[ชวนคิด]นักเขียนกับสังคม
ตั้งกระทู้ใหม่
สำหรับจันทร์แล้ว "ผู้อ่าน" คือผู้ที่ทำให้ตัวละครของเรามีชีวิต "สังคม" คือที่ ๆ งานเขียนของเราได้อาศัย ทุกอย่างทุกตัวอักษรที่เราเขียนขึ้นมานั้นโลดแล่นอยู่ในความฝันและจิตนาการของผู้อ่านทุกคน
นักเขียนและสังคมจึงแยกจากกันไม่ได้ มีนักเขียนก็ต้องมีสังคม บ้างอาจคิดว่า สังคมนั้น คือตัวกำหนดทางของงานเขียน สังคมเป็นอย่างไร งานเขียนคือกระจกสะท้อนความเป็นจริงของสังคม
แต่จะมีใครบ้างที่คิดว่า "สังคมนั้นก็เป็นกระจกสะท้อนเงาของงานเขียนเช่นกัน"
ตัวอย่างของความคิดนี้อยู่ไม่ไกลพวกเราเลย เพื่อน ๆ เคยสังเกตตัวเองไหมคะ เวลาอ่านนิยาย เวลาตัวละครเศร้า เราเองก็เศร้าเช่นกัน เวลาที่มีเรื่องฮาเฮ เราบางครั้งก็หัวเราะ อีกทั้งงานเขียนหลายเรื่องก็เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย
จันทร์เองเชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่อ่านแฮรรี่ พอตเตอร์ ก็ต้องมีบ้างละที่เคยฝันใฝ่เล่น ๆ ว่าจะไปเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์
สังคมจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนงานเขียน ดังตัวอย่างที่จันทร์ได้บอกไว้
แต่ถ้าหากงานเขียนไม่ดีขึ้นมา ทั้งเรื่องความรุนแรง ภาษาวิบัติและตัวอย่างไม่ดีมากมายทั้งหลายที่ทำลายสังคม สังคมจะเป็นเช่นไร
จันทร์เคยอ่านในหนังสือที่ชื่อว่า "เขียนนิยาย" ของคุณ "รตชา" ในหนังสือเขียนไว้เป็นเชิง ๆ ว่าถ้าเราใส่บทสนาไม่สุภาพลงไปในนิยาย จะเป็นอย่างไร ในหนังสือไม่ได้กล่าวอะไรมาก นอกจากเราเองต้องอย่าลืมว่านิยายของเราได้เผยแพร่สู่สังคมแล้ว
ฉะนั้น ตามความคิดของจันทร์เอง คำที่ควรมาคู่กับคำว่านักเขียนคือ "ความรับผิดชอบต่อสังคม" (แหม่ บางท่านอาจว่าว่าจันทร์เครียดมากไปแล้วนะเนี่ย)
เพื่อน ๆ ที่อ่านแล้วเครียดขึ้นมา อย่าเพิ่งเครียดนะคะ ใช่ว่างานเขียนจะมีแต่สิ่งไม่ดีสู่สังคม เมื่อสิ่งไม่ดีมันถ่ายทอดไปได้ แล้วทำไมเราจะถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ไปไม่ได้
ทั้งเรื่องภาษาวิบัติที่พี่ ๆ ในเด็กดีหลายท่านรณรงค์กันแทบเป็นแทบตาย ทั้งเรื่องวัฒนธรรมไทยที่ควรรักษาไว้ นิยายของพวกเรานี่แหละ คือตัวถ่ายทอดที่ดีที่สุด
สำหรับจันทร์นั้น นิยายที่ฆ่าฟันกันเต็มหน้ากระดาษ หากแม้มีเพียงสักเสี้ยวของแง่คิดแฝงไว้ให้สังคม นิยายเรื่องนั้นก็ดีมากมายแล้ว
พวกเรามาสร้างสังคมที่ดีด้วยนิยายของพวกเราดีกว่า
ป.ล. หากกระทู้นี้มีภาษาวิบัติและข้อผิดพลาดใด ๆ จันทร์เองก็ต้องขออภัยด้วย ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนทุกท่าน และขอขอบคุณที่อ่านกระทู้เล็ก ๆ ของนักเขียนน้อย ๆ คนนี้ (ไม่ทราบว่าเนียนหรือเปล่า)
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 22 ตุลาคม 2549 / 22:41
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 22 ตุลาคม 2549 / 22:42
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 22 ตุลาคม 2549 / 22:48
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 22 ตุลาคม 2549 / 22:55
PS. เวลาเปลี่ยนใจ แต่เวลาไม่สามารถเปลี่ยนความทรงจำ ขอฝาก 121: 5225 ไว้ในใจทุกคน
11 ความคิดเห็น
ภาษาวิบัติ มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษาอย่างหนึ่ง เป็นเอกลักษณ์ของภาษาทุกภานั่นคือไม่เป็นภาษาตาย ผมจึงรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่า ถ้ามันมากไป ก็ไม่ดี
PS. ถ้าคุณคลั่งไคล้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด รักนิยายผจญภัย ชอบไดอารี่กวนๆน่ารักๆ ขอเชิญทุกท่านเข้าบ้าน ID ของผมได้คับ
ค่อนข้างอันตรายทีเดียวกับงานที่เกี่ยวข้องกับการเป็นสื่อกลาง
ไม่ใช่นักอ่านทุกคนที่จะแยกออกว่าข้อไหนจริงข้อไหนเท็จ
หรืออะไรควรรับรู้และอะไรไม่ควรแตะต้อง
เด็กบางคนที่อ่านนิยาย(อย่างว่า)ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหื่นถูกฝังรากเรียบร้อย เอิ๊กๆ
รู้แค่ว่า เค้ายังพิมพ์ออกมาได้ แสดงว่าหนังสือเล่มนี้อ่านได้ไม่ผิด (เอากันเข้าไป)
ถ้าอย่างนั้นพวกขายยาก็คงไม่ผิดหรอกหนู เพราะเขาก็เอามาขายเหมือนกันนี่- -"
ที่เหลือก็อยู่ที่จิตสำนึกของคนเขียน และคนทำ ที่จะคัดกรองส่วนที่จะทำให้สังคมถูกกัดกินออกไป
ก่อนที่เด็กจำพวกข้างบนจะมาเจอ - -"
PS. อย่ามองที่ตัวตน...จงสนที่"ความดี"
ตอบ พี่ Emotionless จันทร์เองก็ไม่อยากให้ภาษาไทยเป็นภาษาตาย แต่วิบัติมากไปก็ไม่ดี ยิ่งวิบัติเพราะความขี้เกียจพิมพ์ ขอบคุณเอียนะจ๊ะ
ตอบพี่ Petora.beau พูดได้โดนใจมากเลยค่า "ความหื่นถูกฝังรากเรียบร้อยแล้ว" จันทร์เห็นด้วยเลยกับคำว่าจิตสำนึก อย่างไรก็ขอบคุณที่โพสต์นะคะ
PS. เวลาเปลี่ยนใจ แต่เวลาไม่สามารถเปลี่ยนความทรงจำ ขอฝาก 121: 5225 ไว้ในใจทุกคน
ภาษาวิบัติเหรอ งืมๆ ไม่รู้ว่าจะเม้นอะไร(ง่วง) แต่อย่างน้อยในหนังสอขอให้มีเสี้ยวความคิดแฝงอยู๋ในส่วนหนึ่งของหนังสือก็พอแล้ว
ไว้ว่างๆจันทร์ลองตั้งกระทู้ นักเขียนขายภาษาหรือขายความคิด ดูละกัน
แต่ไงๆผมก็อยากรักษาความเป็นไทยไว้แน่นอน
งั้นหรือ... เราไม่เคยเรียกตัวละครเราว่า ตัวละคร แต่เราเรียกพวกเขาว่า เพื่อน แล้วก็ทำเหมือนเขาเป็นเพื่อนของ
พวกเราจริงๆ พวกเขาไม่ใช่ไม่มีตัวตน แต่พวกเขามีตัวตนอยู่ที่ใจ พวกเขาโลดแล่นอยู่ในจินตนาการ และมิจิต
วิญญาณอยู่ที่ความใฝ่ฝัน นักเขียนก็ไม่ต่างจากนักละคร ต้องแสดงบทบาทและจิตวิญญาณของพวกเพื่อนๆ
เหล่านั้น เวลาเศร้าเราก็ต้องเศร้ายิ่งกว่า เฟ้นหามันและเขียนบรรยายความรู้สึกนั้นออกมาให้ดีที่สุดให้นักอ่านรู้
ซึ้งถึงความเจ็บปวดของเพื่อนๆ ภาพสะท้อนของสังคม อือ...อือ... ของเรามันแฟนตา เลยตั้งกฎ และอื่นๆเข้า
มาเองได้ แต่ยังไงเราก็แฝงไปด้วยคติเล็กคติน้อยๆต่างๆ (ถ้าหาเจอ) >และความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์<
(ถ้าใครเคยอ่านนิยายเราคงเข้าใจดี)
ว่าด้วยเรื่องภาษาวิบัติต่อ... เราขอยอมรับว่าสมัยก่อนเราก็ใช้ในการเล่นเกมออนไลน์ บ้างครั้งเรารู้สึกว่าภาษา
วิบัติบางคำ คือภาษาพูดที่มีสีสัน จริงๆนะฟังแล้วมันเหมือนมีชีวิตชีวา แต่ถึงอย่างไรถ้าใช้กันมากไปก็ส่งผลเสีย
ต่อภาษาพ่อภาษาแม่แน่
PS. Violet Valentia and The Heir ขอโทษค่ะ หนูคือรัชทายาท เรื่องราวของเจ้าหญิงอลวน ผู้ที่ทำให้วังหลวงต้องอลหม่านหัวปั่นกันทั้งวัง เพราะความแก่นถึงขีดสุด นิยายแนว แฟนตาซี + รักหวานแหวว
PS. ข้อเท็จจริงบางครั้ง อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป [ความฝันเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากจินตนาการ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งล้วนเป็นความฝัน]
PS. ข้อเท็จจริงบางครั้ง อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป [ความฝันเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากจินตนาการ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งล้วนเป็นความฝัน]
PS. ข้อเท็จจริงบางครั้ง อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป [ความฝันเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากจินตนาการ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งล้วนเป็นความฝัน]
เห็นด้วยกับจขกท.ครับ
สำหรับผม การเขียนนั้นไม่ได้เขียนเพื่อสักแต่เอาใจสังคมเพียงอย่างเดียว
งานเขียนในอุดมคติของผม ต้องสามารถจุดประกายความคิดให้สังคมขึ้นมาได้ แม้จะแค่เสี้ยวเดียวก็ตาม
Narrow_Blunder ทำไปเพื่ออะไรครับ? editก็มีทำไมไม่ใช้?
PS. Parental Advisory Explicit Content โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้
เห็นด้วยขอรับกับข้อความที่ว่า "นิยายที่ฆ่าฟันกันเต็มหน้ากระดาษ หากแม้มีเพียงสักเสี้ยวของแง่คิดแฝงไว้ให้สังคม นิยายเรื่องนั้นก็ดีมากมายแล้ว" ผู้ใหญ่น่ะ มักจะคิดว่าการอ่านการ์ตูน หรือหนังสือนิยายเป็นเรื่องไร้สาระ แม้แต่พี่สาวของอาร์เดเวนเองก็เถอะ เพิ่งจะผ่านวัยเด็กมาแท้ๆ แต่เจ้าตัวทำราวกับว่าตัวเองไม่เคยเป็นเด็กมาก่อน ดูการ์ตูนทีไรโดนว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตทุกที ทั้งๆที่การ์ตูนหรือนิยายเหล่านั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ทำให้เรายิ้มและหัวเราะได้แท้ๆ
ภาษาวิบัติเดี๋ยวนี้ก็พบเห็นกันได้ทั่วไป อันที่จริงภาษาไทยของเราก็สวยดีอยู่แล้วจะไปตัดต่อเติมเสริมให้มันแหว่งไปทำไมไม่รู้ ถึงแม้ว่าภาษารุ่นใหม่มันจะดูมีชีวิตชีวากว่า แต่ความรู้สึกที่ได้จากการอ่าน ภาษาไทยดั้งเดิมนุ่มนวลกว่าเยอะทีเดียว
ผมว่าไม่ว่าคนเขียนจะเขียนออกมาอย่างไร ทุกนักเขียนทุกคนก็มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวนั้นก็คือ การที่เขาเขียนออกมาให้คนได้อ่านได้ติชม ไม่ว่าสังคมจะต่อว่าอย่างไรนักเขียนทุกคนก็มีความสุขที่ได้กลั่นกรองบทความบทนั้นออกมาให้ชาวโลกนั้นได้เห็น
ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร ผมก็ขอยืนยันว่าทุกบทความที่ทุกคนได้เขียนได้แต่ขึ้น มันคือความสุขของนักเขียนที่ได้กลั่นกรองออกมาเป็นตัวหนังสือ และเมื่อผมได้อ่านบทความนั้น ผมก็จะมีความสุขตามอารมณ์ของนักเขียนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นบทความประเภทไหน ผมก็อ่านได้หมด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?