Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรื่องอื้อฉาวลวงโลกวิทยาศาสตร์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เรื่องอื้อฉาวลวงโลกวิทยาศาสตร์
ชัยวัฒน์ คุประตกุล kshaiwat@hotmail.com

สัปดาห์ที่แล้ว ตอน “บาปของนักวิทยาศาสตร์จรรยาบรรณบกพร่อง” ได้นำเรื่องผิดจรรยาบรรณร้ายแรงของนักวิทยาศาสตร์เล่าสู่ท่านผู้อ่านไปแล้ว 2 คน มา “มิติคู่ขนาน” วันนี้ มีเรื่องการผิดจรรยาบรรณร้ายแรงทางด้านวิทยาศาสตร์มาเล่าต่ออีก 3 คน โดยที่ 2 คนแรก เป็นนักวิทยาศาสตร์อาชีพ แต่คนที่ 3 เป็นนักการเมืองที่แสดงบทบาทเป็นนักวิทยาศาสตร์ ด้านมานุษยวิทยา (จอมปลอม)

(1) การค้นพบธาตุที่ 116 และ 118 ที่ไม่ใช่

การแข่งขันที่หนักหน่วง และนำชื่อเสียงมาให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ผู้เป็นคนแรกที่ทำได้อย่างแน่นอน คือการค้นพบธาตุใหม่

ปี 1999 คณะนักฟิสิกส์ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ ลอว์เรนซ์ เบิร์คลีย์ ในแคลิฟอร์เนีย (Lawrence Berkeley National Laboratory in California) ประกาศความสำเร็จในการผลิตธาตุใหม่ และหนักที่สุดที่เคยผลิตกันได้มาก่อน คือธาตุมีเลขอะตอม (Atomic Number หรือจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส์ของอะตอม) 116 และ 118 โดยวิธียิงธาตุตะกั่วด้วยอะตอมของธาตุคริปทอน (Krypton) มีพลังงานสูง

ลำพังเพียงการผลิตธาตุที่ 116 ได้ ก็เป็นผลงานยิ่งกว่าโบแดงอยู่แล้ว แต่คณะนักฟิสิกส์ก็แถมร่องรอยหลักฐานของธาตุที่ 118 อีกด้วย

วงการวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นกับความสำเร็จนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา บิล ริชาร์ดสัน (Bill Richardson) ถึงกับกล่าวว่า “การค้นพบที่น่าทึ่งนี้ เปิดประตูสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงอีกระดับหนึ่ง ต่อเรื่องโครงสร้างนิวเคลียส์ของอะตอม...

แต่แล้ว... ในปี 2002 การค้นพบธาตุใหม่หนักที่สุด คือธาตุที่ 116 และ 118 ก็ถูกจับผิดได้ว่า เป็นการค้นพบหรือการผลิตธาตุใหม่ที่เป็นเท็จ

แล้วใครเป็นผู้ร้ายเรื่องนี้?

ในที่สุด ผู้ร้ายตัวจริงก็ถูกจับได้ เขาคือ วิกเตอร์ นินอฟ (Victor Ninov) นักฟิสิกส์ในคณะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล

สิ่งที่เขาทำ... อย่างผิดจรรยาบรรณร้ายแรง คือสร้างข้อมูลเท็จขึ้นมา เพื่อทำให้เขาและคณะเป็นผู้สร้างธาตุใหม่หนักที่สุดขึ้นมาได้ถึง 2 ธาตุ

ในปี 2002 เมื่อความจริงปรากฏการค้นพบธาตุใหม่หนักที่สุด 2 ธาตุ คือธาตุที่ 116 และ 118 ก็ถูกประกาศถอนจากการค้นพบ และตัวนักฟิสิกส์ผู้ก่อเรื่อง คือ วิกเตอร์ นินอฟ ก็ถูกไล่ออก

แล้ววิกเตอร์ นินอฟ ถูกจับผิดได้อย่างไร?

คำตอบ คือการค้นพบหรือความสำเร็จในการผลิตสิ่งใหม่ใดๆ ขึ้นมาได้ โดยนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ก็จะต้องทำได้เช่นกัน

(2) อิทธิพลเกินจริงของยีนต่อไอคิว

ปี 1944 ประเทศอังกฤษออกกฎหมายด้านการศึกษา เปลี่ยนระบบการศึกษาเป็นแบบที่รู้จักเรียกกันว่า 11+ Examination หรือ การสอบ 11+ เปรียบได้กับการสอบ Entrance เข้ามหาวิทยาลัยของไทย และของประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย สำหรับการสอบ 11+ ของอังกฤษเป็นกฎหมายบังคับให้มีการสอบคัดเลือกเด็กอายุ 11 ปีขึ้นไป เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาชีพในอนาคตของเยาวชนอังกฤษ

ระบบการสอบ 11+ ของอังกฤษ มีที่มาจากเรื่องการลวงโลกเกี่ยวกับบทบาทของยีนต่อระดับความสามารถทางสติปัญญา หรือ IQ ของคนเรา ซึ่งกว่าความจริงจะปรากฏ ระบบการคัดเลือกเด็กเพื่อเข้าศึกษาในระดับสูงขึ้น ก็กลายเป็นระบบที่คนอังกฤษคุ้นเคย รวมทั้งในประเทศอื่นๆ ด้วย จนกระทั่งลืมไปแล้วว่า ที่มาของระบบการคัดเลือกเช่นนี้ คือผลการศึกษาวิจัยที่ลวงโลก โดยที่นักวิทยาศาสตร์สำคัญคนหนึ่งของอังกฤษ เซอร์ ไซริล เบิร์ต (Sir Cyril Burt) ศาสตราจารย์นักจิตวิทยาด้านการศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน (University College London)

ปี 1943 ไซริล เบิร์ต ตีพิมพ์ผลงานการศึกษาวิจัยกับคนคู่แฝดแท้เป็นจำนวนมากที่สุดที่เคยศึกษากันมาก่อน ซึ่งผลการศึกษาวิจัย สรุปออกมาชัดเจนว่า ยีน หรือพันธุกรรม มีบทบาทอย่างสำคัญ ต่อความสามารถของคนเรา ทั้งในเรื่องความฉลาด หรือไอคิว และอื่นๆ

ผลจากการศึกษากับคนคู่แฝดของไซริล เบิร์ต เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และมิใช่เฉพาะในประเทศอังกฤษ แต่สำหรับอังกฤษเอง ก็มีบทบาทถึงขั้นทำให้รัฐบาลออกกฎหมายทางด้านการศึกษา ที่ทุ่มเททรัพยากรด้านการศึกษาให้กับเด็กที่มีแววฉลาด หรือไอคิวเป็นสำคัญ ดังกฎหมายการสอบ 11+

หลังการถึงแก่กรรมของ ไซริล เบิร์ต ในปี 1971 โลกของการศึกษาวิจัยทางด้านการศึกษา ก็ต้อง “ช็อก” เมื่อความจริงได้ปรากฏว่า ผลงานเกี่ยวกับแฝดคู่ของไซริล เบิร์ต มีหลายจุดหลายข้อมูลไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง มีการสร้างข้อมูลเท็จ บิดเบือนข้อมูลที่มีอยู่ แม้แต่ชื่อของคณะวิจัย ก็พบว่า มีบางคน ซึ่งไม่มีตัวตน

ในปัจจุบัน ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยกับคู่แฝดของ ไซริล เบิร์ต เป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมายหรือเชื่อถือไม่ได้ และก็มีผลต่อประเด็นปัญหาความสำคัญของยีน (พันธุกรรม) กับการเลี้ยงดู (สภาพแวดล้อมของการเจริญเติบโต) ทำให้เรื่องของยีนกับการเลี้ยงดู ยังเป็นประเด็นที่ถกที่ศึกษากันอยู่ถึงทุกวันนี้

(3) เผ่ามนุษย์โบราณลวงโลกในฟิลิปปินส์

นักการเมืองผู้ประกาศตนเป็นนักมานุษยวิทยารั่วข้ามคืน คือ มานูเอล อีลิซาลเด (Manuel Elizalde) รัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ผู้อื้อฉาว เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประกาศการค้นพบ เผ่ามนุษย์โบราณในเขตที่ต่อมาถูกจัดเป็นเขตสงวนแห่งชาติทาซาเดย์ (Tasaday Reserve) เมื่อปี 1971

มนุษย์โบราณทาซาเดย์ อาศัยอยู่ในถ้ำดำรงชีวิตแบบมนุษย์ถ้ำยุคหิน รู้จักใช้เครื่องมือทำด้วยหิน นุ่งห่มด้วยใบไม้ พูดภาษาแปลกๆ

การค้นพบนี้ เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก นับเป็นการค้นพบด้านมนุษยวิทยาสำคัญที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 เรื่องขึ้นปกนิตยสารโด่งดังของโลก คือ National Geographic คนดังระดับโลกดัง เช่น ชาร์ลส์ ลินด์เบิร์กห์ (Charles Lindbergh) ผู้สร้างสถิติขับขี่เครื่องบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จเป็นคนแรก เมื่อปี 1927 ก็ไปเยี่ยมวิถีชีวิตมนุษย์หินที่ยังดำรงชีวิตแบบเก่าอยู่ในโลกยุคใหม่

อย่างไรก็ดี เมื่อนักมานุษยวิทยามืออาชีพ (ตัวจริง) ต้องการจะไปศึกษาชีวิตของมนุษย์โบราณในฟิลิปปินส์อย่างเป็นระบบ ก็ถูกปฏิเสธ โดยการประกาศอย่างเป็นทางการให้เป็นเขตสงวน ห้ามบุคคลภายนอก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์เข้าไปเยี่ยมศึกษา

มีการตั้งมูลนิธิระดมเงินทุนขนาดใหญ่ เพื่อการอนุรักษ์ชนเผ่ามนุษย์ถ้ำทาซาเดย์

แล้วความจริงก็ปรากฏว่า มนุษย์ถ้ำยุคหินทาซาเดย์ จริงๆ แล้ว ก็เป็นชาวบ้านร่วมสมัยที่ถูกมานูเอล อีลิซาลเด จ้างให้ไปใช้ชีวิตมนุษย์ยุคหินในถ้ำ

นักการเมืองนักมานุษยวิทยาลวงโลก มานูเอล อีลิซาลเด หนีออกจากประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 1983 พร้อมกับเงินจำนวนมากของมูลนิธิ

ปี 1983 เป็นปีที่เกิดเหตุผู้นำฝ่ายค้านของฟิลิปปินส์ คือ เบนิโย เอส. อากีโน (Benigno S. Aquino) ถูกลอบสังหาร และเกิดเหตุวุ่นวายเป็นความตกต่ำของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่ปกครองฟิลิปปินส์มาตั้งแต่ปี 1965 จนกระทั่งสิ้นสุดยุคของประธานาธิบดีผู้อื้อฉาวคาวคอร์รัปชัน ที่ถูกประชาชนขับไล่ออกนอกประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งในปี 1986

หลังยุคการปกครองของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ในปี 1986 เรื่องราวการลวงโลกของเผ่ามนุษย์ถ้ำทาซาเดย์ จึงถูกเปิดโปงอย่างอื้อฉาว สร้างความเสียหายอย่างมากต่อวงการมนุษยวิทยา และนิตยสาร National Geographic รวมทั้งวิทยานิพนธ์หลายฉบับ จากการศึกษาวิจัยชีวิตของมนุษย์ถ้ำโบราณทาซาเดย์ที่ไม่โบราณจริง! 


ที่มา :
www.posttoday.com

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น