ชีวิตม.ปลายในการเตรียมตัวเข้ามหาลัยหนักขนาดไหน
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณต้องการจะลบกระทู้นี้หรือไม่ ?
22 ความคิดเห็น
ถ้าอ่านหนังสือทุกวัน มอห้ายังไม่จบหกนี่ก็นั่งรอเข้าจุฬาแบบนอนมาเลย แต่ถ้าเหมือนคนส่วนใหญ่แกล้งมาขยันตอนมอหกก็ต้องวัดดวงเอานะ
จริงๆถ้าพี่ย้อนกลับไปม.4ใหม่ได้นะ จะเริ่มเอาศัพท์มาท่อง เริ่มดูข้อสอบเริ่มทำล่ะ(มั่วๆก็ได้)
ส่วนเกรดก็ประคองไม่ให้ต่ำกว่า3.00(พี่ได้3.7ก็ถือว่าโอเค)
คือมันอาจจะดูจริงจังหรือเนิร์ดเกินในสายตาเพื่อนน้องนะ แต่ถ้าน้องอยากได้คณะที่ต้องการจริงๆ ก็ต้องสู้จ้า
จะได้ไม่ต้องมาเครียดตอนยื่นคะแนนแบบพี่นะว่าจะติดไม่ติด555555
ตอนแรกๆมันก็ไม่หนักหรอก จะมาหนักก็ตอนม.6 ที่เราต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย แต่ถ้าเราเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ มันจะไม่หนักเลย ตอนนี้เราก็พยายามเรียนให้เข้าใจมากที่สุด กอบโกยความรู้ แต่อย่าเก็บความสงสัย ตรงไหนไม่เข้าใจให้ถามครูหรือค้นหาเพิ่มเติม เพราะทุกสเต็ปต่อจากนี้ มันคือพฐ.ของการสอบ เรียนมีหนักบ้าง กิจกรรมอาจเยอะบ้าง เรียนก็เรียนให้เต็มที่ กิจกรรมก็เอนจอยให้สุดๆ ชีวิตม.ปลายมี 3ปี และมันก็มีแค่ครั้งเดียว เลือกทำในสิ่งที่คิดว่าดี แล้วชีวิตจะดีเอง
ตอนนี้ก็กำลังขึ้นม.4เหมือนกัน แล้วก็เรียนปรับพื้นฐานเสร็จเหมือนกัน555 ตอนนี้ก็คงจะเริ่มเรียนพิเศษ ก็ต้องมีการเตรียมตัวนิดหน่อย กลับมาบ้านก็อ่านหนังสือ สู้ๆ ไฟท์ติ้งงงง!!
พี่ชอบชีวิตมอปลายมาก เรียนๆเล่นมาสองปี ได้ความรู้มั้ง ไม่ได้มั้ง
แค่รู้จักเอาตัวรอกรักษาเกรดไม่ตำ่กว่า 3 พอ
มาขยันเอาตอนมอหก นั่งเรียนพิเศสคอสเอนเกือบทุกวิชา ส่วนมากก็สอนใหม่หมดอยู่แล้ว
สุดท้ายก็สอบติดแพทย์ พี่อยากบอกว่า ไม่ต้องจริงจังมากก็ได้เอาเวลาไปใช้ชีวิตบ้าง
มาขยันก็ตอนหกก็ไม่สายหรอก บางวิชาอย่างฟิสิกส์พี่พึ่งเข้าใจกฎนิวตัวตอนมอหกด้วยซ้ำ
แล้วมันก็ไม่ได้หนักอะไร อาศัยความสม่ำเสมอมากกว่า
ขอเฟสหรือไลน์ได้ไหมครับ
จะได้ปรึกษาในการเตรียมตัวสอบ
เราก็อ่านปูพื้นนะคะ และรู้ว่าตัวไหนอ่อน เราก็ลงเรียนเพิ่มไป อย่างปิดเทอม วันธรรมดาเราเรียนไทย-สังคม ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ลงอังกฤษ แล้วก็อ่านเรื่อยๆไปแต่ก็พักค่ะ อ่านเท่าที่ไหว ปวดหัวเมื่อไหร่ก็ทำอย่างอื่น
ชีวิตม.ปลายพี่ว่าแล้วแต่โรงเรียนด้วยค่ะว่าสภาพสังคมเป็นแบบไหน โรงเรียนพี่ดูชิวๆเลยไม่เครียดไม่กดดันเท่าไหร่ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ดี อยากให้มีการแข่งขันบ้างเราจะได้กระตือรือร้นในการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าไปกลัวความกดดันค่ะน้อง แต่ก็อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป พูดง่ายๆคือมีความกดดันเป็นเรื่องที่ดีแต่อยู่ที่เราเองว่าเราจะเลือกมองมันให้เป็นประโยชน์ต่อเราได้ยังไง อย่าพึ่งท้อนะ น้องกำลังจะขึ้นม.4 ถ้ารู้ว่าตัวเองอยากเข้าคณะอะไรแล้ว ก็เริ่มตั้งใจได้เลยค่ะ ตั้งใจเรียนในห้องนะ พยายามทำเกรดให้ดีๆเข้าไว้ พี่ว่าวิชาทีเก็บได้คือภาษาอังกฤษและมันเป็นตัวตัดของการสอบหลายๆสนาม อยากให้น้องท่องศัพท์เลยค่ะ ที่ทำได้คือท่องศัพท์ หาหนังฝรั่งดู น้องจะได้เปรียบกว่าคนอื่นมาก ลืมก็ท่องทวนใหม่ค่ะ หาทริคให้เราจำศัพท์ให้ได้ อย่าไปท้อกับการลืมนะ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านวิชาไหนๆก็ตาม อ่านไปเลยค่ะ ถ้าน้องอยู่สายวิทย์พยายามทวนบทเรียนอยู่ตลอดนะ โดยเฉพาะคณิต อย่าปล่อยให้ตัวเองลืม บางคนลืมแล้วต้องมาเก็บใหม่ตอนม.6 ทั้งหมดซึ่งมันมีหลายบทมากๆมันเสียดายเวลา หมั่นทำโจทย์บ่อยๆ วันละสักชม. ก็ได้เพราะเรายังมีเวลา แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาตามที่อยากเพิ่มเลย ขยันเข้านะคะ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนมากนักนะมันจะทำให้น้องกดดันเกินจนรู้สึกลน สับสน เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่คนที่เขาอ่านหนังสือ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาอ่านได้เยอะขนาดไหนแล้ว จำได้เยอะขนาดไหนแล้ว ที่เรารู้คือตัวเราค่ะ ว่าตอนนี้เราเก่งพอที่จะไปสู้กับข้อสอบหรือยัง คู่แข่งเราคือข้อสอบไม่ใช่ใคร อยากให้น้องทำให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่น้องจะทำได้ วางแผนให้ดี การสอบเข้ามหาลัยเป็นการแข่งกับตัวเอง คนที่ขยันและสม่ำเสมอ และแน่จริงเท่านั้นค่ะที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ พี่เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆนะ
ปล.หาวันพักบ้างนะอย่าหักโหม ม.4 ม.5 อ่านไปชิวไปได้ แต่ม.6 นี่ของจริงละนะ ^^
อ่านตั้งแต่ ม.4 เลยจะดีมากจ้า ค่อยๆอ่านมา แทนที่ต้องมาอ่านเยอะๆ 6-9 ชม. ตอนม.ปลาย อ่านวันละ 1-3 ชม. ตอน ม.4 ดีกว่า มีเวลาไปเที่ยว ไปเล่นด้วย ไม่เครียด
กำลังจะขึ้นม.4เหมือนกัน มีไปเรียนพิเศษเก็บๆของเก่าบ้าง ฝากตัวด้วยน้า
พันธุศาสตร์ตั้งใจเรียนให้มากออกเยอะทุกสนามระบบประสาทการได้ยินกับต่อมไร้ท่อพวกนี้ก็ยากถ้าม.4พี่คิดว่าการหายใจระดับเซลล์ยากสุดแล้ว
ระบบประสาทเฉยๆนะพิมพ์ผิด5555
นี่ม.6 กูจะร้องไห้ละเนี้ยสัสกดดันทุกๆอย่าง นี่ไม่รู้กูเป็นคนเดียวหรือป่าวที่ม.6แล้วเเต่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อนาคตโครตมืดตอนนี้ ป้าข้างบ้านก็ปากดีสัสลูกเเกเก่งอะไรเบอร์นั้นกูรู้จักลูกแกดีตัวจริงเ-้ยกว่ากูอีก นี่ไม่ได้จะอะไรเเค่จะบอกว่าพึ่งม.4อย่าพึ่งเครียดไรมากสู้ๆชีวิตม.ปลายจริงๆแม่งสนุกเเต่บางทีอาจจะเหนื่อยไปหน่อย รีบๆหาตัวเองให้เจอจะได้มีความสุขนะอิหนูอย่าไปนั่งเศร้าอยู่สู้ๆนะลูกนะ
สำหรับผม ซึ่งผมอยู่ ม.ห้านะครับ ตอนแรกผมเตรียมแผนมาดีมากเลยตั้งแต่สอบไฟฯ ม.สามเสร็จสำหรับเตรียมสอบเข้า คือการอ่านและเรียนล่วงหน้า แต่พอเข้าห้องมาปุ๊บเห้ยแผนที่วางไว้แล้วใช้ได้จริงตอน ม.ต้นมันกลับใช้ไม่ได้ ทำให้เกรดผมล่วงลงไปเลย ผมเลยต้องมานั่งคิดใหม่ว่า มันเจ๊งตรงไหน ส่วนที่มันเจ๊ง หลักๆเลย
1."การบริหารเวลา" ตอนผมยู่ ม.ต้น เวลาถูกฟิกให้ตายตัวมาก ก.ไก่ n ตัวเลย แต่พอมา ม.ปลายทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ครับ แม้กระทั่งมาเรียนวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เรียนคาบ0-12(เวลาตั้งแต่ 07.30-18.50) แต่ว่าการบริหารเวลานี้หลายคนมีวธีการที่แตกต่างกันไป สำหรับผม ผมใช้เวลา หนึ่งนาทีต้องทำให้ได้หลายๆอย่าง
2.งานล้นมือ ตัวนี้จะเป็นช่วงๆปลายเทอมครับ แต่ผมไม่ค่อยสนเท่าไหร่ เกรดผมเลยตัดมาจากความรู้เพียวๆ(ซึ่งก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากเพระเกณฑ์หลายๆวิชาส่วนใหญ่ใช้คะแนนงานเป็นหลัก) ถ้าในช่วงนี้ให้เลือกงานที่สำคัญก่อนครับงานที่มีคะแนนเยอะ หรือจะใช้วิธีจัดการงานโดยดูจากปริมาณหรือขนาดของงานก็ได้ครับ ถ้างานชิ้นไหนใหญ่ก็เอามาเทียบดูเอา แต่ต้องทุ่มเทให้กับงานทุกงาน งานต้องมีคุณภาพที่ดีมากๆ และถ้างานไหนที่เป็นงานกลุ่ม นี่เราก็ต้องแ่บ่งงานให้ถูกคน ถ้าแบ่งผิดคนแล้วยุ่งแน่ๆ แต่ถ้าไม่มีใครกระเตื้องที่จะทำเราทำเองแม่งเลย แล้วค่อยชาร์จตังเพื่อนเอาทีหลัง บวกเรื่อยๆครับเอาจนคุ้มค่าเหนื่อยอ่ะ
3. วิธีเรียนรู้ เรื่องนี้สำคัญกว่าหัวข้อที่แล้วตรงที่ว่า นี่คือการเรียนที่แท้จริงโดยไม่มีคะแนนมาเกี่ยวข้อง ว่าเราจะเก็บเกี่ยวได้มากเท่าไร่ คนเราแต่ละคนจะมีวิธีเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และหลากหลายวิธีและทุกวิธีก็ล้วนแล้วแต่จะต้องวิเคราะห์ ไม่ให้จำนะครับเพราะเราจะไม่สนุก มันเลยจะทำให้สมองเราบล็อกความจำนั้นทิ้งเลย แล้วจะจำได้แค่แป๊บๆแล้วก็ไป ในที่นี้ผมขอเสนอสองวิธีหลักไว้ก่อน คือฟังกับอ่าน บางคนจะได้จากการฟัง และบางคนจะได้จากการอ่าน แต่ทุกวิธีก็ล้วนแล้วแต่จะต้องวิเคราะห์ ไม่ให้จำนะครับถ้าจำเราจะจำได้แป๊บเดียว และเราจะไม่สนุก มันเลยจะทำให้สมองเราบล็อกความจำนั้นทิ้งเลย
-ถ้าใครถนัดการอ่าน อันนี้ผมได้เทคนิคมาจากเพื่อนของพี่สาวครับ พี่เขาจะอ่านหนังสือทุกวัน แล้วใช้ไฮไลท์หลายๆสี แต่ละสีจะมี ความหมายของมันนะครับ อันนี้แล้วแต่เรากำหนด จะเน้นเฉพาะข้อความที่เป็นหัวข้อใหญ่ ใจความสำคัญ แล้วก็สรุป แต่มีข้อแม้ว่าระหว่างที่อ่านเราต้องคิดตาม และต้องอ่านเพียงแค่สิบห้านาที เพราะชั่วเวลาแค่สิบห้านาทีจะเป็นช่วงที่เราจดจ่อโฟกัสกับข้อความจำนวนมาก แล้วถ้าเกิดข้อสงสัยอะไรแต่ไม่มีในตำรา เราก็เอาดินสอหรือปากกาขีดเส้นใต้ถามอากู หรือเอาไปถามครูที่โรงเรียน แล้วเราก็จดเป็นเล็คเชอร์หรือสรุปชอตสั้นๆคั่นไว้ในหน้านั้น ทำทุกวันเวลาไหนก็ได้เวลาว่างๆก็ได้ พอถึงเวลาที่เราจะต้องใช้ เราเปิดแค่หน้าสารบัญ แล้วเนื้อหาในหนังสือกัยที่เราไปหามาเสริมมันจะหลั่งไหลออกมาจากหัว แต่ถ้ามันจำไม่ได้จริงๆเราก็เปิดอ่านผ่านๆเฉพาะที่เราเน้นข้อความไว้ในเล่ม
-ถ้าใครถนัดวิธีฟัง วิธีนี้ค่อนข้างเปลืองแบตโทรศัพท์นิดหน่อยสำหรับคนขี้เกียจเรียนเยอะ เพราะเราต้องอัดเสียงครูที่สอน(และบ่น)ในห้องเรียนมานั่งฟังที่บ้านเป็นรอบที่สอง รอบแรกคือฟังจากในห้องเรียน แต่ในระหว่างการฟังเราก็ต้องคิดตามและจับใจความนะ แล้วเราก็จดลงในหนังสือวิชานั้นๆเลยจะเป็นหน้าแรกของบทก็ได้หรือหน้าอธิบายบท แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องคิดตาม ถ้ามันยังงงหรือไม่เข้าใจ เชื่อว่าหลายคนต้องไปติวเตอร์กันใช่มั้ย เราก็นั่งฟังซะจากที่นั่นเลยก็ได้แต่มันจะมีพวกข้อสอบที่เราคาดไม่ถึงค่อนข้างน้อย ดังนั้นเราต้องฟังให้ดีๆเลือกฟังแล้วสรุปจับใจความลงหนังสือหรือระดาษเล็กเชอร์เลย(ผมไม่เอาลงสมุดอ่ะเปลือง เล็คเชอร์ดีว่าหยิบเอามาอ่านทวนความคิดได้ง่ายกว่าหลายเท่า) พอถึงเวลาจะใช้งาน เราก็เอาที่เขียนไว้มาอ่านหรือหาฟังในอากู ก็ได้เพื่อทวนความคิด แล้วในช่วงที่เรากำลังฟังหรืออ่านทวนความคิด เราจะปิ๊งไอเดียบีบอัดข้อมูลให้มันมีขนาดสั้นกระทัดรัดได้ใจความ มันจะเป็นสูตรสำคัญสำหรับเราเลยทีเดียว
4.กิจกรรม หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า เราต้องเรียนอย่างเดียว(?) เราทำกิจรรมนั้นแล้วเราจะได้เกรดสี่เหรอ(?) หรือทำไมเราต้องเรียน...(?)ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับสายที่เราจะเรียน
อันนี้ผมไม่ได้เจอกับตัวเองเพราะผมชอบหนีสถานการณ์แบบนี้ แต่ผมขอตอบเลยว่า มันก็ไม่ผิดที่เราจะคิดหรือถามแบบนี้ แต่ในทางปฏิบัติ(ย้ำๆเน้นๆ) มันทำได้หรือที่จะไม่เอาศาสตร์หรือกิจกรรมที่เราเรียนมาเอามาประยุกต์ใช้ ( คือเพื่อนผมมันมาเล่าให้ฟังครับว่าสายวิทย์ห้องมันอ่ะ มคนตั้งคำถามว่า กูมาเรียนวิทย์ ทำไมกูต้อง เรียนศิลป์ เรียนภาษา เรียนสังคม เรียนบลาๆๆๆๆๆๆ ซึ่งผมก็หาคำตอบแล้วไปอธิบายให้เพื่อนที่มีความคิดแบบนั้นฟังว่า -วิชาแต่ละตัวเนี่ยมันเหมือนจะไม่สำคัญแต่มันมีความสัมพัธ์กันเป็นรูปโซ่ ถ้าไม่เรียนสังคมจะรู้ได้ไงว่าเราจะปรับตัวเข้ากับสังคมนั้นสังคมนี้ได้ยังไง ถ้าเราไม่เรียนศิลป แล้วเราจะเอาความคิดสร้างสรรค์ไปสร้างสรรค์ผลงานกับศาสตร์ที่เรียนได้ยังไง ถ้าเราไม่เรียนภาษา เราจะสื่อสารกับคนอื่นได้ยังไง ) และการที่เราทำกิจกรรม(ที่สร้างสรรค์และเราเห็นว่าโอเค) มันจะสร้างประสบการณ์นอกห้องเรียนให้เราครับ มันจะเป็นเหมือนวัคซีนที่ป้องกันเรา จากอันตรายในสังคม และมันก็เป็นป้ายบอกทางเราว่าเราควไปหรือไม่ควรไปทางที่มันไม่ใช่ทางของเราดี
เชื่อมั้ยจากแผนที่ล้มเหลวของผม เนี่ยนอกจากสามข้อข้างบน มันยังรวมถึงความสนใจของสิ่งรอบข้างด้วย หลายๆคนอาจจะตั้งเป้าหมายไว้แล้วพุ่งทยานไปทางตรงเลย โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง กับบางคนสนใจสิ่งรอบข้างมากเกินไป จนทำให้เราสู่เป้าหมายช้า แต่ถ้าเทียบกันแล้วจะเห็นว่าทั้งสองกลุ่มกลับมีแผลเหวอะหวะพอๆกันทั้งคู่ ดังนั้นการเตรียมตัวจริงๆคือเราต้องดูก่อนว่าเป้าหมายเราแน่นอนแล้วหรือยัง ถ้ามันแน่นอนตรงกับเรามากที่สุดและเป้าหมายชัดเจนมากพอ เราก็ดูขางทางว่าอะไรที่พอจะตัดทิ้งได้บ้าง เพราะระหว่างรายทางจะมีสิ่งสำคัญสำหรับทางของเราจริงๆเหลือแค่เพียงไม่กี่อย่าง และที่สำคัญ แผนสำหรับข้างทางที่มีระยะทางมากกว่าเป้าหมายของเราต้องยืดหยุ่นได้ดี มากๆ ไม่อย่างงั้นมันก็จะล้มเหลว การเตรียมตัวล่วงหน้า ผมอยากจะบอกว่ามันขมขื่นมาก อันนี้ผมเจอมากับตัวครับตอนที่โดนครูที่สอนพิเศษให้ผมทำชีทไปเรื่อยๆ ซึ่งผมทำไปเกือบร้องไห้ไป แต่ครูเขาก็ไม่กดดันว่าผมต้องทำให้เสร็จ แต่-ผมก็ไดผลประโยชน์จากการทำตั้งแต่ต้นเทอม คือมันออกข้อสอบไฟฯเยอะมาก แล้วผมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองว่า มันเป็นชีทสำหรับเด็ก ม.หกที่สอบเข้ามหาลัย และใช้เรียนจริงๆในมหาลัย แตครูเขาอยากให้เรียนตอนนี้เลย เพราะมันเป็นการเรียนแบบยำรวมมิตร (คือเรียนหลายๆอย่างในครั้งเดียวอ่ะ)
สุดท้ายขอบอกน้องเจ้าของกระทู้ และเด็ที่กำลังจะขึ้น ม.ปลายว่า หนึ่งปีที่กว่าจะมาอยู่ ม.ห้ายังไม่ได้จบ ม.หก แต่ผมก็ได้ประสบการณ์อ่ะ เจอคนหลายแบบ ทั้งแบบที่เคยเจอมาก่อนและแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน มันสร้างประสบการณ์ มันสร้างปฏิสัมพันธ์ มันสร้างความภาคภูมิใจจากกิจกรรมที่ทำ มันสนุก มันสะใจ มันทำให้เรารู้ว่าเพื่อนตายของเราอ่ะมันมีกี่คน มันทำให้เรารู้ว่า จะเด็กกิจเรียนหรือเด็กกิจกรรมมันก็ไม่ต่างกันเพียงต่างกันแค่วิธีการ และขอให้ทุกคนใช้ชีวิต ม.ปลายให้สนุกนะครับ
ม.4 เป็นข่วงที่ถ้ากอบโกยได้ก็ทำมห้มันสุดๆ ไม่ว่าจะเรื่องเรียน หรือเรื่องอะไรก็ตาม สำหรับรร.เราม.4 ตารางเรียนยังพอมีคาบว่าง อยู่บ้าง ถ้าเป็นไปได้ก็ท่องศัพท์อ่านหนังสือเยอะๆ พยายามทำงานส่งให้ทัน สอบให้มันผ่าน แค่นี้เกรด 4 ก็ไม่ไปไหนแล้ว ถ้ามีเวลาก็ไปเรียนพิเศษล่วงหน้า หรือไม่ก็อ่านหนังสือก็ได้
ม.5 รร.เรากิจกรรมเยอะมาก ต้องแบ่งเวลาเป็น คุณต้องรู้ว่าตัวเองจะทำอะไรในแต่ละวัน เพราะตารางเรียนเต็มมากๆ บางทีอาจจะไม่มีเวลาไปอ่านหนังสือด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นงานรีบทำรีบเสร็จ อย่าดอง อย่าค้าง แต่อยากให้รู้ไว้ว่าถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ตาม อ่านศัพท์ไว้ เซฟสุด
ม.6 ตารางเรียนไม่เยอะ แต่กดดันเยอะ งานก็จะยากไปอีกขั้น ส่วนเรื่องสอบก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่เทอม 1 แล้ว ให้เวลาของม.6 ไปกับการทำข้อสอบวนๆไป อะไรไม่เข้าใจก็ทำให้มันเข้าใจ ฝึกทำข้อสอบเยอะๆ ส่วนใหญ่รร.จะไม่ค่อยให้ม.6 ทำอะไรมากนัก เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุหอย่างถ้าคณเตรียมตัวมาดีก็จะทำให้ไปไวกว่าคนอื่น ดีกว่ามานั่งเสียเวลาไปวันๆนะ
แล้วก็ต้องหัดคิดได้แล้วว่าจะเรียนต่ออะไร ชอบอะไร จะไปทางสายไหน ถ้าเรียนสายศิลป์ก็อย่าคิดว่าตัวเองจะเรียนคณะสายวิทย์ไม่ได้ เพราะมันไม่เสมอไปบางคณะเราก็เลือกได้นะ หาข้อมูลคณะที่อยากเรียนเยอะๆ เอาไว้เป็นตัวเลือก ชอบอันไหน ไปให้มันสุด ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ ให้กลัวว่าจะไม่ได้ทำดีกว่าเนาะ พี่อยากจะฝากไว้ว่า เตรียมตัวดีๆ มีชัยไปกว่าครึ่งนะ สู้ๆจ้า
ตอนเรียนก็พยายามเข้าในเนื้อหา+เรียนพิเศษ เรียนบทไหนจบแล้วก็หาพวกโจทย์ข้อสอบเก่ามาทำ จะทำให้ได้ทั้งความรู้สำหรับสอบเข้า+เกรดในห้อง พร้อมๆกัน
พอช่วงม.6ก็ลองไปสอบพวก mock up,cu tep,tu get อะไรพวกนี้จะได้รู้บรรยากาศในห้องสอบ ไม่ตื่นเต้น
ช่วงใกล้สอบสัก 6 เดือน(ควรเรียนเนื้อหาเกือบหมดแล้ว)ก็เริ่มทำข้อสอบเป็นชุดๆจับเวลา นับคะแนน ดูว่าบกพร่องตรงไหน แล้วก็หาความรู้เพิ่มเติม
บางครบอกว่าสบาย บางคนบอกว่าหนัก มันแล้วแต่สิ่งที่ทำสั่งสมมา ถ้าไม่มีอะไรเลยมาเริ่มที่ม.6ก็หนักหน่อยนะ
สำหรับพี่ก็เรื่อยๆนะ เรียนพิเศษก็มีฟิสิกส์กับเคมีสองวิชาช่วงซัมเมอร์ ขึ้นม.4แรกๆคืองงมากอะไรศัพท์ชีวะมาเต็มไม่รู้เรื่องเลย ก็เรียนพอผ่านๆไป เพิ่งมาเข้าใจจริงๆก็ตอนเรียนม.5(แย่ๆ555) ส่วนวิชาอื่นก็เรียนไปเรื่อยๆได้บ้างไม่ได้บ้าง พยายามเรียนในห้องให้เข้าใจอะ มีสอบก็อ่านทบทวนไป ม.5นี่หนักสุดทั้งเรียนหนักทั้งกิจกรรมอีก ทำทุกอย่าง ขึ้นม.6มาว่างเยอะหน่อยก็ทบทวนอย่างเดียวเลย ในห้องไม่เรียนแล้ว555(อันนี้ไม่ดี อย่าทำตาม ให้เข้าเรียนบ้างไรบ้าง) อ่านหนังสือก็อ่านเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ฝึกทำโจทย์ซักหน่อย แต่อย่าไปกดดันตัวเองมากล่ะ เครียดมากๆพอสอบจริงๆสมองมันจะไม่แล่นเอา
ปล.ช่วงม.6กำลังใจสำคัญมาก ถ้าหาจากคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องสร้างให้ตัวเองให้ได้ ยังไงก็สู้ๆ
ผมว่าชีวิตม.ปลายสนุกนะครับ ได้เเข่งขันกัน555เเต่ตอนนี้ผมก็อ่านหนังบ้าง ดูในยูทูปบ้างอะไรงี้เเต่ผมว่าควรปูพื้นตั้งเเต่ม.ต้นขึ้นม.ปลาย จะได้ไม่เหนื่อยเเล้วเราก็ตะลุยโจทย์ไปเลย ที่สำคัญที่สุดเลยคืออย่าเครียด สบายๆจะดีที่สุด
ขยันแต่ไม่เครียด
ตั้งใจเรียนทุกคาบ เก็บให้มากที่สุด เลคเช่อร์ไปเลยทุกวิชา
กิจกรรมทำให้เต็มที่ เบียดเบียนเวลาเรียนก็ต้องตามให้ทัน
หาเพื่อนดีๆช่วยกัน แบ่งเวลาให้เป็น จัดการตัวเองให้ได้
ตอนม.4นี่ไม่ค่อยเครียดมากกอะแต่ก้วางแผนไปเลยว่าจะทำยังไงกับแต่ละวิชาไม่ใช่เรียนไปเรื่อยๆ แล้วไปเรียนพิเศษงี้ก็ต้องตั้งใจเรียน กลับมาก้ทบทวนนน งั้นจะไม่ได้ไรเลย
ส่วนตอนม.5สำหรับพี่นะ พี่ใช้วิธีเรียนพิเศษให้จบทุกคอร์สเลย( บางทีที่รร สอนไม่พอสอบงี้ แต่บางคนอ่านเพิ่มก้โอเคนะ) เทอม2ก็ทยอยลงคอร์สเอ็นท์เลยยยยยจ้า ตอนม5 กิจกรรมเยอะมากกกกกกกก แต่ใครอึดกว่าคนนั้นรอด พี่เรียนพิเศษถึงสองทุ่มทุกวันนนแต่กิจกรรมก็ไม่ขาด มันก็เหนื่อยนะแต่ก็อดทนกว่าคนอื่นเฉยๆ ส่วนการอ่านหนังสือก็แนะนำว่าอ่านไปเรื่อยๆ อ่านให้ได้วิชาละหลายๆรอบ มันไม่มีใครจำอะไรได้เป้ะๆในรอบเดียวว(แต่ไม่ค่อยอยากแนะนำให้อ่านแบบท่องจำนะอยากให้อ่านแบบใช้ค.เข้าใจโยงๆกันมากกว่าๆ ยกเว้นชีวะนี่จำเยอะหน่อยในบางเรื่อง ที่เป็นfact ) แต่พี่ใช้วิธีอ่านหนังสือหลายๆเล่มในรอบเดียวกันมันจะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น อดทนหน่อยนะคะแค่สามปี ตั้งใจตอนนี้ดีมากๆแล้ว สุ้ๆนะคะ ^____^
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?