เงินเดือน เรื่องใหญ่?
ใครรู้ว่าจะหางานอะไรทำก็โชคดี มุ่งไปที่งานได้เลย ใครที่จะจบมหาวิทยาลัยอยู่แล้วก็ยังไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ก็เริ่มหาช่องทางต่างๆ ที่พอจะไปได้กับความสามารถและความพอใจของตนเอง ที่สำคัญอย่างยิ่งก็เรื่อง "เงินเดือน" บางคนก็เลือกงานอะไรก็ได้ ที่จะสะสมเงินให้ได้มากๆ ก่อน เดี๋ยวค่อยออกมาทำงานในแบบที่ชอบทีหลัง คิดแบบนี้ก็ไม่แปลก แต่จะได้เงิน แถมหน้าดำคล้ำเครียด เส้นเลือดจะแตกอยู่ทุกวันหรือเปล่าก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ เครียดนะ!
แน่นอนว่านอกจากเอกสารที่จะต้องเตรียมแล้ว ก็มีเอกสารฉบับหนึ่งที่แพร่หลายมาก เพื่อนๆ บอกต่อกัน tag กันต่อตาม Facebook เป็นเอกสารช่วยตัดสินใจระดับหนึ่งเกี่ยวกับค่าเฉลี่ยเงินเดือนของอาชีพต่างๆ ที่ทางสำนัก Adecco Thailand ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านงาน
พี่เกียรติเลยพาเจ้าตัวนี้มาให้น้องๆ รู้จักเป็นแนวทางตัดสินใจในอนาคต แน่นอนว่าค่าเงินเหล่านี้มันก็พอเปลี่ยนแปลงได้นะ แต่มันก็อาจช่วยชี้ทางอะไรๆ ต่างๆ ให้น้องได้บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ แต่ไม่ได้มีทุกอาชีพนะ ส่วนใหญ่เน้นไปในกลุ่มงานในออฟฟิซและเทคโนโลยี และพิเศษตรงการบอกรายละเอียดเงินเดือนของอาชีพต่างๆ ที่ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นด้วยค่ะ
ตำแหน่งงานด้านการบัญชี
ตำแหน่งงานด้าน Supply Chain
(งานด้านการจัดการเรื่องการจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์สินค้า การบริการ การกระจาย และจัดส่งสินค้า)
ตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (งานด้าน IT)
ตำแหน่งงานที่ใช้ภาษาญี่ปุ่น แยกโดยสาขางานด้านต่างๆ
เช่น เลขานุการที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ เงินเดือนขั้นต่ำ 25,000 บาท เป็นต้น
บอกไว้เป็นแนวทางจ้า ยังมีอีกหลายอาชีพทีเเดียว นอกจากน้องๆ วัยมัธยมจะได้สนุกไปกับการดูเงินเดือนตำแหน่งนั้น ตำแหน่งนี้แล้ว ก็อาจจะได้รู้จักอาชีพใหม่ๆ มากขึ้น ก็มันเป็นภาษาอังกฤษนี่เนอะ ชื่อตำแหน่งแปลกๆ ที่เราอาจไปหาข้อมูลเพิ่มก็ได้นะ ส่วนน้องๆ วัยมหาวิทยาลัยอาจดูเป็นแนวทางในการเลือกอาชีพที่จะทำหลังเรียนจบ และก็ไว้อ้างอิงเงินเดือนในใบประวัติก็ได้นะ ที่สำคัญรอติดตามและเปรียบเทียบกันได้ทุกปีค่ะ Adecco เขาใจดีที่ได้แนะนำข้อมูลดีๆ แบบนี้มาโดยตลอด (อย่างน้อยก็ตั้งแต่พี่เกียรติเรียนจบนี่แหละ อิอิ) แต่อย่าลืมว่าเงินเดือนอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดนะ ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน!
แหล่งข้อมูล, ภาพประกอบ: www.adecco.co.th/jobs/adecco-knowledge-center.aspx?c=10 |
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?
17 ความคิดเห็น
คนที่เงินเยอะ มีแค่คนก่อตั้งธุรกิจเครือข่าย
ที่เหลือจะไม่ได้ตังค์แถมโดนหลอกให้หาเงินเข้ากระเป๋าไลน์บน ๆ อีก
และที่สำคัญ มันผิดกฎหมาย...
ถ้าไปขอจดทะเบียนแบบนั้นโดยตรงนะ
ดังนั้นเพื่อให้ถูกกฎหมาย จึงใช้วิธีการอื่น
เช่นบอกว่าขายตรง ทำงานทางเน็ต หรือรับจ่ายค่าบริการทางเน็ต
ซึ่งทุกอย่างจะมีจุดร่วมเหมือนกันคือ
1 ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วม
จ่ายทำไมฟะ ? - และหลายรายไม่บอกว่าต้องจ่ายตรง ๆ
2 ต้องชักชวนให้มีคนเป็นดาวน์ไลน์
ดังนั้นรายได้ก็มาจากดาวน์ไลน์นั่นแหละ ไม่ได้มาจากบริการหรือสินค้า
3 เสนอผลกำไรที่เกินจริง
ตรงส่วนนี้ผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง เพราะธุรกิจที่ต้องให้ผู้เข้าร่วมลงทุนต้องมีการบอกว่า
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้เข้าร่วมต้องศึกษาความเสี่ยงก่อนตัดสินใจมาลงทุน" อยู่เสมอ
ซึ่งแท้จริงคนกลุ่มนี้คิดยังไงกับคนที่เข้าไปสมัคร
ลองอ่านกระทู้นี้เพิ่มเติมได้ คุณคิดเห็นอย่างไรกับงานออนไลน์
เราไปป่วนจนทางนั้นเผยธาตุแท้ออกมาแล้ว ลองดูกันเองก็แล้วกัน
และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ธุรกิจนี้อาจจะได้เงินก็ตาม แต่...
1 มันหมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย
ถ้าเกิดภาครัฐปรับกฎหมายเมื่อไหร่ กระเจิงกันหมดแน่
และมีโอกาสผิดกฎหมายทั้งทางเพ่งและอาญา (ฐานหลอกลวงประชาชน)
กล้าพอเอาคอไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางไหม ?
2 มันหมิ่นเหม่ผิดศีลธรรม
คนที่เขารู้ทัน เขาจะไม่คบเรา เพื่อนฝูงญาติพี่น้องจะหนีหาย พ่อแม่ก็เศร้าใจที่ลูกเข้าร่วมกับมัน
ขอถามว่า มีเงิน แต่ไม่มีใครคบใครรัก เงินที่ได้มานี้คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปหรือไม่ ?
3 มันเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอนไม่มีหลักแหล่ง
ไม่มีความน่าเชื่อถือทางการเงิน ทำบัตรเครดิตหรือขอกู้ยืมเงินจากธนาคารไม่ได้
นักลงทุนที่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านได้ ต้องมีความน่าเชื่อถือทางการเงิน
ธุรกิจแบบนี้ ทำได้แต่หาเงินสดมาใช้ลงทุน แต่ไม่มีทางกู้ยืมจากธนาคารทั้งหลายแหล่ได้
รวยก็รวยได้เท่านั้น แต่ถ้าจะรวยยิ่ง ๆ ไปกว่านี้เป็นสิบเท่าร้อยเท่ามันจะทำไม่ได้
เคยได้ยินคำว่า "จับเสือมือเปล่า" ไหม ?
ศัพท์นี้เก่ามากแล้วนะ ตั้งแต่ช่วงปี 40 แปลว่าไม่ลงทุนอะไรเลยไปตัวเปล่าแต่ขอกู้ธนาคารได้
เพื่อเอาไปลงทุนหากำไรเข้ากระเป๋าเป็นพัน ๆ ล้าน ที่เขายืมได้ก็เพราะมีความน่าเชื่อถือทางการเงิน
กลุ่มนี้แหละที่เป็นนักลงทุน หรือนักธุรกิจของจริง ไม่ใช่ของเก๊แอบอ้างแบบธุรกิจเครือข่ายทำ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 24 ธันวาคม 2554 / 00:36
ชีวิตแค่นี้ก็สุขใจแล้ว ^^
ถ้าเรียนจบ ก็เจอกันนะ system analyst 555
ตอนเด็กอยากเป็นวิศวะกร แต่ไม่เก่งเลข ต้องเรียนศิลป์-สังคม สุดท้ายมาขายไก่ย่างที่พัทยา10ปีกว่า
อังกฤษมันก็ได้ไปเอง แต่ห้ามถามมีวุฒิอะไรอายเพราะจบแค่ม.ปลายศิลปสังคมเองไอคิวไม่ดี
ผมว่าพูดengได้ ก็ต้องมีวุฒิตามที่ตลาดแรงงานต้องการด้วยนะ
โดนหลอกด้วยถ้อยคำที่ว่า "เงินดี" เหมือนคุณไง
คิดเหรอว่าถ้าไม่มีคนโง่โดนหลอกเลย จะยังมีธุรกิจหลอกลวงนี้หลงเหลืออยู่น่ะ ?
แน่นอนที่ยังอยู่เพราะมันยังมีคนโง่โดนหลอกอยู่นั่นแหละ
จะยังเป็นหนึ่งในนั้นต่อไหม ?
(แต่ไม่พูดค้านส่วนอื่น แปลว่าส่วนอื่นที่พูดถูกหมดสินะ
ไม่ว่าจะเรื่องต้องจ่ายเงิน หรือมีอัพไลน์อาวน์ไลน์)
#5
ที่พูดออกมาอย่างนี้ แปลว่าคุณไม่ได้มีความรู้ในสายบัญชีหรือสายไฟแนนซ์เลยสักนิด
หรือไม่ก็ คุณไม่เคยทำงานหาเงินอย่างจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน
(เพราะคนที่เคยทำงานหาเงินจะรู้ว่าเงินสดที่เป็นก้อน ๆ มันหายากแค่ไหน)
ยกตัวอย่างนะ สมมติให้มีเงิน 100 บาท
กรณีแรก คุณเอาเงินที่คุณมีไปลงทุน
ใช้ 100 บาทเพื่อเอาเงินไปลงทุนธุรกิจที่ได้กำไร 20% ต่อ 1 ปี
แปลว่าคุณจะได้เงิน 120 บาทเมื่อสิ้นปี
กรณีสอง คุณกู้ยืมเงินเพิ่มด้วย
โดยกู้เงินมา 100 บาท ดอกเบี้ย 10% ต่อปี
แปลว่าใช้ 200 บาทเพื่อเอาเงินไปลงทุนธุรกิจที่ได้กำไร 20% ต่อ 1 ปี
เมื่อสิ้นเดือนคุณจะได้เงิน 240 บาท จ่ายดอก 10 จ่ายต้น 100 คุณเหลือ 130 บาท
ซึ่งจะพบได้ว่ามีกำไรมากถึง 10 บาท
แต่อย่าเพิ่งหยุดตรงนี้ ! อย่าเพิ่งคืนเงินต้น ! เอาเงินไปลงทุนต่อก่อน !
กรณีแรก 120 สิ้นปีที่สองได้เงิน 144
กรณีสอง 230 (จ่ายแค่ดอกไม่จ่ายต้น) สิ้นปีที่สองได้เงิน 276-10=266
ต่างกันเกือบสองเท่าแล้ว ! แบบนี้ยังจะถามอีกไหมว่ายืมทำไม ?
ทว่าเวลายืมไม่ได้เพียงแค่เท่านั้น โดยปรกติธนาคารเขาจะให้ยืม 100 % ของสินทรัพย์ที่มี
ดังนั้นบ้าน ที่ดิน ข้าวของ ที่อยู่ในหน้าบัญชีนิติบุคคลเอาไปประเมินแล้วได้เท่าไหร่
แน่นอนว่าคนเรามีสินทรัพย์มากกว่าเงินสดอยู่แล้ว
ดังนั้นเงินที่สามารถยืมได้จึงไม่ใช่แค่เท่าที่เงินสดมี แต่มันมากกว่านั้นเยอะ
ที่บอกมานี้เป็นแค่ไม่ถึง 1% ของความรู้ทั้งหมดในสายนี้เท่านั้นนะ
และที่เรารู้ยังไม่ถึง 5% ของสายนี้ด้วยซ้ำไป
แต่เราก็เชื่อว่า มันก็พอตอบคนที่มีความรู้เป็น 0% ของสายนี้ได้อย่างแน่นอน
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 4 มกราคม 2555 / 21:11
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 4 มกราคม 2555 / 21:35
1 อันนี้ตามชื่องานเลย เพราะว่าเป็นธุรกิจ ธุรกิจต้องการมีหุ้นส่วนไม่ใช่พนักงาน ดังนั้นเงินที่นำมาใช้เข้าร่วมจะได้กลับในอัตราที่กำหนดไว้ตามเนื่องไขของแต่ละบริษัท สำหรับคนที่ไม่บอกคุณว่าจ่ายตรงๆ เพราะนี่เป็นสไตล์การพูดของแต่ละบุคคล เหมือนการชวนคนไปเที่ยว การชวนของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันทั้งหมดอยู่ที่ว่าแต่ละคนมีข้อมูลแค่ไหน
2 ธุรกิจเครือข่ายจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีสินค้าใดๆดีจริง เหมือนกันกับธุรกิจอื่นที่ผลิตสินค้ามาขายนั้นแหละครับ ลองคิดดุนะครับ ถ้าไม่มีสินค้าใดๆเลยที่ดีในธุรกิจเครือข่าย คนที่เข้าไปก่อนได้เป็นอัพไลน์ แล้วไปชวนอีกคนก็จะเป็นดาวน์ไลน์ ถ้าสินค้าไม่ดี ดาวน์ไลน์จะอยากทำไหมครับ ก็ไม่อยาก อัพไลน์ก็จะกลายเป็นดาวน์ไลน์ พออัพไลน์กลายเป็นดาวน์ไลน์เรื่อยๆก็หมดครับ ล้มทั้งบริษัท ดังนั้น สินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทจะอยู่ได้ครับ
3 คุณลองคำนวณดูตามที่แผนเขาบอกหรือเปล่าครับ แต่ที่คุณไม่ตรงประเด็นของคุณเลยนะเขียนว่าผลกำไรเกินจริง แต่พออ่านเนื้อความบอกว่ามันผิดกฎหมาย อยากให้บอกตรงๆครับเกินจริงอย่างไร ผิดกฎหมายอย่างไรเอาเป็นเรื่องๆไปสิครับ จะปนกันให้ งง ทำไม
1 แล้วมันเหมิ่นเหม่ผิดกฎหมายอย่างไรครับ ภาครัฐจะต้องปรับอะไรธุรกิจนี้ถึงผิดกฎหมายครับ ขยายครับด้วยครับ หลอกหลวงประชาชนยังไงหรือครับ อธิบายหน่อยครับ ผมเห็นว่า บริษัทมี สคบ. ถูกต้องนิ่ครับ
2 มันเหมิ่นเหม่ผิดศีลธรรมยังไงบ้างครับคุณต้องมีหลักฐานประกอบความคิดด้วยนะครับ อย่างนี้เข้าข่ายหมิ่นประมาทได้นะถ้าไม่มีหลักฐานน่ะ
3 ตรงกันข้าม มันมีความแน่นอน อยากให้เข้าใจว่า ธุรกิจที่มีการขายสินค้า ความมั่นคงไม่ได้มาจากสถานบันการเงิน แต่มาจากผู้ใช้สินค้า เอาง่ายๆการขายอะไรซักสิ่งหนึ่งคุณต้องการที่จะมีคนซื้อไม่ใช่คนให้กู้เงิน สมดุลมันคือมีผู้ขายมีผู้ซื้อใช้สินค้า นี่แหละความแน่นอน
ฝากไว้นะครับ ผมไม่ต้องการให้คุณสรุปว่าใครโง่หรือฉลาด วันนี้เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ยอมรับว่ามันไม่ตรงกัน ผมยังสงสัยในสิ่งที่ถามไปอยู่ ดังนั้นถ้าคุณจะแสดงความคิดเห็นโปรดให้เกียรติที่จะไม่ว่ากล่าวความไม่รู้ด้วยครับขอบคุณครับ
ถามว่ามันผิดไมก็ไม่ผิดหรอกน่ะ แต่ธุรกิจเครือข่าย มันทำยากอยู่