โบราณสถาน-โบราณวัตถุ วัดพะโคะ
ตั้งกระทู้ใหม่
ของดีวัดพะโคะ
  พระสุสรรณสมลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ
สร้างระหว่าง พ.ศ. ๒๐๕๗-๒๑๑๑ ปรากฏว่าพระยาธำรงกษัตริย์ (บางตำรากล่าวว่าพระธรรมรังคัล) เจ้าเมืองพัทลุงเมื่อครั้งตั้งอยู่ที่อำเภอสทิงพระปัจจุบันได้นิมนต์พระมหาอะโนมทัสสี ไปเอาพระบวนพระมหาธาตุจากลังกามาก่อพระเจดีย์ สูง ๑ เส้น บรรจุพระมหาธาตุแล้ว ครั้นอยู่ต่อมาถูกบูรณะมาหลายครั้ง จนถึงสมัยสมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปปรมาจารย์ (หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด)
ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๖๓ ได้บูรณปฏิสังขรณ์อีกยอดเจดีย์ทำด้วยโลหะ ๓ วา ๓ คืบ สูง ๑ เส้น ๕ วา ลูกแก้วที่พญางูคายให้เมื่อท่านยังเป็นทารกได้ไว้บนยอดเจดีย์ด้วยจึงให้ชื่อพระเจดีย์ ว่า พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ระยะกาลต่อมาปรากฏว่าถูกบูรณะมาหลายครั้ง ครันต่อมาระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๔ ถึง ๒๔๖๐ เจ้าอธิการแก้วพุทธมุนี วัดดีหลวง จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ ครั้งสุดท้ายยอดทำด้วยโลหะทองแดง ๑ เส้น ๑๐ วา ฐานล่าง บริเวณพระเวียนหรือระเบียงรอบยาวด้านละ ๑๗ เมตร ระเบียงและผนังเจดีย์ทั้ง ๔ ด้านได้บูรณะครั้งสุดท้ายปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สมัย พระครูสุนทรสิทธิการย์ (พระอธิการเขียว ปุญญฺผโล) โดยได้รับบูรณะด้วยเงินจากทางกรมการศาสนาและเงินรายได้ของวัด จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ บาท
  พระพุทธไสยาสน์พระพุทธโคตรมะ ปางปรินิพพาน
สร้างระหว่าง พ.ศ. ๒๐๕๗-๒๑๑๑ พร้อมกับองค์พระเจดีย์ ได้บรรจุพระธาตุไว้ภายใน
(เดิมวัดนี้เรียกว่าวัดพระราชประดิษฐาน เมื่อสร้างพระพุทธโคตรมะ ชาวบ้านเรียกว่าวัดพระโคตรมะ สมันต่อมาเพี้ยนเป็นวัดพะโคะ) ต่อมาถูกบูรณะหลายครั้ง จนถึงสมัยสมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์อีกระหว่างปีพ.ศ. ๒๑๔๙-๒๑๖๓ ระยะการต่อมาพระพุทธไสยาสน์ชำรุดทรุดโทรมยังแต่ทารก ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๔๙-๒๔๖๐ เจ้าอธิการแก้ว พุทธมุนี วัดดีหลวงได้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งองค์และบรรจุพระบรมธาตุไว้ภายในขนาดตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระเศียร (ยาว ๑๘ เมตร กว้าง ๒.๕๐ เมตร
วิหารพระพุทธไสยาสน์ (พระพุทธโคตรมะ) ได้บูรณปฏิสังขรณ์ ครั้งสุดท้าย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ สมัยพระอธิการเขียว ปุญฺญผโล (พระครูสุนทรสิทธิการย์เจ้าอาวาสปัจจุบัน) โดยได้รับเงินจากกรมการศาสนาจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ขั้นก่อน พ.ศ. ๒๔๘๐ เจ้าอธิการดำ ติสฺสโร เจ้าอาวาสวัดศิลาลอย ได้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระพุทธไสยาสน์ คือพระเศียร พระหัตถ์ทั้งสอง พร้อมด้วยลงรักปิดทองทั้งองค์เป็นครั้งสุดท้าย
 
  รอยฝ่าพระพุทธบาท
สมัยบูชาพระพุทธบาท ปัจจุบันชาวบ้านเชื่อว่ารอยฝ่าพระบาทสมเด็จเจ้าพะโคะ ได้เหยียบ
ไว้บนแท่นหินใหญ่มีมาก่อนสร้างวัดอีก เขาพะโคะนี้ เดิมเรียกว่าเขาพิพัทธสิงห์บ้าง เขาพระพุทธบาทบ้าง เข้าใจว่าเขานี้เดิมเชื่อเขาพิพัทธสิงห์มาก่อน เมื่อมีฝ่าพระบาทขึ้นก่อน ภายหลังจึงเรียกว่าพระพุทธบาท
ตามคติความเชื่อของชาวพุทธศาสนิกชน เมื่อพระพุทธเจ้าครั้งประสูติเดินได้ ๗ ก้าว หมายถึงพระพุทธเจ้าเผยแพร่ ศาสนาครั้งพุทธกาลได้ ๗ แคว้นหรือเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ ๗ แห่ง เมื่อมาพิจารณาหลักฐานที่ปรากฏรอยพระบาทไว้ ๗ แห่ง แสดงว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาประเทศไทยแน่นอน และเสด็จโดยลำดับต่อไปนี้
  เหยียบรอยพระพุทธบาท ไว้ที่ดอยผาเลือก
  เหยียบรอยพระพุทธบาท ไว้ที่ตำบลสันทรายหลวง
  เหยียบรอยพระพุทธบาท ไว้ที่เขาพระพุทธบาทสระบุรี
  เหยียบรอยพระพุทธบาท ไว้ที่เกาะแก้วพิสดารจังหวัดภูเก็ต
  เหยียบรายพระพุทธบาท ไว้ที่เขาพิพัทธสิงห์พะโคะ
  เหยียบรอยพระพุทธบาท ไว้ที่เขาปฐมโกฐ์ ลังกา
  เหยียบรอยพระพุทธบาท ไว้ที่เนินเขาพรหมโยนีอินเดีย
รอยพระพุทธบาทในประเทศไทย ๕ แห่ง ดังปรากฏในบทสวดลายลักษณ์ ครั้งโบราณ
ดังนี้
พระบาท ๕ แห่ง พระบาทสำแดง เหยียบย่างไว้นั้นเป็นที่สันทา นาคาสพสรรพ์ มนุษย์คน
ธรรมพ์ ครุฑ ธิราชอสสุราฯลฯ หญิงชายทั้งหลาย อย่าได้ดูเบาเล่าเรียนเขียนเอา จำไว้ขึ้นใจ ... ส่วนขนาดพระพุทธบาทวัดพะโคะจากรอยส้นเท้าพระบาทถึงปลายพระบาท ยาว ๑๖ นิ้ว ปลายทางกว้าง ๙ ๑ / ๒ นิ้ว ส่วนกลางกว้าง ๗ นิ้ว ส่วนเส้นพระบาทกว้าง ๔ ๑ / ๒ นิ้ว รอยพระพุทธบาทแห่งอื่น ๆ ก็ขนาดเดียวกัน ต่อมาชาวบ้านเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทของสมเด็จพะโคะเหตุเพราะด้วยความเคารพนับถือเชื่อในปาฏิหาริย์ ของสมเด็จเจ้าจึงทำให้ชาวบ้านเปลี่ยนทัศนคติเดิมนิยมเชื่อว่ารอยพระบาทของสมเด็จเจ้าพะโคะ
ปรากฏในประวัติวัดพระธาตุจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่หน้า ๕-๖ สรุปความว่า สมัยพุทธกาลใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ ดำริประดิษฐานพระพุทธศาสนาโปรดเวไนยนิกร ตามแคว้นชนบทต่าง ๆ จึงเสด็จพร้อมด้วยเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระอานนท์เป็นอาทิ เสด็จมาโดยลำดับสู่นิคมน้อยใหญ่จนถึงแคว้นกุมภะมิตนคร สมัยนี้เรียกว่าอำเภอฝาง พระองค์ทรงเทศนาโปรดโสกยักษ์ให้เลื่อมใส ศรัทธารู้บาปบุญคุณโทษ แล้วเสด็จลงมาตามลำน้ำแม่ระมิงค์ ในเขตอำเภอแม่แตง พระองค์ได้อธิษฐานรอยพระบาทไว้และทรงเทศนาโปรดนายบ้านทมิฬชื่ออ้ายเลิง จนเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนาแล้วเสด็จลงมาตามลำดับและพระองค์เสด็จมาตามไหล่เขาต่าง ๆ ฯลฯ
นี้เป็นหลักฐานที่พอเชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้า เสด็จโปรดเวไนยนิกรเข้ามาในประเทศไทย และเสด็จมาถึงเขาพิพัทธสิงห์ (พะโคะ) ได้อธิษฐานเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ดังปรากฏอยู่ปัจจุบัน ซึ่งมีก่อนตั้งวัดเรียกว่าเขาพุทธบาทบรรพต
  ลูกแก้วคู่บารมีของสมเด็จพะโคะ
เป็นลูกแก้วลักษณะผิดจากลูกแก้วธรรมดา ปรากฏว่าพญางูคายให้เมื่อครั้งสมเด็จราชมุนี
สามีรามคุณูปรมาจารย์ (หลวงพ่อทอดเหยียบน้ำทะเลจืด) ยังเป็นทารก เมื่อตอนมารดาบิดา เกี่ยวข้าวผูกแปลให้นอนใต้ต้นเหม้ากลางทุ่งนา สถานที่นี้เรียกว่านาเปลจนถึงปัจจุบัน ครั้นต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฯ กลับจากกรุงศรีอยุธยามาบูรณปฏิสังขรณ์โบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ท่านได้เอาลูกแก้วคู่บารมีไว้บนยอดเจดีย์ ครั้นต่อมาฟ้าผ่าเจดีย์ ลูกแก้วพลัดตกลงมา เจ้าอาวาสได้เก็บรักษาไว้ที่วัดพะโคะจนถึงปัจจุบัน
(ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนนี้ผู้เขียนยังเป็นพระภิกษุ และรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพะโคะ จำได้ในเดือนมีนาคม ๒๔๘๔ มีพระอาคันธุกะ ๒ รูปมาพักอยู่ที่วัดตอนค่ำเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. พระอาคันธุกะ คือพระลั่น และพระเคียง ขอดูลูกแก้ว ผู้เขียน (พระชัย วิชโย) ได้นำลูกแก้วจากในห้องกุฏิออกมาให้ดูพระเคียงถามถึงประวัติความเป็นมาของลูกแก้ว ผู้เขียนได้เล่ามาพอเป็นสังเขป จนกระทั่งนายจีนคนวิกลจริต เอาก้อนหินใหญ่ตีลูกแก้วแตก (ดูประวัติวัดพะโคะตอนสมัยสมเด็จเจ้าบูรณะโบราณวัตถุ) ตอนนั้นพระเคียงได้จุดธูปเทียนบูชาลูกแก้ว ผู้เขียนบอกว่าจะเอาลูกแก้วไปให้ช่างทางกรุงเทพฯเจียระไนหรือหล่อใหม่ ขณะนั้นพระเคียงร่างกายสั่นเสียงที่พูดเหมือนคนชรา พูดว่าเราคือสมเด็จเจ้าฯ ต้องการมาบอกว่าอย่าเอาลูกแก้วหล่อใหม่คนภายหลังจะไม่มีความเชื่อถือลูกแก้วถึงคราวที่จะแตกเหมือนคนเราเป็นของไม่มีเที่ยงเป็นธรรมดา ขณะนั้นผู้เขียนไม่เชื่อว่า สมเด็จเจ้าฯ ประทับทรงผู้เขียนเลยถามความเป็นมาของลูกแก้ว ผู้ประทับทรงบอกว่าพญางูให้เมื่อเป็นทารก และได้ไว้บนยอดเจดีย์ฟ้าผ่าตกลงมาจึงอยู่ที่วัดนี้ ผู้เขียนได้ถามเหตุการณ์ของประเทศไทยในภาวะสงครามที่ล่วงมาแล้ว และการข้างหน้าหลายเรื่องและเรื่องประวัติของสมเด็จเจ้า ปรากฏว่าถูกต้องตามความเป็นจริงหากนำลงพิมพ์เป็นการน่าศึกษา รุ่งขึ้นพระภิกษุสามเณรในวัดรู้เรื่องสมเด็จเจ้าฯเข้าประทับทรง ตอนค่ำเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. พระบุตรฯ อาศัยอยู่กุฏิข้างศาลาว่าความจุดธูปเทียนบูชาระลึกถึงสมเด็จฯ หากคืนก่อนสมเด็จฯ เข้าประทับจริงขอให้มาประทับทรงตนเองเพื่อความเชื่อมั่น ขณะนั้นพระบุตรฯ มีร่างกายสั่นมีเสียงดังฮือ ๆ ผู้เขียนได้ยินดังนั้นก็ไปดูและถามเรามาประทับทรงจริงไม่ต้องสงสัยและบอกว่าจะกลับแล้ว ร่างกายและเสียงของพระบุตรฯ ก็ปกติลูกแก้วนี้บางครั้งก็เกิดแสงสว่างขึ้นในห้องที่เก็บรักษาและใช้แช่น้ำทำน้ำมนต์
 
  รูปจำลองสมเด็จพะโคะ
รูปจำลองหรืออนุสาวรีย์ของสมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ (หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
(๑) ปางนั่งสมาธิ หน้าตักกว้าง ๒๗ นิ้ว สมัยพระอธิการ เขียว ปุญฺญผโล (พระครูสุนทรสิทธิการย์อาวาสปัจจุบัน) ได้จัดสร้างที่วัดปัตตานีนรสโมสน จังหวัดปัตตานี้นำมาไว้ในมณฑปพระพุทธบาท เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๖ (ผู้เขียนเล่าปาฏิหาริย์ริย์รูปจำลองของสมเด็จในตอนนำรูปจำลองจากปัตตานีมาไว้ ณ วัดพะโคะพอเป็นสังเขป)
คือในคืนวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๐๖ ทำพิธีสมโภชรูปจำลองฯ ตอนเช้าเคลื่อนรถขบวนแห่รูปรำลองจากปัตตานีฯ ผู้เขียนอยู่ประจำรถขบวนด้วย และหยุดพักเป็นแห่ง ๆ รุ่งขึ้นวันที่ ๒๘ เมษายน เวลา ๑๓.๐๐ น. เคลื่อนรถขบวนรูปจำลอง ปรากฏว่าภายในเดือน มีนาคม-เมษายน ๒๕๐๖ นั้นในเขตอำเภอนาทวีฝนไม่เคยตกเลย แห้งแล้งทำความเดือดร้อนแก่ราษฎรผู้มีอาชีพเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง นายซุ่น หรือปลัดชอบ (นามสกุลจำไม่ได้) บ้านนาทวีได้พูดขึ้นว่า (ถ้ารูปจำลองสมเด็จเจ้าศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้ฝนตก) เมื่อรถขบวนเคลื่อนออกตอนนั้นปรากฏว่าบนอากาศมือด้วยก้อนเมฆมีประมาณทั่วทั้งอำเภอนาทวี ฝ่าห่าแก้ว (ในลูกเห็บ) ตกลงมาขนาดหนักทั่วทั้งอำเภอนาทวี เมื่อรถขบวนถึงตลาดคลองแงะตอนค่ำได้พักในบริเวณ ร.ร.คลองแงะทำพิธีสมโภช ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นนำรถขบวนไปยังอำเภอสะเดาเพื่อให้ประชาชนสักการบูชา ได้มีผู้ขี่รถเครื่องตรงมาแนวทางแห่ใกล้จะถึงรถแฉลบล้มลงออกข้างทาง รถขบวนทั้งรถทั้งคนไม่เป็นอันตราย ตอนกลับจากอำเภอสะเดามีผู้ขี่รถเครื่องตามมาโดยเร็ว และได้วิ่งผ่านหน้ารถขบวนใกล้ รถเครื่องคันนั้นก็แฉลบล้มออกไปแนวรถแห่คนทั้งรถก็ไม่เป็นอันตราย และคนในรถขบวนได้บอกเจ้าของรถเครื่องว่าให้ขอขมาโทษท่านสมเด็จฯ เสีย รถขบวนได้วิ่งไปตามผ่านเข้าถึงเขตเทศบาลเมืองสงขลา รถขบวนได้วิ่งไปตามถนนสายต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชา ขบวนออกจากสงขลาแล้วมาถึงตำบลชุมพลอตอนเย็น และได้พักที่ต้นยางไม้เท้า ๑ คืน วันรุ่งขึ้นทำพิธีสมโภช แล้วมีขบวนแห่รูปจำลองสมเด็จเจ้าฯ ไปสูวัดพะโคะ ปรากฏว่าวันนั้นมีเมฆบาง ๆ กั้นแสงพระอาทิตย์ (ไม่มีแดดจัด) ในอาณาบริเวณอันกว้างทำให้ประชาชนที่ร่วมขบวนแห่ไม่ร้อนไปทั่วกัน ดั่งที่เล่ามานี้แสดงให้เห็นว่าอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จฯ
  อนุสาวรีย์สมเด็จพะโคะ
อนุสาววรีย์สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมจารย์ (หลวงพ่อเหยียบน้ำทะเลจืด) ปาง
จาริกธุดงค์ ทางคณะกรรมการสมาชิกสภาจังหวัดสงขลามีหม่อม ทองคำเปลวทองใหญ่ ผู้ว่าราชการเป็นประธาน นายกิตติ วิภาคประธานสภาจังหวัด เป็นผู้ดำเนินการจักสร้างรูปแบบการปฏิปทากิจวัตร ของสมเด็จเจ้าฯ จนท่านมนณภาพ จึงจัดสร้างหล่อด้วยโลหะสูง ๑.๘๐ ณ ที่หน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และได้นำมาประดิษฐานไว้ในมณฑปใกล้ประตูชัยของวัดพะโคะเพื่อที่จะให้ประชาชนสักการบูชา
  ปูชนียวัตถุอื่น ๆ
  พระยืน พระทรงเครื่อง พระนั่งขนาดต่าง ๆ เป็นของโบราณและปัจจุบันหลายสิบองค์
  โบราณวัตถุ ภาชนะของใช้ต่าง ๆ เช่น ถ้วย โอ่งเป็นต้น มีมากมายเก็บรักษาไว้เป็น
พิพิธภัณฑ์ของวัด มีไว้ เพื่อการศึกษาต่อไป
  ภาพจิตรกรรม
ที่ฝาผนังศาลาการเปรียญทางทิศใต้มณฑปพระพุทธบาทเรียกว่าภาพปริศนาธรรม มีหลาย
สิบเรื่องเป็นภาพเขียนรุ่นใหม่ ปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ โดยพระปัญญาทีปะวรศักดิ์และพระดำรงซึ่งเป็นศิษย์จากสวนโมกพลาราม ภาพปริศนาธรรมนี้ อาศัยความคิดจากพุทธทาสภิกขุ
  พระบูชา พระเครื่อง
พระบูชา พระเครื่อง รูปสมเด็จเจ้าพะโคะ (หลวงพ่อทวด) มีขนาด ต่าง ๆ ทำด้วย ว่าน
โลหะ รูปยืน รูปนั่งทั้งองค์ เหรียญ ผ้ายันต์ฝ่าพระบาท ได้เริ่มสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกมาหลายครั้ง มีไว้เพื่อให้ผู้เคารพนับถือนำไปสักการบูชา ไว้ประจำบ้านเรือนและยานพาหนะเพื่อเป็นสิริมงคล ความปลอดภัย ซึ่งเคยปรากฏผลมาแล้วแก่ผู้นำไปสักการบูชาและเชื่อมั่นเป็นปูชนียวัตถุที่ประชาชนนิยมทั่วทั้งประเทศและต่างประเทศ
PS. ฉันเป็นโอทาคุบ้าการ์ตูน บ้าanime อ่านY แต่งคอสเพลย์ ชอบฮารุอิ รักมิคางามิ กิ๊กมินะ คลั่งสาวแว่น ติดฟิกเกอร์มันผิดตรงไหน Y.Y
3 ความคิดเห็น
อืม ความรู้ๆ อ่านนานมาก น่าจะมีรูปประกอบหน่อย
PS. ข้าเจ้าไม่ใช่กัปปะนะ!!!!
ขอบคุนมากเลย พอดีว่าทำงานเกี่ยวเรื่องนี้พอดีอ่ะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?