่างที่พอจะทำให้เราตายได้ทิ้งไปหมด เอาเป็นว่า ใครไม่รู้กิตติศัพท์ของโรคนี้ลองหาอ่านกันดูนะคะ เรากินยา 3 ตัวนี้ทุกวันทุกคืนค่ะ หมอปรับยาแล้วปรับยาอีก เพราะเวลากินไปเยอะๆมันทำให้เรามีอาการเหมือนคนเมาตลอดเวลา พูดกับใครไม่รู้เรื่อง เบลอ เรียนไม่ได้ จนเราได้กลับบ้านในช่วงปิดยาวของสงกรานต์ค่ะ กลับไปนานหน่อยตั้ง9 วันนี่ยาวที่สุดของปีแล้วนะคะ ปกติเรากลับบ้านปีละ 2 ครั้งค่ะ แล้วแต่ช่วงเวลาอีกที กลับบ้านครั้งนี้เราชาร์ตพลังเต็มที่ กลับมาได้สองวัน เราก็ต้องไปตามหมอนัดค่ะ ครั้งนี้พบพร้อมกันสองท่านเลยทั้งแพทย์ประสาทและจิตย์แพทย์ จิตย์แพทย์ยังคงยืนยันคำเดิมค่ะ 555 ดูตลกนิดหน่อย เพราะเรายังคงต้องทานยารักษาโรคซึมเศร้าต่อไป แต่สิ่งที่แย่อยู่ตรงนี้ค่ะ ความทรงจำของเรากลับน้อยลง พื้นที่ในสมองทั้งความจำระยะสั้นและระยะยาวของเรามันกลับหายไป นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ว่าเป็นยังไง งง ใช่มั้ยคะ แบบนี้ค่ะ ง่ายๆเลยคือ เราจำไม่ได้ว่าเมื่อ 5 นาทีที่ผ่านมาเราทำอะไรไปในความรู้สึกแบบไหน และเช่นเดียวกันกับความจำระยะยาวค่ะ เราจำไม่ได้ว่าเราพูดอะไรกับใครไปบ้าง เราจำไม่ได้ว่าหนังสือเล่มนี้หน้านี้เรียนไปเมื่อไหร่ มันแย่นะคะ กับนักศึกษาปีสาม อยู่คนเดียวที่ห่างไกลกับบ้านกว่า 1500 กิโล แต่เชื่อมั้ยคะ ยารักษาโรคซึมเศ้ราไม่ได้ทำให้เราร้องไห้เลยแม้ว่าจิตใจเราจะแย่แค่ไหนก็ตาม เรื่องที่ควรเครียดเรากลับยิ้มได้โดยไม่กังวลใดๆ แต่รู้ค่ะว่าลึกๆแล้วเราเครียดมาก ต่อนะคะ หมอประสาทเพิ่มยามาอีก 1 ตัวค่ะ เป็นยาเพิ่มความจำอะไรซักอย่างมันเป็นศัพท์ทางการแพทย์ค่ะ ไม่รู้อะไรของเค้าเหมือนกัน เป็นอันว่าตอนนี้เราต้องกินยาสี่ตัว พร้อมกับเอฟเฟคของยาแต่ละตัวที่โคตรจะแรง ช่วงแรกปรับกันเยอะค่ะ เดี๋ยวก็ต้องปรับโน่นปรับนี่ความทรงจำก็น้อยลงเรื่อยๆ เพื่อนๆก็เข้าใจนะคะ คอยเป็นกำลังใจให้เสมอๆ ต้องขอบคุณทุกๆคนที่เป็นกำลังใจให้ อาจารย์ที่ปรึกษาเราก็น่ารักมากค่ะ โทรถามอาการไม่ขาดสาย ในเวลาที่เราไปพบท่านที่ภาควิชา มักจะเห็นสีหน้าที่ดูกังวลแต่ต้องพยายามยิ้มให้กับเราค่ะ เราเป็นประธานสาขาที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ว่ามั้ยคะ อาจารย์พยายามช่วยเราทุกทางเลยค่ะ เราโชคดีที่มีเพื่อน อาจารย์และคนรอบข้างรวมถึงครอบครัวที่ค่อนข้างดีที่สุดแล้ว เอ้ออ ใช่ค่ะยังมีอีกหนึ่งคนที่เขาเองก็สำคัญไม่น้อยเลย คือวิทยากรท่านหนึ่งคะที่มาพูดบนเวทีที่มีคนฟังเป็นร้อย แต่เราเองที่พยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้คุยกับวิทยากรท่านนั้น เขาคืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะเก่งใช่มั้ยที่เราจำเขาได้เพียงแค่ชื่อแต่สามารถคุยกับอาจารย์ท่านนี้ได้ท่านคอยให้คำปรึกษาอยู่ตลอดขอบคุณทุกๆท่านเลยนะคะ จากนี้ไปไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเหมือนกัน ที่เราจะกลับมาเป็นคนเดิม อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้นแหละค่ะ ว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องเล็กๆๆๆ ของใครหลายๆคนเลย เราเองก็จะสู้ให้ถึงที่สุดแล้วกันนะคะ ขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนจบ ไว้เรามีเรื่องราวต่อจากนี้จะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ อค่อย่าจะแชร์ว่าช่วงชีวิตที่เราแย่ที่สุดในชีวิตนักศึกษาคนนี้เป็นยังไงและเชื่อว่าอีกหลายๆคนบนโลกนี้คงมีเหตุการณ์ในชีวิตที่คล้ายๆกัน สู้ๆนะคะ เราเป็นกำลังใจให้ : )

เราไม่รู้จะแท๊กในหมวดไหนดี ขอโทษด้วยนะคะ ภาษาก็อาจจะไม่ค่อยเพราะเท่าที่ควรแต่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจแล้วค่ะ 
#พิมพ์พลาดเยอะเพราะพิมพ์กับโทรศัพท์ ขออภัยด้วยค่ะ :)

แสดงความคิดเห็น

10 ความคิดเห็น

SADEN. 28 เม.ย. 60 เวลา 23:07 น. 2

อ่านจบแล้วไม่รู้จะพิมพ์อะไรเลยค่ะ คงต้องบอกว่าให้ จขกท.สู้ต่อไป คงได้แต่ให้กำลังใจแล้วล่ะค่ะ สู้ ๆ ไฟต์ติ้ง!

1
♥Stary♥ 29 เม.ย. 60 เวลา 12:02 น. 5

สู้ๆนะคะ ถ้าคนที่มีความพยายาม แล้วไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ต้องสมหวังค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

1
ริญวารินทร์ 29 เม.ย. 60 เวลา 15:15 น. 6

เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ต่อไปนะคะ สักวันคุณจะต้องหายจากโรคที่เป็นได้แน่ๆค่ะ ขอบคุณที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ได้อ่านนะคะ มีประโยชน์มากเลยค่ะ

1
memonkey 29 เม.ย. 60 เวลา 16:02 น. 6-1

ขอบคุณมากนะคะ ไว้มีประสบการณ์จะมาแชร์อีกนะคะ

0
arttypuppylove 29 เม.ย. 60 เวลา 20:46 น. 9

หนูไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี แต่หนูอยากให้พี่หายไวๆๆนะค่ะ สู้ๆๆสักวันพี่จะผ่านมันไปได้และพี่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หนูเชื่อว่าพี่ทำได้ค่ะ ไฟท์ติ้ง!!!

1
memonkey 29 เม.ย. 60 เวลา 21:11 น. 9-1

5555 ขอบคุณมากนะคะ พี่เองก็ไม่รู้ว่าหนูเป็นใคร แต่ไฟท์ติ้งเหมือนกันนะคะ เย้ๆ

0
peiNing Zheng 30 เม.ย. 60 เวลา 14:53 น. 10

แต่ละคนล้วนมีช่วงเวลานี้กันทั้งนั้นค่ะ อยู่ที่ใครเจอเร็วเจอช้าเท่านั้นเองค่ะ (หมายถึงความรุนแรงที่ส่งผลเสียหายในระดับนี้นะคะ ขึ้นอยู่กับว่าจะไปเจอที่ตรงไหน ของคุณพบในจุดนี้ คนอื่นพบในจุดนั้น) คุณโชคดีมากที่มีคนอยู่ข้างๆ พึ่งพิงพวกเขาไปเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเขาพร้อมจะเป็นไม้ยืนต้นปักหลักให้คุณเอนพักอยู่แล้ว


เมื่อรักษาจนหายดี ไม่ต้องพิงใครแล้ว คุณเองก็ต้องเป็นไม้ยืนต้นปักหลักเพื่อใครสักคนที่จะต้องยืมตัวคุณพึ่งพิงเหมือนกัน อย่างที่เราบอกค่ะ เป็นเรื่องธรรมดามากที่มันเกิดกับทุกคนอยู่แล้ว ไม้ยืนต้นที่เราเคยพิง ในภายหลังไม่แน่เขาอาจจะต้องพึ่งพาคุณด้วยเหมือนกัน


คนป่วยมักคิดมาก คิดเยอะว่าถ้าไม่มีฉันอยู่ คนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อน เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ในวันที่เราเป็นไม้ยืนต้นปักหลักเพื่อใครสักคนหรืออีกหลายคน เราไม่อนุญาตให้เขาคิดแบบนั้นค่ะ เพราะมองในมุมกลับกัน เมื่อคนที่เรารักเป็นคนป่วยที่มองว่าตัวเองเป็นภาระเรา เราคิดว่าเขาเป็นภาระจริงหรือ? ก็เปล่า ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ถ้ามีปัญหาก็เซมา จะอยู่เป็นเพื่อนสู้ไปด้วยกันเอง ไม่อนุญาตให้รู้สึกแย่ ถ้ารู้สึกก็ต้องรู้สึกไปด้วยกัน


ตัวเราเองก็คงไม่พูดว่าขอให้คุณสู้หรือพยายามอะไร เพราะเราไม่ใช่คุณ ไม่เคยป่วยในโรคนี้เลยไม่รู้ว่าคุณเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้าง แต่ถ้าคุณอยากบ่นอยากเล่าอะไร ก็เขียนมาในบทความแล้วกันค่ะ ถ้าเราได้เห็น เราจะอ่าน และเราจะตอบคุณทุกครั้งค่ะ







1
memonkey 30 เม.ย. 60 เวลา 17:00 น. 10-1

ขอบคุณมากนะคะ ตอนนี้เราดีจากเมื่อก่อนมากเดินมาไกลเกินกว่าจะคิดแบบนั้นได้แล้วค่ะ เดินมาจุดนี้เจอพ่อกับแม่ก็ขอเขานั่งพักหน่อย เดินไปอีกนิดเจอเพื่อนก็ขอเขานั่งพักอีกนิด แต่ที่สำคัญพวกเขากลับเดินตามเรามาเผื่อเวลาเราล้มหรือเป็นอะไรไปอีก เพราะเราทุกคนไม่มีใครรู้เลยว่าอนาคตของแต่ละคนจะเป็นยังไง ตอนนี้เราอาจจะยืนได้ อาจจะต้องมีวันหนึ่งที่เราล้ม เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆค่ะ เราเชื่อว่าคนข้างๆสำคัญกับเรามาก ช่วงเวลาแบบนี้แหละค่ะ ที่ทำให้รู้ว่าใครที่รักเราจริงๆและพร้อมที่จะให้เราทิ้งตัวนั่งพัก เหมือนที่คุณบอก ไว้มีเรื่องดีๆ เอามาแชร์กันบ้างนะคะ ^^

0