Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[IELTS 2021] รีวิวสอบ IELTS แบบละเอียดยิบ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีทุกคนวันนี้เราจะมีรีวิวการสอบ IELTS ที่เราเพิ่งสอบไปเมื่อปลายเดือนมกราคม 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเราเริ่มมีคนกลับมาติดโควิดรอบใหม่ ตอนนั้นก็ได้ยินมาว่าของศูนย์สอบ IDP ได้ยกเลิกการสอบแบบ paper-based ในช่วงนั้นแต่ยังเปิดให้สอบแบบ computer-based อยู่ ส่วนตัวเราเองอยากจะสอบแบบ paper-based และก็เคยสอบของ British Council มาก่อนครั้งนึง ก็เลยตัดสินใจเลือกสอบกับทาง British Council ไป โดยแนะนำให้เพื่อนๆลองโทรไปสอบถามก่อนว่ายังมีการเปิดสอบอยู่ไหมก่อนเพื่อความชัวร์
 
การสมัครสอบก็สามารถทำได้เลยในเว็บไซต์ของ British Council ได้เลย ก็จะมีให้เลือกวันที่ต้องการเข้าสอบ และเลือกวันเวลาที่ต้องการสอบ speaking test ที่อาจจะเป็นวันเดียวกับที่สอบ part อื่นๆแต่เป็นในช่วงบ่าย หรือจะเลือกสอบหลังจากวันนั้นก็ได้
 
การสอบครั้งนี้เราเลือกสอบแบบ UKVI เพราะเป็นแบบที่สามารถเอาไปใช้เรียน Pre-sessional English ที่ประเทศอังกฤษได้โดยมันจะแตกต่างกับการสอบทั่วไปตรงที่ แพงกว่าและจะมีกล้องถ่ายเราตลอดเวลาที่เราสอบ นอกนั้นก็คือเหมือนกันกับการสอบแบบทั่วไป
 
มาถึงเรื่องของการเตรียมตัวสอบกันบ้าง ส่วนใหญ่เราก็จะมีเวลาอ่านตอนช่วงกลางคืนกับเสาร์อาทิตย์ โดยเรามีไปเรียนเพิ่มเติมคอร์ดแชประมาณเดือนติดๆ หลังจากนั้นก็คือกลับมาอ่านทวนแล้วก็ทำข้อสอบรัวๆ อีกประมาณ 1 เดือน ส่วนตัวเราว่า point สำคัญอยู่ที่การฝึกทำข้อสอบเยอะแล้วจับเวลาให้เหมือนจริงเราว่าช่วยได้ ตอนนั้นเราฝึกทำข้อสอบไปเยอะมากๆ ในหนังสือ Cambridge English IELTS ตั้งแต่เล่มที่ 8-15 จะมีข้อสอบเหมือนจริงเล่มละ 4 ชุด พร้อมเฉลย ฝึกทำกันจนตาแฉะไปเลยจ้า เราว่ามันช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างของข้อสอบว่าเราจะเจออะไรบ้าง เวลาเจอของจริงจะได้ไม่ตื้นเต้นมาก แล้วก็อ่านคู่ไปกับหนังสือ The Official Cambridge Guide To IELTS
 
มาพูดถึงข้อสอบ IELTS กันบ้าง อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าจะแบ่งออกเป็บ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยแต่ละ part มีคะแนนเต็มอยู่ที่ 9 โดยเราจะไล่ลำดับตามที่เจอจริงเวลาสอบ
  1. Listening เป็น part ที่เราหนักใจมากตอนแรกเพราะสองทำข้อสอบแล้วแทบจะผิดครึ่งๆ เลยมีแรงกระตุ้นในต้องฝึกทำข้อสอบเยอะฟัง โดย part นี้จะมี 40 ข้อแบ่งออกเป็น 4 part ย่อ คือ
                             -    Section 1 (ข้อ 1-10) จะเป็นการคุยกันของสองคนเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป เช่น จองโรงแรม การสมัคร
                                     สมาชิก การเช่าบ้าน หรือสมัครงาน เป็นต้น
                            -      Section 2 (ข้อ 11-20) ส่วนมากจะเป็น announcement หรือ lecture ที่พูดโดยคนๆเดียว
                            -       Section 3 (ข้อ 21-30) จะกลับมาเป็นการสนทนาของคนสองหรือสามคนเกี่ยวกับเรื่องที่เป็น 
                                        academic เช่น การคุนเรื่องโปรเจค วิชาเรียน หรือการคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาหรือเพื่อนเพื่อขอคำ
                                       แนะนำทางการเรียน เป็นต้น
                              -     Section 4 (ข้อ 31-40) จะเป็นการบรรยายยาวๆ เหมือนนั่งฟัง lecture เลยซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับ 
                                       วิชา Biology, Archeology หรือ Ecology เป็นต้น

ระหว่าง section จะมีการ pause ประมาณ 30 วินาทีเพื่อให้ทวนคำตอบ แต่เราแนะนำว่าให้เอาเวลาไปอ่าน part ต่อไปดีกว่า เพราะยังไงเรามาเวลาในการ transfer คำตอบที่เขียนไว้ในกระดาษคำถามไปยังกระดาษคำตอบ 10 นาทีอยู่แล้วหลังจากที่เทปเล่นจบทั้ง 4 sections นอกจากนี้ section 1-3 จะมีการช่วงที่เทปจะ pause เป็นสองช่วงซึ่งที่เอาไว้ใช้อ่านช่วงต่อไปได้เหมือนกัน แต่ section 4 จะเป็น section  เดียวที่เล่นยาวตั้งแต่ข้อ 31-40
ข้อสอบของ listening ส่วนใหญ่คำถาม 2 รูปแบบ คือ เติมคำหรือตัวเลขในช่องว่าง, multiple choices หรือเลือก matching keyword ในโจทย์กับตัวเลือกที่ให้มา วิธีการทำ part นี้เราว่าต้องตั้งสติให้ดีๆ ถ้าฟังไม่ทันช่างมันไปเลยแล้วรอฟังข้อถัดไป โดยต้องพยายามอ่านโจทย์ล่วงหน้า ไฮไลท์ keyword ไว้เพื่อที่เวลาเทปเล่นเราจะได้ตามทันว่าอยู่ตรงไหนแล้ว ข้อสอบเติมคำหรือตัวเลข ต้องอ่านโจทย์ให้ดีว่าให้เติมไม่เกินกี่คำหรือกี่เลข ระวังเรื่องการสะกด เติม s ไม่เติม s ควรเป็น Noun, verb, adjective หรือ adverb และคำนั่นต้องใช้ capital letter หรือเปล่า ส่วนข้อสอบ multiple choice กับ matching ต้องระวัง choice หลอก เพราะอาจจะมีคำนั้นพูอยู่ในเทปแต่ไม่ใช่ใช่คำตอบ
  1. Reading เป็น part ที่เราไม่เคยทำทันเลยเพราะเราต้องอ่าน passage ถึงสามเรื่อง และต้องตอบคำถามทั้งหมด 40 ข้อ ใน 1 ชั่วโมง โดยรูปแบบของคำถามที่เจอบ่อยๆ เช่น เติมคำในช่องว่าง ซึ่งเราอาจจะต้องไปหาเอาคำใน passage มาเติม หรือโจทย์อาจให้ตัวเลือกมาให้เราเลือกไปเติมอีกที ซึ่งส่วนตัวเราว่าแบบหลังยากกว่าเพราะตัวเลือกมักจะไม่ใช่คำเดียวกันกับใน passage เป๊ะๆ มักจะเป็น synonym ของคำนั้นๆ ตรงนี้ก็ต้องหาอ่านให้ดีว่าโจทย์ให้เติมกี่คำหรือให้เติมตัวเลขไม่เกินกี่ตัว และระวังเรื่องการสะกดเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังอาจให้หา Heading หรือ main idea ของแต่ละย่อหน้า หรืออาจให้ข้อความมาแล้วให้ตอบว่าข้อความนี้ TRUE, FALSE หรือ NOT GIVEN และก็อาจจะมี multiple choice หรือให้ keyword มา เช่น ปี หรือชื่อคน แล้วให้ match ว่าอยูใน paragraph ไหนเป็นต้น
Part นี้เราจะอ่านโจทย์ก่อนแล้วค่อยไป scan หาคำตอบเอา โดยพยายามแบ่งเวลาทำ passage ละ 20 นาที แล้วก็พยายามตอบให้ครบทุกข้อถ้าทำไม่ทันยังไงก็พยายามมั่วๆไปดีกว่าไม่ใส่อะไรเลย โดย part ไม่มีเวลาให้ transfer คำตอบเหมือน part listening เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเสร็จภายใน 60 นาทีนะ โดยในห้องสอบเจ้าหน้าที่คุมสอบจะแจ้งทุกครั้งที่เหลือเวลา 40, 20, 10 และ 5 นาที จังหวะ 5 นาทีสุดท้ายนี่แหละมั่วได้มั่วเลยจ้า
  1. Writing มาถึง part ที่เราว่ายากสุดละ เพราะเราต้องเขียนทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดภายในเวลาที่กำหนด ด้วยภาษาที่สละสลวย gramma เป๊ะ! Part นี้ มีให้ 60 นาที เขียน 2 เรื่อง ดังนี้
    • Task 1 โจทย์ส่วนใหญ่จะให้เราบรรยายกราฟ แผนที่ หรือ แผนภาพ ซึ่งต้องเขียนให้ได้อย่างน้อย 150 คำ และควรใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ส่วนตัวเราทำ part นี้ทีหลังเพราะว่าง่ายกว่า และมีสัดส่วนคะแนนน้อยกว่า
    • Task 2 ส่วนใหญ่จะให้ statement หรือหัวข้อมาแล้วให้เราแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้น เช่น ข้อดี-ข้อเสีย, ปัญหา/สาเหตุ/ผลกระทบ/ทางแก้, เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย, วิเคราะห์ความเห็นของกลุ่มคนสองฝั่งแล้วให้ความเห็นเรา หรือตอบคำถามตามที่โจทย์ให้วิเคราะห์ โดยต้องเขียนอย่างน้อย 250 คำ ควรใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที
Part นี้ควรพยายามใช้คำศัพท์และ Tense ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มจุดดึงคะแนน ระวังการสะกดให้ถูกต้อง ใช้คำเชื่อม คำขยาย adj., adv., passive voice รู้อะไรใส่ให้หมดไปเลย ซึ่งการเขียนก็น่าจะต้องมี introduction body แล้วก็ conclusion ด้วยน้า ซึ่งก็จะมีการบอกเวลาเหมือนกัย part reading คือ เหลือเวลา 40, 20, 10 และ 5 นาที
  1. Speaking จะเป็นการสอบที่อยู่ในช่วงบ่ายโดยเราสามารถเลือกเวลาที่อยากจะเข้าสอบได้ โดยจะแบ่งคำถามเป็น 3 part คือ
    • Part 1 จะถามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับตัวเรา เช่น เราทำงานหรือเรียนหนังสือ ทำไมถึงเลือกทำงานหรือเรียนคณะนั้น ชอบกินอะไร เวลาว่างชอบทำอะไร ชอบดูหนังเรื่องอะไร เป็นต้น ซึ่งเป็น part ที่เราพอจะเตรียมๆคำตอบไว้ได้บ้าง
    • Part 2 examiner จะให้คำถามหรือหัวข้อเรามาเรา พร้อมกระดาษส่วนดินสอเขาจะแจกเราตั้งแต่การสอบช่วงเช้าแล้ว ต้องเก็บมาใช้ช่วงบ่ายด้วยนะ จากนั้นเค้าจะให้เวลา 1 นาทีในการเตรียมคำตอบ หลังจากนั้นเราต้องตอบคำถามเป็นเวลาประมาณ 2 นาที พยายามพูดจนกว่า examiner จะบอกให้หยุด
    • Part 3 จะเป็นคำถามที่ต่อเนื่องมาจาก part 2 อาจจะเป็นการถามจากสิ่งที่เราตอบ หรือเป็นคำถามมีหัวข้อใกล้เคียงกัน
ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ COVID ทำให้ examiner ต้องใส่ mask บอกเลยว่าเป็นปัญหากับเรามาก เพราะเราได้ยินคำถามจาก examiner ไม่ค่อยชัด หายไปเป็นช่วงๆ แล้วด้วยความที่ใส่หน้ากากยิ่งทำให้ไม่เห็นรูปปากเขาเวลาออกเสียงทำให้เดายากว่าเขาพูดว่าอะไร และเราก็ไม่อยากเสี่ยงเดาสิ่งที่ได้ยินไม่ชัด เพราะถ้าตอบผิด หรือตอบไม่ตรงคำถามอาจจะยิ่งทำให้เสียคะแนนไปกัยใหญ่ เราเลยต้องถามซ้ำ หรือทวนคำถามบ่อยมากๆ ทุกคนต้องระวังจุดนี้ให้ดีๆนะ

สุดท้ายแล้วเรามาพูดถึงวันสอบกันบ้างดีกว่า สำหรับคนที่เลือกสอบกับ British Council สถานที่สอบจะเป็นโรงแรมแลนด์มาร์ค ซึ่งสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่ BTS สถานีนานาได้ หรือจะขับรถมาเองก็ได้โดยสามารถแสตมป์บัตรจอดรถตรงเคาร์เตอร์ชั้นเดียวกับที่สอบได้ ซึ่งเราสอบแบบ UKVI ก็จะสอบที่ชั้น 3 โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่ 7.40-8.30 น. สิ่งที่ต้องเตรียมมาด้วยคือบัตรประชาชนหรือ passport แล้วแต่ว่าเราใช่อะไรในการสมัคร พร้อมสำเนาที่เห็นหน้าและรายละเอียดชัดเจน โดยทางโรงแรมช่วงเช้าจะมีบริการถ่ายเอกสารให้แผ่นละ 7 บาท นอกนั้นก็อาจนำขวดน้ำที่แกะฉลากออกแล้ว เสื้อกันหนาวเข้าห้องสอบได้ และทุกคนจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา หลังจากสอบ part ช่วงเช้าเสร็จอย่าลืมเอาสติกเกอร์ข้อมูลของเราที่แป๊ะอยู่ที่โต๊ะออกมาด้วยนะ เพราะจะบอกเลขที่สอบรวมถึงวันที่เราสามารถเช็คคะแนนออนไลน์ได้รวมถึงเว็บไซด์ที่ใช้เช็ค โดยทาง British Council จะส่งอีเมล์มาแจ้งอีกครั้งหากสามารถเช็คคะแนนได้แล้ว การสอบ part จะเสร็จประมาณดกือบเที่ยง คนที่เลือกสอล part บ่ายรอบแรกๆก็อาจจะไปกินข้าวไม่ทันต้องอยู่รอสอบเลย เพราะต้องมารอหน้าห้องสอบก่อนประมาณครึ่งช่วงโมงเพื่อลงทะเบียน ถ่ายรูป ก่อนเข้าห้องสอบ ซึ่งก็สอบที่ชั้น 3 เหมือนเดิม แต่คนที่เลือกสอบซักบ่ายครึ่งเป็นต้นไปเราว่ายังพอมีเวลาหาอะไรกินทัน ก่อนกลับมารอเข้าห้องสอบ ใช้เวลาในการสอบไม่น่าเกิน 15 นาทีก็กลับบ้านได้จ้า เล่ามายืดยาวมากหวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า โชคดีจ้าlaugh

แสดงความคิดเห็น

5 ความคิดเห็น

Amber IvAne 20 พ.ค. 64 เวลา 06:54 น. 2

คุณก็ช่างมีน้ำใจกับเพื่อนมนุษย์ อุตส่าห์มาบอกรายละเอียดที่ละเอียดมากๆ มีประโยชน์มากจริงๆ มงต้องลงแล้วจังหวะนี้

0
นายจันทร์หนวดเขี้ยว 22 มิ.ย. 64 เวลา 11:11 น. 3

กระทู้ดีมากครับ ครบเลยย ขอแชร์ทริคสอบของผมบ้างนะคับ อิอิ

-ผมสมัครผ่าน British council

-ถ้าอยากได้แบนด์ 6 ก็ต้องมั่นใจอย่างน้อย 24/40 นะครับ (ที่แนะนำคือ อย่าปล่อยช่องคำตอบว่าง กับ สะกดให้ถูกไปก่อนดีที่สุด)

-speaking เริ่มสอบบ่ายโมง แต่คิวผมสี่โมงเย็น ก็เลยไปนั่งกินข้าวที่ terminal21 ไปฝึกภาษาเตรียมตัว (คนต่างชาติห้างนี่เยอะมากๆ) ชวนเค้าคุยเลยครับ แล้วบ่ายสามก้อกลับมารอคิว แต่ได้สอบก่อนเฉยเลย ปรากฏว่า ห้องสอบผมคนสอบเกือบหมดแล้ว (ที่แนะนำคือไปแต่เนิ่นๆดีกว่า เพราะอาจารย์สอบพูด ก็ ล้าเป็นเหมือนกัน อาจจะอารมณ์หงุดหงิดได้ )

- เค้าจะมีพูดแนะนำตัว พูดเรื่องทั่วไป พูด topic หลัก ก็แล้วแต่อาจารย์เค้าจะให้เวลากะช่วงไหนมากน้อยไม่เท่ากัน ส่วนผมนี่พูดแนะนำตัวไม่มี ใส่เนื้อหาหลักเต็มๆ แต่ผมพูดแป๊ปเดียวนะครับ คนที่รอห้องข้างๆก่อนผมยังไม่ได้เค้าเลย ผมออกมาแล้ว เด่นซะ 555 เพื่อนผมนี่พูดเรื่องทั่วไปซะเยอะ เช่นชอบไปช๊อปปิ้งที่ไหน ชอบเสื้อสีอะไร แล้วอาจารย์ยังชวนคุยอีกว่า ตัวเองเป็นใคร สอนอยู่ไหน มาเรียนกับอาจารย์สิ ซะงั้น อิอิ จริงๆแล้วต้องเล่าก่อนนะครับว่า ผมเคยเรียนกับทาง สถาบันจุฬาติวเตอร์ มาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งที่นั่นก็ติวดีจริงๆ เลยมีพื้นฐานมาต่อยอด ไม่อย่างงั้นก็คงได้คะแนนไม่ดีแน่ *อยากเน้นสำหรับคนที่พื้นฐานภาษายังไม่แข๊งแรง ให้ลอง หาติวเตอร์ คอยไกด์ นำทางเราไปก่อนนะครับ ช่วงแรกๆ พอเราเริ่มชิน เข้าใจหลักโครงสร้างของภาษา อันนี้เราจะศึกษาเพิ่มเติมเองก็สามารถทำได้ไม่ยากแล้วครับ ^^ (สู้ๆครับทุกคน)

0
Risirat 2 ก.ค. 64 เวลา 07:38 น. 4

ละเอียดยิบของจริง ขอบคุณมากๆเลยนะคะ เอาจริงๆเราก็เคยเตรียมสอบหนักหน่วงแบบนี้เหมือนกัน ทั้งเรียนพิเศษ ทั้งอ่านเอง (คือลองอ่านเองแล้ว ไม่น่าจะทันการ) ตอนนั้นเลือกเรียนคอร์ส IELTS ครูเอมิ จุฬาติวเตอร์ มีสือหนังสือมาอ่านเองด้วย กว่าจะผ่านมาได้ก็สาหัสอยู่ แต่จะดูเหมือนอวยไปไหมก็ไม่แน่ใจอ่ะ เราว่าลงคอร์สเรียนแล้วมันเหนื่อยน้อยลงจริงนะ อะไรที่ในหนังสือไม่มีบอก พวกทริคทำข้อสอบนี่ ในคอร์สที่เราไปเรียนคือเขาบอก แล้วมันง่ายขึ้นจริง แต่ก็เอาเถอะ เราสอบผ่านมาได้แล้วเหมือนกันตอนนี้ เอาใจช่วยคนที่กำลังเตรียมสอบด้วยยยยยยน้าาาาา

0