![]() |
ประเทศไทยมีสถิติการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย เรื่องเพศเป็นเรื่องน่ารังเกียจของสังคมไทย เด็กไทยอยากลอง แต่ไม่รู้วิธีการป้องกัน อยากรู้เรื่องเพศให้แอบดู (แล้วก็ตามด้วยแอบทำ) ถามพ่อแม่จะโดนหาว่ากร้านโลก แก่แดดแก่ลม ยังไม่ถึงวัย แล้วกว่าเด็กจะถึงวัย บางคนก็ถูกนับรวมอยู่ในสถิติประโยคแรกของบทความนี้ไปแล้ว
จริงๆ เรื่องนี้จะมองไปที่วัยรุ่นผู้หญิงฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะผู้หญิงคนเดียวทำตัวเองตั้งท้องไม่ได้ วัยรุ่นผู้ชายก็ต้องให้เกียรติเคารพในตัวเอง และเคารพในเพื่อนมนุษย์ หากตั้งครรภ์ขึ้นมา คนที่เสียอนาคตคือฝ่ายหญิง อาจต้องแช่แข็งอนาคตที่ดีของตัวเองไปเลย ส่วนฝ่ายชายทำไม่รู้ไม่เห็นก็ยังได้
แต่การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังขัดแย้งกันอยู่ในสังคม นอกจากปัญหาวัยรุ่นชอบเสี่ยง หรือปัญหาการไม่กวดขันดูแลของครอบครัวส่วนหนึ่งแล้ว ปัญหาอีกเรื่องคือระบบการคิดของวัฒนธรรมเรา ที่ขัดแย้งกันระหว่างการสอนให้เข้าใจเรื่องเพศสัมพันธ์ กับจารีตของสังคม
ผู้ใหญ่ในสังคมมองว่าถ้าสอนเรื่องเพศให้เด็กและวัยรุ่น จะทำให้วัยรุ่นอยากลอง แล้วนำไปใช้จริง แต่วัยรุ่นไทยยังเข้าใจผิดๆ เรื่องเพศ และการป้องกัน หากไม่สอน พอเด็กพลั้งไปลองจริงก็เกิดปัญหาอีกเช่นกัน
แต่เมื่อสังคมเราก้าวมาถึงยุคสมัยที่ข้อมูลข่าวสารเสรี เรื่องเพศติดเรตก็ไม่ใช่เรื่องสุดลึกลับอีกต่อไป เราควรปรับเปลี่ยนความคิดกันหรือยัง?

|
จริงๆ เรื่องเพศศึกษาไม่ใช่แต่เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ แล้วตั้งท้องเท่านั้น เรื่องพื้นฐานอย่างการดูแลรักษา และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของอวัยวะเพศ ยังเป็นที่สงสัยของวัยรุ่นตลอด (แต่ไม่รู้จะถามใคร) ทั้งยังมีเรื่องของความอ่อนไหวของจิตใจ ความรักของวัยแรกแย้ม การอกหัก การรู้จักระมัดระวังในการใช้ยาหรืออุปกรณ์ในการป้องกันโรคจากเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์หรือหนองใน การตอบรับ และการปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างแฟนหรือเพื่อน การนำเรื่องไปล้อเลียนในหมู่เพื่อนฝูง หากไม่แสดงมีเพศสัมพันธ์กับสาว การรับสื่อที่ไม่เหมาะสมจากทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือ อินเทอร์เน็ต ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ควรสอนเพื่อให้วัยรุ่นมีภูมิคุ้มกันให้ตัวเองมากที่สุด
. |
![]() |
จารีตวัฒนธรรมของเราอาจขัดแย้งถ้าจะมาพูดเรื่องเพศกัน แต่จะมีวิธีไหนแก้ไขพันธ์ปัญหาเรื่องเพศในวัยรุ่นได้ดีที่สุดล่ะ! ในฐานะวัยรุ่นคิดอย่างไร อยากให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษา/เพศสัมพันธ์กันอย่างจริงจังหรือไม่ อยากรู้ หรือไม่ควรให้รู้ หรือที่ไหนมีตัวอย่างของการเปิดกว้างพูดคุยทางเพศศึกษาได้ ขอให้วัยรุ่นชาว Dek-D ร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ
แหล่งข้อมูล, ภาพประกอบ:
- clip.thaipbs.or.th/home.php?vid=2477
- smartteen.net
- clip.thaipbs.or.th/home.php?vid=2477
- smartteen.net







72 ความคิดเห็น
เห็นด้วยว่าควรให้ความรู้ทางด้านนี้เพิ่มขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้โลกเปลื่ยนไปมากๆ ไม่เหมือนสมัยเก่าๆ
ทำให้การแนะนำที่ถูกต้องมีความจำเป็นอย่างมากๆ
พวกผู้ใหญ่อาจจะอายที่ต้องพูดเรื่องเพศ แต่ขอให้คิดสักนิดว่าการที่เราไม่เคยแนะนำอะไรเลย
แล้วปล่อยให้พวกเด็กๆไปลองผิดลองถูกเอาอาจ อาจจะให้มีปํญหากับสังคมมากขึ้น
ก็ได้นะค่ะ
เด็กถึงได้ลองไงคะ แล้วจากนั้นปัญหาก็จะตามมา
อยากให้ทัศนะคติของผู้ใหญ่ทันโลกปัจจุบันหน่อยนะคะ
เราควรสอนเรื่องแบบนี้อย่างจริงจังซะที มันเป็นเรื่องที่วัยรุ่น และ เด็กสมควรเรียนรู้
เพราะมันก็สอนได้แค่ทฤษฎี .. ไม่มีใครอนุญาตให้ปฏิบัติ
สุดท้ายก็อยากรู้ แล้วไปลองอยู่ดี. ในเมื่อไม่มีอะไรการันตีได้ว่า "สอนแล้วเด็กจะไม่ไปมีอะไรกัน และเป็นลูกที่น่ารัก"
พ่อแม่ก็เลือกที่จะไม่เปิดเผยให้มากเกินไป ให้เขาเรียนรู้ตามวัยของเขาโดยที่พ่อแม่จับตาดูในกรอบที่เหมาะสมดีกว่า
สมมติมีกล่องสมบัติวิเศษถูกล็อคอยู่. ไม่บอกว่าข้างในมีอะไรแต่ห้ามเปิดเด็ดขาดเพราะมัน อันตราย เด็กบางคนก็เชื่อฟัง บางคนอยากรู้แต่ไม่ฝ่าฝืน ในขณะที่บางส่วนคงพยายามหาทางเปิดมันออก. หนึ่งในคนที่พยายามจะเปิดอาจโดนจับได้ทัน แต่ทีนี้ถ้าลองเปิดกล่องสมบัติให้ดูล่ะ? สมมติข้างในมีแหวนวิเศษเรืองแสงหนึ่งวง. เด็กถูกอนุญาตให้ดูแหวนได้ รับรู้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลองสวมมันทั้งที่วางอยู่ตรงหน้า .. การันตีได้ไหมว่าเขาจะไม่แอบหยิบไปใส่ทันทีที่ลับตาคน?
จินตนาการเด็กกว้างไกล? แล้วผู้ใหญ่ไม่เคยเป็นเด็กหรือ?
แต่ผู้ใหญ่รุ่นนี้ยังไม่ทำให้ประเทศติดอันดับท้องในวัยเรียนเป็นอันดับหนึ่งในทวีปเลยนี่
ถ้าจะพูดให้ถูก ควรพูดว่า ผู้ใหญ่น่ะไม่ใช่ไม่ทันโลก .. แต่เด็กสมัยนี้ต่างหากที่ศีลธรรมและจิตสำนึกต่ำลง.
สงสัยอะไรก็ถามที่บ้านได้ แม่ไม่ได้ปิดกั้นอะไร แต่เราก็ไม่ได้ถามรายละเอียดโจ๋งครึ่มนี่นา
ก็คิดว่ามีความรู้เรื่องพวกนี้ในระดับโอเค ทั้งเรื่องป้องกัน หรือเรื่องนับวัน อะไรพวกนี้
รู้ไว้เป็นความรู้ เป็นเรื่องธรรมชาติ วันนึงเราก็ต้องมีเหมือนกันแหละ
แต่ไม่เคยมีนะ คิดว่าจะไม่มีไปจนกว่าจะแต่งงานด้วย
เหมือนกับรู้... รู้ว่ายังไม่ควรมี ไม่เห็นต้องไปเร่งหรือกังวลอะไรเลย
สรุป สนับสนุนให้สอนเรื่องอย่างนี้ ให้ทำความเข้าใจ (ไม่ต้องสอนเรื่องอินไซด์เกินนะคะ) ถ้าเลี้ยงลูกมาดีพอที่จะคิดอะไรได้เอง มันก็รู้เองแหละว่าอะไรควรไม่ควร ถูกไม่ถูก น่าจะดีกว่าปิดให้เหมือนเป็นเรื่องน่าอาย แล้วเด็กจะยิ่งอยากรู้อยากลองเองมากกว่า
คำจำกัดความของ "เพศศึกษา" ในบ้านเรา เป็นอะไรที่ได้ยินแล้วเพลียมาก
ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ เอาง่าย ๆ แค่ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเราเองก็ได้ ไม่ต้องไปเหมารวมถึงสส. รมต. อะไรหรอก
จะบอก จะพูดเสมอ ๆ เวลาเด็กถามเกี่ยวกับเรื่องเพศว่า "โตไปเดี๋ยวก็รู้เอง"
"เพศศึกษา" ไม่ใช่เรื่องที่ "โตไปเดี๋ยวก็รู้เอง" สักหน่อย
ถ้าโตไปแล้วรู้ได้เอง งั้นทำไมถึงได้มีข่าวการทำแท้งบ่อย ๆ ล่ะ
แล้วคนทำแท้งที่เป็นข่าวบางคน ก็อายุจะแตะเลขสามรอมร่อแล้ว
แถมเวลาที่มีข่าวทำแท้งออกมาเนี่ย ผู้หญิงที่ตกเป็นข่าว
ก็มักจะพูดเหมือน ๆ กันว่า ที่ ๆ ไปทำแท้ง เป็นที่ ๆ เพื่อนแนะนำมา
หรือบางที ก็บอกว่า คลีนิคที่ไปทำแท้งนั่นน่ะ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่วัยรุ่น
ถ้าเรื่องนี้มันรู้ได้เองตามอายุที่เพิ่มขึ้น ๆ ทุก ๆ ปีจริง ๆ
คนที่เขาไปอย่างว่ากัน ก็ต้องรู้ด้วยสิ ว่าต้องทำยังไง ถึงจะป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
เพราะอุปกรณ์ป้องกันที่เรารู้ ๆ กันอยู่ ว่ามันมีอะไรบ้าง ก็วางขายให้เกลื่อนตามร้านสะดวกซื้อ
และสำหรับของผู้หญิงเอง แค่เดินเข้าไปในร้านขายยา บอกเภสัช เขาก็หยิบให้แล้ว
ถ้าปั่มปั๊มกันโดยไม่ได้มีการป้องกัน โอกาสป่องป๊องมันก็มีอยู่แล้ว แล้วถ้าป่องจริง ๆ วงจรอุบาทว์ก็จะเกิด
ป่องแล้วทำแท้ง ป่องแล้วทำแท้ง อยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้
ที่มันเป็นอย่างนี้ เพราะวัยรุ่น หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคน
ส่วนใหญ่คิดว่า "ครั้งเดียวไม่ท้องหรอก" แล้วเป็นไง "ครั้งเดียวติดลูก" น่ะสิไม่ว่า
ติดลูกแล้วไง ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ ก็จะทำอะไร ๆ ให้มันถูกต้องตามประเพณี ตบแต่ง ผูกข้อไม้ข้อมือให้เรียบร้อยไป
ส่วนในเคสที่ไม่รับผิดชอบ ผู้ชายก็ชิ่ง ปล่อยให้ผู้หญิงรับกรรมไป ทั้ง ๆ ที่ตอนทำ ก็ทำด้วยกัน
ผู้หญิงคนไหน ที่ยังมีจิตสำนึก ว่าทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่ควรให้ความผิดครั้งที่สอง (ทำแท้ง) เกิดขึ้น
ก้มหน้ารับกรรมที่ถูกโยนมาให้รับเพียงคนเดียวโดยการเป็น single mom
ผู้ชายก็ลอยนวลไป แล้วก็ไปปล่อยเชื้อเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่รับผิดชอบไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
ออกนอกทะเลไปไกล กลับเข้าเรื่อง
บ้านเราอ่ะ ควรมีการสอนเรื่องเพศศึกษาอย่างจริงจัง ไม่ใช่ฉาบฉวยเหมือนอย่างที่เรียน ๆ กันอยู่ทุกวันนี้
อย่างที่น้องคนหนึ่ง ที่ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ที่เคยมาเล่าประสบการณ์ในคอลัมน์พี่เป้อ่ะ
ที่เขาว่า มันจะวิชาหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการจัดการภายในครอบครัว อะไรเงี้ย
ให้เด็กมาจับคู่กัน เป็นสามีภรรยากันหลอก ๆ แล้วก็เอาตุ๊กตามาสมมติว่าเป็นลูก มีการวางแผนด้านการเงิน บลา ๆ ๆ
เราว่า มันก็โอเคนะ ทำให้เด็กเห็นภาพเลยว่า การเป็นพ่อเป็นแม่คน มันไม่ง่ายนะ ต้องมีเรื่องนู้น เรื่องนี้ให้จัดการ
ไม่ใช่ปั๋มปั๊มกัน แล้วก็ป่องป๊อง แล้วก็คลอดลูก แล้วก็จบ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องคิดถึงมัน
อีกเคสหนึ่ง ในเด็กดีมั้ง เหมือนเคยอ่านเจออยู่
น้องผู้ชายอายุ 15 เข้ามาปรึกษาว่า ทำแฟนท้อง เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
แล้วก็เอาแผนการที่เขาคิดไว้มาปรึกษาด้วย
เขาว่า เขาจะให้แฟนเก็บลูกไว้ ส่วนเขาจะทำงาน part time หลังเลิกเรียน
เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับลูก
ไม่อยากรบกวนพ่อแม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น พ่อแม่ก็เสียใจมากพออยู่แล้ว
เรามองว่า น้องคนนี้เขาโตเกินตัว มีความคิดความอ่าน มีวุฒิภาวะ
ต่างกับเด็กผู้ชายบางคน ที่เคยมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าในเด็กดีเหมือนกัน
น้องเล่าว่า ท้อง แต่แฟนไม่รับผิดชอบ แถมย้ายบ้าน ย้านโรงเรียนหนีต่างหาก
สรุป...
นอกจากบ้านเราควรจะมีการเรียนการสอนเพศศึกษาอย่างจริงจัง และเหมาะสมกับช่วงอายุของเด็กแล้ว
ยังควรมีการสอนและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ควบคู่กันไปด้วย
ต้องสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป
ถ้าคิดว่า เรื่องมันใหญ่เกินจะรับผิดชอบไหว ก็ไม่สมควรที่จะทำตั้งแต่แรก
ต้องบอกเด็กเอาไว้เลย ว่าถ้าไป xxx กับแฟน โอกาสท้องมีแน่นอน อย่าคิดว่า ครั้งเดียวไม่ท้อง
แต่ถ้าคิดจะทำกันจริง ๆ ก็ควรมีการป้องกัน และฝ่ายที่ควรจะป้องกันมากที่สุด ก็ควรเป็น "ฝ่ายชาย"
เพราะในเมื่อ ถ้ามันกล้าเดินไปหาผู้หญิง แล้วบอกว่า "เธอ เราขอได้มั้ย ถ้าเธอไม่ให้ แปลว่าเธอไม่รักเราจริง" แล้วล่ะก็
มันก็ต้องกล้าเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ แล้วไปซื้อ condom มาใช้ด้วย
ไม่ใช่ให้ผู้หญิงเดินเข้าร้านขายยา ไปขอซื้อยาคุมแบบรายเดือน หรือแบบฉุกเฉินจากเภสัช
อีกอย่างนะ ผู้ใหญ่ทั้งในครอบครัว และทั้งในบ้านเมือง ควรเลิกมองว่า เรื่องเพศเป็น "เรื่องสกปรก" หรือ "ของต่ำ" ได้แล้ว
ถ้ามันต่ำจริง สกปรกจริง อย่างที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกัน ก็คงไม่มีเด็กเกิดใหม่รายวันอย่างนี้หรอก
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2555 / 13:29
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2555 / 08:13
โดยส่วนตัวแล้ว ในวัยมัธยมเราคิดว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยเฉพาะมัธยมต้นค่ะ
เด็กวัยนี้มักอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเด็กวัยประถม
ซึ่งน่าจะสอนเด็กวัยนี้ ปลูหฝัง ให้ระวัง หรืออะไรก็แล้วแต่ได้แล้วค่ะ
พอมัธยมปลาย
เค้าจะเริ่มกล้าที่จะลองมากขึ้นค่ะ
เพราะงั้น ผู้ใหญ่ควรที่จะเปิดกว้าง มองการไกล และอย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเลยค่ะ
ควรสอน หรือบอกตั้งแต่เนิ่นๆ มันจะได้ฝังลึกลงไปในจิตสำนึกของลูกหลานคุณ
และปัญหาเรื่องเพศในสังคมไทยก็คงจะลดลงได้เยอะเลย ^^
เรื่องเพศศึกษานี้ ไม่เคยได้รับความรู้ที่ถูกต้องหรือครบถ้วนจากการศึกษาในโรงเรียน
หรือแม้แต่ครอบครัวเลยด้วยซ้ำ เพราะผู้ใหญ่ใกล้ตัวล้วนมองว่ามันเป็นเรื่องที่
"บัดสี" เป็นเรื่องที่ "ไม่ดี" เอาแน่ๆคือไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน แค่พูดอ้อมๆให้ได้ยินว่า
ทำแบบนี้มันน่าเกลียดมันไม่ดี มันดูต่ำ หมดอนาคต แค่นั้นแหละค่ะ
ส่วนตัวนะคะเราเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา จาก เพื่อน Internet และ ภาพยนตร์
ความจริงรู้เรื่องแบบนี้ดีพอสมควรตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมห้าแล้วค่ะ
และไม่เคยพูดให้ผู้ปกครองทราบว่าเรารู้เรื่องแบบนี้ดี
ก็ไม่เข้าใจว่า เค้าคิดอะไรอยู่ถึงไม่สอนเรื่องแบบนี้แก่เรา เพราะตอนนี้มันปี2012
ไม่ใช่ยุคแม่พลอยสี่แผ่นดินนะคะคุณพ่อคุณแม่
ยกตัวอย่าง คห.7 ฉันไม่ทราบหรอกนะคะว่าคุณมีลูกแล้วหรือไม่
แต่จากข้อความนึงของคุณที่บอกว่า
"ถ้าจะพูดให้ถูก ควรพูดว่า ผู้ใหญ่น่ะไม่ใช่ไม่ทันโลก .. แต่เด็กสมัยนี้ต่างหากที่ศีลธรรมและจิตสำนึกต่ำลง."
คุณเองก็ช่วยคิดสองด้านตามขื่อdisplayคุณด้วยเช่นกันค่ะ ว่าครอบครัวแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
ถูกเลี้ยงมาไม่เหมือนกัน ความรู้ด้านเพศศึกษาก็ให้ไม่เท่ากัน
ก่อนหันมามองวัยรุ่นว่าจิตสำนึกต่ำลง โปรดย้อนตัวเองด้วยนะคะ ว่าให้การศึกษาอบรมเรื่องเพศกับลูกคุณดีพอหรือยังที่เค้าจะมีเกราะป้องกันตัวเมื่อเวลานั้นมาถึง
จำไว้ค่ะนี่ไม่ใช่ยุคแม่พลอยสี่แผ่นดิน
เลิกดัดจริตกันเสียทีค่ะคนไทย
ปากบอกเป็นเรื่องต่ำ แต่หนังโป๊ และละครไทย ที่มีฉายบนทีวีทุกวัน
ก็ออกจะโจ๋งครึ้ม นิตยสารวับๆแวมๆนี่เคยก็ขายกันทั่วไปหาซื้อได้สะดวกมากค่ะ
หรือแม้แต่ในนิตยสารวัยรุ่นฝรั่งที่แปลเป็นไทย เค้ามีเรื่องเพศให้อ่านให้ความรู้
รวมถึงเรื่องโรคทางเพศสัมพันธ์ ดูให้ความรู้ดีกว่าผู้ใหญ่หลายคนนะคะ
ในความคิดเรา ควรให้เด็กเรียนเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างจริงจัง
รวมถึงผลที่จะได้รับหากพลาดพลั้ง มีการทดลองเป็นพ่อแม่เช่นที่โรงเรียนอเมริกาสอน
เริ่มเรียนกันตั้งแต่ชั้นมัธยม1ค่ะ เพราะเด็กจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว อยากมีแฟนแล้ว
มีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นค่ะ เด็กสมัยนี้โตเร็วจะตาย ป.6ก็ท้องกันแล้วนะคะ
และถ้าเรามีลูกในอนาคต เราจะสอนลูกทุกเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์
อย่างหมดเปลือกค่ะ และเน้นเรื่องความรับผิดชอบ เรื่องความพร้อม
ความเสี่ยง ผลที่จะได้รับหากพลาดพลั้ง เพราะถ้าเราปลุกจิตสำนึกที่ดี
ให้ความรู้ที่มากพอแก่เค้า ประเทศเราคงไม่ติดอันดับวัยรุ่นท้องมากขนาดนี้หรอกค่ะ
ทุกอย่างนี้จะแก้ไขได้หาก "เลิกดัดจริต" ขอบคุณค่ะ
"อย่าลืมว่าพวกเราก็เกิดจากสิ่งนี้กันทั้งนั้น"
เพียงแค่เราสอนเขาในทางที่ถูก ที่ดี สอนให้เรารับผิดชอบ สอนให้เขาป้องกัน และให้เกียรติผู้อื่น เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วคะ อย่าปิดกั้นเลย ยิ่งรู้ช้ายิ่งป้องกันช้านะคะ !
บรรจุลงในหลักสูตรการศึกษาของทุกชั้นปีตั้งแต่ป.1-ม.6 แล้วก็ไปมีในป.ตรีอีก1ครั้ง
โดยเป็นวิชาที่ไม่ต้องเข้มงวดเรื่องเกรด เข้าใจ ทำได้ ก็พอแล้ว มีแค่ผ่านกับไม่ผ่านเหมือนวิชาแนะแนว
อย่ามองว่าพึ่งจะป.1เอง เรียนรู้ไปทำไม
แต่เด็กวัย7ขวบนี้มีกระบวนการเรียนรู้และจดจำที่เร็วมากๆ และยังเป็นผ้าที่ขาวสะอาด
ถ้าปลูกฝังสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ง่ายในอนาคต
แต่ถ้าเริ่มปลูกฝังเมื่อโตแล้ว แต่เด็กมีประสบการณ์ ความรู้ ความคิดความอ่านเป็นของตนเอง
มั่นใจในตนเองสูง เด็กจะคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย หรือจะมีความคิดเชิงต่อต้าน การปลูกฝังก็จะล้มเหลว
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2555 / 22:01