Ask to everybody ( ผมไม่รู้ว่าผมต้องเขียนตามใจตัวเองหรือเขียนตามใจผู้อ่านดี)
ตั้งกระทู้ใหม่
ผมไม่รู้ว่า ผมควรทำแบบไหน เพราะมันทำให้ผมอึกอัดเขียนนิยายไม่ถูกเลย ผมกังวลว่าถ้าเกิดเขียนไม่ดี ไม่สนุกกลัวที่จะอับอาย อับอายที่เขียนไม่เก่งเท่าคนอื่นเขา
I just try to ask everybody . sometimes , anybody know to help me , if have anybody tell to me anwser . Thank you for anwser to me very much .
ต้องขอบคุณสำหรับทุกคำตอบน่ะครับ ผมอึกอััดมาเป้นเวลา 6 เดือนว่าควรเขียนยังไงดี
21 ความคิดเห็น
เอาที่ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไปอ่ะ
เต็มที่ในระดับที่ตัวเองไหว
ก่อนอื่นต้องขจัดความคิดลบออกไปก่อน พยายามผ่อนคลาย
แล้วเราก็จะทำสิ่งที่เรารักอย่างมีความสุข
ตอนแรกแนะนำให้เขียนตามที่อยากเขียนไปก่อน
พอเก่งแล้ว ก็ดูว่ามีอะไรขาดไปบ้าง ปรึกษาคนที่เขียนเก่งๆก็ได้จ้า
พอได้คอมเม้นจากคนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็จะเกิดการพัฒนา
แต่คอมเม้นไหนที่อ่านแล้วไม่สบายใจก็ข้ามๆไป
นึกถึงความรู้สึกตัวเองเป็นหลักดีกว่าเนอะ
ถ้าเราแข็งแรงทั้งกายและใจ อยากทำงานตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น
เข้าไปดูนิยายของคุณแล้ว มีคนคอมเม้นให้แก้ข้อผิดพลาดเยอะเลย คุณคงกดดันจากตรงนี้ใช่มั้ย
ไม่เป็นไร เรื่องพวกนึ้ต้องใช้เวลาฝึก ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า ไม่มีใครทำถูกได้ในครั้งเดียวหรือในเวลาสั้นๆ
อย่างนิยายของเรา เขียนในระยะเวลาต่างกัน ก็จะเห็นพัฒนาการ รู้ว่าไม่ดี แต่เราก็ไม่เคยรีไรท์ เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าเราโตขึ้นแค่ไหน
ถ้าทำโดยคาดหวังผลลัพธ์มากเกินไป มันก็จะเกร็ง ก็ไม่มีความสุขแล้วสิ ต้องรอคำชมจากคนอื่นอย่างเดียวหรอ? งั้นตอนที่อยู่เฉยๆก็ไม่มีค่า ไม่มีต้วตนน่ะสิ
ปล. ถ้าจิตตก ก็เบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่นก่อน ทำหลายๆอย่างสลับกัน บทความจิตวิทยาดีๆสักเรื่องช่วยคุณได้
ขอบคุณครับมาก สสำหรับคำปนะนำครับ
เขียนแนวถนัด ......โอกาสจะแต่งลื่นไหล....มีมาก
ต่อให้ตามใจถ้าถนัด....ก็ได้อยู่
ขอบคุณครับ
เป็นคำถามที่สงสัยอยู่เหมือนกัน
ทุกวันนี้ที่เขียนนิยายเพราะอยากจะเขียน เขียนแบบที่ตัวเองชอบ แต่ก็เป็นสไตล์ที่นักอ่านส่วนใหญ่บอกว่ารีบเกินไป นักเขียน time skip มากไป และประเด็นที่มีปัญหาสุดๆ จนหลายคนประกาศโบกมือลาเราตลอดกาลคือตอนจบแบบที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นการจบแบบตัดจบ จบแบบปาหมอน ทั้งที่ความจริงแล้ว มันคือตอนจบแบบที่เราชอบที่สุด
ทุกวันนี้เพราะลงนิยายทุกวัน ก็เลยมีคนอ่าน แต่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ ว่าถ้าเขียนแบบชาวบ้านเขา อาจจะมีคนชอบนิยายของเรา อาจจะมีคนอ่านมากกว่านี้มาก และคงทำให้หลายๆ คนพอใจ
แต่ว่าเป็นคนเอาแต่ใจ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาในนิยาย ภาษา การเล่าเรื่อง หรือตอนจบ ก็ยังเป็นอย่างที่เราอยากเขียนอยู่ดี เพราะเขียนด้วยความรู้สึกที่อยากเขียนจริงๆ ไม่ใช่จำเป็นที่จะต้องเขียน
ดังนั้นจึงตอบคำถามคุณไม่ได้ เพราะกำลังประสบปัญหาแบบเดียวกันอยู่
เราก็เขียนแบบตัดตอน ทำเหมือนเป็นบทภาพยนตร์มากกว่านิยาย เน้นให้จินตนาการตามมากกว่าที่จะถามหาความเข้าใจ
ตอนแรกๆก็งงนั่นแหละ พออ่านไปเรื่อยๆก็รู้มากขึ้น
สรุปว่าทุกคนเคยเจอหรือเจอเหมือนกันใช่ไหมเนี่ย พยายามเข้าน่ะครับ
ผมก็เหมือนกัน
สรุปคือ ไม่ว่าใครจะมาแนะนำอะไร สุดท้ายก็เขียนตามถนัด ตามความเคยชินอยู่ดี ไม่งั้นเขียนไม่ออก
ความเห็นส่วนตัวคือ เขียนตามเสียงของเราเองค่า :3 ตามที่เราคิดและวางเอาไว้ ให้คอมเม้นต์ของนักอ่านเป็นแรงผลักดันและแก้ไขในสิ่งที่พลาดไป มั่นใจในงานของตัวเองไว้ หากไม่ดีก็ปรับปรุงค่ะ
อย่ากลัวที่จะล้มเหลวถ้ากลัวก็ไปต่อไม่ได้ เราก็เป็นค่า ล่าสุดยังมึนๆอึนๆกับนิยายตัวเองฮาา ถ้าเป็นเราก็มีถามบ้างนะคะว่าโอเคไหม ถ้ามีใครมาติหรือแนะนำอะไรเราแก้ไขค่ะ แต่แก้ตามที่เขาบอกและเป็นสไตร์เราเอง เช่นแบบเฮ้ยตรงนี้ฉากขัดๆนะมันดูกระโดดไปเราก็ไปแก้ไขตรงนั้นให้ลื่นขึ้นแต่เป็นในแบบของเราเองว่าอาจจะเพิ่มเป็นการเล่าย้อนหลังหรือย้อนไปช่วงเหตุการณ์ที่เป็นสะพานค่ะ
คอมเม้นต์คือข้อเสนอแนะค่ะ เรานำสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงและผลักดัน เขียนตามใจตัวเองเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ! >w<
เป้นประโยคที่ให้กำลังใจมากเลยครับ
เคยผ่านช่วงเวลานี้มาเหมือนกันน่ะนะ มีคนบอกว่าให้หาตรงกลางดูสิ จุดที่ทั้งเราทั้งคนอ่านสนุกกับมันโดยที่ไม่ฝืนความรู้สึกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินไป
พูดน่ะง่าย ทำน่ะไม่ง่ายเหมือนดังพูด
แต่มาจนถึงวันที่ตัวเองตกผลึกและหาตรงกลางเจอ ก็คงต้องใช้คำพูดเหมือนกับที่ตัวเองเคยเจอมาก่อน นั่นคือ ลองหาตรงกลางที่ทั้งเราทั้งคนอ่านไม่ฝืนใจจนเกินไปดูสิ
ของแบบนี้ คำตอบของใครก็ไม่มีประโยชน์ คนที่ตอบคำถามนี้และทำให้คนเขียนเชื่อในสิ่งนี้ที่สุดก็คือ ตัวคนเขียนเองนั่นแหละค่ะ ใครโชคดีเจอเร็วก็น่ายินดี ใครเจอช้าก็ต้องทำการบ้านหนักหน่อย
ขอให้คุณจขกท พบในเร็ววันค่ะ
ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามน่ะครับ
6เดือนมันเยอะเกินไปแล้วครับ
ควรเลือกเขียนแบบที่ทำให้รู้สึกดีดีกว่าครับ
หากเป็นผม ผมจะเลือกเขียนตามใจตัวเอง มันจะไม่ฝืน จะเป็นสิ่งที่เราชอบ มันจะเป็นสไตล์ของเรา หากเราเขียนด้วยความเต็มใจ ผลงานมันจะออกมาดี คนอ่านย่อมต้องชอบแน่นอน
แต่ถ้าเขียนตามใจคนอ่าน มันจะได้ตรงตามความต้องการของเขา ซึ่งความต้องการของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน มันจะสะเปะสะปะ และจะเป็นผลงานที่ดีได้ยาก คุณพอใจแบบนี้หรือเปล่า
เป็นการแนะนำที่ผมรู้สึกว่ามันใช่ล่ะ ขอบคุณครับ
ต้องดูก่อนครับว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเราคืออะไร
ผมเชื่อว่า แทบทุกคนแหละ..จุดประสงค์เริ่มต้นมันมาจากอันเดียวกัน นั่นคือคำว่า "อยากเขียน"
การได้ระบายจินตนาการผ่านตัวหนังสือ มันคือความสุขอย่างหนึ่ง ทีนี้มันจะกลายเป็นความไม่สุขขึ้นมา ก็คือคุณพ่วงความคาดหวังเข้ามาด้วย
เอาจริงๆผมไม่อยากให้คิดอะไรซับซ้อนนะ ผมอยากให้คุณคิดว่า การเขียนนิยายก็เป็นแค่การระบายจินตนาการผ่านตัวหนังสือ ทีนี้คนจะมาชื่นชอบหรือมาชมเรา มันก็อยู่ที่ว่าจินตนาการที่เราเล่าให้เขาฟังเนี่ย มันเข้ากับรสนิยมเขาไหม เราเล่าแล้วเขาเห็นภาพไหม เล่าได้กระชับหรือพล่ามๆๆจนเขาง่วงรึเปล่า มันก็แค่นั้นเองครับ
อันนี้พูดในแง่ทำเป็นงานอดิเรกนะครับ ส่วนถ้าทำเป็นอาชีพ แน่นอนว่าสำนักพิมพ์ก็ต้องคำนึงถึงผู้อ่านเป็นหลักอยู่แล้ว อาจจะไม่แปลกถ้าส่งไปแล้วโดนตีกลับ หรือโดนแก้โน่นแก้นี่ มันเรื่องธรรมดาอยู่แล้วครับ
ขอบคุณครับ
ถ้ามากลับมาอ่าน จะตอบให้เอาบุญ
งั้นเหรอครับ ขอบคุณคครับสำหรับทุกอย่างน่ะครับ
-การตอบกลับที่ดูกึ่งออโตเมตริกนี้มันคืออะไรกันวะ
เขียนตามใจตัวเองค่ะ เขียนให้ถูกใจตัวเองให้มากที่สุด เพราะถ้าพยายามให้ถูกใจคนอื่นงานนั้นจะไม่ใช่งานของเรา แถมทำให้เครียดด้วย (เขียนนิยายไม่ควรเครียด ยกเว้นตอนวางพล็อตเครียด ได้ ถถถ) แต่บางอย่างถ้ามีคนทักมาก็ต้องย้อนไปทบทวนดูบ้าง เพราะเราอาจมองข้ามอะไรไป มุมมองของคนเขียนกับคนอ่านต่างกันอยู่แล้ว มองหลายมุมก็เป็นประโยชน์ค่ะ
ขอบคุณมากครับ ผมคิดว่าสิ่งที่จะช่วยผมตอบได้ก็มีพวกคุณนี่แหละครับคือตัวช่วย
แนวในการเขียนนิยาย แนวเรื่องที่ชอบเขียนกับที่คนชอบอ่าน
https://writer.dek-d.com/Miran/writer/viewlongc.php?id=1860018&chapter=18
ขอบคุณมากครับสสำหรับแนวทางน่ะครับ
คนที่ขึ้นเวทีพูดในงานโรงเรียนจะมี 2 ประเภท
1. พูดโดยหวังว่ามันจะถูกใจทุกคน
ก่อนขึ้นเวทีเขาจะกังวล กลัวพูดผิด กลัวขายหน้า แก้บทซ้ำไปซ้ำมาจนลืมใจความสำคัญ พอขึ้นเวทีไปก็มือเท้าสั่น พูดตะกุกตะกัก ทำตัวไม่ถูก เอ่อ...อ่า...อืม...คือว่า...แบบว่า ทุกอย่างก็เพราะเขาขึ้นเวทีมาในฐานะ 'ผู้ขอ' ขอความเห็นใจฉันเถอะ ขอให้ยอมรับฉันเถอะ ขออย่าดูถูกฉันเถอะ สารพัดความเห็นแก่ตัวในรูปแบบของความกลัว สุดท้ายแล้วเขาจะเครียด กังวล และเลือกที่จะไม่ขึ้นเวทีพูดอีกเลย
2. พูดโดยตั้งใจมาให้อะไรกับผู้ฟัง
เขาจะยอมรับผลที่จะเกิดขึ้น เพราะใจเขากว้างพอที่จะให้คนฟังได้แสดงความคิดเห็นของตัวเอง หรือเขาอาจไม่หวังผลตอบรับอะไรเลยด้วยซ้ำ...เพราะตั้งใจมาให้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บนเวทีเขาอาจจะมีเคอะเขินบ้างแต่ก็ยังสนุกกับการพูด คนฟังเองก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์ของเขา...ที่เราก็ไม่ได้เพอร์เฟ็คเหมือนกัน แม้จะมีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้น คนฟังก็จะตรบมือเพื่อสื่อสารกับเขาว่า "ไม่เป็นไร...พูดต่อเถอะ" นั่นก็เพราะคนพูดมาในฐานะ 'ผู้ให้' เป็นตัวตนที่สวยงามและมีคุณค่า...จนผู้ขอเทียบไม่ติด
นักเขียนตัวจริงตามที่ผมศึกษามา ไม่มีใครว่างพอจะมาเขียนตามใจทุกคน พวกเขาเขียนด้วยความสนุกของตัวเองกันล้วนๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผลงานถึงออกมารัวๆเป็นกระบุง และเนื้อเรื่องก็ไปได้สุดทุกทางตามที่เขาวางพล็อตมา เพราะเขาไม่ได้ออกแบบให้มันถูกใจใคร แค่เขียนไปเรื่อยๆตามที่มันควรจะเป็น
ถ้านายอยากให้มันถูกใจคนอ่าน...ก็โปรดเริ่มจาก 'เคารพจินตนาการของตัวเอง' เพราะถ้าขนาดตัวเองนายยังยอมรับไม่ได้ ใครที่ไหนเขาจะมาชอบ
ขอบคุณสสำหรับแนวทางทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจครับ
มีคนสอนว่าให้เขียนตามใจตัวเองอ่ะ เพราะถ้าเขียนตามใจคนอื่น มันจะกลายเป็นนิยายเขา ไม่ใช่นิยายเรา
คือขอคอมเม้นได้ ไม่ต้องถึงขั้นปฏิเสธทุกอย่าง แต่ก็ต้องดูว่าเข้ากับโครงเรื่องที่เราวางไหมด้วย ถ้าต้องมาแก้พล๊อตตามนี่ไม่ใช่ละ
จริงครับ แต่ผมก็ยังสับสนใจตัวเองอยู่มันเลยทำไม่ถูกเลยหยุดเขียนไปตั้งนาน
ถ้าตอบในมุมมองของผม...
เขียนที่ตัวเองถนัด เขียนในเรื่องที่ตัวของผู้เขียนสนใจ เป็นตัวของตัวเอง เวลาเขียนจะได้ไม่กดดันมากจนเกินไป เรื่องของความสนุกหรือไม่สนุก ให้คนอ่านตัดสินอีกทีครับ ถ้าอ่านแล้วชอบก็ได้ไปต่อ ถ้าไม่ชอบคนอ่านก็กดปิดเป็นธรรมดา
จะมองกันหลายส่วนอ่าครับ ต้องใช้เวลาในการศึกษาดู
ถ้านักเขียนสายอินดี้ -> จะเน้นตามใจผู้เขียน
ถ้านักเขียนสายเพื่อการค้า -> ก็ต้องดูตลาดของผู้อ่านควบคู่กันไปครับ
แฮ่ ^^ พูดอะไรไม่ได้เยอะ แต่ขอเป็นกำลังใจให้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมานะครับ
เป็นการพูดที่ให้แรงบันดาลใจมากเลยครับ แต่ผมก็ยังรู้สสึกติดขัดกับความรู้สึกตัวเองไปนิดนึก
ไม่แปลกครับ ที่จะรู้สึกติดขัดกับความรู้สึกตัวเอง เพราะมนุษย์เราทุกคนล้วนมีความรู้สึกกันได้ทั้งนั้น ถ้าอยากเป็นนักเขียนหรือผู้เขียน แค่ต้องสู้ต่อไป อยู่ในวงการนี้ไปให้นานๆ ไม่ว่าอุปสรรคจะเยอะสักแค่ไหนก็ตาม ^^ สู้ๆ
ไว้เย็นนี้จะเข้าไปส่องผลงานที่ติดตามไว้นะครับ
บางอย่างตามใจตัวเองค่ะ พล็อตหลัก แคแรคเตอร์หลัก บางอย่างตามใจคนอ่าน เพื่อพัฒนาตัวเองค่ะ เช่น
พล็อตย่อย (อุดช่องโหว่พล็อตหลัก)
แคแรคเตอร์ย่อย (ทำให้แคแรคเตอร์หลักไม่น่าเบื่อเกินไป เช่น พระเอกหล่อ เท่ แต่เผด็จการ - รุนแรงกับนางเอก จนคนอ่านรักไม่ลง ก็เพิ่มมุมน่ารักเช่น เป็นผู้ชายรักแมว หรือแอบส่งดอกไม้ให้จนนางเอกขำพรวดเพราะไม่เข้ากับหน้าโหดๆเลย อะไรแบบนี้ค่ะ)
เราจะเขียนตามใจคนอ่านก็ต่อเมื่อ คนอ่านเจอคำผิด เจอพล็อตโฮล เจอรูปประโยคแปลก ๆ แล้วเห็นว่าควรแก้ เจอพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผลของตัวละครแล้วติงมา แล้วเราเห็นด้วย อันนี้คงรีบแก้
แต่ถ้าถึงขั้นให้เปลี่ยนพล็อต ไม่ว่าจะเป็นพล็อตหลักพล็อตรอง อยากได้คนนี้รักกับคนนี้ อยากให้คนนี้อยู่ คนนี้ตาย บลา ๆ ก็คงต้องบอกว่า ไม่
เคยเจอนักอ่านคนนึงเขาบอกว่าเลิกอ่านนิยายเด็กดี ไปอ่านที่ fictionlog แทนสาเหตุเพราะรำคาญนักอ่านสาย request เขาบอกว่าที่รำคาญกว่าคือนักเขียนเม่งก็บ้าจี้ตาม ไปอ่านใน fictionlog ซะ จะได้ไม่เห็นข้อความพวกนี้ซะจะได้ไม่ต้องมาเสียอารมณ์
เป็นผม เจอนักอ่านสายรีเควสแบบนี้ก็คงยิ้มแหยๆ ตอบกลับไปอย่างมีมารยาทว่าจะรับไว้พิจารณา แต่ในใจคิดว่า ฝันไปเถอะมุง
ถ้าจะให้เขียนตามใจพวกนาย เอาปืนมายิงตูเถอะ
เรายึดตามนี้นะ
สิ่งที่ควรฟังจากนักอ่าน
- plot hole บางทีเรานึกไม่รอบคอบ ทำให้เนื่อเรื่องมีช่องโหว่ หากนักอ่านทักเราควรรับฟังและปรับแก้
- เผลอให้ข้อมูลผิด หรือให้ข้อมูลขัดแย้งกันเอง จนนักอ่านทัก
- ใช้คำผิด หรือบรรยายไม่รู้เรื่อง
สิ่งที่เป็นแค่ตวามเห็นไม่ตรงกัน ไม่จำเป็นต้องแก้ไขก็ได้
- การจับคู่ตัวละคร หรือจะให้ตัวละครไหนตาย ไม่ตาย
- ทำไมไรต์ไม่ให้ตัวละครโน้นนี้ทำแบบโน้นแบบนี้ หรือการอยากให้เราเปลี่ยนเนื้อเรื่องโดยที่ไม่ได้เป็นสาเหตุมาจาplot hole
- ตอนจบ หากมันเหมะกับเนื้อเรื่องเราแล้ว ไม่จำเป็นต้องจบถูกใจคนอ่านเสมอไป
- สำนวน (กรณีที่คุณ บรรยายรู้เรื่อง แล้ว) จะมาบอกให้เปลี่ยนสำนวนมันก็คงไม่ได้ นักวาดมีลายเส้นของตัวเอง แต่ต้องถูกหลักอนาโตมี่ นักเขียนก็ต้องเขียนให้ถูกหลักภาษา แต่สำนวนใครสำนวนมัน ทั้งนี้ทั้งนั้นปกติหากคุณบรรยายรู้เรื่องก็ไม่ค่อยมีใครมาติสำนวนหรอก จะมีแต่ชมหากบรรยายดี เหมือนเป็นคะแนนเสริมมากกว่า
เขียนตามใจตัวเองสิคะ! เราคนแต่งเราต้องตามใจตัวเองมันถึงจะดี ถ้าเอาแต่ตามใจคนอื่นคุณจะไม่มีความสุขเอานะ!
ตามใจตัวเองเลยค่ะ เอาแนวคิดของตัวเอง อยากเขียนให้เรื่องออกมาเป็นแบบไหน เพราะคนอ่านมีหลากหลายไม่ได้มีแบบแนวนิยมอย่างเดียว
เราชอบอ่านนิยายของนักเขียนที่มีแนวคิดดีๆค่ะ อาจจะไม่ใช่แนวนิยมแต่เรารู้สึกว่านักเขียนต้องการสื่อบางอย่างออกมาค่ะ
อันดับแรกถามก่อนเลยว่าเป้าหมายคืออะไร
นักเขียนมืออาชีพ หลายๆคนเขาต้องยอมเขียนอะไร massๆ ออกมาให้ดังก่อน เพื่อให้คนรู้จักตัวเอง แล้วค่อยเขียนสิ่งที่เป็นไอเดียตัวเองออกมา เพราะอะไร ? เพราะเขาต้องหากินกะอาชีพนี้ นั่นเป็นอาชีพหลักเค้า
สำหรับคนที่เขียนแบบตามใจฉัน และหวังดัง มันจะแตกเป็นเคสย่อยๆแต่ละชนิดแบบนี้คือ
1. พวกใช้หลักจิตวิทยาง่ายๆ ด้วยการหย่อนอะไรที่คนอ่าน massๆที่คนต้องการก่อน พอเสพแล้วติดใจ เราค่อยๆเจือไอสิ่งที่ตัวเองคิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึงต่อให้เราใส่ความเป็นตัวเองไปเต็มร้อย คนเขาก็โอเค เพราะเราไม่ได้หักดิบด้วยการเอาสิ่งที่เราคิดยัดหัวเขา วิธีแบบนี้พวกเมะยุ่นทำบ่อยคือ มังงะหรือเมะบางเรื่องใส่เซอร์วิสก่อนเลย ดึงดูดให้คนเปิดอ่านก่อนแน่ๆ แล้วค่อยยัดสาระที่ตัวเองจะแทรกเข้าไป ผมยอมรับเลยว่าบางเรื่องผมตั้งใจอ่านเพื่อหาไอเดียด้านเซอร์วิส แต่ไปๆมาๆดันเจอมาสเตอร์พีซแบบงงๆแบบเห้ย!!!สนุกอ่ะ ไล่อ่านยันจบเลย มันคือการเอาของถูกปากยัดปากลูกค้า ก่อน แล้วค่อยใส่ไอเดียตัวเองเจือเข้าไป 2. ถ้าคุณความคิดสร้างสรรค์ และคิดว่าผลงานตัวเองดีแน่ๆ ตีตลาดแน่ๆ แค่รอมันบูม ก็แค่เขียนแบบเป็นตัวเองแต่แรกไปเลย เหมือนเจเค โรลลิ่ง ที่โดนหลายสำนักพิมพ์ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "แฮรี่พอตเตอร์ไม่สนุกพอที่จะพิมพ์ขาย" เขาก็แค่หาต่อไปเรื่อยๆจนเจอสำนักพิมพ์ที่เห็นความสนุกของเรื่อง
3. พวกที่เขียนเอาหัวตัวเองเป็นหลัก เป็นเรื่องที่ผู้เสพเป็นเฉพาะกลุ่ม เน้นเขียนไปเรื่อย แบบไม่หวังอะไร แล้วโชคดี เจอคนอ่านเฉพาะทางที่ถูกใจงานของเรา แล้วเอาไปเผยแพร่ในกลุ่มที่ชอบกลุ่มเดียวกันก่อนแล้วขยายขึ้น นั่นแหล่ะ ก็บูมได้ วิธีง่ายๆคือต้องไปหากลุ่มที่คุณชอบ แล้วค่อยๆเขียนฟิกป้อนเข้าไป เพราะคนที่ชอบอะไรเหมือนกันจะจูนหากันง่ายครับ
ปัญหาของผู้เขียน ผมขอเทียบกับความคิดของหนังระดับฮอลลิวูดละกัน ผู้สร้างที่พลาดส่วนใหญ่ เกิดจาก อยากถ่ายทอดไอเดียความประทับใจจากช่วงชีวิตนึงของตัวเอง(ที่คนอื่นไม่ได้อินด้วย)ซึ่งสิ่งนี้มันฆ่า ผกก.ระดับฮอลลิวูดมาแล้ว เช่น หนังเรื่อง speed racer ความชิบหายของเรื่องนี้คือ สองพี่น้อง ผกก. เอาความประทับใจวัยเด็กมาสร้าง ความคิดมาจากการ์ตูนที่ตัวเองชอบในตอนเด็กๆ ด้วยความโคตรเคารพต้นฉบับแบบมากๆ ผลคือพังยับ เห็นมะ ขนาดหนังที่สร้างจากการ์ตูน ยังต้องผสมไอเดียทั้งความเคารพออริ แล้วผสมกับองค์ประกอบความเป็นหนังให้รวมแล้วลงตัว มันถึงจะขายได้ ผู้กำกับเก่งๆบางทีก็มาตายตรงจุดนี้กันง่าย ผมมีเพื่อนคนนึงที่ชอบนิยายแนวสอบสวนนะ ผมเลยแนะนำเขาว่า
ถ้าเปรียบเทียบอารมณ์เหมือนคุณมีมีดสแตนเลสโคตรดีอยู่อันนึง แล้วคิดจะเอามีดนี้ไปฟันกะพวกมีดที่ตีจากเหล็กตังโตะแบบที่นักฆ่ายุคก่อนใช้กันคุณจะสู้เขาได้ไหมวะครับ
ใช่ มีดทำครัวนี่โคตรคม แต่ฟันไม่กี่ทีก็หัก มันไม่เหมือนมีดที่ทำมาสำหรับฆ่าเป็นอาชีพ ถูกไหม จะไปสู้เขาได้ยังไง
แต่กลับกัน ถ้าคุณเอามีดนี้ไปทำอาหาร มันจะมีคุณค่ากว่า หรือ ถ้าเป็นสถานการณ์ survival ที่แค่มีดอันนี้อันเดียวก็ทำให้ตัวละครรอดตายได้ในบางสถานการณ์ เห็นมะ คุณค่าแม่งต่างกันมากๆเลย มีดอันเดียวกัน แค่อยู่ในคนละสถานการณ์ คุณค่ามันก็ต่างกันละ ถามว่าผิดไหม ไม่ผิด เพราะคนเรามีสิทธิ์ชอบอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้เกิดมากับมัน สำหรับสายสืบสวนสอบสวน บางทีไอเดียเล็กน้อยของเรา พอไปเขียนให้พวกที่อ่านแนวสืบสวนมาทั้งชีวิตก็พังดิครับ เขาจะมองไอเดียของเราว่ากระจอกมาก แต่เราสามารถเอาแนวสืบสวนที่เราชอบไปใส่เป็นองค์ประกอบเรื่องที่เรากำลังเขียนให้สนุกขึ้นได้ กล่าวคือต้องเอาวัตถุดิบที่คุณชอบ ไปใส่ให้เหมาะสมกะที่ของมันอ่ะครับ
เอาไปเลย10คะแนน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?