Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

Megadeth + Slayer : ...แล้วนรกจะเลื่อนลั่น

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
โดย อดิศร สุขสมอรรถ
      
       ชะตากรรมของ 4 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการกรันจ์แห่งซีแอตเติลที่สร้างวัฒนธรรมแห่งการฟังเพลงของคนยุค 90 ทุกวันนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า ทั้ง Pearl Jam ที่ไม่สามารถกลับไปเรียกชื่อเสียงในคืนวันเก่าๆ ได้อีก, Alice in Chains ที่กลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนครั้งที่ก่อนจะเสีย เลย์น สเตลีย์ นักร้องคนเก่าไปอย่างไม่มีวันกลับ, Soundgarden ที่ยุบวงอย่างถาวรหลังจากออกผลงานเยี่ยมมาไม่กี่ชุด และ Nirvana ที่หลังจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของเคิร์ท โคเบน ทุกอย่างก็เหลือแต่เพียงตำนานให้แฟนเพลงจดจำ

       ตรงข้ามกับ 4 ผู้ยิ่งใหญ่อีกสำนักที่แม้จะแจ้งเกิดก่อนหน้านั้นถึงทศวรรษ แต่ทุกวันนี้พวกเขายังคงออกผลงานมาเพื่อสร้างอิทธิพลในแนวทางที่พวกเขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหนักหน่วงและแข็งแกร่งทางดนตรีเอาไว้ จนเกจิแห่งวงการเมทัลได้ยกชื่อของพวกเขาไว้ในฐานะ 4 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการแทรช อันได้แก่ Anthrax, Megadeth, Metallica และ Slayer
      
       อย่างไรก็ดี ขณะที่วงอย่าง Anthrax ที่กำลังวุ่นกับการหานักร้องคนใหม่กันอยู่ (จอห์น บุช, ฟิล แอนเซลโม?) ส่วนวงที่เป็นหัวโจกของแก๊งอย่าง Metallica ก็กำลังเร่งทำผลงานชุดใหม่กันเป็นแรมปี เพื่อเป็นการเรียกศรัทธาเหล่าสาวกกลับคืนมาหลังจากเสียรางวัดไปอักโขกับผลงานชุดที่แล้วที่แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ยังส่ายหน้า แต่จากพลังที่แสดงให้เห็นในการแสดงที่ Live Earth ของวงเมื่อไม่นานมานี้ เชื่อว่าเจ้าพ่อเมทัลวงนี้น่าจะมีอะไรดีๆ มาฝากเหล่าสาวกในช่วงต้นปีหน้าไม่มากก็น้อย
      
       ตรงข้ามกับสถานการณ์ของ Megadeth และ Slayer ที่การกลับมาของพวกเขาในผลงานชุดใหม่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ศิลปินที่เป็น "ต้นตำรับ" ย่อมจะมี "อะไร" ที่มากกว่าในการสร้างสรรค์ของพวกเขาแทนที่จะผลิตผลงานออกมาเพื่อรองรับกระแสเพียงอย่างเดียว เหมือนกับที่พวกเขาเคยให้กำเนิด "แทรช" จนกลายเป็นหัวใจของดนตรีเมทัลในยุค 80 มาแล้ว
      
       **************************

    
       Megadeth
       United Abominations
      
       คำถามสามัญสำหรับชุดใหม่ของ Megadeth แต่ละชุดก็คือ "มีใครจากชุดที่แล้วเหลืออยู่บ้าง?" ซึ่งคำตอบสำหรับชุดนี้ก็คือ "ไม่มี" นอกจากตัว เดฟ มัสเทน ผู้เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของวงแค่คนเดียว วงจะยุบหรือจะกลับมาใหม่ จะออกผลงานเหมือนไหร่ ทัวร์กับใครตอนไหน ใครควรที่จะเข้ามา, กลับมา หรืออยู่นานเกินไปแล้ว ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น
      
       จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับการนำสมาชิกในแต่ละยุคมาเปรียบเทียบกันเสมอ โดยชุดที่ถือเป็น "มาตรฐาน" ที่ใช้วัดความ "ปึ๊ก" ของ Megadeth แต่ละรุ่นก็ยังคงเป็นชุด มัสเทน, เอลเลฟสัน, เมนซา, ไฟรด์แมน อยู่วันยังค่ำ เพราะไลน์อัพที่ยืนยาวอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10 ปีชุดนี้ (1989-1998) ได้สร้างผลงานที่ยอดเยื่ยมออกมาหลายอัลบัม และคงไม่สามารถหลุดไปจากความทรงจำของแฟนเพลงไปได้ง่ายๆ
      
       ผู้ที่เข้ามาวัดชะตากรรมของอาชีพนักดนตรีใน Megadeth ชุดนี้ได้แก่ เจมส์ โลเมนโซ มือเบสรุ่นเก๋าในแวดวงร็อกและเมทัล ที่รับหน้าที่ขยี้สายเบสในชุดนี้
      
       แต่ตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการถูกนำไปเปรียบเทียบจริงๆ คงไม่พ้นตำแหน่งมือกีตาร์และมือกลองรายใหม่อันได้แก่ 2 พี่น้อง เกลนและฌอน โดรเวอร์ จาก Eidolon วงแทรชสัญญาติแคนาเดียนที่ทั้งสองเคยร่วมงานกับ Megadeth มาแล้วตั้งแต่ 2 ปีก่อน ซึ่งในส่วนของกลองนั้นฝีเท้าการรัวกระเดื่องของโดรเวอร์ผู้พี่นั้นหายห่วง สามารถวัดรอยเท้าของ นิค เมนซา และ จิมมี เดอกรอสโซ ได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเกินไปนัก
      
       แต่ที่น่าสนใจคือผู้น้องอย่างเกลนที่ไม่วายต้องถูกไปเทียบกับมือกีตาร์ที่เก่งที่สุดที่วงนี้เคยมีอย่าง มาร์ตี ไฟรด์แมน อดีตวงกีตาร์คู่อภินิหาร Cacophony ที่มาทิ้งลายกีตาร์ชั้นเทพเอาไว้กับวงๆ นี้มากมาย ซึ่งการมาของเกลนต้องยอมรับโดยดุษฎีว่ายังแทนเขาไปไม่ได้ แต่ถ้าไปเทียบกับ 2 กีตาร์ชั้นเซียนที่เคยอยู่วงนี้มาอย่าง คริส โปแลนด์ หรือ อัล พิเทรลลี ฝีมือของเกลนก็ไม่ได้เป็นรองกับทั้งสองเลย
      
       ในส่วนของตัวเพลงในชุดนี้นั้น บอกได้คำเดียวว่า United Abominations เป็นผลงานของ Megadeth ที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

    
       ใครที่เอือมกับการฟัง Megadeth แต่ยุคเก่าๆ จนเทปยืด แผ่นปรุกันหมดแล้ว ต้องเจอกับ 4 เพลงเปิดตัวของชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็น Sleepwalker, Washington Is Next!, Never Walk Alone...A Call to Arms, United Abominations ที่โชว์ความสำเนียงความออกมาเป็น Megadeth ออกมาได้อย่างชัดเจน ทั้งท่อนริฟแบบกระชากๆ รุกรานแบบไม่ประณีประณอม กับท่อนโซโลกีตาร์คู่ขยี้ประสาท เรียกว่าจบ 4 เพลงนี้ก็โยกกันเมื่อยคอไปแล้ว
      
       A tout le monde เพลงเก่าเพลงเก่งจากชุด Youthanasia ที่กลับมาปัดฝุ่นใหม่ในชุดนี้ ได้นักร้องสาวคนสวย คริสตินา สแคบเบีย จากวง Lacuna Coil มาช่วยร้องด้วย ในเวอร์ชันที่ปรับปรุงใหม่ให้กระชับกว่าเดิม จนกลายเป็นเพลงฮาร์ดร็อคที่มีจังหวะจะโคนที่แน่นปึ๊ก ใครที่ชอบเพลงนี้อาจจะลืมเวอร์ชันเก่าไปเลยก็ได้ จึงไม่แปลกที่มันถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิลของชุดนี้
      
       ในบรรดาขาใหญ่ทั้ง 4 วง Megadeth ถือเป็นวงที่โดดเด่นในด้านเนื้อร้องที่สุด เพราะความสนใจส่วนตัวที่หลากหลายของตัว เดฟ มัสเทน โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่เป็นต้นเหตุของสงครามทุกแห่งบนโลกจะถูกโยงมาเป็นแกนหลักของเนื้อหาทุกชุดของ Megadeth โดยเฉพาะชุดนี้ที่จัดว่ามีเนื้อหาทางการเมืองที่เข้มข้นที่สุด ไม่ว่าจะเป็น Washington Is Next! (จุดจบของมหาอำนาจทุนนิยม),United Abominations (สันติภาพอาบยาพิษ) หรือเพลง Amerikhastan ที่อารมณ์ขันของเดฟทำให้เรารู้จักเมืองชื่อแปลกๆ แต่แสนคุ้นอย่าง New Yorqatar กับ Califarabia
      
       นิสัยการเป็นศัตรูกับเขาไปทั่วของเดฟบรรยายไว้อย่างชัดเจนในเพลงอย่าง Never Walk Alone, Play for Blood, You're Dead ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนจองล้างจองผลาญแค่ไหน ขณะที่เพลงอย่าง Sleepwalker เหมือนเรากำลังอ่านนิยายฆาตกรรมอำพรางของฆาตกรโรคจิต Blessed Are the Dead เป็นเพลงที่กล่าวถึงกาลียุคที่เป็นจุดจบของโลก ส่วนเพลง Burnt Ice ก็ถูกโยงไปถึงเรื่องของยาเสพติด
      
       การเข้าคู่ของกับ มัสเตน/โดรเวอร์ ในฐานะกีตาร์คู่ของวงถือว่าไปได้ด้วยดี แม้ว่าความแตกต่างในสไตล์ของ มัสเตน/ไฟรด์แมน ที่เอาความ บู๊และบุ๋น ความดุเดือดและความบรรจง มาผสมกันได้อย่างลงตัว จะเป็นที่กล่าวขวัญของแฟนๆ มาอย่างยาวนาน แต่การผลัดกันโซโลของมัสเตน/โดรเวอร์ที่แม้สไตล์การปั่นจะไม่ทิ้งกันนัก แต่ก็ได้คะแนนความสะใจไปพอสมควร เรียกว่าแลกกันปั่นจนหยดสุดท้ายของอัลบั้มกันไปเลย
      
       United Abominations อาจจะไม่ทำให้แฟนๆ หายคิดถึง Rust in Peace ไปได้ แต่ก็เป็นผลงานของที่ไม่ได้ด้อยกว่าชุดไหนของ Megadeth ทั้งสิ้น
      
       ซื้อมั้ย: อัจฉริยะ 4.5/5
      
       **************************

    
       Slayer
       Christ Illusion
      
       ขณะที่ United Abominations เป็นอัลบั้มที่เล่นกับการเมืองได้เข้มข้นที่สุดของเดฟ มัสเตน Christ Illusion ก็เป็นผลงานที่ Slayer ละเลงเลือดกับเนื้อหาต่อต้านศาสนา-บูชาซาตานถึงขีดสุด ถึงขนาดคิดจะวางขายชุดนี้ในวันที่ 6 เดือน 6 ปี 6 เมื่อปีที่แล้ว (666 ตัวเลขของแอนตี้-ไครส์ท) แต่สุดท้ายก็ต้องออกจำหน่ายในปลายปีที่ผ่านมาแทน รวมทั้งหน้าปกที่ส่อการต่อต้านอย่างรุนแรง(ที่จริงก็ทุกชุด)ทำให้ถูกแบนในบางประเทศเช่นกัน
      
       Christ Illusion เป็นผลงานที่ทิ้งห่างจากชุดที่แล้วอย่าง God Hates Us All ถึง 5 ปี โดยชุดนี้ถือเป็นการกลับมาร่วมตัวกันครั้งแรกของไลน์อัพชุดที่สร้าง Reign in Blood ให้สะเทือนปฎพีมาแล้ว โดยเฉพาะการกลับมาของ เดฟ ลอมบาร์โด ที่มาฝากฝืมือรัวกลองสับกระเดื่องสไตล์โอลด์สคูลแทรชแท้ๆ อย่างอร่อยเหาะในชุดนี้
      
       คนเดียวที่ไม่ได้กลับมาร่วมงานด้วยกันได้แก่ ริค รูบิน โปรดิวเซอร์มือทองแห่งยุค ที่ถือว่า Reign in Blood เป็นหนึ่งในผลงานที่แจ้งเกิดในวงการของเขา และร่วมงานกับ Slayer มาอย่างยาวนาน แต่เขากลับปฎิเสธที่จะกลับมาร่วมงานกับ Slayer ในชุดนี้ โดยอ้างว่าหาตารางงานที่ว่างให้ไม่ได้ ซึ่งหนึ่งในอุปสรรคดังกล่าวได้แก่การไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับผลงานชุดใหม่ที่กำลังจะออกมาของวงคู่แข่งอย่าง Metallica นั่นเอง ซึ่งทำให้เคอร์รี คิงมือกีตาร์ของวงถึงกับลมออกหู และกล่าวว่า "เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง" ที่เสียมือโปรดิวเซอร์คู่บุญไปให้กับวงที่เขาคิดว่าเป็น "เรือที่กำลังค่อยๆ จม" อย่างนั้น (แต่รูบินก็ได้ชื่อในผลงานชิ้นนี้ในฐานะ executive producer อยู่ดี)
      
       หลังจากทำเอาเหล่าสาวกกังขากับผลงานในช่วงหลังที่ดูจะคล้อยตามกระแสเมทัลสายพันธุ์ใหม่ๆ เข้าไปทุกที ชุดนี้จึงถือเป็นการเรียกศรัทธาแฟนเก่าๆ อย่างแท้จริง โดยชุดนี้ เคอร์รี คิงเข้ามาดูแลเป็นพิเศษทั้งในส่วนของท่อนริฟกีตาร์และเกือบทั้งหมดของท่อนโซโลด้วย
      
       ซึ่งผลที่ได้ออกมาถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม อย่างที่เห็นใน Flesh Storm เพลงเปิดตัวอัลบัมที่มีความลงตัวทางเนื้อหาดนตรีที่สมบูรณ์ ที่นอกจากจะเน้นความไวของ bpm ที่เป็นเอกลักษณ์ของวงแล้ว เห็นได้ว่า Slayer จะหันมาให้ความสำคัญกับการสร้าง Movement ใหม่ๆ ในแต่ละเพลงด้วย เรียกว่าเปิดแนวรบด้วยเพลงเอกของอัลบัมกันไปเลย

    
       แฟนๆ ที่ชื่อชอบในการโซโลของเคอร์รี คิง ทั้งการขยี้ตัวโน้ตเป็นจุลหรือการแผดเสียงคันโยกปลิดวิญญาณที่เป็นต้นแบบให้กับวงแทรชและเดธเมทัลในยุคต่อๆ มา ชุดนี้เรียกว่าไม่ทำให้แฟนผิดหวังอีกเช่นเคย เช่นเดียวกับท่อนริฟของคิง/แฮนแมนที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเพลง Skeleton Christ และ Cult 2 เพลงแห่งซาตานที่ท่อนริฟปราศจากความเมตตาใดๆ ทั้งสิ้น
      
       Eyes of the Insane ซิงเกิลเดียวของชุดนี้อาจจะเรียกได้ว่ามีกลิ่นอายในแบบ God Hates Us All หลงเหลืออยู่มากที่สุดในชุดนี้ แม้จะไม่ใช่พระเอกของอัลบัมนี้ แต่ก็โด่งดังขนาดคว้า Best Metal Performance ของแกรมมีอวอร์ดครั้งล่าสุดมาได้ด้วย
      
       อีกเพลงที่ทำให้ชุดนี้โด่งดังจากความอื้อฉาวได้แก่ Jihad เพลงที่บรรยายถึงเหตุกาาณ์ 11 กันยาฯ ในมุมมองของผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะ ที่เล่นกันแรงถึงขนาดเอาคำลาตายในจดหมายของโมฮัมเมด อัตตา ผู้ก่อการร้ายผู้ที่ขับเครื่องบินลำแรกในการพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรดในเหตุการณ์ดังกล่าวมาไว้ในช่วงไคลแม็กของเพลงนี้ด้วย
      
       ปิดท้ายอัลบัมด้วย Supremist เพลงที่เปิดตัวด้วยท่อนริฟไวปานพายุ, โครงสร้างแข็งแกร่ง และโซโลกระจาย
      
       Christ Illusion เป็นผลงานที่รวมทั้งซาวด์ใหม่ๆ ที่ Slayer ต้องการจะนำเสนอ รวมเข้ากับเอกลักษณ์ของพวกเขาที่สาวกที่ตามพวกเขามาตั้งแต่ยุคแรกบูชาได้อย่างลงตัว การกลับมาอีกครั้งของไลน์อัพรุ่นเดิมทำให้ดนตรีในชุดนี้ทั้งแน่นและโดดเด่นทั้งภาคริทึมและโซโล 10 เพลงที่คัดเน้นๆ จากการรอคอยถึง 5 ปีครั้งนี้ถือว่าสมศักดิ์ศรีลูกพี่ใหญ่แห่งวงการเพลงหนักกะโหลกจริงๆ
      
       ซื้อมั้ย: โหด 4/5

       **************************
      
       จากที่ยกมาแนะนำทั้ง 4 ชุดนี้ สรุปได้ว่างานของศิลปินรุ่นใหญ่ที่มีผลงานออกมาในช่วงปีนี้ถือได้ว่าทำออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรีศิลปินใหญ่เจ้าของตำนานเมทัลอย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีให้กับการมาของกระแสเมทัลคอร์ที่ทำให้แวดวงเมทัลกลับมาคึกคักอยู่บนพื้นดินอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้รุ่นใหญ่เหล่านี้มีแรงกดดันในการทำงานน้อยลง ไม่ต้องเอาใจตลาดมากเกินไป ซึ่งผลดีก็ตกมาสู่บรรดาแฟนพันธุ์แท้ทั้งหลายที่ได้ฟังผลงานดีๆ จากต้นตำรับกันถ้วนหน้าอย่างนี้
      
       แต่ที่สะกิดใจอยู่อย่างก็คือ ขณะที่ทั้ง 4 ศิลปิน (Ozzy, Iron Maiden, Slayer, Megadeth) ที่ถือเป็นกระดูสันหลังของวงการเมทัล และยังคงออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ตมาแล้วทั่วโลกอย่างช้านานตลอดอาชีพนักดนตรีของพวกเขา แต่จำนวนครั้งที่มาแสดงที่เมืองไทยรวมกันทั้ง 4 วงคือ 0
      
       กับที่อื่นคงยากที่จะเรียกใครว่าเป็นเป็นแฟนพันธุ์แท้เมทัลตัวจริง ถ้าหากไม่ได้ดูคอนเสิร์ตของวงใดวงหนึ่งในนี้น้อยกว่า 2 ครั้ง แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมาแฟนหูเหล็กบ้านเราไม่มีโอกาสเหล่านั้นเลย ทั้งๆ ที่บ้านเราถือเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยชาติพันธุ์ของสาวกเมทัลอยู่ทุกยุคทุกสมัย ไม่น้อยหน้าประเทศใดๆ ทั้งสิ้น (ยังโชคดีที่ Metallica เคยมาสร้างวีรกรรมเอาไว้ที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง จนเป็นตำนานเล่าขานอยู่ในทุกวันนี้)
      
       ไม่ว่าใครจะมองว่าเป็นเรื่องเกินไปหรือเปล่า แต่ในฐานะคนฟังเพลงคนหนึ่งรู้สึกว่า การที่ศิลปินกลุ่มๆ หนึ่งอยู่ทำเพลงกันมาเป็นเวลา 20-30 ปี โดยยังไม่แยกย้ายกันไปไหน ด้วยเหตุผลความขัดแย้งไม่ลงรอยต่างๆ นานา (เมเดนเคยเสียบรูซ ดิกกินสันไปนับ 10 ปี, เมกาเดธเคยยุบวงไปแล้ว 2 ปี, ส่วนออซซีก็เคยประกาศอำลาวงการมาแล้ว และลือกันว่าผลงานชิ้นนี้รวมทั้ง Ozzfest เวอร์ชันฟรีคอนเสิร์ตปีนี้อาจจะเป็นการสั่งลาจริงๆ ของเขา) และยืนหยัดอยู่ในวงการจนทำผลงานดีๆ ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังอย่างที่กล่าวมานี้ ถือว่าเป็นทั้ง "โชคดี" และเป็นสิ่งที่ "มีค่า" ของแฟนเพลง ที่ไม่ควรจะรอให้มันจากไปก่อนแล้วค่อยรับรู้ถึงมัน

ที่มา   http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000103756

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

นาจิคุง 26 ก.ย. 51 เวลา 19:49 น. 3

ของ Megadeth น่ะ เขาก็ฟัง เจ๋งโคตรน่ะ แล้วที่เจ๋งๆ ก็ยังมี เอ็กทรีม เซ็กพิสทอล แล้วก็ถ้าฟังพวกเพลงบลู ก็มินนี่ ร้อบตั้น อันนั้นก็ดี


PS.  เขียนกลอนเพราะอ่อนไหว คิดถึงใครที่เมินหมาง ใจฉันมันบอบบาง ถูกเหินห่างถูงร้างรา คิดถึงจึงรวดร้าว น้ำตาพราวเพราะไห้หา เขียนกลอนไว้เตือนตา ถ้าเพื่อว่าจะเตือนใจ
0