Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อยากรู้จักพี่ๆคณะ รัฐศาสตร์ มศว

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
อยากรู้จักพี่ๆคณะรัฐศาสตร์ มศว จังแอดมากันบ้างนะ
love_doramon13@hotmail.com

แสดงความคิดเห็น

>

11 ความคิดเห็น

torres 13 ก.ย. 50 เวลา 15:55 น. 1

ดีคับน้อง cake น้องคิดถูกแล้วล่ะคับน้อง พี่เปนรุ่นพี่รัฐศาสตร์ มศว เพิ่งเข้ามาได้ยังไม่ถึงเทอม แต่ต้องบอกน้องเลยนะคับว่า บรรยากาศที่นี่ดีมากๆคับ ห้องเรียนรัดสาดของเราเปนโต๊ะเก่าๆเซอร์ๆ แต่แฝงไปด้วยจิตวิญญาณของนักรัดสาดนะคับน้อง อยังมีรุ่นพี่ที่สวยๆหล่ๆอ<ดังเช่นพี่ > เออลืมบอกไปตอนนี้รัดสาดของเรามีสอบตรงเรานะ ก้อขอให้น้องตั้งใจอ่านหนังสือและขอให้น้องได้เข้ามาร่วมเปนส่วนหนึ่งของพวกเราชาวสิงห์เงิน รัดสาด มศวคับ.........

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:29 น. 2

ว่าด้วยวิชา รัฐศาสตร์
&nbsp &nbsp &nbsp 
รัฐศาสตร์ เป็นการศึกษากระบวนการแบ่งปันและถ่ายโอนอำนาจในกระบวนการตัดสินใจ เมื่อเปรียบเทียบกับสาขาอื่นๆ การศึกษาด้านรัฐศาสตร์นั้นถูกจัดว่าเป็นการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวและสถาบัีนที่เป็นสาธารณะ สาขาวิชานี้มักถูกแบ่งเป็นหลายด้าน เช่น รัฐศาสตร์เปรียบเทียบ รัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ปรัชญาทางรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ระดับชาติ (ที่รวมการศึกษาเกี่ยวกับสถาบันหลักของรัฐ การเมืองเรื่องการเลือกตั้ง และการเมืองในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น) รวมไปถึงระเบียบวิธีวิจัย

รัฐศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง กระบวนการทางการเมือง สถาบันทางการเมือง รวมถึงปรากฎการณ์ต่างๆทางการเมือง การศึกษารัฐศาสตร์เป็นการศึกษาในลักษณะของสหวิทยาการ โดยอาศัยองค์ความรู้ในศาสตร์สาขาอี่นมาช่วยในการอธิบายหรือประกอบในการศึกษาปรากฎการณ์ทางการเมืองต่างๆที่เกิดขึ้น

&nbsp &nbsp  ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์ของไทย
การศึกษาด้านรัฐศาสตร์ของไทยเริ่มต้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริจัดตั้ง โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน เพื่อรับคัดเลือกนักเรียนเข้ามาฝึกหัดเป็นข้าราชการตามกระทรวงต่างๆ ต่อมาได้มีการขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพัฒนาโรงเรียนดังกล่าวเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งภายหลังได้สถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากเหตุดังกล่าวนี้ การศึกษารัฐศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้น โดยคณะรัฐศาสตร์แห่งแรก คือ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือ สิงห์ดำ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษารัฐศาสตร์ของไทย แห่งที่สอง คือ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ สิงห์แดง

คำว่า รัฐศาสตร์
คำว่ารัฐศาสตร์ หากพิจารณาโดยแยกศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ว่า “POLITICAL SCIENCE” เพื่อกำหนดความหมายพื้นฐานของรัฐศาสตร์แล้ว จะเห็นได้ว่า “POLITICS” ซึ่งหมายความว่า การเมือง นั้น มีรากศัพท์มาจากคำว่า “polis” ในภาษากรีก หมายถึงนครรัฐ เป็นการจัดองค์กรทางการเมืองรูปแบบหนึ่งที่ได้บังเกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว ในขณะที่ “SCIENCE” ก็คือศาสตร์ หรือวิชาในการแสวงหาความรู้ รัฐศาสตร์ตามรากศัพท์นี้ จึงเป็นวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการกระทำหรือการสร้างบ้านเมือง หรือการสถาปนาชุมชน/เมืองขนาดใหญ่ ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้คนใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยความสันติสุข

นักวิชาการรัฐศาสตร์ผู้ที่ได้ให้ความหมายของคำว่ารัฐศาสตร์ที่น่าสนใจพึงกล่าวถึงได้แก่ ยูเลา (Heinz Eulau 1963, 3) ซึ่งกล่าวว่า รัฐศาสตร์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาว่าทำไมมนุษย์จึงคิดสร้างการปกครองมนุษย์ขึ้นมา

เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ (2508, 1-3) ให้นิยามของรัฐศาสตร์ว่าเป็น ศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ (Science of the state) โดยเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับรัฐ วิวัฒนาการของรัฐ และรัฐในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับองค์การปกครองหรือสถาบันทางการเมืองของรัฐ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เกี่ยวกับการติดต่อสัมพันธ์ของเอกชนหรือกลุ่มชนกับรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ตลอดจนจนแนวการศึกษาความคิดทางการเมืองอันมีอิทธิพลมหาศาลต่อความคิดของนักการเมืองเอกของโลก และต่อวิวัฒนาการของรัฐและการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองการปกครอง ในทำนองเดียวกัน จรูญ สุภาพ (2522, 1) ได้นิยามรัฐศาสตร์ว่าเป็น สาขาขององค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์ (Social Science) ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับรัฐ ซึ่งกล่าวถึงแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง การจัดองค์กรทางการเมืองการปกครอง รัฐบาลหรือผู้ใช้อำนาจทางการเมืองการปกครอง และวิธีรดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐ โดยความหมายดังนี้ รัฐศาสตร์ จึงเป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับ 3 สิ่งคือ รัฐ สถาบันทางการเมืองการปกครอง และแนวความคิดทางการเมืองการปกครอง

มองลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับขอบข่ายเนื้อหาของการศึกษารัฐศาสตร์ เราจะได้นิยามความหมายของรัฐศาสตร์ว่าเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการปกครองและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำเนิด การรวม การเปลี่ยนแปลง และความเสื่อมของชุมชนการเมืองทั้งหลาย ตอลดจนรูปแบบของการปกครอง กฎเกณฑ์และการปฏิบัติที่ชุมชนต่าง ๆ แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง หรือทำการตัดสินใจ รวมทั้งนโยบายต่าง ๆ ที่ต่อกัน โดยเรื่องสำคัญ ๆ ที่ศึกษาได้แก่เรื่องความรุนแรง การปฏิวัติ การสงคราม ความสงบเรียบร้อย การปกครองแบบประชาธิปไตยและแบบเผด็จการ การเลือกตั้ง การบริหาร หน้าที่พลเมือง การสรรหาผู้นำ ความปลอดภัยของชาติกับองค์การระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ กระบวนการยุติธรรม พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์กับพฤติกรรมทางการเมือง การกำหนดนโยบายสาธารณะ อุดมการณ์ทางการเมือง รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของฝูงชน (Eulau and March 1975, 5)

สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สภาวิจัยแห่งชาติ (เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ 2508, 10) เห็นว่า รัฐศาสตร์คือ การศึกษาเกี่ยวกับรัฐ และวิธีการอันเหมาะสมที่สุด ในอันที่จะปฏิบัติตามวิชาการที่เกี่ยวกับรัฐ ขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์จึงรวมถึงส่วนประกอบทุกส่วนในความสัมพันธ์ภายในและภายนอกรัฐ

ทินพันธ์ นาคะตะ (2541, 3) อธิบายว่า รัฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งสำคัญ ต่าง ๆ ประกอบด้วย กำเนิดและลักษณะของรัฐ สถาบันการเมืองการปกครอง อำนาจ การตัดสินตกลงใจและนโยบายสาธารณะ ระบบการเมือง รวมทั้งการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ เพื่อแสวงหาความรู้ความเข้าใจ และหาคำอธิบายต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ บังเกิดขึ้น

รัฐศาสตร์ในเชิงที่เป็นระเบียบการปกครอง อันแตกต่างไปจากคำว่า “การปกครอง” ที่หมายถึง ตัวกิจการที่ปฏิบัติ รัฐศาสตร์ในประการนี้จึงหมายความถึง ระบบของการปฏิบัติปกครอง โดยการจัดมาตรฐานและระเบียบภายในประชาคม (society) (เกษม อุทยานิน 2513, ข) ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในสาขาสังคมศาสตร์ ที่เป็นวิชาใหญ่ในบรรดาวิชาการว่าด้วยสังคมมนุษย์ (เกษม อุทยานิน 2513, ก)

ความหมายของรัฐศาสตร์ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้างขวางของรัฐศาสตร์ ซึ่งผู้เรียบเรียงขอสรุปความหมายของรัฐศาสตร์โดยยึดความหมายดังที่ อานนท์ อาภาภิรม (2545, 2) ได้สรุปให้เห็นไว้ว่า รัฐศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับที่มาและพัฒนาการของรัฐ (Origin and Development of the State )การอธิบาย การวิเคราะห์และการเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญและรัฐบาล กระบวนการทางการเมือง (Political Process) ระบบกฎหมาย (Law System) บทบัญญัติของรัฐที่ใช้บังคับต่อปัจเจกชน (Individual) และกลุ่มคน (Groups) รวมไปถึงการศึกษาถึงองค์การและกิจกรรมของพรรคการเมือง (Political Parties) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและอุดมการณ์ระหว่างรัฐ การบัญญัติและการควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐโดยวิธีการของกฎหมายระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ (International Organization) การกล่าวถึงนัยยะความหมายของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์อันมีคุณลักษณะในตัวที่เป็นแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์เช่นนี้ นอกจากจะช่วยให้เห็นภาพส่วนประกอบของรัฐศาสตร์แล้ว ยังเป็นการปูพื้นฐานแก่ผู้ศึกษาที่จะทำความเข้าใจถึงขอบเขตของการศึกษา และโยงใยไปถึงแนวการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น
tO |3e ContiNue >>>>>

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:39 น. 3

ประวัติความเป็นมาของวิชารัฐศาสตร์
รัฐศาสตร์นั้น กล่าวได้ว่ามีการพัฒนาก้าวหน้ามาจนเป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเองโดยเฉพาะ การกล่าวเช่นนี้ย่อมหมายถึงวิชารัฐศาสตร์ได้ผ่านขั้นตอนของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ที่สืบสาวกลับไปถึงสมัยกรีกโบราณเมื่อประมาณ 300-500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช

สมัยกรีกโบราณ (ancient Greek) ที่ถือเป็นแหล่งสืบค้นเรื่องราวการศึกษาเกี่ยวกับการเมืองและรัฐดังกล่าว เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดนักปราชญ์ทางด้านการเมืองเรียกว่า นักปรัชญาการเมืองที่สำคัญของโลก ได้แก่ เพลโต (Plato , 427-347 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาทฤษฎีการเมืองและอริสโตเติล (Aristotle,384-322 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผู้ถือว่าเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์ตะวันตก

แนวความคิดที่สำคัญของนักปรัชญาการเมืองกรักโบราณทั้งเพลโตและอริสโตเติลนั้น มุ่งพิจารณาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างมนุษย์กับรัฐในแง่คิดปรัชญาการเมือง(political philosophy) ด้วยการมองปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น การแสวงหาความยุติธรรม และรูปแบบของการปกครองที่ดี โดยมีภารกิจหลักพื้นฐานหรือที่เรียกว่าเจตจำนงค์อันเป็นเป้าหมายทางการเมืองของรัฐและรัฐบาลคือการสร้างสรรชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในรัฐ

ผลงานตามแนวคิดของเพลโต้ปรากฏในงานเขียนอันโด่งดังเรื่อง “อุตมรัฐ” หรือ “Republic” ได้กล่าวถึงรูปเบบการปกครองตามอุดมคติที่จะต้องปกครองด้วยนักปราชญ์ผู้ทรงความรู้และคุณธรรมกล่าวคือ เป็นผู้ที่มีความรู้สูงและรักษาความยุติธรรม หรือที่เพลโต้เรียกว่า “ราชาปราชญ์ (Philosopher King) อุตมรัฐนั้นเองจะเป็นเครื่องมือที่แก้ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์และสถาบันทางการเมือง เ พลโต้เชื่อว่ามนุษย์จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันในสังคม เพื่อร่วมกันทำคุณงามความดี โดยหน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐก็คือการส่งเสริมให้มนุษย์มีคุณธรรมความดี (virtue) และมีความสุข (happiness) และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่างรัฐจึงจำเป็นต้องมีกฏเกหมายและสถาบันทางการปกครอง กฎหมายมีไว้เพื่อให้บุคคลประกอบความดีละเว้นความชั่ว ส่วนสถาบันการปกครองนั้นมีไว้เพื่อเป็นส่วนส่งเสริมให้การใช้กฎหมายนั้นเป็นไปได้ รัฐในทัศนะของเพลโต้จึงเป้นผลที่สืบเนื่องมาจากความมาสมบูรณ์ของมนุษย์(imperfection of human nature) (อานนท์ อาภาภิรม 2545, 5)

อริสโตเดิ้ล ลูกศิษย์คนสำคัญที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเพลโต้ ผู้ได้ให้ฉายาวิชารัฐศาสตร์ว่าเป็นวิชาหรือ “ศาสตร์สถาปัตยสมบูรณ์ลักษณ์” (Architectonic Science) นั้น ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์แสวงหารูปแบบการปกครองที่เหมาะสม จากรัฐบาลต่าง ๆ ที่ตนได้สังเกตการณ์ซึ่งแตกต่างกันไปตามพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละรัฐ รวมทั้งได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้จากนักปราชญ์รายอื่นและที่สำคัญได้แก่ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มการาช ผู้เป็นลูกศิษย์เอก

แนวความคิดสำคัญเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของอริสโตเติ้ลปรากฎในหนังสือชื่อ “การเมือง” หรือ “Politics” โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเป็นอำนาจสูงสุด (Ulitimate Sovereign) มาควบคุมมนุษย์ เนื่องจากอริสโตเติ้ลเชื่อว่ามนุษย์ในสภาพธรรมชาติไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และความต้องการของมนุษย์จะไม่อาบรรลุได้เลยอันหมายความว่าชีวิตมนุย์ไม่อาจสมบูรณ์ได้หากมิได้อยู่ในนครรัฐ (อริสโตเติ้ลหมายถึงนครรัฐกรีก) และระบบการเมืองและมนุษย์จะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Aristotle. The politics of Aristotle, ed.And trans. by Ernest Barker 1966 อ้างถึงในทินพันธ์ นาคะตะ 2541, 63-64) และกฎหมายหรือกฎหมายรัฐธรรมนูญเมื่อประกอบกับองค์การรัฐบาลแล้ว จะยังผลให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเสมอภาคทั้งในด้านกฎหมายและศีลธรรม ความคิดทางการเมืองในยุคสมัยกรักโบราณที่มุ่งแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของการเมืองและรูปเบบการเมืองการปกครองที่ดี มีความยุติธรรมที่สุด เพื่อเอื้อให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีภายในนครรัฐ ได้เป็นแก่นสารัตถะของปรัชญาความคิดทางการเมืองสมัยกรีกโบราณ โดยเฉพาะจากผลงานของเพลโตและอริสโตเติ้ล ดังกล่าว ได้กลายเป็นกรอบความคิดพื้นฐานของการเมือง อันเป็นหัวใจของวิชารัฐศาสตร์ (วิวัฒน์ เอี่ยมไพรวัน 2544, 9) สืบต่อเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน และได้ส่งผลให้การศึกษาทางรัฐศาสตร์เติบโตขึ้นมาเป็นลำดับ และท้าทายให้นักคิดนักปราชญ์ทางการเมืองในยุคต่อมา เกิดความสนใจศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และการเมืองที่แตกต่างมุมมองกันออกไป ตัวอย่างเช่น นักปราชญ์กลุ่มสตอยอิกส์ (Stoic Philosophist) ในยุคโรมันตอนต้น มีทัศนะที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเพลโตและอริสโตเติ้ลที่ว่าชีวิตที่ดีของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ภายใต้นครรัฐ ซึ่งเป็นการผูกเงื่อนไขในเรื่องความจำเป็นของการมีรัฐและรูปแบบของรัฐไว้กับการมีชีวิตที่ดีของมนุษย์ในรัฐ ในขณะที่นักปราชญ์กลุ่มดังกล่าวเห็นว่า ชีวิตที่ดีของมนุษย์นั้นแท้จริงก็คือความเป็นปัจเจกชนที่ไม่ต้องผูกพันธ์อยู่กับรัฐ เนื่องเพราะรัฐและอำนาจการเมือง เป็นสิ่งที่มนุษย์ สูญเสียเสรีภาพที่มีมาพร้อมกับความเป็นปัจเจกบุคคล รวมทั้งความเสมอภาคในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เป็นต้น

ในช่วงระหว่าง 200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จนถึงช่วงราวศตวรรษที่ 4 หรือเรียกว่า ยุคโรมัน วิทยาการความรู้ไม่เพียงเฉพาะรัฐศาสตร์ในเชิงปรัชญา และวิชาการทางสังคมศาสตร์อื่นถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นตกอยู่ในภาวะความชะงักงัน ทั่งนี้ด้วยเพราะชาวโรมันไม่ใคร่จะใส่ใจแนวคิดเรื่องปรัชญาทางการเมืองสักเท่าใดนัก แต่ให้ความสำคัญกับงานทางด้านสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการก่อสร้างและงานด้านการเกษตรกรรมเพาะปลูกพืช ในช่วงนี้ องค์ความรู้ที่ได้สั่งสมมาจากยุคกรีกโบราณจึงไม่ได้รับการกล่าวถึงแต่อย่างใด แต่กระนั้น จักรวรรดิโรมันยังนับว่าได้สร้างคุณูปการอันเป็นมรดกแก่วิชารัฐศาสตร์สืบต่อมาได้แก่ หลักกฎหมายหรือหลักนิติศาสตร์ หลักการบริหารราชการหรือการบริหารรัฐกิจตลอดจนแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายธรรมชาติ และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ (Natural Rights) ของซิเซโร (Cicero) หลักการและแนวคิดเหล่านี้ จรูญ สุภาพ (2522, 3) อธิบายว่า มีรากฐานสำคัญมาจากปรัชญาสตอยอิค (stoicism) ซึ่งถือว่ามนุษย์ทั่งปวงมีความเสมอภาค ภราดรภาพและมีที่มาจากพระเจ้า รวมทั้งการเคารพในคุณค่าของปัจเจกชน (individual) โดยไม่คำนึงถึงฐานทางสังคมของบุคคล อันถือได้ว่าเป็นต้นธารปรัชญาและหลักการการปกครองแบบประชาธิปไตยตะวันตก

ในยุคกลางหรือยุคสมัยที่คริสตจักร (the Church of Christ) เรืองอำนาจก่อนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หรือที่เรียกกันว่า ยุคกลาง อยู่ในช่วงนับจากยุคหลังจักรวรรดิโรมันถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยประมาณ การศึกษาเรื่องรัฐมีความสำคัญลดลงจนเรียกว่ได้เป็นยุคมืดของการศึกษารัฐศาสตร์ เนื่องจากในยุคนี้อิทธิพลทางการปกครองถูกครอบงำโดยอำนาจของศาสนจักร (the Mediaval Hegemony of the Church) หรือการมีอิทธิพลของศาสนจักรหรือผู้นำทางศาสนาในการสถาปนาและถอดถอนกษัตริย์ในยุคกลาง และการเข้ามามีบทบาทบงการนฑโยบายของรัฐรวมถึงการวินิจฉัยข้อโต้แย้งทางการเมืองของศาสนจักรซึ่งเป็นผลมาจากการครอบงำทางความคิดเรื่องการได้มีซึ่งอำนาจการปกครองจากพระผู้เป็นเจ้าของศาสนจักร ดังปรากฎแนวคิดของนักบุญหลายท่านเช่น “ The City of God” ของเซนต์ออกัสติน (St.Augustine) ผลงานของเซนต์โธมัส อะไควนัส (Aquinas) เป็นต้น กระทั่งทฤษฎีการเมือง (political theory) ได้กลายสภาพมาเป็นสาขาหนึ่งของศาสนศาสตร์ (Theology) อย่างไรก็ดี เบอร์นอล (J.D. Bernal 1971, 270)ได้ชี้ให้เห็นว่า แม้ปรัชญาทางรัฐศาสตร์และตกต่ำในสมัยนี้ ภาระหน้าที่ในการพัฒนาความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อันรวมไปถึงงานทางวิชาการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะงานเขียนเกี่ยวกับปรัชญาความรู้ทางการเมืองของสมัยกรีกโบราณ ยังคงได้รับการสืบทอดรักษาจนกระทั่งมาเป็นมรดกของโลกในปัจจุบันโดยพวกนักปราชญ์หรือปัญญาชนชาวอาหรับ โดยอาศัยการแปลต้นฉบับมาเป็นภาษาอาหรับที่แพร่หลายในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8-11 ก่อนที่จะกลับมาฟื้นฟูในยุโรปอีกครั้งหนึ่งในยุคเรเนอซองค์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

เป็นที่น่าสนใจกล่าวถึงว่าศาสนจักรสมัยนั้นเข้ามามาบทบาทในปริมณฑลทางการเมืองการปกครองทางโลกได้อย่างไร ปัญหาข้อนี้พิจารณาได้จากผลงานเขียนของ อนุสรณ์ ลิ่มมณี (2542B, 12-14) ได้ว่า การเติบโตของคริสตศาสนจักรได้แยกรัฐออกจากสังคม จากเดิมเคยเป็นมาในลักษณะคล้ายนครรัฐของกรีกโบราณที่เป็นแบบรัฐสังคมที่ได้กล่าวไปแล้ว และเส้นแบ่งระหว่างรัฐกับสังคมได้ขยายกว้างมากขึ้นในยุคจักรวรรดิโรมันที่รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคมเป็นไปอย่างเสรี บุคคลมีสิทธิเสรีภาพและเริ่มคิดเรื่องส่วนตัว (private) หรือกล่าวได้ว่ามีความเป็นปัจเจกชนนิยมมากขึ้น ในขณะเดียวกับที่ความคิดทางศาสนาได้กันคนออกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม อันเป็นเรื่องที่จะต้องเกี่ยวกับรัฐ คนเริ่มมีโลกส่วนตัวที่อสวงหาศาสนามาเป็นเครื่องยืดเหนี่ยวมากขึ้น กระทั่งอำนาจของคริสตจักรได้แทรกซึมไปมีอิทธิพลเหนือจิตใจของผู้คนในสังคม และเริ่มแผ่อิทธิพลอำนาจเชิงปกครองไปยังประชาชนโดยตรง โดยอาศัยระยะเวลาหลายร้อยปีผ่านพีธีกรรมและการตีความหลักการทางศาสนาและการหล่อหลอมกล่อมเกลาความเชื่อทางศาสนาที่คาบเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครอง รวมทั้งการเสนอแนวคิดทฤษฎีทั้งหลายที่เกี่ยวกับอำนาจของศาสนจักรและอำนาจสองฝ่าย (Theories of Dyarchy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิสองอำนาจ (Doctrine of Two Powers)ในช่วงศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 5 ลัทธิเกี่ยวกับสภาพแห่งจุดมุ่งหมายทางโลก (Doctrine of the Nature of Temporal End)ที่ได้เสนอไว้ในช่วงศตวรรษที่ 13 การยกเลิกอำนาจของฝ่ายอาณาจักรในสมัยสันตปาปา Boniface ที่ 8 ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 14

แต่อย่างไรก็ดี ศาสนาจักรก็มิได้มีบทบาทในการเมืองการปกครองรัฐและสังคมแต่เพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายอาณาจักรที่เป็นผู้ปกครองตามระบบฟิวดัล (Feudalism) ก็ยังมีอำนาจส่วนหนึ่งในการปกครองอาณาจักร และได้พัฒนาความเข้มแข็งของกองกำลังทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจุดประสงค์แรกเริ่มในการคานอำนาจ กระทั่งต่อมาได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่วนสำคัญในการริดลอดลดทอนบทบาทและอำนาจของฝ่ายศาสนจักรต่อการแทรกแซงสังคมให้ลดลง นอกเหนือไปจากปัจจัยอีกอย่างน้อย 2 ประการซึ่งได้แก่ การเติบโตขึ้นของแนวคิดเชิงปัจเจกชนนิยมและระบบการผลิตแบบทุนนิยม รวมถึงการตีความศาสนาในแนวทางใหม่ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของปัจเจกชนและไม่จัดกับการแสวงหากำไรจากการผลิตของชนชั้นกลาง (bourgeoisie) และการปฏิรูปศาสนาในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 จากการเรียกร้องของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martin Luther King) นักบวชในคริสตจักรชาวเยอรมัน

ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (the Age of Renaissance) ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในประเทศอิตาลีในราวต้นศตวรรษที่ 14 จารการที่บรรดาปัญญาชนในยุคนั้นได้หันกลับมาให้ความสนใจผลงานด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรัชญาการเมืองการปกครอง อุดมการณ์แห่งรัฐและสังคมของกรีกโบราณและโรมันอย่างเอาจริงเอาจัง ความสนใจนี้ได้แพร่หลายออกไปสู่ประเทศทางยุโรปตอนบน ในลักษณะของขบวนการทางศิลปะและวิชาการที่อาศัยรากฐานความรู้ของกรีกโบราณ อาทิ ศิลปกรรม วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมืองการศึกษาและการศาสนา ซึ่งได้ยังผลต่อเนื่องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดความเชื่อในหมู่ประชากร เบิร์น (Edward Burns 1963, 384) กล่าวว่า ผู้คน ในสังคมยุโรปสมัยนั้นเริ่มมีโลกทัศน์ที่กว้างขวางยึดถือความเชื่อในเรื่องในของการแสวงหาความสุขส่วนบุคคลหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และความเป็นปัจเจกชนนิวม (Individualism) มากขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการเติบโตของระบบการผลิตแบบทุนนิยม ซึ่งเกื้อหนุนกับความคิดแบบปัจเจกชนนิยมดังกล่าว ประกอบกับการถูกลดทอนลงของอำนาจพระสังฆราช (pope) และจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Emperor) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการปฏิรูป(the Reformation) ภายใต้อำราจการปกครองและอำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็งของกษัตริย์ที่ได้เติบโตถ่วงดุลอำนาจใหม่ระหว่างอาณาจักรและศาสนจักรในคาบเวลาต่อมา การศึกษารัฐศาสตร์ในยุคนี้จึงได้หวนกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง ด้วยการนำองค์ความรู้และผลวารของนักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์ในสมัยกรีกโบราณและโรมันมาปัดฝุ่นอีกครั้งดังกล่าว

วิวัฒนาการของรัฐศาสตร์ได้เดินทางเรื่อยมากระทั่งถึง ยุคใหม่ ซึ่งนับเริ่มตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศาสตราจารย์ ดร.บรรพต วีระสัย และอวยชัย ชบา ได้อธิบายว่า ในยุคนี้ วิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์มักไม่สนใจในเรื่องมาตรฐานของความดีหรือความชั่วความควรหรือไม่ควรในทางการเมือง แต่หันไปให้ความสนใจกับการศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขี้นเป็นกรณี ๆ ไปหรือที่เรียกกันว่า การศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม (Behavioralism ดู “BEHAVIORALISM” ) ด้วยการให้ความสำคัญกับแหล่งข้อมูลที่ได้จาการรวบรวมเชิงประจักษ์และผ่านกระบวนการแสวงหาความรู้ที่อิงแนวคิด ทฤษฎีหรือข้อสรุปทั่วไป(Generalization) มากกว่าในยุคแรกที่เป็นการศึกษาเชิงปรัชญาทางการเมือง (บรรพต วีระสัย และอวยชัย ชบา 2525, 16)โดยมุ่งพิจารณาเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติหรือการเสนอแนะรูปแบบการประพฤติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น 16 นี่เป็นสิ่งที่อธิบายให้เห็นได้ว่าเหตุใดการศึกษารัฐศาสตร์โดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมุ่งเน้นไปในเรื่องของการศึกษาปรากฎการณ์และพฤติกรรมทางเมือง

การลำดับวิวัฒนาการของการศึกษาหรือความเป็นมาของวิชารัฐศาสตร์ดังที่ได้กล่าวถึงไปแล้วนั้น เราอาจสรุปเป็นหัวข้อการแบ่งวิวัฒนาการของการศึกษารัฐศาสตร์ออกเป็น 4 สมัยด้วยกัน ดังที่ ทินพันธ์ นาคะตะ (2541, 14-17) ได้เสนอดังนี้

1. สมัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาทางศีลธรรมทั่วไป

ในสมัยนี้ นับเนื่องจากสมัยกรีกโบราณจนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นเวลายาว นานประมาณ 2,500 ปี ลักษณะสำคัญของการศึกษารัฐศาสตร์ยุคนี้คือวิชาการเมืองยังคงรวมศึกษาอยู่ในการศึกษาเกี่ยวกับสังคมทั่วไป จึงยังไม่ปรากฎสาขาวิชาย่อยใด ๆ ของศาสตร์ว่าด้วยดารเมืองเช่นในสมัยปัจจุบัน การศึกษาได้เน้นในเรืองความเป็นมาของความคิดทางการเมืองในสังคมตะวันตก โดยในสายตัวของนักรัฐศาสตร์ที่ศึกษาแบบเน้นความเป็นศาสตร์ รัฐศาสตร์ในยุคนี้มิได้มีความเป็นศาสตร์อันแท้จริงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื้อหาสาระของวิชาส่วนใหญ่จึงประกอบด้วยหัวข้อที่มีความสัมพันธ์กันน้อย ขาดแนวคิดทางทฤษฎีที่ชัดเจนและขาดระเบียบวิธีการศึกษาที่รัดกุม โดยมีลักษณะเป็นการรวบรวมการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสังคมในสมัยหนึ่ง ๆ ซึ่งไม่ค่อยซ้ำแบบกันมาศึกษาเท่านั้น

2. สมัยการศึกษาในเรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐ

การศึกษารัฐศาสตร์ในยุคนี้กล่าวได้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการศึกษารัฐศาสตร์ที่เน้นวิชาการเมืองที่มีลักษณะเป็นศาสตร์ โดยมีนักคิดสำคัญชื่อศาสตราจารย์เบอร์เกส (J. W.Burgess) ร่วมกับนักคิดหลายท่านเป็นผู้นำแนวทางการศึกษาแบบปฏิฐานนิยม (Positivism)ของเจเรมี่ เบนแธม (Jeremy Bentham) และออสติน แรนนี่ (Austin Ranney) มาปรับใช้ในการศึกษาความเป็นไปไม่เกี่ยวกับรัฐ นับจากต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงเริ่มปรากฎตำราต่าง ๆ ทางรัฐศาสตร์อย่างมากมายหลากหลาย โดยเน้นความสนใจศึกษาในเรื่องความก้าวหน้าของกฎหมาย ข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองแบบต่าง ๆ อำนาจที่เป็นทางการของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และศาล ประกอบควบคู่กับการศึกษาเรื่องปรัชญาการเมืองโบราณเป้าหมายของการปกครองและเป้าหมายของรัฐ และเน้นศึกษาความเป็นจริงทางการเมืองต่าง ๆ มากขึ้น

3. สมัยการศึกษารัฐศาสตร์เชิงอำนาจ หรือระยะที่สาม

การศึกษาการเมืองในยุคนี้ได้เน้นความสนใจศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อสู้แข่งขันกันเพื่อมีอำนาจทางการเมือง จวบจนภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือราวปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 ความประการนี้พิจารณาจากแนวคิดของนักวิชาการสำคัญบางท่านได้แก่ เบนท์ลี่ (Bently) และทรูแมน (Truman) ที่เห็นว่ากิจกรรมทางการเมืองเป็นปรากฎการณ์ของกลุ่มหรือการเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หรือเป็นการศึกษาที่เน้นในเรื่องกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งเป็นความพยายามอธิบายว่าการเมืองเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เพื่อมีอิทธิพลหรืออำนาจเหนือการปกครองและนโยบายสาธารณะ อันเป็นการขยายขอบเขตของการศึกษาให้กว้างขวางมากขึ้นไปกว่าการยึดหลักกฎหมายและสถาบันที่มีอยู่ในสังคม ในระยะนี้เอง การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ได้ประกอบไปด้วยเรื่องปรัชญาทางการเมือง กฎหมายมหาชน การปกครองภายในประเทศรัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ การปกครองเปรียบเทียบและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศความก้าวหน้าเช่นนี้ส่งผลประการสำคัญต่อการศึกษารัฐศาสตร์ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งมีทฤษฎีต่าง ๆ สำหรับเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัยมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเน้นในการปฏิบัติที่สนใจศึกษาปัญหาต่าง ๆ ของสังคม

4. สมัยการศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์(Behavioralism)

เป็นยุคที่การศึกษารัฐศาสตร์มีพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวคือ เป็นการศึกษารัฐศาสตร์โดยหันมาให้ความสนใจอธิบายสาเหตุของปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ มีการนำเทคนิคในเชิงศาสตร์(Science) อย่างมีแนวคิดและทฤษฎีเป็นกรอบกำหนดความสัมพันธ์ของสิ่งที่ศึกษามาศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของตัวบุคคล เช่น การศึกษาทัศนคติ สิ่งจูงใจ ค่านิยมแทนการศึกษาในรัฐศาสตร์ในเชิงโครงสร้างและสถาบัน ซึ่งมีผลทำให้วิชาการเมืองหรือรัฐศาสตร์ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นศาสตร์เชิงวิเคราะห์มากขึ้น การศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์นี้ กล่าวได้ว่าเป็นแนวทางการวิเคราะห์ที่แตกต่างไปจากแนวการศึกษาในรัฐศาสตร์แบบเก่า (Traditional Method) ซึ่งเป็นการใช้แนวทางการวิเคราะห์รัฐศาสตร์ด้วยปรัชญาทางการเมืองคลาสสิค อันจัดว่าเป็นวิธีการที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุด และมีลักษณะสำคัญเน้นในการประเมินค่าทางการเมือง การวินิจฉัยสถาบันหรือวิธีดำเนินการทางการเมืองว่าอย่างไรดี อย่างไรเลว อย่างไรจึงจะยุติธรรม และนำไปสู่การมีชีวิตที่ดีของประชาชน 22 ด้วยการอนุมาน (deductive) มากกว่าการพิจารณาความเป็นเหตุเป็นผล (rationlity) เช่นที่ได้กล่าวถึงแนวความคิดของเพลโต้และอริสโตเติ้ลเป็นตัวอย่างการใช้รูปแบบการประเมินหรือการวินิจฉัยคุณค่าด้วยแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งจากนักวิชาการรุ่นใหม่ที่แสวงหาความเป็นสากลและความน่าเชื่อถือในความรู้ของรัฐศาสตร์

ด้วยเหตุนี้ในปี 1920 นักรัฐศาสตร์อเมริกันบุคคลสำคัญซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้ชื่อชาร์ลส์ เมอร์เรี่ยม (Charles E.Merrian) จึงได้นำเสนอรูปแบบการวิเคราะห์ทางการเมืองแบบพฤติกรรมขึ้น โดยนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแสวงหาความรู้สำหรับทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฎการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะ พฤติกรรมทางการเมืองของปัจเจกบุคคลอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งมีขอบเขตตั้งแต่การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบที่ไม่เคร่งครัดมากนัก เพียงแต่มีลักษณะของการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantification) ที่เป็นระบบและใช้การสังเกตการณ์ ไปจนถึงการใช้หลักการและสมมติฐานทางการวิจัยอย่างรัดกุมสมบูรณ์แบบมากกว่าการเป็นประเด็นทางปรัชญาโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัมนาข้อสรุปทั่วไปที่สร้างขึ้นจากข้อมูลเชิงประจักษ์ (Empirical Generalization) และสร้างทฤษฎีที่เป็นระบบ (Systematic Theory) หรือมีทฤษฎีไว้เป็นแนวทางที่ใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ นำไปอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง อันได้รับการกล่าวถึงว่าจะเป็นผลดีต่อวิชารัฐศาสตร์เป็นอันมาก ดังความเห็นของอีสตัน (David Eastion) นักรัฐศาสตร์ชื่อก้อง เจ้าของแนวคิดทฤษฎีระบบ ในสารานุกรม Intermational Encyclopedia of Social Science (1968) และยังช่วยให้นักรัฐศาสตร์สามารถมุ่งความสนใจศึกษาปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความสำคัญต่อสังคม และศึกษาได้ง่ายขึ้น เช่น การศึกษาพฤติกรรมในการออกเสียงเลือกตั้งของประชาชน เป็นต้น

การศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมมีความหมายเช่นไร จำเป็นเพียงไหนและมีลักษณะอย่างไร จะได้กล่าวถึงไว้โดยสังเขปเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้ศึกษาดังนี้

การศึกษารัฐศาสตร์ในรูปแบบพฤติกรรมศาสตร์นั้นกล่าวได้ว่าเริ่มต้นกล่าวถึงกันนับแต่ทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา โดยอิทธิพลของแนวคิดปฏิฐานนิยมเชิงตรรก (Logical Positivism) ที่ได้ฝังรากลึกลงในการศึกษาวิทยาการทางสังคมศาสตร์อย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ช่วยให้เกิดการวางกรอบความคิดทฤษฎีและขอบเขตของการศึกษาสาขาต่าง ๆ รวมทั้งรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนสอดคล้องกับความคิดและสิ่งที่ศึกษาในแต่ละเรื่อง หรือช่วยสร้างรูปแบบวิธีการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับกันถึงความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ 23 อันส่งผลให้การศึกษาในแบบปรัชญาและแนวนิติสถาบัน ซึ่งไม่มีรูปแบบและไม่สามารถพิสูจน์โดยหลักทางตรรกศาสตร์ได้ถูกกีดกันออกไปจากวงการวิชาการรัฐศาสตร์ในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจาก ค.ศ. 1950 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสนใจอย่างเข้มข้นและความพยายามในการผลักดันให้การศึกษารัฐศาสตร์เป็นการศึกษาที่อิงวิทยาศาสตร์ ดังกล่าวได้เปิดทางให้ปรัชญาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) เข้ามามีอิทธิพลของการศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลต่อการศึกษาและวิเคราะห์การเมือง (Gabriel A. Almond 1990, chapter 2) ที่ยังได้รับความนิยมมาจนปัจจุบัน

tO |3e ContiNue >>>>>

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:40 น. 4

ขอบข่ายหรือสาขาของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์
แม้ในปัจจุบันนักรัฐศาสตร์ต่างยังไม่อาจหาข้อยุติได้ว่าการศึกษารัฐศาสตร์ควรมีขอบข่ายวิชาครอบคลุมไปในเรื่องขอลข่ายอะไรบ้างและควรศึกษาอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของวิธีการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ และผู้เขียนเอกสารบรรยายก็มิได้มุ่งประสงค์ที่จะชี้ข้อสรุปเช่นนั้น ดังจะเห็นได้จากขอบข่ายการศึกษาวิชานี้ที่ได้ยกมาให้เห็นอย่างค่อนข้างหลากหลายแต่อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในทางหนึ่ง ไม่ว่าขอบข่ายของการศึกษารัฐศาสตร์จะเป็นไปในแบบใด ต่างก็เน้นไปที่ความมุ่งหมายของการศึกษารัฐศาสตร์อย่างน้อย 2 ประการ คือ (1) เพื่อแสวงหาความเป็นศาสตร์ทางการเมือง และ (2) แสวงหาหนทางไปสู่ความมีชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม ด้วยกันทั้งสิ้น

การศึกษาวิชารัฐศาสตร์หรือแขนงวิชารัฐศาสตร์นั้น ได้มีนักวิชาการทั้งต่างประเทศและนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ไทยได้จำแนกแยกย่อยขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์ไว้หลายแขนง เช่นที่ เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ (2508, 10-11) ได้จำแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์เพื่อความสะดวกและประโยชน์ในการวิจัย ออกเป็น 6 แขนงประกอบด้วย

1.ทฤษฎีการเมืองและประวัติความคิดทางการเมือง (Political theory and History of political thought)

กลุ่มนี้วิจัยถึงทฤษฎี ตำราและความคิดเห็นต่าง ๆ ที่สำคัญตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบันเพื่อทราบถึงเหตุและผล รวมทั้งการต่อเนื่องกันของสถาบันการเมือง

2.สถาบันทางการเมือง (political inlititutions)

สาขาวิชานี้เจาะจงวิจัยและนิยามระบบ องค์ประกอบ และอำนาจของสถาบันทางการเมือง รวมทั้งนโยบายการจัดตั้งและโครงร่างของการปกครองของรัฐ (รวมทั้งการปกครองส่วนท้องถิ่น) และการปกครองเปรียบเทียบระหว่างรัฐ (Comparative govemment)

3.กฎหมายสาธารณะ (Public laws)

กลุ่มนี้มุ่งไปในงานวิจัยรากฐานของรัฐรวมทั้งปัญหาของการแบ่งแยกอำนาจ ค้นคว้าถึงความสัมพันธ์ของกฎหมายทั่วไปกับกฎหมายสูงสุดของรัฐ และปัญหาการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย การพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของระบบศาลยุติธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างจารีตประเพณีกับกฎหมายด้วย

4.พรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพลและประชามติ (Political parties, Pressure hroups and publics opinion)

กลุ่มนี้พิจารณาถึงบทบาท จุดประสงค์การจัดตั้งและผลของพรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพล และประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อสถาบันทางการเมืองรวมทั้งการประเมินผลการใช้ปัจจัยทั้งสามโดยนักการเมือง

5.รัฐประศาสนศาสตร์ (Public administration)

ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการกำลังคน เงินและวัตถุ ในอันที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตจำนงของการปกครองของรัฐ กลุ่มนี้จึงเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติ (execution) ให้เป็นไปตามอุดมคติและจุดประสงค์ของรัฐอย่างมีสมรรถภาพและได้ผลที่สุด

6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relation)

พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนโยบาย หลักการและวิธีการในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแขนงวิชาที่รวมอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ นโยบายต่างประเทศ การเมืองและการบริหารระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศและการดำเนินการทางการฑูต

จรูญ สุภาพ (2522, 7-10) ได้จำแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์ออกเป็น 8 แขนง ประกอบด้วย

1. ทฤษฎีหรือปรัชญาการเมือง

คำว่า “ทฤษฎีการเมือง (Political Theory)” นั้น มีความเกี่ยวข้องกับหลายคำที่เราท่านอาจเคยได้ยินหรือคุ้นเคยมาบ้างเช่นคำว่า “ความคิดทางการเมือง (Political Thought)” ซึ่งหมายถึง ความเชื่อเกี่ยวกับการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดในยุคหนึ่งยุคใดและปรัชญาทางการเมือง อันหมายถึง หลักจริยธรรมซึ่งถือเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายของสังคม อันเป็นเสมือนหลักการแห่งเหตุผล หรืออธิบายในแง่หนึ่งได้ว่าเป็นเหมือนราดฐานของระบบการเมือง ซึ่งแต่ละรูปแบบระบบการเมืองก็จะมีปรัชญาการเมืองเป็นเบื้องหลังแตกต่างกันไป ควบคู่ไปกับอุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายทางการเมืองที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรมหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น เหตุที่ทฤษฎีทางการเมืองเกี่ยวข้องกับปรัชญาทางการเมือง และความคิดทางการเมืองก็เนื่องมาจาก ทฤษฎีการเมืองเป็นสาขาวิชาที่มีรากฐานมาจากวิชาปรัชญาการเมืองหรือความคิดทางการเมือง (ทินพันธ์ นาคะตะ 2541, 19)

นอกจากนี้ ทฤษฎีการเมืองนี้สิ่งสำคัญยังช่วยให้นักรัฐศาสตร์สามารถรวบรวมข้อมูลที่ได้จากสาขาวิชาอื่น และดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่เกี่ยวกับการเมืองได้อย่างมีกรอบและทิศทางอ้างอิง และสามารถนำข้อมูลนั้นมาหาข้อสรุปและแนวทางในการแก้ไขปัญหาเชิงปฏิบัติ เช่น การใช้หลักกฏหมายในการปกครองประเทศ การถ่วงดุลอำนาจ เป็นต้น

2. พรรคการเมือง มติมหาชน และกลุ่มอิทธิพล ซึ่งรวมเรียกว่า Political Dynamics

สาขาวิชานี้นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ได้รับความสนใจกันทั่วไป โดยเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาถึงพลังต่าง ๆ ที่มีผลต่อรัฐบาลและการเมือง เช่น อำนาจทางศิลธรรม เศรษฐกิจสังคม เป็นต้น และพลังอำนาจเหล่านี้ จะช่วยให้เข้าใจถึงการดำเนินงานทางการเมืองและลักษณะแห่งปรากฎการณ์ทางการเมือง สาขานี้ครอบคลุมถึงการศึกษาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ องค์การ และวิธีการต่าง ๆ ของพรรคการเมือง บทบาทของกลุ่มอิทธิพล การวัดและการใช้มติมหาชน การวิเคราะห์การโฆษณาชวนเชื่อ และคำที่สือความหมายทางการเมือง ประโยชน์ของวิชานี้คือช่วยในการวิเคราะห์ทางการเมือง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง

3. กฎหมายที่เกี่ยวกับสาธารณะหรือกฎหมายมหาชน

การศึกษารัฐศาสตร์ในสาขากฎหมายมหาชน นับได้ว่ามีพัฒนาการความเป็น มาอันยาวนาน กระทั่งกล่าวได้ว่ากฎหมายมหาชนเป็นองค์ประกอบที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐศาสตร์ ในอดีตกฎหมายมหาชนศึกษาเกี่ยวกับอำนาจและขอบเขตแห่งอำนาจของรัฐบาลการควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยรัฐบาล รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบุคคลกัลรัฐบาล เช่น การศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง เป็นต้น ส่วนปัจจุบันกฎหมายมหาชนได้หันมาศึกษาถึงปกากฎการณ์ทางกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับการเมืองการปกครอง เช่น แนวความคิดต่าง ๆ ที่เน้นในกฎหมายรัฐธรรมนูญ การกำหนดและตีความในข้อบัญญัติเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของรัฐบาล กฎหมายปกครอง ตลอดจนการศึกษาในเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กระบวนการตุลาการกล่าวเช่นนี้ นักศึกษาจะเห็นภาพได้ว่า วิชารัฐศาสตร์จะเริ่มต้นด้วยการศึกษาเกี่ยวกับหรือสัมพันธ์กัยกฎหมายมหาชนอย่างแยกไม่ออก เนื่องจากกิจกรรมเกือบทุกอย่างของรัฐบาลย่อมมีความเกี่ยวพันกับกฎหมายอยู่เสมอ

4. รัฐประศาสนศาสตร์

สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ นับได้ว่าเป็นสาขาหรือแขนงใหม่ของวิชารัฐศาสตร์ เนื่องจากการที่รัฐบาลมีขอบเขตการทำงานหรือการบริหารงาน ที่ต้องนำเอากฎหมายและนโยบาลการตัดสินใจไปสู้การปฏิบัติที่กว้างขวางมากขึ้นนอกจากนี้ ยังเป็นความสำคัญที่จะต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่าง ๆ ในการจัดองค์การและการบริหารงาน โดยมุ่งเน้นในเรื่องความถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ในปัจจุบัน การศึกษารัฐประศาสตร์มีความสัมพันธ์กับรัฐศาสตร์และประกอบไปด้วยการศึกษาที่ยึดหลักประสิทธิภาพในการบริหาร ความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง นโยบาย และการบริหาร มนุษย์สัมพันธ์ ภาวะผู้นำ องค์การสาธารณะ ระบบราชการ ทฤษฎีองค์การ รัฐประศาสนศาสตร์เปรียบเทียบ พัฒนบริหารศาสตร์ รวมทั้งเทคนิคตลอดจนวิธีดำเนินการวิจัยทางการปฏิบัติการใหม่ ๆ เป็นต้น

5.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการฑูต การเมืองระหว่างประเทศกฎหมายระหว่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ

การศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ได้รับความสนใจอย่างมาก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งก่อนสงครามโลกครั้งดังกล่าว มิได้ถือกันว่าวิชานี้เป็นสาขาหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ โดยต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นในภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระยะหลังมีหลายสาขาที่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาทิเช่น การฑูต การเมืองระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศนโยบายต่างประเทศ ซึ่งต้องอาศัยองค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์และความรู้ของวิชาต่าง ๆ ในสาขาสังคมศาสตร์ด้วย เช่น ภูมิศาสตร์ ประชากร เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นต้น

6.รัฐบาลเปรียบเทียบ

สาขาวิชานี้นับได้ว่าเป็นสาขาวิชาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่ง พอ ๆ กับวิชาทฤษฎีการเมือง ดูได้จากการศึกษาสังเกตลักษณะของรัฐบาลต่าง ๆ ของอริสโตเติ้ลในสมัยโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบเป็นครั้งแรกของโลก สาระสำคัญของวิชานี้คือการสำรวจศึกษาระบบ รัฐบาลและการเมืองของประเทศต่าง ๆ ในนานาทวีป

7. สภา (Legislature) และการออกกฎหมาย (Legislation)

8. รัฐบาล และการธุรกิจ

โรดี และคณะ (Rodee and Others 1983, 7-15) กล่าวว่า นับเป็นเวลาประมาณ 2,500 ปี ที่วิชารัฐศาสตร์ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับรัฐในเรื่องการกำเกิดรัฐ การตัดสินความ ข้อจำกัดอำนาจหน้าที่ กระบวนการและกระบวนการวิธีเหมาะสมในการศึกษา แต่กระนั้น นักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่อาจหาข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับการจำแนกแยกย่อยขอบเขตของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ที่สมบูรณ์และถูกต้องเพียงพอ (complete and sufficiently exact)

โรดี และคณะ (Rodee and Others 1983, 7-15) ได้จำแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์ไว้ 12 สาขาด้วยกัน กล่าวคือ

1. ปรัชญาการเมือง (Political philosophy)

2. การตัดสินความและกระบวนการทางกฎหมาย (Judicial and legal process)

3. กระบวนการทางบริหาร (Executive process)

4. องค์การทางการบริหารและพฤติกรรม (Administrative organization and behavior)

5. การเมืองว่าด้วยการนิติบัญญัติ (Legislative politics)

6. พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ (Political parties and interest groups)

7. การออกเสียงและมติมหาชน (Voting and public opinion)

8. การกล่อมเกลาทางการเมืองและพฤติกรรมทางการเมือง (Political socialization and political culture)

9. การเมืองเปรียบเทียบ (Comparative politics)

10. การพัฒนาทางการเมือง (Political development)

11. การเมืองระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ (International politics and organization)

12. ทฤษฎีทางการเมืองและวิธีการศึกษา (Political theories and methodology)

แนวทางการศึกษาวิเคราะห็และระเบียบวิธีการศึกษารัฐศาสตร์

แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์ (Approaches in Political Science)

ด้วยประการที่เป้าหมายหลักของการศึกษารัฐศาสตร์คือ การแสวงหาหนทางหรือการที่จะทำความเข้าใจ (understanding) ถึงที่มาและความเป็นไปของปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในทางการเมือง เพื่อที่จะหาคำอธิบายและคาดการณ์แนวโนม้ของปรากฎการณ์ดังกล่าวในอนาคต ไม่ว่าจะมีการนำความรู้ด้านนี้ไปใช้เพียงใด หรือไม่ และเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามการที่จะเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองได้อย่างชัดเจนนั้น จะต้องอาศัยวิธีการวิเคราะห์เป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งนี้เพราะการวิเคราะห์เป็นการจำแนกสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ ด้วยการชี้ให้เห็นถึงระดับ ประเภทและทิศทางของความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ในภาวะการณ์หนึ่ง อันทำให้เข้าใจได้ว่าปรากฎการณ์ทางการเมืองนั้นคืออะไร ทำไมจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร 31 หรือกล่าวได้ว่า นักรัฐศาสตร์จะใช้แนวทางการศึกษาวิเคราะห์มาเป็นกรอบความคิด (Conceptual Framework) สำหรับการมองขอบข่าย สาระ และปัญหาของเรื่องรวมหรือปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เขาสนใจ

ความพยายามที่จะทำความเข้าใจและอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองนี้ ได้ก่อให้เกิดแนวทางการศึกษาการเมืองหรือรัฐศาสตร์ขึ้นมาอย่างหลากหลาย เริ่มจากแนวทางที่เก่าแก่ที่สุดคือการนำแนวคิดเชิงปรัชญามาใช้พิจารณาและเลือกเป้าหมายทางการเมืองเพื่อเป็นแนวทางการปฏฏิบัติให้เกิดความสัมฤทธ์ผลในเป้าหมายยั้น นอกจากนี้ยังได้แก่ แนวคิดเชิงอำนาจ แนวคิดเรื่องสถาบัน แนวคิดในเรื่องกระบวนการนโยบายสาธารณะ เป็นต้น 32 ซึ่งแต่ละแนวทางก็มีกรอบการมองและวิเคราะห์การเมืองแตกต่างกันลงไปในหลักการและรายละเอียด ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายต่างเห็นพ้องกันว่า ในการศึกษารัฐศาสตร็ซึ่งได้มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณนั้น มิได้มีเพียงแนวทางการวิเคราะห์หรือระเบียบวิธีการศึกษาแบบหนึ่งแบบใดที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป แม้อาจปรากฎว่าแนวทางการศึกษาวิเคราะห์หรือระเบียบวิธีการศึกษาบางอย่างจะได้รักความนิยมในแง่ที่ถูกนำมาใช้เป็นรูปแบบหรือแนวทางในการศึกษากันอย่างกว้างขวาง แล้วแต่ความพยายามของนักรัฐศาสตร์แต่ละยุคแต่ละสมัยที่ต้องการจะทำความเข้าใจการเมืองในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์ รวมทั้งการอธิบายและการนำเอาเหตุผล ข้อเท็จจริงไปสรุปเพื่อสร้างรูปแบบและแนวความคิดที่จะนำไปประยุกต์ใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์ (approach) หมายความได้ว่า เป็นวิธีการกว้าง ๆ ในการพิจารณาสืบสาวราวเรื่องหรือตรวจสอบในเรื่องการเมือง 33 ซึ่งแตกต่างไปจากระเบียบวิธีการศึกษา (method) ที่หมายความถึงวิถีทางที่คน ๆ หนึ่งใช้ไนการศึกษา ไม่ว่าจะมีนิยามหรือคำจำกัดความ (definition) หรือแนวทางในการวิเคราะห์อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่เป็นระบบหรือไม่ หรือมีการสร้างแบบจำลองหรือตัวแบบ (mode) ของการศึกษาไว้หรือไม่ก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี พบว่า นักวิชาการยังมีความเห็นแตกต่างกันไปบ้างเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์ อันเป็นผลมาจากมุมมองหรือทัศนะในการพิจารณาภูมิหลังของรัฐศาสตร์แต่ละแนวทางการศึกษา ซึ่งผู้เขียนได้นำมารวบรวมไว้ และขอทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า คำว่า “แนวทางการศึกษาวิเคราะห์” “แนวทางการศึกษา” “แนวทางการวิเคราะห์” แม้จะแตกต่างกันบ้างในเนื้อความ แต่ก็หมายความถึงประการเดียวกันคือ แนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์หรือแนวทางการศึกษาวิเคราะห์การเมือง นั่นเอง

เดวิด อี แอพเตอร์ (David E. Apter) ในหนังสือเรื่อง “Introduction to Political Analysis” ตีพิมพ์ในปี 1977 ได้แบ่งแนวทางการศึกษาวิเคราะห์การเมืองออกเป็น 6 แนวทาง ดังนี้

1. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบปรัชญาการเมือง (Political Philosophy)

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นแนวทางที่เก่าแก่ที่สุด โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปรัชญาสมัยกรีกโบราณ สาระสำคัญของแนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้เป็นการพิจารณาถึงรูปแบบการปกครองที่ดี มีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ดีของมนุษย์ โดยมุ่งที่จะแสวงหาแนวทางการปรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ให้ใกล้เคียงสอดคล้องกับคุณค่าหรืออุดมคติที่ดีงามตามทัศนะของนักปรัชญาการเมืองโบราณ แนวทางการวิเคราะห์ของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น เพลโต้ อริสโตเติ้ล เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มีส่วนในการเสนอแนะแนวทางในการพิจารณาที่มีผลสืบเนื่องมาสู้นักรัฐศาสตร์ในสมัยปัจจุบันได้แก่ สเตราส์ (Leo Strauss) ที่เห็นว่า กิจกรรมทางการเมืองโดยธรรมชาติเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับค่านิยม

2. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับรัฐ

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้ เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 จากอิทธิพลแนวคิดของมาเคียเวลลี่ (Machiavelli) ซึ่งมองสภาพความเป็นจริงทางการเมืองและได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับชนชั้นนักปกครองขึ้นมา ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เรื่องรัฐนี้ได้รับการปรับปรุงไปตามบริบทของสังคมโดยเน้นในเรื่องโครงสร้างแห่งกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการตามรัฐธรรมนูญ หรือมองรัฐในแง่กฎหมายมากขึ้น โดยเน้นถึงการกำเนิดรัฐและรูปแบบลักษณะของรัฐ

3. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงสถาบันการเมืองการปกครอง

แนวทางแบบนี้ เน้นในเรื่องของที่มาแห่งอำนาจและการแบ่งแยกอำนาจ โดยการศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญและรูปแบบการปกครองและสถาบันในการปกครองได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหาร และสถาบันตุลาการ รวมทั้งเน้นไปที่การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น คาร์ล ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) ในหนังสือเรื่อง “Constitutional governent and politics” ตีพิมพ์ในปี 1937 กล่าวว่า แนวทางการวิเคราะห์การเมืองแบบนี้ มักถูกนำไปใช้ในการศึกษาการปกครองเปรียบเทียบ

4. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับอำนาจ

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้ ได้ให้ความสำคัญของการเมืองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจ อันเป็นการกำหนดการมีส่วนร่วมในเรื่องอำนาจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งอำนาจเพื่อการตัดสินใจ และบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจ และในแนวคิดนี้ รัฐมิใช่โครงสร้างที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย แต่เป็นโครงสร้างของกลุ่มต่าง ๆ ที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและเครื่องมือของรัฐ และจะเห็นได้ว่าแนวทางการศึกษาแบบนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย กระทั่งช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวการศึกษาวิเคราะห์เชิงอำนาจได้ขยายความสนใจไปศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างบุคคลกับชุมชนมากข้น อันมีส่วนทำให้รัฐศาสตร์เข้าใกล้ชิดกับสังคมศาสตร์มากขึ้นไปโดยปริยาย

5. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการตัดสินใจและนโยบายสาธารณะ

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้ มองว่ารัฐศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการตัดสินใจและเรื่องนโยบายสาธารณะ ซึ่งได้ก่อรูปขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 จุดสำคัญของแนวการศึกษาวิเคราะห์นี้กล่าวได้ว่าประกอบด้วย การเน้นที่กระบวนการตัดสินตกลงใจ (process of decision-making)และการเน้นที่เนื้อหานโยบาย (policy content)

ภายหลังปี 1945 เมื่อวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ได้รับความนิยมมากขึ้นในวงการรัฐศาสตร์ ได้มีส่วนผลักดันให้แนวการศึกษาวิเคราะห์ที่เน้นกระบวนการตัดสินตกลงใจในแนวแรก บดบังความสำคัญของการเน้นในเรื่องเนื้อหานโยบาย ซึ่งเป็นความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงประเด็นเรื่องการประเมินค่าและการเสนอแนะนโยบาย และหลีกเลี่ยงประเด็นข้อถกเถียงถึงความเป็นกฎเกณฑ์อันเป็นสากลเชิงศาสตร์ แต่กระนั้นก็ดี การศึกษาเนื้อหานโยบายก็ได้รับความสนใจจากนักรัฐศาสตร์บางส่วนมรามุ่งศึกษาผลลัพธ์ต่อสังคมของนโยบาย (policy outcomes) มากขึ้น

6. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงระบบการเมือง

แนวทางนี้ได้เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1950 โดยเป็นความมุ่งหมายที่จะมองการเมืองให้กว้างไปจากการศึกษาเฉพาะเรื่องของรัฐและเรื่องของสถาบันทางการเมืองการปกครอง ด้วยการพยายามสร้างทฤษฎีไปใช้ในการวิเคราะห์การเมืองได้ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก โดนมุ่งเน้นศึกษาเรื่องกระบวนการทางการเมือง การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของระบบการเมือง มากกว่าโครงสร้างหรือสถาบันทางการเมือง

สนธิ เตชานันท์ ได้จำแนกแนวทางการวิเคราะห์รัฐศาสตร์ไว้เป็น 3 แนวทาง ประกอบด้วย

1. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์เชิงนโยบาย (policy approach)

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้ พิจารณาการเมืองในแง่กระบวนการกำหนดนโยบาย ด้วยการนำแนวคิดเชิงระบบ (system analysis) มาศึกษา อธิบายรวมทั้งเป็นแนวทางการปรับปรุงกระบวนการนำเข้า (input) ส่วนที่ทำหน้าที่แปลงสิ่งนำเข้า (conversion) ส่วนนำออกจากระบบ (output) และส่วนย้อนกลับ (feedback) โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจและอธิบายการดำเนินการของกระบวนการต่าง ๆ ดังกล่าวจากการสังเกตผลการดำเนินงานเท่าที่จะสามารถกระทำได้ อันเป็นผลให้รัฐศาสตร์ได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิชาที่เน้นในเรื่องนโยบายศาสตร์

2. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงอำนาจ (power approach)

แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้เห็นว่า อำนาจ (power) และการต่อสู้แข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ เป็นแก่นสารัตถะหรือเนื้อแท้ของการเมือง ซึ่งแตกต่างไปจากแนวทางการวิเคราะห์เชิงนโยบายอย่างมาก เนื่องจากมิได้ให้ความสนใจมองว่าการเมืองเป็นกระบวนการที่มีระเบียบแบบแผนตามตัวแบบระบบ (systems model) แต่การเมือง เป็นการต่อสู้แข่งขันและการแสดงออกเชิงอิทธิพลของคนหรือกลุ่มคนที่ครอบงำต่อการทำงานของระบบการเมือง ด้วยเหตุนี้ การศึกษาวิเคราะห์การเมืองแนวนี้ จึงมีสาระสำคัญในการศึกษาถึงประเด็นการได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจ และการคงไว้ซึ่งอำนาจทางการเมืองโดยเชื่อว่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุดในการทำความเข้าใจและอธิบายถึงคงามพ่ายแพ้และชัยชนะทางการเมืองได้

3. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงศิลธรรมหรือเป้าหมาย (moral and goals approach)

แนวทางการศึกษาแบบนี้ มิได้ให้ความสนใจต่อกระบวนการของระบบการเมืองและอำนาจทางการเมืองเช่นเดียวกับแนวทาง 2 แนวทางที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่เป็นการพิจารณาถึงทิศทางและเป้าหมายของการเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยลักษณะทางศิลธรรม รูปแบบพื้นฐานของความชอบ ความถูกต้อง และความเหมาะสมทางการเมือง ซึ่งก็ต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดของขอบเขตอำนาจทางการเมือง อันดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักต่อการทำความเข้าใจ และมักปรากฎว่ามีนักรัฐศาสตร์จำนวนน้อยที่เห็นด้วยกับแนวทางการศึกษาแนวนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์เชิงนโยบายและเชิงอำนาจเช่นที่ได้กล่าวถึงแล้ว

กล่าวโดยสรุป จากแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า รัฐศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่เก่าแก่ซึ่งเกิดขึ้นมาควบคู่กับสังคมมนุษย์ในยุคสมัยที่เริ่มมีการรวมกลุ่มปกครองตนเองและสังคมอย่างชัดเจน นับย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโบราณเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว โดยเป็นวิชาที่ศึกษาถึงลักษณะและวัตถุประสงค์และการจัดองค์กรของรัฐ รวมถึงระบบการเมืองการปกครองและสถาบันเกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยได้วิวัฒนาการเชิงลักษณะวิชาผ่านยุคสมัยที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และยุคสมัยใหม่ ดังที่ได้แบ่งยุคการศึกษารัฐศาสตร์ให้เห็นกันไปแล้ว กระนั้น วิวัฒนาการของการศึกษารัฐศาสตร์ดังกล่าว ก็ล้วนแล้วแต่กำเนิดเกิดขึ้นและเป็นไปในบริบทของสังคม และเติบโตไปตามพลังทางเศรษฐกิจการเมืองของสังคมตะวันตก เนื้อหาสาระของแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ก็ได้แตกต่างกันไปตามสภาวะการณ์ปัญหาทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัยตามทัศนะของนักคิดนักปรัชญาการเมืองในยุคนั้นเป็นสำคัญ และเนื่องจากแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์ที่แตกต่างกันหลากหลายดังกล่าว นักวิชาการรัฐศาสตร์บางรายหรือบางสำนักจึงอาจนิยมชมชอบแนวทางการศึกษาแนวใดแนวหนึ่งเป็นการเฉพาะ ในขณะที่หลายรายอาจนำเอาแนวทางการศึกษาหลายแนวมาผสมผสานกัน ซึ่งได้ส่งผลให้ขอบเขตของการศึกษากว้างขวางออกไป ในบางยุคสมัย แนวทางการศึกษาหนึ่งอาจได้รับความนิยมอย่างโดดเด่น ในขณะที่บางแนวการศึกษาอาจไม่ได้รับการยอมรับและถูกต้องวิพารษ์วิจารณ์ถึงความถูกต้องเหมาะสมต่อการนำเอามาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ดังเช่น แม้รัฐศาสตร์ยุคใหม่จะนิยมแนวทางการศึกษาแบบประจักษ์นิยมเชิงตรรก (logical positivism) ซึ่งเป็นแนวทางและระเบียบวิธีการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์อย่างหนึ่งที่ไม่มีการตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี หรือปราศจากค่านิยมต่อสิ่งที่ศึกษา ( value-free judgement) และมีความเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้ความเป็นเหตุเป็นผล (casuality) และความเป็นจริงของสิ่งที่นำมาศึกษา หรือที่เรียกกันว่า “การศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์ (behavioralism)” ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ในระยะต่อมา ได้มีนักรัฐศาสตร์ยุคใหม่ได้โต้แย้งว่า ท้จริงแล้วรัฐศาสตร์ที่ปราศจากคุณค่าหรือค่านิยม และอคติ อันเป็นสาระสำคัญของการศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมนิยมนั้น หาได้เป็นความจริงแต่อย่างใดไม่ เนื่องจากการเลือกประเด็นที่จะศึกษาก็เป็นการตัดสินใจที่แฝงคุณค่าหรือค่านิยมต่อเรื่องนั้นอยู่แล้ว เช่น การศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองและสถาบันทางการเมืองโดยละเลยที่จะพิจารณา บทบาทของรัฐ นโยบายของรัฐและรูปแบบทางการเมืองการปกครอง ก็ย่อมเป็นข้อสรุปเบื้องต้นอย่างกลาย ๆ อยู่แล้วว่า ผู้ศึกษามองรูปแบบการปกครองของรัฐนั้นว่าเหมาะสมอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องของการแสดงฝักฝ่ายในการศึกษาอยู่นั่นเอง นอกจากนี้ การที่รัฐศาสตร์ล้วนพัวพันกับอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองการปกครองและการแบ่งสรรผลประโยชน์หรือคุณค่าต่าง ๆ ในสังคม ก็ยังป็นสิ่งที่สะท้องให้เห็นว่าความเป็นกลาง (neutrality) และความเป็นศาสตร์ (science) อย่างแท้จริงของรัฐศาสตร์แนวพฤติกรรมนิยมนี้ หาได้เป็นเช่นดังที่ เนวิล จอห์นสัน (Nevil Johnson) กล่าวไว้แต่อย่างใดเลย

แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันในวงวิชาการรัฐศาสตร์ว่า แนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์นั้น พอจะแบ่งออกได้เป็น 6 แนวทางใหญ่ ๆ คือ

1. การศึกษาเรื่องรัฐบทบาทและหน้าที่ของรัฐ

2. การศึกษาเรื่องสถาบันทางการเมืองและการปกครอง ที่มาแห่งอำนาจ การบ่งสรรอำนาจและรูปแบบการปกครอง

3. การศึกษาเรื่องอำนาจ ผู้ครอบอำนาจ การใช้อำนาจหน้าที่

4. การศึกษาเรื่องการตัดสินตกลงใจและนโยบายสาธารณะ

5. การศึกษาเรื่องพฤติกรรมทางการเมือง ช่น การรวมกลุ่ม การลงคะแนนเสียง และทัศนคติทางการเมือง

6. การศึกษารัฐศาสตร์โดยพิจารณาถึงปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่เรียกว่า สังคมวิทยาการเมือง (Political Sociology) และ เศรษฐกิจการเมือง (Political economy)

ระเบียบวิธีการศึกษารัฐศาสตร์ (Methodology in Political Science)

ดังได้กล่าวไปแล้วว่า ระเบียบวิธีการศึกษา หมายความถึง วิถีทางที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการศึกษา ไม่ว่าจะนิยามหรือคำจำกัดความ หรือแนวทางในการวิเคราะห์ อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่เป็นระบบหรือไม่ มีการสร้างแบบจำลองหรือตัวแบบของการศึกษาไว้หรือไม่ก็ตาม ระเบียบวิธีการศึกษาแต่ละแบบที่มีอยู่ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์นั้น จะเป็นแนวทางที่ช่วยให้นักรัฐศาสตร์สามารถทำความเข้าใจและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการเมืองได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น เกิดความรู้ความเข้าใจที่เที่ยงตรง และเนื่องจากรัฐศาสตร์มิได้กล่าวถึงเพียงแต่เรื่องการเมืองการปกครองประการเดียว แต่ยังหมายความกว้างถึงการศึกษาเกี่ยวกับการแจกแจงคุณค่าในเชิงอำนาจ การบริหารและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของสังคมรัฐศาสตร์นอกจากที่ต้องอาศัยองค์ความรู้เฉพาะแล้ว ยังเป็นการสานความรู้หรือประสมประสานบูรณาการความรู้ในศาสตร์ด้านอื่น อาทิประวัติศาสตร์ เศรษศาสตร์ การจัดการมนุษยวิทยา เป็นต้น ประกอบเข้าไปด้วย ในอันที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่ศึกษาเรื่องรัฐศาสตร์ที่มีความสลับซับซ้อน เป็นไปอย่างแตกฉานยิ่งขึ้น

ระเบียบวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์หากพิจารณาตามนิยามที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ก็กล่าวได้ว่าระเบียบวิธีการศึกษาเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนั่นเอง เพียงแต่แตกต่างกันไปบ้างตามจุดเน้นของแต่ละวิธี ซึ่งพิจารณาได้จากงานเขียนของ สนธิ เตชานันท์ (2543, 9-17) ซึ่งได้จำแนกไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

1. แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์แบบเก่า (Traditional political science)

แนวการศึกษาแบบนี้ประกอบไปด้วยระเบียบวิธีการศึกษาหลายแบบ แต่ละแบบก็แตกต่างกันไปบ้าง ดังนี้

1.1 แบบปรัชญาการเมืองคลาสสิค (Classical political philosophy)

แนวทางการวิเคราะห์แบบนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีที่เก่าแก่ที่สุด โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ การประเมินค่าสิ่งที่นักปรัชญาการเมืองสนใจ ประกอบกับการใช้วิธีการอนุมานหรือคาดคิดเอาด้วยเหตุด้วยผลเท่าที่มีอยู่ว่าการเมืองคืออะไร ระบบการปกครองที่ดีที่สุด ผู้ปกครองที่ดีที่สุดควรจะเป็นอย่างไร ดังที่ได่กล่าวไปแล้วในเรื่องแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาการเมือง

1.2 แบบประวัติศาสตร์ (Historical method)

แนวทางการศึกษาแบบนี้ได้เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ใน สหรัฐอเมริกาและยังคงใช้กันมากในปัจจุบัน โดยนักรัฐศาสตร์เชื่อกันว่ารัฐศาสตร์มีต้นกำเนิดมาจากสาขาวิชาประวัติศาสตร์ หรือเป็นวิชาประวัติศาสตร์การเมืองซึ่งรวมตลอดถึงประวัติพรรคการเมือง ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และประวัติความคิดทางการเมืองที่สำคัญต่าง ๆ และเห็นว่าวิธีการศึกษาแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้สามารถทำความเข้าใจความเป็นจริงของสถาบันการเมืองต่าง ๆ ได้อย่างถ่องแท้

1.3 แบบกฎหมาย (Legalistic method)

แนวทางการศึกษาแบบนี้ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่การศึกษาในเรื่องการเมืองกับกฎหมายหรือระบบกฎหมายมีความเกี่ยวพันกัน และได้กลายเป็นสิ่งที่วางพื้นฐานการศึกษารัฐศาสตร์อเมริกันที่พิจารณาว่า รัฐศาสตร์แท้จริงแล้วคือการศึกษาระบบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

1.4 แบบวิเคราะห์สถาบัน (Institutional analysis method)

แนวทางการวิเคราะห์แบบนี้เกิดขึ้นจากความตระหนักของนักรัฐศาสตร์ว่าการเมืองเป็นสิ่งที่มากไปกว่าระบบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเพื่อให้มีการพูดถึงการเมืองตามความเป็นจริงและเพียนงพ่อต่อการทำความเข้าใจรัฐศาสตร์ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้จากวิธีการศึกษาแบบกฎหมายและประวัติศาสตร์ การวิเคราะห์สถาบันการเมืองจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้นักรัฐศาสตร์มองเห็นหรือได้ศึกษาเกี่ยวกับความป็นจริงทางการเมืองมากที่สุด แต่อย่างไรก็ดี จุดมุ่งหมายของวิธีการศึกษาแบบนี้มีลักษณะสำคัญของการพรรณารายละเอียดสถาบันทางการเมือง อำนาจ บทบาทและหน้าที่ของประธานาธิบดี ด้วยวิธีการสังเกตที่ไม่ลึกซึ้ง ที่มิใช่การอธิบายระบบการเมือง

2. ระเบียบวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมนิยม (Behavioralism)

ภายหลังที่นักรัฐศาสตร์ได้หันเหความสนใจไปศึกษาการเมืองในเชิงวิเคราะห์มากขึ้น เพื่อจะยกฐานะของวิชารัฐศาสตร์ให้ทัดเทียมกับวิชาสังคมศาสตร์อื่น ๆ พร้อมกับความก้าวหน้าทางระเบียบวิธีการศึกษาหลายอย่างที่อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ ได้ก่อให้การศึกษาวิชารัฐศาสตร์หันเหความสนใจจากเดิมที่เป็นการอนุมานหรือการประเมินค่าสิ่งที่ศึกษาตามความเห็นหรือทัศนะของนักรัฐศาสตร์ เช่นที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่าเป็น “การคาดคิดไปตามอำเภอใจ” ซึ่งได้รับการวิพากษ์ถึงความน่าเชื่อถือในแง่ความเป็นศาสตร์ที่สามารถนำมาอธิบายการเมืองได้อย่างกว้างขวางถูกต้อง ได้เป็นสิ่งผลักดันให้รัฐศาสตร์นำเอาเทคนิควิธีศึกษาเชิงศาสตร์อันได้แก่วิธีการเชิงปริมาณ การรวบรวมข้อมูลที่พิสูจน์ได้ สนใจปรากฎการณ์ที่สังเกตได้ การวัดที่มีความถูกต้องแม่นยำ การวิเคราะห์อย่างมีระเบียบวิธีและอ้างอิงทฤษฎี โดยเชื่อว่าทฤษฎีและผลของการค้นพบที่นำไปสู่ข้อสรุป จะช่วยเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญของรัฐศาสตร์ทุกสาขา มาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ไปด้วย โดยแนวทางการศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมด้านหนึ่งได้แก่การเน้นในการศึกษาพฤติกรรมของผู้ดำเนินการทางการเมืองเป็นสำคัญ ที่มักจะปฏิเสธแนวทางแบบวิเคราะห์สถาบัน ซึ่งนักรัฐศาสตร์บางท่านเช่น เดวิด อีสตัน (David Easton) ได้เรียกร้องให้นักรัฐศาสตร์หันมาสนใจศึกษาเกีย่วกับกิจกรรมทางการเมืองมากกว่าการศึกษาสถาบันทางการเมือง

3. ระเบียบวิธีการศึกษายุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ (Post-behavioralism)

วิธีการศึกษาแบบนี้มีที่มาจากการที่นักวิชาการรัฐศาสตร์รุนใหม่ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1960 ไม่ยอมรับระเบียบวิธีการศึกษาแบบพฦติกรรมนิยมที่ยึดมั่นวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากเกินไ ป โดยวิภาควิจารณ์หรือกลับเคลื่อนไหวปฎิรูปวิชารัฐศาสตร์หรือเป็นยุคที่เรียกว่า “การปฏิวัติยุคหลังแนวการศึกษาเชิงพฤติกรรม (the Post-behavioralism Revolution)” โดยสาระสำคัญในแนวคิดของนักรัฐศาสตร์กลุ่มนี้คือเห็นว่ายิ่งรัฐศาสตร์ใช้วิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ประกอบกับการแยกค่านิยมออกจากการเมืองมากเท่าใด นักรัฐศาสตร์ก็จะยิ่งห่างไกลจากการเมืองมากขึ้นเท่านั้น และจะทำให้นักรัฐศาสตร์มุ่งแต่ความสนใจที่จะศึกษาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่าที่จะมองปัญหาสำคัญ ๆ ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ นักรัฐศาสตร์จึงต้องให้ความสำคัญต่อค่านิยมในการพิจารณาตัดสินเรื่องการเมืองการปกครอง อันแตกต่างไปจากการศึกษาเชิงพฤติกรรมนิยมที่มุ่งแยกส่วนค่านิยมออกจากข้อเท็จจริง
tO |3e ContiNue >>>>>

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:41 น. 5

รัฐศาสตร์ยุคใหม่ในสังคมตะวันตก
รัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็นองค์ความรู้ ได้ก่อตัวขึ้นและเปลี่ยนแปลงคู่ขนานไปกับการเกิดและพัฒนาการของรัฐในสังคมตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ดังจะเป็นได้จากแนวทางการศึกษาวิเคราะห์และขอบข่ายการศึกษารัฐศาสตร์ที่หลากหลายได้เริ่มพัฒนาขึ้นมาอย่างกว้างขวางในช่วงระยะนี้

การศึกษารัฐศาสตร์โดยทั่วไป จะกล่าวถึงเรื่องรัฐและกิจกรรมด้วนต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งภายในและระหว่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ (Peter T. Minicas 1987, 24-25) หรือเป็นการศึกษาที่มุ่งตอบสนองความต้องการด้านใดด้านหนึ่งของรัฐเป็นหลักอันได้แก่ การจัดการเรื่องกำลังคน หรือการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองในบางประเทศ เป็นต้น และด้วยเหตุที่สาระสำคัญของการศึกษารัฐศาสตร์กล่าวถึงหรือรับใช้ไม่ว่าด้านใดของรัฐ รัฐในแทบทุกสังคมจึงมักจะมีบทบาทหรือเข้ามามีอิทธิพลกำหนดกรอบทิศทางการศึกษารัฐศาสตร์มาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากการศึกษาวิจัยในสาขารัฐศาสตร์ของสถาบันการศึกษาระดับสูง มักกล่าวถึงเรื่องโครงสร้างอำนาจและระบอบการปกครอง อุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบายของรัฐ (อนุสรณ์ ลิ่มมณี 2541, 10) นอกเหนือไปจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมความเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษารัฐศาสตร์ในอีกด้านหนึ่ง และอิทธิพลของรัฐซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหลักดังที่ได้กล่าวไปแล้วกระทั่งกล่าวได้ว่า สิ่งที่กำหนดกรอบทิศทางการศึกษารัฐศาสตร์ของแต่ละประเทศนั้น แท้จริงคืออิทธิพลของรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม ในระดับที่เข้มข้นไม่ต่างไปจากรูปแบบของการศึกษาหลักที่ครอบงำวงวิชาการรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศและปัจจัยภายนอกด้านอื่น อันได้แก่การเปลี่ยนแปลงในศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ (ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อรูปแบบการศึกษารัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการศึกษา ระเบียบวิธีหรือประเด็นสำคัญในการศึกษา) สักเท่าใดนัก ซึ่งแม้ว่าบทบาทหนึ่งในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงการศึกษารัฐศาสตร์จะเป็นของสถาบันการศึกษาหรือเป็นเรื่องที่คณะหรือภาควิชา ที่เป็นกลไกหลักในการเรียนการสอน จะว่ากันไปเอง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธบทบาทของรัฐดังกล่าวได้ โดยเฉพาะที่จะเห็นได้ชัดในยุคที่ประเทศหรือระบบการเมืองเป็นแบบเผด็จการอำนาจนิยม

ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือได้ว่าเป็นแม่แบบของการศึกษารัฐศาสตร์เชิงองค์ความรู้ ได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องนับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา รัฐศาสตร์ยุคใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในสหรัฐอเมริกานั้น กล่าวได้ว่ามีการพัฒนาตัวเองมาเป็นองค์ความรู้ที่แยกตัวเป็นอิสระจากสังคมศาสตร์สาขาอื่น หลังจากที่รัฐศาสตร์สมัยใหม่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในวงวิชาการอเมริกันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จากการก่อตั้งสำนักการศึกษารัฐศาสตร์ (School of Political Science) ขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1880 และได้ขยายตัวไปสู่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ และมีการรวมกันในหมู่ของนักวิชาการและผู้สนใจจัดตั้งสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (The American Political Science Association) (อนุสรณ์ ลิ่มมณี 2541, 5)

การพัฒนาองค์ความรู้ของรัฐศาสตร์ภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งในด้านทฤษฎีและระเบียบวิธีการศึกษารัฐศาสตร์ นับว่าเป็นไปอย่างก้าวหน้าและจริงจังในประเทศแถบยุโรปตะวันตก จำเพาะอย่างยิ่งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนมีลักษณะเฉพาะตัว แตกต่างไปจากบางประเทศเช่นฝรั่งเศสในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กระนั้นการพัฒนาของรัฐศาสตร์ในแต่ละประเทศก็แตกต่างกันไปบ้าง มิได้ทัดเทียมกันไปทั้งหมด

แม้ว่ารัฐศาสตร์จะเจริญเติบโตมากในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้มีฐานะที่โดดเด่นไปกว่าการเป็นหน่วยหนึ่งของการศึกษาวิชานิติศาสตร์ ที่ขึ้นชื่อมากของการศึกษาในประเทศดังกล่าว และมีฐานะเป็นเพียงกลุ่มวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น ความประการนี้ย่อมพิจารณาได้จากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดของบรรดานักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ต่อการศึกษาเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองและสังคมเอง อย่างไรก็ดี ในภาพรวมนั้น รัฐศาสตร์ในฝรั่งเศสได้ทำหน้าที่ประการสำคัญในการฝึกอบรมให้ความรู้แก่นักการเมืองและข้าราชการในสถาบันที่มีชื่อว่า “Ecole Nationald’ Administration” เสียมากกว่า

ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น รัฐศาสตร์ได้เติบโตขึ้ขโดยบทบาทสำคัญขององค์การระหว่างประเทศองค์การหนึ่งที่พึงกล่าวถึง คือ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNESCO นับแต่คราวที่ อีเบนสไตน์ (W.Ebenstein) ศาสตราจารย์ผู้สอนวิชารัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปริ๊นซ์ตัน ได้เข้ามาทำหน้าที่ประจำในตำแหน่งผู้อำนวยการที่องค์การดังกล่าวเมื่อปี ค.ศ. 1948 ซึ่งถือเป็นการจุดประกายการศึกษารัฐศาสตร์อย่างจริงจังในช่วงนั้น การดำเนินการดังที่กล่าวไปนี้ได้เริ่มต้นในรูปของโครงการระดมความคิดเห็นของผู้วชาญอันประกอบด้วยนักปรัชญา นักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ ผู้สอนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อจำแนกแยกแยะคุณลักษณะสำคัญของรัฐศาสตร์ใน 3 ประการหลัก ประกอบด้วย (1) เนื้อหา (content) (2) ระเบียบวิธี (methodology) และ (3) ความหมายของคำ (terminology) แล้วนำมาผลงานของนักวิชาการต่างๆ เหล่านี้มาตีพิมพ์รวมเล่มเผยแพร่ในปีค.ศ. 1950 (รายละเอียดศึกษาได้ใน ไพโรจน์ ชัยนาม เรื่อง “สถาบันการเมืองและกฎหมายรัฐธรรมนูญ: ภาค 1 ความนำทั่วไป” ตีพิมพ์ปี 2524 หน้า 29-30)

ผลการรวบรวมความคิดเห็นของนักวิชาการจากหลากหลายสาขาต่อเนื้อหาระเบียบวิธีและการให้ความหมายของรัฐศาสตร์โดยบทบาทนำขององค์การ UNESCO ดังกล่าวข้างต้น ได้ก่อรูปเป็นบัญชีรายการอันแสดงถีงขอบข่ายและเนื้อหาองค์ประกอบของการศึกษารัฐศาสตร์ ซึ่งหากผู้ศึกษาพิจารณาเปรียบเทียบกับขอบข่ายหรือขอบเขตของการศึกษารับศาสคร์ในชว่งเวลาเดียวกันดังปรากฎในของเอกสารบรรยายฉบับนี้ เราก็อาจอนุมานได้ประการหนึ่งว่าบทบาทประการนี้ขององค์การ UNESCO นับว่าได้รับการยอมรับอยู่ไม่น้อย (แม้อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวผู้นำองค์การคือ ดร.อีเบนสไตน์เอง) และเป็นส่วนสำคัญไม่น้อยต่อการพัฒนาองค์ความรู้ของสาขาวิชารัฐศาสตร์ ในยุคใหม่ขึ้น บัญชีรายการได้แสดงถึงขอบข่ายของการศึกษารัฐศาสตร์ไว้ดังนี้

1. ทฤษฎีการเมือง

1.1 ทฤษฎีทางการเมือง

1.2 ประวัติความคิดทางการเมือง

2. สถาบันการเมือง

2.1 รัฐธรรมนูญ

2.2 รัฐบาลกลาง

2.3 รัฐบาลหรือการปกครองเขต แขวงและท้องถิ่น

2.4 ราชการบริหาร

2.5 ภารกิจหน้าที่ทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล

2.6 สถาบันการเมืองเปรียบเทียบ

3. พรรคการเมือง กลุ่มและมติมหาชน

3.1 พรรคการเมือง

3.2 กลุ่มและสมาคม

3.3 การเข้าเกี่ยวข้องของพลเมืองในการปกครอง (รัฐบาล) และในราชการบริหาร

3.4 มติมหาชน

4. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

4.1 นโยบายระหว่างประเทศ

4.2 องค์การและการบริหารระหว่างประเทศ

4.3 กฎหมายระหว่างประเทศ

แม้ว่ารัฐศาสตร์ตะวันตกจะดูเติบโตขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และด้านนิติศาสตร์ ถึงความเป็นเอกลักษณ์แยกออกมาอย่างชัดเจนและเป็นอิสระ (autonomy) ขององความรู้ด้านรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นวิทยาการ (discipline) ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับระบบของรัฐบาลและองค์การทางการเมืองอยู่ไม่น้อย นักวิชาการบางท่านได้แก่ ยอร์ช บรูโด ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “Methode de la Science Politique (1959)” ว่ารัฐศาสตร์เป็นระเบียบวิธีอย่างหนึ่งที่ทำให้การศึกษารัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างได้ผลและเป็นการยืนย้ำความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายรัฐธรรมนูญกับรัฐศาสตร์ไว้ และช่วยทำให้รัฐศาสตร์ได้รับความคุ้มครองป้องกันที่จำเป็นต่อการถูกดึงให้ออกนอกลู่นอกทาง (ไพโรจน์ ชัยนาม 2524, 40-43) ทัศนะของบรูโด ดังกล่าวย่อมเห็นได้อย่างแจ้งชัดว่ามีฐานะเป็นเพียงภาคส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่นอยู่กับนิติศาสตร์ โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว แต่ในภายหลังช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 โบริส มีรกีน-เกตเซวิช เป็นตัวอย่างของนักวิชาการท่านหนึ่งที่ได้กล่าวถึงความเป็นเอกลักษณะของการศึกษารัฐศาสตร์อย่างน่าสนใจ ปรากฎในหนังสือชื่อ “รัฐธรรมนูญในยุโรป (1951)” โดยกล่าวไว้ว่า แม้รัฐศาสตร์มีวัตถุประสงค์ที่ยืมเอามาจากนิติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์ แต่สิ่งที่แตกต่างไปอันเป็นสาระสำคัญของรัฐศาสตร์โดยเฉพาะก็คือ ระเบียบวิธีการศึกษา (method) ของรัฐศาสตร์ที่มุ่งศึกษาถึงความหมายทางการเมืองของสถาบันทางสังคม ตลอดจนการค้นหาผลที่เกิดขึ้นจากกฎหมายของสถาบันหรือระบอบการปกครองอันใดอันหนึ่ง ด้านการวิเคราะห์ไปยังเหตุ (causes) มากกว่าที่มุ่งศึกษาความโน้มเอียง (tendency) ของเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ นักรัฐศาสตร์บางท่านได้แก่ แอยเซนมานน์ แห่งมหาวิทยาลัยกรุงปารีส 1 รวมทั้งนักวิชาการอีกหลายท่านในกลุ่ม “ Political Scientist” หรือเรียกว่า “นักรัฐศาสตร์” ได้โต้แย้งแนวคิดว่าด้วยการที่รัฐศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของนิติศาสตร์ ไว้ว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญและรัฐศาสตร์นั้น เป็นวิทยาการที่มีสภาพแตกต่างกันโดยไม่ขึ้นแก่กันหรือรัฐศาสตร์มิได้ขึ้นแก่วิทยาการใดมาไม่น้อยกว่าครึ่งศตวรรษแล้วในประเทศทางตะวันตก และกล่าวว่าแม้รัฐธรรมนูญจะมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ใกล้เคียงกันกับการศึกษาเรื่องรัฐบาล ระบอบหรือองค์การทางการเมืองของรัฐ แต่ก็เป็นเพียงความใกล้เคียงกันโดนผิวเผินเท่านั้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นการแตกต่างกันที่สาระสำคัญอยู่นั่นเอง (ดูรายละเอียดใน ไพโรจน์ ชัยนาม 2524, 21-23)

รัฐศาสตร์ในโลกตะวันตก ได้พัฒนาก้าวหน้าแยกออกมาจากการเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญหรือจากร่วมเงาของสาขานิติศาสตร์มาอย่างมั่นคง เป็นเอกลักษณ์โดยลำดับกระทั่งเข้าสู่ยุคใหม่ หากพิจารณาในแง่ของสาขาวิชาการทางรัฐศาสตร์ที่เดิมสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 กลุ่ม สาขาวิชาใหญ่ ๆ ซึ่งประกอบด้วย 1) Political Philosophy and Political Thought 2) Internal Politics 3) Comparative Politics 4) Public Law and Public Policies 5) Public Administration และ6) International Relations ไปเป็น 10 สาขาวิชาหลัก ผ่านการจัดหมวดหมู่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่าง ดังนี้

1. American Government

2. Biopolitics

3. Comparative Politics

4. Criminal Justice

5. International Relations

6. Methodology

7. Political Theory

8. Public Administration

9. Public Law

10. Public Policies

และหากพิจารณาจากการกำหนดกลุ่มวิชาการในการประชุมสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (American Political Science Association-APSA) จะยิ่งปรากฎความหลากหลายของแขนงวิชาการความรู้ทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์มากขึ้นเป็น 46 กลุ่มวิชาการดังนี้ (ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ 2547, 4-5)

1. Political Thought and Philosophy : Historical Approach

2. Foundation of Political theory

3. Normative Political theory

4. Formal Political Theory

5. Political Psychology

6. Political Economy

7. Political and History

8. Political Methodology

9. Teaching and Learning in Political Science

10. Undergraduate Education

11. Comparative Politics

12. Comparative Politics of Developing Countries

13. Politics of Communist and Former Communist Countries

14. Comparative Politics of Advanced Industrial Societies

15. European Politics and Society

16. International Political Economy

17. International Collaboration

18. International Security

19. International Security and Arm Control

20. Foreign Policy

21. Conflict Processes

22. Legislative Study

23. Presidency Research

24. Public Administration

25. Public policy

26. Law and Courts

27. Constitutional Law and Jurisprudence

28. Federalism and Intergovernmental relations

29. State Politics and Policy

30. Urban Politics

31. Women and Politics

32. Race, Ethnicity and Politics

33. Religion and Politics

34. Representation and Electoral System

35. Political Organization and Parties

36. Election and Voting Behavior

37. Public Opinion and Political Participation

38. Political Communication

39. Science, Technology and Environmental Politics

40. Information Technology and Politics

41. Politics and Literature

42. New Political Science

43. Ecological and Transformational Politics

44. International History and Politics

45. Comparative Democratization

46. Human Rights

มองในแง่พัฒนาการและทิศทางความเป็นไปของรัฐศาสตร์ในสังคมตะวันตก ธเนศวร์ เจริญเมือง (2545, 20-22 ) ได้กล่าวว่า ในห้วงเวลากว่า 1 ศตวรรษที่ผ่านมา สังคมตะวันตกส่วนใหญ่มีระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง ระบบการปกครองมีลักษณะที่กระจายอำนาจสู่ การปกครองท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (Liberal Economy) โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเหล่านี้มีนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิคอมมิวนิสต์และคัดค้านระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism) ซึ่งผลของบริบททางสังคมดังกล่าว ได้ทำให้วิชารัฐศาสตร์ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีลักษณะสำคัญอย่างน้อย 7 ประการ

ประการแรก การเรียนการสอนรัฐศาสตร์ โดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นความเข้มข้นทางวิชาการ กล่าวคือ มีทั้งการฟังคำบรรยาย การอภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียน การอ่านหนังสือประกอบจำนวนมาก และการเขียนรายงานที่เกิดจากการค้นคว้าเอกสารค่อนข้างดี มีวารสารทางวิชาการเกี่ยวกับรัฐศาสตร์จำนวนมากและสม่ำเสมอ

ประการที่สอง การเรียนการสอน มีลักษณะเปิดกว้าง มีเนื้อหาวิชาครอบคลุมระบบการเมืองต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง มีสถาบันการศึกษาจำนวนมากและส่วนใหญ่มีแนวทางการศึกษาที่หลากกลาย เนื่องจากระบบการเมืองเป็นแบบเปิด

ประการที่สาม การศึกษษให้ความสำคัญต่อระบอบบประชาธิปไตยมากกว่าระบบการเมืองแบบอื่น หรือนิยมชมชอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากกว่าระบอบการเมืองอื่น ๆ

ประการที่สี่ มีวิชาและการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นจำนวนมาก เช่น การเมืองในเขตที่สถาบันการศึกษานั้นตั้งอยู่ การเมืองในระดับมลรัฐ เป็นต้น

ประการที่ห้า มีการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบเศรษฐกิจเสรั โดนเฉพาะลัทธิสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ โดยพาะในช่วงแห่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างค่ายโลกเสรีกับค่ายสังคมนิยมในระหว่างทศวรรษที่ 2510-2520 นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวคิดใหม่ ๆ หลายอย่างเกี่ยวกับประเทศกำลังพัฒนาเช่น เสนอว่าทิศทางการพัฒนาสังคม ในที่สุดก็จุพัฒนาเช้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามทฤษฎีภาวะทันสมัย (Modernization Theory) เป็นต้น ซึ่งแนวความคิดเหล่านี้ มีบทบาทอย่างสูงต่อวงการศึกษารัฐศาสตร์ของประเทศกำลังพัฒนา

ประการที่หก การศึกษารัฐศาสตร์เน้นไปที่การศึกษาเพื่อแก้ไชปัญหาในระบบการเมือง มิใช่การแสวงหาระบบใหม่ เนื่องจากแต่ละประเทศต่างมีพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่องยาวราน เนื้อหาของการศึกษาจึงมีลักษณะเฉพาะส่วนเพื่อแก้ไขปรับปรุงส่วนเหล่านี้ เชน การศึกษานโยบายสาธารณะ สถาบันทางการเมือง และพฤติกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะการลงคะแนนเวียงและทัศนคติของประชาชน เป็นต้น

ประการที่เจ็ด ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแข็งขัน มีกลุ่มรณรงค์ของประชาชนจำนวนมาก ประชาชนมค่วามรู้พืนฐานในเรื่องการเมืองค่อนข้างดีทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ดี รัฐศาสตร์ในประเทศตะวันตกกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจในฐายะวิชาที่มีนักศึกษาเลือกเรียนจำนวนมาก โดยเฉพาะระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เนื่องจากหน่วยงานที่ต้องการนักศึกษารัฐศาสตร์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสถาบันการศึกษาต่าง ๆ นั้นเอง ซึ่งแตกต่างไปจากประเทศกำลังพัฒนาเช่นประเทศไทย รัฐศาสตร์จะได้รับการยอรับในวงวิชีพมากกว่าความเป็นวิชาการ ดังที่จะได้ศึกษาต่อไปเรื่องพัฒนาการ รัฐศาสตร์ในสังคมไทย

ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ (2547,9 -11) ได้เสนอทัศนะโดยชี้ให้เห็นทิศทางใหม่ของรัฐศาสตร์ไว้ว่า ในช่วงจุดเปลี่ยนของศตวรรษ วิชารัฐศาสตร์ได้ก้าวไปสู่ทิศทางใหม่ที่เรียกว่า “รัฐศาสตร์ใหม่” (The New Political Science) ซึ่งแม้รัฐศาสตร์จะยังไม่ก้าวย่างเข้าสู่กระบวนทัศน์ใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่ถึงขั้นการปฏิวัติทางศาสตร์ (Science Revolution) อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตในรูปแบบทางวิชาการของีรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายประการดังนี้

ประการแรก เน้นการศึกษาเชิงประจักษ์ และมุ่งเน้นสหวิทยาการ

รัฐศาสตร์ใหม่ได้ให้ความสนใจในการศึกษาเชิงประจักษ์ (empiricism) เป็นการสานต่อการศึกษารัฐศาสตร์แบบพฤติกรรมศาสตร์ และประจักษ์นิยมในช่วง 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการศึกษาที่สามารถตรวจสอบปรากฎการณ์ที่เป็นจริงได้อย่างแน่นอน โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่ที่พัฒนาการจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านอิเลคทรอนิคส์ เทคโนโลยีข่าวสาร และคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถศึกษาข้อมูลได้อย่างกว้างขวางหลากหลายรูปแบบได้มากกว่าในอดีต ทั้งในทางเทคนิคด้านประมาณและเทคนิคด้านคุณภาพ สำหรับด้านการศึกษาคุณภาพ ได้มีการพัฒนาวิธีการและการประดิษฐ์ซอพท์แวร์มาใช้ในการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น การใช้ซอพท์แวร์วิเคราะห์ข้อเขียน คำพูด รูปภาพ เป็นต้น ซึ่งในช่วงเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ตำราและเทคนิคการศึกษาที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว อันเป็นการขยายขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์เชิงประจักษ์ให้รวดเร็วและหยั่งรากลึกลงไปในรายละเอียดได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ วิชารัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มที่จะรับเอาระเบียบวิธี (Methodology) ของศาสตร์แขนงอื่น ๆ มาใช้ประโยชน์ในการศึกษาและอธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น เอกลักษณ์ของวิชารัฐศาสตร์จึงไม่ใช่ศาสตร์ที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองทั้งในด้านขอบเขตเนื้อหาและระเบียบวิธีการ แต่เป็นศาสตร์ที่มีลักษณะเปิดกว้าง เน้นสหวิทยาการหรือการผสมผสานกับศาสตร์แขนงอื่นในลักษณะข้ามสาขา

ประการที่สอง เน้นการศึกษาสถาบันและกลุ่มย่อยที่หลากหลาย

ในทศวรรษใหม่นี้ การศึกษารัฐศาสตร์ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจด้านการศึกษาสถาบันหลักทางการเมืองการปกครอง เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร สถาบันตุลาการ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และกระบวนการที่สำคัญ เช่น กระบวนการเลือกตั้ง เป็นต้น เท่านั้น หากแต่ยังให้ความสำคัญแก่สถาบันและกระบวนการที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีหลากหลายจากการที่อำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและมีการกระจายอำนาจลงสู่รากฐานของสังคม

การที่อำนาจของรัฐส่วนกลางได้เปลี่ยนไปหรือลดน้อยลง และอำนาจของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย ๆ ในสังคมมีความกล้าแข็งขึ้น กลายเป็นประชาคมการเมืองกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ และมีความเข้มแข็งตลอดจนบทบาททางการเมืองมากยิ่งขึ้นตามลำดับ กระทั่งรัฐศาสตร์ใหม่ไม่อาจละเลยที่จะให้ความสนใจต่อการกำเนิด พัฒนาการ ความเข้มแข็ง และบทบาทของสถาบันการเมืองทั้งหลายเหล่าหนี้ได้ ในกรณีของประเทศไทย สถาบันที่เป็นองค์กรเกิดใหม่ตามรัฐธรรมนูญ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิสมนุษยชนและสิทธิชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน ประชาคมท้องถิ่น เป็นต้น ได้ก่อตัวขึ้นอย่างหลากหลาย มีพัฒนาการเข้มแข็งและมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ซึ่งควรเป็นประเด็นสำคัญต่อการศึกษาทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในมิติและบริบทใหม่ของประเทศไทย

ประการที่สาม ความสนใจในปัญหาที่เชื่อมโยงกับศาสตร์แขนงอื่น

การศึกษารัฐศาสตร์แนวใหม่ โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มุ่งเน้นการศึกษาสภาพความเป็นจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับศาสตร์สาขาอื่น อาทิ ปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทมต่อการเมืองภายในประเทศและระบบการเมืองระหว่างประเทศ อิทธิพลของสถาบันระหว่างประเทศที่สำคัญได้แก่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก (WORLD BANK) องค์การการค้าโลก (WTO) ตลอดทั้งอิทธิพลของระบบเศรษฐกิจเสรีได้แก่ การเปิดเสรีทางการเงิน เสรีทางการค้า และเสรีทางการลงทุน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยได้กลายมาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจศึกษามากขึ้น ในขณะเดียวกับที่การให้ความสนใจกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) และหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ก็ยังคงเป็นเรื่องที่นักรัฐศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ความสนใจอยู่ต่อไป

ประการที่สี่ เน้นการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การศึกษารัฐศาสตร์ใหม่ มุ่งเน้นในรายละเอียดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์โดยตรงได้จริง โดยผ่านขั้นตอนของการประยุกต์แต่เพียงเล็กน้อย นั่นคือ ผลของการศึกษาทางรัฐศาสตร์ใหม่ที่เน้นองค์ความรู้ที่หลากหลาย ได้แผ่กิ่งก้านสาขาเข้าไปในทุกองคาพยพทางการเมืองการปกครองและการบริหาร ซึ่งเป็นการขยายความเข้มแข็งขององค์ความรู้เชิงประจักษ์เดิมให้มีความละเอียดยิ่งขึ้น และสามารถให้การอธิบายและทำนายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในสภาพการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

ประการที่ห้า เน้นความเป็นศาสตร์และคุณค่าต่อสังคมส่วนรวม

รัฐศาสตร์ยังคงเน้นความสำคัญของความเป็นศาสตร์ทางวิชาการที่บรรดานักรัฐศาสตร์ต่างพยายามที่จะยกสถานะ ศักดิ์ศรี และเกียรติยศให้ทัดเทียมกับศาสตร์สาขาอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสังคมศาสตร์ด้วยกัน ภารกิจของสาขาวิชารัฐศาสตร์คือการสร้างแนวความคิดและภูมิปัญญาในรูปแบบต่าง ๆ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงและมีคุณค่าต่อสังคมส่วนรวม การนำเสนอวิธีกานในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้สังคมและพลเมืองมีชีวิตที่ดีขึ้นไายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ นอกจากนั้น รัฐศาสตร์ยังเป็นสื่อกลางสำหรับศาสตร์สาอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยกระบวนการในการผลักดันให้เกิดผลของการศึกษาวิจัย ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม

ในหัวข้อนี้มะต้องอ่านแบบเครียสมากนะคะ
เพราะว่าอ่านเอารู้ก็พอ
tO |3e ContiNue >>>>>

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:42 น. 6

พัฒนาการการศึกษารัฐศาสตร์ในสังคมไทย
ในการวิเคราะห์พัฒนาการของการศึกษารัฐศาสตร์ในสังคมไทย ผู้เขียนได้กำหนดกรอบเพื่อเป็นตัวกำหนดประเด็นหลักในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒราการของรัฐศาสตร์ไทยด้วยการศักษาบทบาทของแรงผลักดันและเงื่อนไขสำคัญที่มีอิทธิพลต่อรัฐศาสตร์ไทยใน 3 ประการคือ (1) โครงสร้างทางอำนาจและระบอบการปกครองหรือนโยบายของรัฐ (2) สภาพเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ และ (3) อิทธิพลของวิชาการรัฐศาสตร์ในลักษณะการวิเคราะห์ภาพรวม (macroscopic analysis) เพื่อสร้างความเข้าในแก่นักศึกษาและผู้สนใจรัฐศาสตร์ทั่วไป

เมื่อให้คำนิยามของรัฐศาสตร์ฮย่างง่ายว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองประเทศ (the science of government) แล้ว สำหรับสังคมไทย ควรจะได้รับการพิจารณาย้อนหลังไปถึงการปกครองในสมัยสุโขทัย เพื่อพิเคราะห์รูปลักษณะของรัฐศาสตร์ไทยนับแต่สมัยโบราณ ซึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า รัฐศาสตร์ไทยในเชิงหลักการปกครองล้านเมืองหรือหลักการปฏิบัติราชการ (มิใช่ความเป็นวิชาการหรือองค์ความรู้)ได้ถือกำเนิดขึ้นในสังคมไทยมาแล้วกว่า 600 ปี (นับจากอาณาจักรสุโขทัยได้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 1800) แตกต่างกันออกไปตามบริบทของสังคมแต่ละยุคแต่ละสมัย ในลักษณะและรูปแบบที่ต่างกันตามแต่เต้าผู้ปกครองหรือพระมหากษัติริย์จะนำมาใช้เป็นรูปแบบการปกครองราชอาณาจักร หรือได้รับอิทธิพลในเรื่องการปกครองจากอารยธรรมใด

ลักษณะของการปกครองในสมัยช่วงต้นสุโขทัย นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า เป็นการปกครองแบบราชาธิปไตย หรือพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหาร ปกครองบ้นเมืองแต่เพียงผู้เดียว หรือมีลักษณะสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) แบบพิเศษซึ่งยึดถือกรอบความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติและสกุลเป็นพื้นฐานของการปกครอง ดังที่เรียกว่าเป็นรูปแบบ “ปิตุราชา” หรือ“พ่อปกครองลูก”(Patrimonialism) กล่าวคือ พระมหากษัตริย์มีฐานะเสมือนบิดาแห่งราชอาณาจักร ทางทำหน้าที่ปกครองลูก อบรมสั่งสอนราษฏร ให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เฉกเช่นเดียวกับพ่อที่อบรมบ่มสอนลูก นอกเหนือจากพระราชภารกิจในการบำรุงรักษาอาณาจักร อันรวมถึงการเป็นผู้นำกองทัพต่อสู้ปกป้องผู้รุกรานและหัวเมืองประเทศราชที่กระด้างกระเดื่องต่อพระราชดำราจในการปกครอง ส่วนในสมัยต่อมา การปกครองได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นการปกครองของกษัตริย์แบบธรรมราชา (The King of Righteousness) ซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปฏิบัติธรรมและปกครองโดยยึดหลักศาสนาพุทธ (นิกายนยาน ฝ่ายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์) เรื่อง ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และราชจรรยานุวัตร และมีกลุ่มชนชั้นสูงอันที่เรียกว่า “ลูกขุน” ได้แก่ เชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชการทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาแนะนำในการบริหารบ้านเมือง (ดู คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2523, หน้า 5-6 ประกอบ)

รัฐศาสตร์ในความหมายของหลักการปกครองหรือหลักการบริการบ้านเมืองดังกล่าวข้างต้น จึงอาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะของการถ่ายทอดแนวคิดทางการปกครองผ่านกระบวนการอบรมกล่อมเกลาทางสังคมและระหว่างบุคคลในกลุ่ม ตามแนวทางคติธรรมการปกครองของลัทธิสังกาวงศ์ ซึ่งได้ถ่ายทอดมาในสันตติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ในสมัยตอนต้นสุโขทัย เนื่องจากแต่เดิมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นเวลาประมาณ 200 ปี อาณาจักรสุโขทัยอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของอาณาจักรขอม จึงยังผลให้เกิดการยอมรับคติทางการปกครองเกี่ยวกับพระราชอำนาจของกษัตริย์ตามคติลัทธิเทวราช (Incarnation of God)รวมไปถึงการปกครองโดยอิทธิพลความเชื่อผ่านวรรณกรรมสำคัญโบราณได้แก่ ไตรภูมิพระร่วง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี คติความเชื่อเกี่ยวกับการปกครองดังกล่าวไปแล้วนั้น ก็มิได้มีลักษณะที่เป็นระบบระเบียบที่ชัดเจนและกระชับรัดกุมเท่าใดนัก โดยมีฐานะเป็นเพียง เครื่องมืออันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความสับสนวุ่นวายและเสริมสร้างสถานภาพของพระมหากษัตริย์ให้เกิดการยอมรับเคารพ เชื่อฟังและศรัทธาจากประชาชน และหัวเมืองต่าง ๆ ที่ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง (จักษ์ พันธ์ชูเพ็ชร 2545, 7-8) กระนั้นลักษณะเช่นนี้กล่าวได้ว่าเป็นลักษณะร่วมของรัฐศาสตร์ไทยโบราณที่มีสืบเนื่องต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จวบจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถึงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพียงแต่อาจมีความแตกต่างไปบ้างที่สมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยอยุธยาตั้งอยู่บนพื้นฐานแบบนายปกครองบ่าว ซึ่งช่วยเสริมบทบาทพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ให้เด่นชัดมากกว่า เมื่อเทียบกับสมัยสุโขทัย หรือการรับอิทธิพลคติความคิดทางการปกครองจากลัทธิไศเลนทร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น

แต่กระนั้นก็ดี สิ่งที่กำหนดการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แม้ว่าจะทรงมีอยู่อย่างไม่จำกัดนั้น นอกเหนือการคติธรรมการปกครอง การใข้ธรรมศาสตร์ดั้งเดิมหรือราชศาสตร์ของกษัตริย์ที่ทรงยึดถือเป็นหลักในการปกครองแล้ว ยังได้แก่ คัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่ได้ตราขึ้นในแต่ละสมัยที่ผ่านมา เพื่อใช้บังคับแก่กิจการทั้งปวงพระราชอาณาจักร เช่น กฎหมายลักษณะรับฟ้อง พ.ศ. 1899 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้อนต้น เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินในพระราชอาณาจักร แล้วยังได้กำหนดบทบาทของราชการในกรณีพิพาทเป็นความต่าง ๆ ของราษฎรหรือการกำหนดบทลงโทษแก่ไพร่ฟ้าที่ขัดขืนบทบัญญัติของกฎหมาย นอกจากนี้ยังได้แก่ พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนฯซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับศักดินาและการแบ่งแยกชนชั้นในการปกครอง พระอัยการลักษณะอาญาหลวง และกฎมณเฑียรบาล ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และกฎหมายลักษณะพระธรรมนูญ รวมทั้งระเบียบเกี่ยวกับการศาล ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นต้น

อนุสรณ์ ลิ่มมณี (2541, 1) กล่าวว่า การศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่ของไทย ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงทศวรรษปี 2490 มาจนถึงปัจจุบัน แต่รัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็นคู่มือหรือหลักการสำหรับการบริหารปกครองประเทศ และเป็นรากฐานของการศึกษารัฐศาสตร์ในสังคมไทยปัจจุบัน ได้ปรากฎให้เห็นตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5 เป็นต้นมา ความข้อนี้พิจารณาได้จากบทความของพระยาสุนทรพิพิธ เรื่อง “สืบประวัติรัฐศาสตร์” ซึ่งได้กล่าวไว้ว้า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารรัฐและการปกครองแบบโบราณมาสู่ระบบราชการสมัยใหม่และคนรุ่นใหม่ให้แก่รัฐ อันนำไปสู่การศึกษารัฐศาสตร์ในระยะต่อมา 50 ในแง่นี้ หากเปรียบเทียบกับพัฒนาการของรัฐศาสตร์ในประเทศอื่นจะพบว่า ในแทบทุกสังคม การศึกษารัฐศาสตร์มิได้แยกออกไปจากการฝึกฝนเรียนรู้เรื่องการเมืองการปกครองและหลักการปฏิบัติทางการปกครองแต่ประการใด ทั้งยังมีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้านอื่น มิได้มีฐานะของวิชาที่เป็นเอกเทศแยกออกมาจากสังคมศาสตร์เลย

การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2435 ซึ่งเป็นการปรับปรุงระบบบริหารราขการแผ่นดินของประเทศจากแบบดั้งเดิมที่ใช้สืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งจำแนกการปกครองเข้าสู่ส่วนกลาง ลิดรอนหรือยกเลิกอำนาจของเจ้าเมืองและเจ้าหน้าที่ในเขตหัวเมืองและเมืองขึ้น รวมทั้งการจัดระเบียบสายการบังคับบัญชาเสียใหม่และสามารถเพิ่มจำนวนบุคลากรในส่วนราชการต่าง ๆ (คึกฤทธิ์ ปราโมช 2527, 12)

การปรับปรุงระบบการบริหารงานและโครงสร้างของระบบราชการสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นต้นฉบับของการปฏิรูประบบราชการในประเทศไทยนั้น มีเหตุผลสำคัญหลายประการ ประการหนึ่งเป็นดังที่ซิฟฟิน (William Siffin) นักวิชาการต่างประเทศที่ได้ทำการศึกษาระบบราชการไทย ได้กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ “The Thai Bureaucracy:Institutional Change and Development” ว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการตอบสนองผลกระทบที่มาจากประเทศตะวันตก เพื่อให้ระบบราชการไทยมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับประเทศตะวันตก อันจะเป็นการช่วยรักษาเอกราชของประเทศไทยจากการรุกรานและการล่าอาณานิคมของจักวรรดิ์นิยมอังกฤษและฝรั่งเศสไว้ได้ (Siffin, 1966 อ้างถึงใน วรเดช จันทรศร 2534, 48) นอกจากนี้แล้ว แรงกดดันให้เกิดการปรับตัวของระบบราชการไทย ยังเป็นไปด้วยสาเหตุประการด้านหนึ่งที่พระองค์เอง ทรงเผชิญปัญหาใน 2 ประการ ประการแรก เกิดจากการที่ทรงไม่มีพระราชอำนาจอย่างเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการที่ได้ทรงเสวยราชย์ตั้งแต่ยังทรงเยาว์พระชันษา อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินโดยพฤตินัย จึงตกอยู่ภายใต้การสำเร็จราชการแทนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่บางกลุ่มภายใต้ระบบศักดินาเช่น ตระกูลบุนนาค จึงได้สะสมผู้คน อันเป็นแรงงานไว้เพื่อประโยชน์ของตน เพื่อสร้างฐานอำนาจและความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มของตน จนถึงขั้นที่ความเข้มแข็งของขุนนางกระทั่งได้กลายสภาพเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและท้าทายต่อพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมไปถึงพระราชอำนาจในการควบคุมทรัพยากรสำคัญที่เป็นฐานอำนาจทางการเมือง เยื่องจากอำนาจดังกล่าวตกอยู่กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ประการที่สอง คือการคุกคามของลัทธิล่าอาณานิคม (colonialism) จากต่างชาติตะวันตกที่มีอยู่ทั่วไปโดยรอบประเทศ อันเป็นภยันตรายต่อความเป็นเอกราชของประเทศไทยในสมัยนั้น

ในพระราชประสงค์ที่จะผนวกพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 5 ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการปฏิรูประบบราชการนั้น ทรงได้จัดการวางระบบและมาตรฐานการบริหารงานราชการเช่นเดียวกับประเทศทางตะวันตกเพื่อสถาปนาความเข้มแข็งให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันได้แก่ การที่ได้ทรงวางระเบียบปฏิบัติของข้าราชการหรือเจ้าพนักงานของรัฐให้เป็นไปในแบบฉบับเดียว ภายใต้รูปแบบใหม่ของระบบราชการไทยที่ทแตกต่างไปจากรูปแบบการปกครองแบบจตุสดมภ์และการปกครองส่วนภูมิภาคที่ยังคงใช้ต่อเนื่องกันมาจับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และยังรวมไปถึง การกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนจากการทำงานราชการหรือรับราชการในรูปของเงินเดือน และเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีความเข้มแข็งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงเริ่มกระบวนการปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบตะวันตก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2425-2435

เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินในพระองค์ดำเนินไปได้ด้วยดี มีความทันสมัยเฉกเช่นเดียวกับในประเทศตะวันตก ซึ่งจำต้องอาศัยการปรับปรุงองค์กรทางการบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพค้ำจุนพระราชอำนาจในลักษณาการรวมศูนย์อำนาจการเมืองการปกครองไว้ที่ส่วนกลาง โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นแกนหลักทางอำนาจการปกครอง (ภารดี มหาขันธ์, 2524) ภารกิจอันใหญ่หลวงยิ่งในพระองค์นั้น ย่อมมิได้เป็นแต่เพียงการสร้างสถาบันราชการที่ประกอบด้วยกรมหรือกระทรวงต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่ปกครองนโยบายการสร้างชาติและอำนาจของรัฐเท่านั้น หากแต่ในอีกลักษณะหนึ่งยังประกอบไปด้วยการสร้างวัตรปฎิบัติของระบบราชการที่มีความสุจริตยุติธรรม และการแสวงหาความรู้เป็นสำคัญ (ลิขิต ธีรเวคิน 2539, 48 ดูประกอบกับ Likhit Dhriravekin, 1975 และชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2539) และต้องมีข้าราชการสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกเป็นผู้ปฏิบัติงานต่างพระเนตรพระกรรณในกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ที่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งขึ้นตามแนวอารยประเทศ

ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ได้ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุความเป็นมาของการปฏิรูประบบราชการไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งจะมีส่วนเป็นอิทธิพลสำคัญต่อพัฒนาการของรัฐศาสตร์ในสมัยนั้น โดยเฉพาะในประเด็นที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวไว้ว่าการเพิ่มจำนวนบุคลากรข้าราชการ เป็นวิธีดำเนินการประการหนึ่งเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งจะได้วิเคราะห์ให้เห็นต่อไป

การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางที่เมืองหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้เริ่มปรากฏชัดในปี พ.ศ. 2437 ภายหลังจากที่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงต่าง ๆ ตามแบบราชการตะวันตกให้ครอบคลุมการปฏิบัติงานของรัฐสมัยใหม่ และได้ทรงแต่งตั้งเสนาบดีครบทุกกระทรวง ได้ปรากฎปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือการขาดแคลนกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถของกระทรวงมกาดไทยในฐานะที่เป็นกลไกอำนาจรัฐหลักในการจัดระเบียบการปกครองและบริหารราชการแผ่นดินที่จะเข้ามาทำงานในระบบการปกครองส่วนภูมิภาคแบบเทศาภิบาล (จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ 2527, 292) อันเป็นภารกิจหลักที่จักต้องดำเนินการท่ามกลางความพยายามต่าง ๆ ที่จะพัฒนารัฐไทยสมัยใหม่ให้เจริญก้าวหน้าเยี่ยงอารยะประเทศ

ความจำเป็นที่จะต้องใช้ข้าราชการหรือบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถป้อนระบบราชการสมัยใหม่ เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ดังกล่าว ไม่ได้จำเพาะอยู่แต่สำหรับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจัดว่าเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องใช้ข้าราชการประจำมากกว่ากระทรวงอื่นในระดับภูมิภาคเท่านั้น หากแต่ยังเป็นความจำเป็นสำหรับกระทรวงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ด้วยเพียวแต่จำนวนที่จ้องการยังมีส่วนจำนวนน้อยและโครงสร้างการจัดส่วนราชการก็มีอยู่ในส่วนกลางเสียเป็นด้านหลัก และเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงได้ริเริ่มใช้วิธิการฝึกอบรมและฝึกหัดนักเรียนภายในกระทรวงและจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เพื่อผลิตข้าราชการส่งออกไปทำงานตามจังหวัดหัวเมืองต่าง ๆ ที่ขอมา

แต่กระนั้นก็ดี ในการผลิตข้าราชการไปทำงานดังกล่าวกลับได้พบว่า ข้าราชการมีความรู้เฉพาะแต่ในด้านการปฏิบัติงานในหน่วยงานเท่านั้น โดยยังขาดความรู้ในเรื่องการปกครองท้องที่ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นออย่างยิ่งสำหรับการปกครองราชการส่วนภูมิภาค (จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ 2527, 297) ข้อนี้ยังผลให้กระทรวงมหาดไทยในยุคนั้นได้หันมาเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหลักสูตรการฝึกหัดอบรมนักเรียนฝึกหัด ให้มีความรู้เรื่องการปกครองท้องที่ควบคู่ไปกับความรู้ในการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงาน และได้มีการยกฐานะโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2442 โดยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานนามเป็น “สำนักสำหรับฝึกหัดข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสาม สถาบันการศึกษาชั้นสูงรุ่นแรกที่มีการประสิทธิประสาทวิชาการความรู้หรือวิชาการสมัยใหม่ในระดับที่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษา นอกเหนือไปจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2430) และโรงเรียนกฎหมาย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2542, 25)

สำนักฝึกหัดข้าราชการพลเรือนดังกล่าว เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบนดีกระทรวงมหาดไทย ในปี พ.ศ. 2442 อันมีรากฐานจากพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ที่ทรงไม่สู้รู้จักกับขุนนางรุ่นใหม่สักเท่าใดนัก อันส่งผลให้ขุนนางเหล่านี้ ขาดความรู้แห่งขนบธรรมเนียมในราชสำนัก และแม้แต่ขาดความรู้ในพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าแผ่นดิน (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2546, 26)

ต่อมาภายหลัง สำนักฝึกหัดข้าราชการฝ่ายพลเรือน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” ในปีพ.ศ. 2445 (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2519, 1) และยกฐานะเป็น “โรงเรียนข้าราชการพลเรือน” ในปี พ.ศ. 2453 สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
สำนักฝึกหัดข้าราชการพลเรือน มีภารกิจประการสำคัญที่แท้จริงในการฝึกหัดเฉพาะข้าราชการฝ่ายปกครอง ป้อนให้กับกระทรวงมหาดไทยเป็นด้านหลัก โดยพิจารณาได้จากตัวเนื้อหาสิ่งที่เรียนที่สอนส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยวิชาเสมียน วิชากฎหมาย วิชาระเบียบราชการ วิชาฝึกงาน และอื่น ๆ ที่จำเป็น รวมถึงแนวแห่งราชประเพณีนิยมในกระทรวงมหาดไทย (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2546, 27) ซึ่งแม้จะมีกระทรวง ทบวง กรมอื่น ได้รับบรรจุบัณฑิตจากสำนักฝึกหัดข้าราชการพลเรือนไปบ้าง แต่ก็นับเป็นส่วนน้อย ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากความนิยมและความสนใจของบุตรหลานขุนนางน้อยใหญ่ ที่เป็นกลุ่มซึ่งมีโอกาสได้รับการศึกษาเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษา ยังคงให้น้ำหนักความสนใจไปที่สายการปกครองมากกว่าอื่นใด

รัฐศาสตร์ในยุคของการปรับปรุงประเทศ ซึ่งเริ่มต้นจากช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 จึงกล่าวได้ว่า มีเนื้อหาสาระอยู่กับสาขาวิชาการแกนหลักคือวิชาการที่เกี่ยวกับการปกครองและการจัดการบริหารงานบ้านเมือง และวิชาการที่เกี่ยวกับเทคนิคและกระบวนการในการพัฒนาประเทศ * โดยพัฒนาการของการนำความรู้ทางรัฐศาสตร์มาใช้นั้น มีเป้าประสงค์สำคัญอยู่ที่การดำเนินการปรับปรุงประเทศเพื่อให้เท่าทันและ เท่าเทียมกับนานาอารยะประเทศ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2546, 1) ที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับรัฐสยาม ผ่านการนำวิชาการความรู้รวมถึงเทคนิควิทยาการการบริหารงานใหม่ ๆ ที่เชื่อกันว่าทันสมัยมาจากซีกโลกตะวันตก ซึ่งก็ได้ส่งผลให้ราชสำนักต้องขยายบทบาทพิเศษในการสร้างคนและสร้างความรู้ สำหรับใช้เป็นพื้นฐานในการบริหารจัดการบ้านเมืองและปกครองดูแลประเทศตามแนวทางที่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงทรงสนับสนุนให้เปิดสอนเป็นสาขาวิชาหนึ่งขึ้นคือ สาขาการปกครอง (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2546, 25)

กระนั้นก็ตาม โดยข้อเท็จจริงที่ระบบการปกครองในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 คือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ยึดถือความเป็นใหญ่ของพระมหากษัตริย์ จึงนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจว่าวิชาการทางรัฐศาสตร์ที่นำเข้ามาจกาสังคมตะวันตกภายใต้ลักษณะการปกครองดังกล่าวจะเป็นไปในแนวทางใด จากการศึกษาค้นคว้าของนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (2542, 25) พบว่า ได้มีการพัฒนาวิชารัฐศาสตร์ขึ้นในระดับหนึ่ง ซึ่งหากเนื้อหาใดที่กระทบกระเทือนต่อการปกครองระบอบดังกล่าว ก็แทบจะไม่มีการสอนกันเลย ยกตัวอย่างเช่น วิชากฎหมายปกครอง ซึ่งมีในหลักสูตรของโรงเรียนกฎหมายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกนำมาสอนกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในปี พ.ศ. 2474 สมเกียรติ วันทะนะ (2524, 485 อ้างถึงใน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2542, 25) เรียกรัฐศาสตร์ในสมัยนี้ว่า “รัฐศาสตร์แบบพระพุทธเจ้าหลวง” หรือ “รัฐศาสตร์แบบรัฐประชาชาติยุคก่อตัว” อันมีลักษณะสำคัญอยู่ที่การเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolutist State) ที่ยึดหลักแนวทางการบริหารจัดการการเมืองการปกครองไว้ที่ความสำนึกในพันธกิจของชนชั้นสูง

ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทรงขยายการศึกษาด้านการปกครองให้กว้างขวางออกไปอีกกล่าวคือ ทรงมิได้เน้นแต่การผลิตข้าราชการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นส่วนใหญ่เท่านั้นแต่ยังทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เปลี่ยนชื่อมาจากโรงเรียนมหาดเล็ก) ออกไปรับราชการในสังกัดกระทรวงอื่น ๆ ที่ขอมาอีกด้วย ซึ่งจัดได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของการผลิตบัญฑิตเช่นเดียวกันในสมัยก่อนหน้า

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สืบเนื่องมา รัฐไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาประเทศ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองไทย รวมถึงบทบาทของประเทศสหรัฐอเมริกา วิชาการความรู้ด้านต่าง ๆ ได้เติบโตก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะในสาขาวิชารัฐศาสตร์ อันก่อให้เกิดการจัดการเรียนการสอนในวิชาการความรู้ทางการเมืองการปกครองแนวใหม่ที่ต่างไปจากเคยเป็นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งมักเรียกกันว่า “วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” และมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ขึ้นในปี พ.ศ. 2477 ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป

ส่วนการศึกษาในเรื่องรัฐศาสตร์ในยุคสมัยดังกล่าว ได้ถูกจัดให้อยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของ “โรงเรียนรัฎฐประศาสนศึกษา” (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2519, 3) โดยหากได้พิจารณาเนื้อหารายวิชาที่ทำการเรียนการสอนจะพบว่า การศึกษาได้มุ่งเน้นไปในเรื่องของการปกครองและการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ กฎหมายปกครอง กฎหมายอรรถ คดีและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นต้น ซึ่งก็ถือได้ว่ามิได้มีความแตกต่างไปจากหลักสูตรและรายวิชาที่ใช้ในการเรียนการสอนของโรงเรียนมหาดเล็กเท่าใดนัก ซึ่งอาจสรุปได้ว่าการเรียนการสอนรัฐศาสตร์ของโรงเรียนต่าง ๆ เหล่านี้ ต่างบรรจุรายวิชาต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติราชการภายใต้ความมุ่งประสงค์ที่จะผลิตข้าราชการอยู่เช่นเดิม ลักษณะเช่นนี้ อนุสรณ์ ลิ่มมณี (2541, 21) อธิบายว่า การเรียนการสอนรัฐศาสตร์ของไทยดังกล่าว เป็นไปเช่นเดียวกับสถาบัน Ecole Libre des sciences politiques ของประเทศฝรั่งเศส และการศึกษาที่เรียกว่า “staatswissenschaft” ในประเทศเยอรมนีที่ในขณะนั้นก็มุ่งผลิตเจ้าหน้าที่ไปทำงานในหน่วยงานของรัฐด้วยหลักสูตรที่ประกอบไปด้วยวิชาที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติราชการเป็นหลัก โดยไม่วิชาที่เรียกว่าเป็นวิชารัฐศาสตร์โดยตรงเลยแม้แต่วิชาเดียว

ความคล้ายคลึงกันทั้งในแง่ปรัชญาการผลิตบัณฑิตและหลักสูตรการเรียรการสอนวิชารัฐศาสตรไทยกับในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันเช่นที่กล่าวไปนั้น น่าจะเป็นไปดังที่ จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ (2527, 304) กล่าวไว้ว่าเนื่องมาจากการที่ผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก คือ พระยาวิสุทธิศักดิ์ รวมทั้งพระยาศรีวรวงศ์ ผู้บริหารโรงรียนในสมัยนั้น ต่างเป็นผู้ได้รับการศึกษามาจากประเทศในยุโรป ซึ่งก็เป็นไปได้ที่ทั้งสองท่านจะได้นำเอารูปแบบการเรียนและการจัดการศึกษามาใช้ในประเทศไทยไม่มากก็น้อย

การจัดการเรียนการสอนและการสอนเพื่อผลิตข้าราชการชั้นสัญญาบัตรออกไปรับราชการในกระทรวงมหาดไทยเป็นด้านหลักเช่นในโรงเรียนรัฎฐประศาสนศึกษา ได้ถูกส่งต่อภารกิจให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2459 ทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหาการเรียนการสอน ซี่งดูจะเป็นเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในแง่การยกฐานะการสอนรัฐศาสตร์ไทยขึ้นสู่การศึกษาระดับสูงในมหาวิทยาลัยเท่านั้น เนื่องจากวิชาในเน้อหารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่ยังประกอบไปด้วยวิชาด้านกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติราชการต่าง ๆ ซึ่งหนีไม่พ้นการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐล้วน ๆ โดยมิได้มีรายวิชาใดกเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองโดยตรงแม้แต่รายวิชาเดียว (ดูระเบียบคณะรัฐประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2471) ความข้อนี้จึงเป็นข้อสรุปที่เน้นย้ำให้เห็นว่าการจัดตั้งคณะรัฐประศาสนศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่แรกนั้นเป็นไปเพื่อผลิตบัณฑิตออกไปเป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ปลัดจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัด (พิจารณาดูจากทัศนะของปรีชา หงษ์ไกรเลิศ 2530, 18-31) ดังที่เคยเป็นมา

การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute monarchy) มาเป็นการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutional regime) เป็นปัจจัยภายนอกด้านหนึ่งทาส่งผลกระทบต่อการศึกษารัฐศาสตร์ในสังคมไทย นอกจากนั้นยังได้แก่การก่อตั้งคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2476 และการเปิดการเรียนการสอนด้านรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ในเวลาต่อมา)

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง มีหน้าที่หลักคือการจัดการศึกษาวิชากฎหมาย วิชาการเมือง วิชาเศรษฐการ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2546, 48) เป็นด้านหลัก จัดตั้งขึ้นโดยการโอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาไว้ (ดูรายละเอียดใน บุญเย็น วอทอง 2512, 38-39) สาขาวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงเป็นสาขาวิชาแรกของระบบการอุดมศึกษาไทยในแนวใหม่ ที่ได้จัดการเรียนการสอนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อันเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสที่เปิดให้คนทั่วไปได้เรียนรู้ มิใช่จำกัดคัดคนแค่เพียงจำนวนเล็กน้อยซึ่งเป็น “ลูกท่านหลานเธอ” หรือ “ลูกผู้ดีมีตระกูล” เช่นที่ผ่านมา (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2546, 49)

อย่างไรก็ดี ในบางช่วงประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า การจรรโลงรัฐศาสตร์ ในระยะเริ่มต้นให้เจริญเติบโตนั้น นับเป็นบทบาทของคณะรัฐศาสตร์ จากรั้วมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั่งนี้เนื่องจาก ในปีเดียวกันที่ได้รัดตั้งคณะนิติศาสตร์ละรัฐศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั่นเองคณะดังกล่าวได้ถูกยุบไปรวมกับคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ภายใต้ลักษณะการศึกษาที่มีเป้าหมายให้ความรู้ด้านการเมืองการปกครองแกคนทั่วไปโดยเฉพาะเรื่องกฎหมายและการเมือง เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยที่เพิ่มจะเริ่มเบ่งบานขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศในปี พ.ศ. 2475 และส่งเสริมการศึกษาเฉพาะด้านในระดับปริญญาโทหรือบัณฑิตศึกษา และปริญญาเอกแต่กระนั้นก็ดี สาระสำคัญของหลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิต ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ในช่วงแรกนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่าใดนัก เนื่องจากวิชาที่บรรจุอยู่ในหลักสูตรส่วนใหญ่ยังเป็นวิชาด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการต่าง ๆ โดยวิชาด้านรัฐศาสตร์ได้ถูกสอดแทรกอยู่ในวิชากฎหมาย อาทิ วิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายการเลือกตั้งและกฎหมายปกครอง (อนุสรณ์ ลิ่มมณี 2541, 21) นอกเหนือจากนี้ การเรียนการสอนรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่เปิดขึ้นเพิ่มเติมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อันได้แก่มหาวิทยาลัยรามคำแหง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในช่วงทศวรรษ 2490-2510 ก็ยังคงมีวัตถุประสงค์สำคัญเฉกเช่นเดียวกันคือการผลิตบัณฑิตออกไปเป็นข้าราชการ โดยเฉพ่ะกระทรวงมหาดไทย (ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ 2530, 28-29)

สถานภาพของรัฐศาสตร์ไทยที่มุ่งผลิตบัณฑิตตอบสนองระบบราชการหรือทำงานให้แก่ภาครัฐโดยเฉพาะข้าราชการฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ผ่านระบบการเรียนการสอนที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (2527, 12) เรียกว่า “วิชาการปกครองราษฎร” ดังกล่าวข้างต้น ได้ส่งเสริมให้สถานภาพของรัฐศาสตร์ไทยมีความเป็นวิชาชีพ (professional)มากกว่าความเป็นองค์ความรู้เชิงวิชาการ (academic) ความเป็นวิชาชีพของรัฐศาสตร์เช่นนี้มีเครื่องชี้ให้เห็นได้ในหลายประการดังทัศนะของธเนศวร์ เจริญเมือง (2545, 24-25) ซึ่งได้แก่ การกำหนดให้วิชารัฐศาสตร์ของแต่ละสถาบันมีรูปสิงห์ซึ่งหมายถึงกระทรวงมหาดไทย เป็นสัญลักษณ์ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้สัญลักษณ์สิงห์ดำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใช้สัญลักษณ์สิงห์แดง มหาวิทยาลัยรามคำแหงใช้สัญลักษณ์สิงห์ทอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใช้สัญลักษณ์สิงห์ขาว เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้แก่คำขวัญของแต่ละสถาบันที่กล่าวถึงความเป็นนักปกตรอง รวมทั้งชื่อคณะที่มีการเปลี่ยนจากเดิมที่เป็น “ศิลปศาสตรบัณฑิต” เป็น “รัฐศาสตรบัณฑิต” ในขณะที่อิทธิพลทางวิชาการของรัฐศาสตร์จากต่างประเทศโดยเฉพาะองค์ความรู้จากประเทศสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มจำมีบทบาทในการสร้างความเป็นวิชาการของรัฐศาสตร์ไทยเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ได้กล่าวมา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่บ่งชี้สถานภาพความเป็นวิชาชีพของรัฐศาสตร์เหนือความเป็นวิชาการ อันถือว่าเป็นลักษณะสำคัญของรัฐศาสตร์ในสังคมไทย

กล่าวกันว่า รัฐศาสตร์สมัยใหม่ของไทย ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงภายในโครงสร้าง อำนาจทางการเมือง ในสังคมไทย อย่างน้อย 2 ประการ คือ ประการแรก การเปลี่ยนแปลงชนชั้นนำทางการเมืองในสังคมไทยจากกลุ่มคณะราษฏร มาสู่กลุ่มทหารบกในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ และประการที่สองคือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำโลกจากอังกฤษมาสู่สหรัฐอเมริกาและการขยายบทบาทของอเมริกามายังประเทศในกลุ่มที่กำลังพัฒนาในลักษณะของความรวมมือและความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินเพื่อการพัฒนาประเทศตามครรลองของระบบทุนนิยมเสรีและอุดมการณ์การเมืองประชาธิปไตยระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ผ่านองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ อันได้แก่ ธนาคารโลก (International Bank for Reconstruction and Development-IBRD) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ความร่วมมือและช่วยเหลือทั้งทางการเงินและวิชาการดังกล่าว นับเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดการยอมรับและส่งเสริมรัฐศาสตร์ไทยในปัจจุบัน ที่น่าสนใจคือโดยเฉพาะช่วงทศวรรษที่ 2510 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงการขขยายพรมแดนความรู้ แนวคิด หลักการ กรอบทฤษฎีและวิธีวิทยาจากตะวันตก โดยได้นำเข้ามาใช้ในการค้นคว้าวิจัยในสังคมการเมืองไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับแต่ปี พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2542, 46) และนับประมาณ 3 ทศวรรษจากนั้น รัฐศาสตร์ได้ทำหน้าที่สำคัญในการให้ข้อเสนอแนะและการเสนอแนวคิดในเรื่องการพัฒนาประเทศ แนวทางการปรับปรุงสถาบันทางการเมืองการปกครอง รวมทั้งการปรับปรุงองค์การทางการเมืองและระบบราชการ ด้วยการเสนอตัวแบบ แนวคิดและทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์และได้รับการยอมรับอย่างสูงในสังคมไทย แม้ในปัจจุบัน รัฐศาสตร์ในสังคมไทยจะมีลักษณะอ่อนแรงทางวิชาการ เนื่องจากบทความ หนังสือวารสารทางวิชาการกลับลดลงทั้งที่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม (ธเนศร์ เจริญเมือง 2545, 29)

รัฐศาสตร์ไทยในบริบทความโดดเด่นเชิงวิชาชีพเช่นที่ผ่านมา ก็ยังคงความสำคัญอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน ความข้อนี้พิจารณาจากทั้งเนื้อหาการเรียนการสอน และตัวบัณฑิตเองที่ต่างประสงค์จะนำคุณวุฒิไปประกอบวิชาชีพข้าราชการตามความต้องการของแต่ละส่วนราชการอยู่จำนวนไม่น้อย แม้จะปรากฎว่าความสามารถในการรับข้าราชการของแต่ละหน่วยงานถูกจำกัดไว้ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและมาตรการควบคุมกำลังคนภาครัฐของรัฐบาล โดยที่จำนวนนักศึกษาซึ่งเลือกเรียนสาขานี้มิได้ลดลงไปแต่ประการใด โดยเฉพาะนักศึกษารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ดูนับวันแต่จะเพิ่มจำนวนและมีแนวโน้มมากขึ้นในแต่ละปี ทั้งในการศึกษาระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในเชิงการประกอบวิชาชีพ คำตอบต่อสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วน่าจะอยู่ที่การยอมรับและการเปิดกว้างด้านคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งงาน ของบรรดาบริษัทห้างร้านภาคเอกชนต่อบัณฑิตที่จบในสายรัฐศาสตร์

ในแง่การพัฒนาองค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ของไทย กล่าวได้ว่า รัฐศาสตร์นับแต่ยุคหลังสงครามโลกเป็นต้นมา มีทิศทางเป็นไปในทิศทางของรัฐศาสตร์โลก โดยเป็นไปภายใต้อิทธิพลของวิชาการในสังคมตะวันตก โดยเฉพาะรัฐศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา (ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ 2547, 1) กระทั่งกล่าวกันว่า สหรัฐอเมริกา นับเป็นต้นกำเนิดของวิชาการความรู้ทางรัฐศาสตร์สมัยใหม่ เหตุที่กล่าวเช่นนี้อาจเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าหลักสูตรการเรียนการสอนทางรัฐศาสตร์หรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่ทำการสอนรัฐศาสตร์ในสังคมไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนเป็นผลผลิตหรือผ่านการศึกษาวิชาการความรู้ทางรัฐศาสตร์มาจากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐศาสตร์ไทยจึงกลายเป็นองค์ความรู้ที่มีเงาของวิชาการรัฐศาสตร์อเมริกันแฝงอยู่อย่างมากทีเดียว แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ภายใต้สภาพการณ์ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามกระแสโลกาภิวัตน์และวิทยาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแห่งยุคข้อมูลข่าวสาร (Information Technology) รัฐศาสตร์อเมริกันในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมากลับก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่รัฐศาสตร์รวมไปถึง รัฐประศาสนศาสตร์ไทยหลับประสบปัญหาชะงักงัน กลายเป็นองค์ความรู้ที่ค่อนข้างจำกัดขาดการเจาะลึกในมิติใหม่ ๆ วิชาการทางรัฐศาสตร์จึงดูจะคงรูปแต่การลอกตามตำราตะวันตกเล่มเดิม ๆ ขาดการพัฒนาทางวิชาการเฉกเช่นในสังคมที่เจริญแล้ว เปรียบเป็นดั่งต้นไม้ที่แคระแกร็นจากการเจริญเติบโต ขาดการพัฒนาที่เหมาะสม อันนำไปสู่ความล้าหลังทางวิชาการอย่างน่าเสียใจยิ่ง

โกวิทย์ กังสนันท์ (2543, 2-3) ได้ชี้ให้เห็นว่า การที่ประเทศกำลังพัฒนาเช่นประเทศไทย หรือในประเทศที่พัฒนาล้าหลังบางประเทศ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านวิชาการมากนักนั้น มีสาเหตุในหลายประการได้แก่ ประการแรก ผู้มีอำนาจมักกำหนดนโยบายสังคมที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเพื่อความอยู่รอดเฉพาะหน้า ประการที่สอง สถาบันวิชาการยังขาดขีดความสามารถและความเข้มแข็งเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าการลงทุนทางวิชาการจะก่อให้เกิดความคุ้มค่าในระยะยาว ประการที่สาม วัฒนธรรมของสังคมไทยเองที่ยังไม่ค่อยยอมรับวิชาการอย่างจริงจัง นอกเหนือจากการคิดว่าวิชาการเป็นบันได้ไต่เต้าไปสู่อาชีพและฐานะทางสังคม และประการสุดท้าย วิทยาศาสตร์หรือวิชาการมีค่าตัวแพง เนื่องจากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือราคาแพง หรือมิเช่นนั้นก็ต้องใช้แรงงานคุณภาพที่มีค่าตอบแทนสูง สาเหตุทั้ง 4 ประการที่ได้กล่าวมาแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องให้วิชาการทางด้ารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในสังคมไทยขาดความก้าวหน้าทั้งในแง่ การจัดระเบียบ สถาบันวิชาการ มาตรฐานและบรรทัดฐานทางวิชาการ ความกระตือรือร้นของนักวิชาการและชุมชนวิชาการ ตลอดจนกิจกรรมหลักทางวิชาการซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเรียนการสอน การิวิจัย และการบริการสังคม ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงการประยุกต์ใช้ให้เกิดผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมต่อสาธารณะหรือสงคมโดยส่วนรวม

เราจึงเห็นว่า วิชาการรัฐศาสตร์ไทยในยุคใหม่จึงยังคงมีกิ่งก้านสาขาในจำนวน 6 สาขาเท่าเดิมคือประกอบไปด้วย (พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว 2543, 2; ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ 2547, 1-2)

1. ปรัชญาการเมืองและความคิดทางการเมือง (Political Philosophy and Political Thought)

2. การเมืองภายในประเทศ (Internal Politics)

3. การเมืองเปรียบเทียบ (Comparative Politics)

4. กฎหมายมหาชนและนโยบายสาธารณะ (Public Law and Public Policies)

5. รัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ (Public Administration)

6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Politics)

ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้ทัศนะว่า ไม่นานมานี้ นักรัฐศาสตร์ท่านหนึ่ง (ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร –ผู้เรียบเรียง) ได้เสนอปัญหาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของวิชารัฐศาสตร์ไทย ในรอบ 50 กว่าปีที่ผ่านมา คำถามก็คือวิชารัฐศาสตร์ “ทำอะไร” ให้กับสังคมไทย นอกจากนี้แล้ว ยังมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับปัญหาการเมืองแห่งความรู้ และความรู้ทางการเมือง ที่ถูกผลิตขึ้นว่า จะสอดคล้องหรือไม่อย่างไรกับสังคมไทย นี่เป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับการศึกษาทางรัฐศาสตร์ไทย โดยทั่วไป และยังรวมความถึงการศึกษาทางรัฐศาสตร์ในสถาบันท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย เราจะเข้าใจได้ว่าอะไรคือการเมือง แห่งความรู้ในวิชารัฐศาสตร์ไทยได้ดี ถ้าเข้าใจพัฒนาการของวิชานี้

ในปัจจุบัน รัฐศาสตร์ได้ก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของสังคมและการเมืองไทย อันได้ส่งผลให้รัฐศาสตร์เองมีแนวโน้มเปลี่ยนไปด้วยการถูกมองและตีความในความหมายที่เปลี่ยนไปจากการมองรัฐและการเมืองในฐานะการสร้างภาวะสถาบัน เพื่อความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ หรือความเป็นรัฐในความหมายเชิงผสมผสานทั้งเรื่องความมั่นคง การพัฒนาและการมีส่วนร่วมจากศูนย์กลางอำนาจ ไปสู่แนวคิดที่เน้นจากรัฐเลื่อนไหลลงสู่ประชาสังคมและพลเมืองกล่าวถึงบทบาททางการเมืองของกลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคม ไม่ใช่แต่เพียงการเมืองของผู้นำ นักการเมืองในรัฐสภาเท่านั้น รัฐศาสตร์แนวใหม่จะมองไปที่พฤติกรรมการเมืองที่เป็นจริงในชีวิตประจำวัน การเมืองบนท้องถนน และการประท้วงต่อสู้ของผู้เสียโอกาส กลุ่มนอกระบบราชการ กลุ่มนักธุรกิจ สมาคมการค้า รวมไปถึงเอ็นจีโอ สมัชชาคนจน ชมรมชาวประมงพื้นบ้าน การก่อความรุนแรงและการก่อการร้าย เป็นต้น นักศึกษารัฐศาสตร์ จึงต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการได้แก่ การมีจิตสำนึกแห่งการวิเคราะห์ (analytical mind) ที่สามารถเรียนรู้ เข้าใจและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น ในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจสังคมและการเมือง ปัญหาดังกล่าวนับวันจะมีความสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกับชีวิตของเรา จนแยกจากกันไม่ออกความสามารถในการวิเคราะห์อาจจะเกิดขึ้นโดนธรรมชาติ ในคนบางคน ซึ่งเป็นพรสวรรค์แต่สำหรับคนส่วนมาก มักเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นไม่ได้ ด้วยการฝึกฝนการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง จนเป็นนิสัย ดังนั้นในการศึกษารัฐศาสตร์ เราควรจะเน้นให้นักศึกษาได้ผ่านกระบวนการฝึกฝน การใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์ปัญหาการเมือง การปกครองและการบริหารของไทย เพื่อให้นักศึกษาเกิดนิสัยการสร้างแนวความคิด (conceptualization) ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด ของการวิเคราะห์ปัญหาในขั้นต่อไป การสร้างแนวความคิด จะอาศัยทักษะแห่งการคิด การตั้งคำถาม การใช้ทฤษฎีการแสวงหาคำตอบ ด้วยข้อมูลและตรรกะเหตุผล ที่สอดคล้องต้องกัน รวมทั้งการวิเคราะห์หาจุดดีและข้ออ่อนของการสร้างแนวคิดของตัวเอง

ตลอดช่วงเวลาประมาณ 50 ปีที่รัฐศาสตร์พัฒนาการมาในสังคมไทย องค์ความรู้ของวิชารัฐศาสตร์ไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร ดังจะเห็นจากการเติบโตของรัฐศาสตร์ที่ขยายไปสู่ระดับภูมิภาคในฐานะผู้ผสมผสาน บูรณาการ และผลิตซ้ำองค์ความรู้ทางวิชาการรัฐศาสตร์ถ่ายทอดสู่สังคมในวงกว้างมากขึ้น ทั้งในปริมณฑลและในส่วนภูมิภาคอย่างสอดคล้องกับความเป็นไป และภูมิปัญญาแห่งท้องถิ่น แทนที่จะเน้นการเป็นวิชาที่สอนคนให้เป็นเจ้าคนนายคนแบบเก่า รัฐศาสตร์ในภาพนี้จึงแปลงสภาพกลายเป็นคงวามรู้ที่ต้องประยุกต์ให้เข้ากับสภาพท้องถิ่นให้มากขึ้น พร้อม ๆ กันนั้น ก็ต้องมีเนื้อหาสาระบางอย่างที่คงความเป็นวิชาการรัฐศาสตร์เอาไว้ด้วย ดังนั้น ไม่ว่ารัฐศาสตร์ที่ภาคใต้ รัฐศาสตร์ภาคเหนือ รัฐศาสตร์ภาคอีสาน รัฐศาสตร์ภาคกลาง และกรุงเทพ ก็ย่อมมีลักษณะเนื้อหาบางอย่างที่ต่างกัน มีความหมายหลากหลายอย่างที่ต่างกัน แต่ความเป็นวิชาการรัฐศาสตร์ร่วมกันก็ควรจะต้องมีด้วย อย่างไรก็ตาม การคงไว้ซึ่งองค์ความรู้ร่วมกันในทางรัฐศาสตร์ (collective knowledge) นี้ ก็มิควรเป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจ หรือเทคนิคแห่งการใช้อำนาจ แต่ควรเป็นการสร้างอัตลักษณ์ (identity) ของวิชาการรัฐศาสตร์ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของท้องถิ่นที่แตกต่างหลากหลาย และการรู้จักเลือกใช้ความรู้อย่างวิพากษ์ด้วย
The End !!!!!!

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:46 น. 7

อันนี้เป็น ความรู้พื้นฐานส่วนหนึ่งที่พี่เอามาลงไว้ให้เป็นแนวทางการดูหนังสือของน้องๆนะคะ
ถ้ามีรัยติดขัดก้ เมวมาหาพี่ได้
ส่วนเรื่องคำถามสำหรับการสอบ&nbsp พี่จะเอามาลงไว้ให้ภายหลังนะคะ
เป็นการเก็งของพี่ ๆ เองนะคะ
เนื่องจากว่า พวกพี่ติดค่ายรัฐศาสตร์เพื่อประชาชนจนถึงวันที่ 3 พ.ย. จึงไม่สามารถจัดติวให้น้องๆได้นะคะ
พี่ต้องขอโทษน้องด้วย
แต่เด๋วจะเก็งข้อสอบให้แล้วกันนะคะ

0
Pooh 19 ก.ย. 50 เวลา 08:48 น. 8

อ่อ หนังสือที่ใช้อ่านได้ก็จะมี
รัฐศาสตร์เบื้องต้นของ&nbsp ทินพันธุ์&nbsp นาคาตะ
และก็ รัฐศาสตร์เบื้องต้น&nbsp พี่จำชื่อคนเขียนไม่ได้แล้ว&nbsp ที่เป็นเล่มบางๆประมาณ 32 บาทอะ
ปกเป็นโทนสีฟ้า&nbsp ๆ&nbsp  มีรูปรัฐธรรมนูญกะธงชาติไทยไหวๆ

0
PooH 18 ต.ค. 50 เวลา 23:36 น. 9

นี่เปนเมลเพื่อนพี่นะคะ chocolateman_113@hotmail.com
มีรัยก้เมลมาถามได้
เพราะพี่จาไป ออกค่าย@ต่างจังหวัด
ถามเพื่อนพี่ละกานค่ะ

0