สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ถ้าใครเคยชมภาพยนตร์ที่มีฉากหลังตามท้องเรื่องเกิดในทวีปยุโรป และต้องเดินทางหรือผจญภัยข้ามประเทศไปมา ก็จะเห็นว่าพาหนะที่ตัวละครมักเลือกคือรถไฟ เพราะถึงแม้ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจะมีภูมิทัศน์ที่งดงาม แต่หนทางช่างลำบากนัก ทั้งขึ้นเขาลงห้วย บางที่ยังต้องอ้อมธารน้ำแข็งด้วยซ้ำ การเดินทางด้วยระบบรางจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมาก พี่พิซซ่า เลยนำเส้นทางรถไฟที่จะเห็นวิวสวยที่สุด และโรแมนติกที่สุดมาฝากค่ะ
10 เส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดในยุโรป
อันดับ 1 สาย Rauma จาก Dombås ถึง Åndalsnes ประเทศนอร์เวย์
นอร์เวย์ขึ้นชื่อในเรื่องประเทศที่มีทิวทัศน์สวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่รถไฟสายนี้จะสวยเป็นอันดับหนึ่งในยุโรป ผู้โดยสารจะเพลิดเพลินไปกับยอดเขาสูงมากมาย ที่มีทั้งผาหินชันและต้นไม้เขียวชอุ่มค่อยๆ ลาดลงมาเจอแม่น้ำรอม่า สายนี้มีความยาว 114 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเที่ยวละชั่วโมงครึ่งค่ะ ส่วนช่วงที่วิวแถวนี้จะสวยที่สุดคือช่วงฤดูร้อน
อันดับ 2 สาย Bergen จาก Oslo ถึง Bergen โดยผ่าน Flåm ประเทศนอร์เวย์
อันดับนี้ก็ยังคงเป็นของนอร์เวย์ แต่สายนี้ใช้เวลาเดินทางถึง 9 ชั่วโมงค่ะ แม้จะมีระยะทาง 550 กิโลเมตรเท่านั้น เพราะทางรถไฟสายนี้จะพาทะลุเข้าไปในหุบเขา และแวะกลับขึ้นไปยังสถานีรถไฟที่สูงที่สุดของประเทศอีกด้วย (สูงตั้ง 1.2 กิโลเมตรจากพื้นดิน) ทำให้กลายเป็นรางรถไฟโดยสารที่ชันที่สุดในโลกไปด้วย นอกจากนี้ยังพาผู้โดยสารไปเยี่ยมชมหอประวัติศาสตร์วิศวกรรมการรถไฟอีกด้วย ส่วนช่วงที่วิวสวยที่สุดคือหน้าร้อนที่ดอกไม้จะงดงาม หรือไม่ก็หน้าหนาวที่ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวค่ะ
อันดับ 3 สาย West Highland จาก Fort William ถึง Mallaig ประเทศสกอตแลนด์
สายนี้แฟนๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์จะต้องร้องอ๋อทันทีเมื่อเห็น เพราะเป็นสายเดียวกับที่เห็นในภาพยนตร์ค่ะ ภาพรถด่วนฮอกวอตส์แวบเข้ามาในความคิดทันทีเลย ทิวทัศน์ระหว่างทางประกอบไปด้วยที่ราบสูงสีเขียวสลับน้ำตาล ทะเลสาบ และชายฝั่งทะเลค่ะ นอกจากนี้ยังพาดผ่านภูเขาที่สูงที่สุดของสหราชอาณาจักรด้วย เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาผู้โดยสารสามารถมองเห็นไปไกลถึงอีกเมืองเลย สายนี้ยาว 67 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเที่ยวละชั่วโมงครึ่ง และช่วงที่วิวสวยที่สุดก็คือฤดูร้อนค่ะ
อันดับ 4 สาย Bernina Express จาก Chur ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถึง Tirano ประเทศอิตาลี
สายนี้เอาใจกันสุดๆ ด้วยหน้าต่างบานกว้างเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้โดยสารได้ชมวิวของเทือกเขาแอลป์ในแบบพาโนรามา จะได้เห็นชัดเจนเลยว่าจากฝั่งยุโรปเหนือที่มีแต่ธารน้ำแข็ง มาเข้ายุโรปใต้ที่อิตาลีแล้วมีความแตกต่างกันอย่างไร นอกจากนี้ยังผ่านเส้นทางรถไฟโบราณที่ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกถึง 2 แห่ง รวมไปถึงย่านคนรวยเว่อร์ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ด้วยค่ะ ใช้เวลาเดินทางเที่ยวละ 4 ชั่วโมง ตลอดระยะทาง 123 กิโลเมตร ส่วนช่วงที่น่าไปที่สุดคือเดือนเมษายนค่ะ
อันดับ 5 สาย Cinque Terre จาก Levanto ถึง La Spezia ประเทศอิตาลี
ทิวทัศน์รอบๆ เส้นทางนี้มีทั้งหมู่บ้านท้องถิ่น 5 หมู่บ้าน ที่จะสร้างอาคารเป็นสีสันต่างๆ และสร้างไล่ระดับกันไปเรื่อยๆ ตลอดชายฝั่ง ผู้โดยสารจะมองเห็นทะเลลิกูเรียนที่มีสีฟ้าเหมือนเทอควอยซ์ รวมไปถึงผ่านไร่องุ่นอีกหลายแห่ง ช่วงที่รถไฟจอดพักให้ที่แต่ละหมู่บ้านก็สามารถลงไปซื้อของและเก็บภาพริมชายฝั่งได้นะคะ สายนี้ยาวเพียง 20 กิโลเมตรและใช้เวลาเดินทางเพียง 40 นาทีค่ะ ฤดูที่ควรมาเที่ยวคือตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ไปจนถึงฤดูร้อน ส่วนฤดูร้อนนั้นคนท้องถิ่นบอกว่าจะร้อนเกินจนไม่อยากไปเที่ยวไหน
อันดับ 6 สาย Central Rhine จาก Bingen ถึง Koblenz ประเทศเยอรมนี
ว่ากันว่าสายนี้เป็นสายที่โรแมนติกที่สุดของที่สุดในประเทศเลยค่ะ เพราะผ่านปราสาทสวยๆ แบบในนิทานหลายที่ และยังมีทางน้ำที่คดเคี้ยวแต่งดงามราวกับภาพวาด สายนี้มีระยะทางเพียง 61 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 50 นาทีค่ะ และช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดคือฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงค่ะ เพราะอากาศเย็นกำลังดีน่าถ่ายภาพตอนกอดกันค่ะ ^^
อันดับ 7 สาย Semmering จาก Gloggnitz ถึง Mürzzuschlag ประเทศออสเตรีย
ผู้โดยสารสาย Semmering จะรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ใน Wonderland (จากอลิซในดินแดนมหัศจรรย์) เพราะผ่านทั้งช่องเขา อุโมงค์หลายสาย ทางส่งน้ำโบราณ และสะพานทรงโค้งแบบโบราณอีกหลายแห่ง ถ้ามีโอกาสแวะเมือง Semmering ก็อย่าลืมไปลองใช้บริการซาวน่าที่นั่นด้วยนะคะ รถไฟสายนี้ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที ระยะทาง 41 กิโลเมตรค่ะ ส่วนช่วงเวลาที่น่าเที่ยวก็คือทุกวันตลอดปีค่ะ เพราะเป็นดินแดนมหัศจรรย์จริงๆ
อันดับ 8 สาย Centovalli จาก Locarno ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถึง Domodossola ประเทศอิตาลี
คำว่า Centovalli แปลว่าร้อยหุบเขา ฉะนั้นทิวทัศน์รอบๆ จึงมีท้ังน้ำตกใหญ่น้อย ทุ่งเชสนัท ป่าไม้เขียวขจี และไร่องุ่นหลายแห่ง นอกจากนี้ยังจะเห็นเทือกเขาแอลป์ในมุมที่สวยที่สุด รวมไปถึงผ่านทะเลสาบมักกิโอเร่ที่เป็นสีน้ำเงินใสราวกับอัญมณี ควรโดยสารรถไฟสายนี้ในช่วงฤดูร้อนค่ะ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ระยะทาง 52 กิโลเมตร
อันดับ 9 สายจาก Munich ประเทศเยอรมนีถึง Innsbruck ประเทศออสเตรียโดยผ่าน Garmisch-Partenkirchen
การเดินทางระหว่าง 2 เมืองนี้มีหลายวิธีมาก แม้แต่รถไฟเองก็มีหลายสาย แต่สายที่ชาวท้องถิ่นแนะนำให้ใช้มากที่สุดคือสายนี้ที่ต้องผ่านเมือง Garmisch-Partenkirchen ค่ะ เพราะผู้โดยสารจะเห็นทะเลสาบสวยๆ หลายแห่ง รวมไปถึงภูเขาที่สูงที่สุดในเยอรมนี และภูเขาใหญ่น้อยอีกหลายลูกที่เรียงรายกันนอกเมืองนี้ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง ระยะทาง 157 กิโลเมตรค่ะ และสามารถมาเที่ยวได้ตลอดปีเพราะสวยตลอดจริงๆ
อันดับ 10 สาย Glacier Express จาก Zermatt ถึง St Moritz ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ชื่อเล่นของรถด่วนสายนี้คือสายมหาเศรษฐีค่ะ เพราะมีโอกาสพบมหาเศรษฐีสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว เนื่องจากตลอดเส้นทางที่วิ่งข้ามเทือกเขาแอลป์นั้น จะผ่านสกีรีสอร์ตที่หรูหราที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ถึง 2 แห่ง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเศรษฐีหลายๆ คนในโลกเลยค่ะ (คนไม่เยอะมากด้วย เพราะแพงสุดยอด) นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติด้วย ถ้าอยากแวะพักผ่อนก็ลงไปอ่านข้อมูลของเทือกเขานี้ก็ได้ค่ะ ฤดูที่น่าเที่ยวก็คงไม่พ้นฤดูหนาว รถด่วนสายนี้ใช้เวลาวิ่ง 7 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง 291 กิโลเมตรค่ะ
เห็นภาพแต่ละที่แล้วก็อยากไปเที่ยวนะคะ วิวทิวทัศน์ดูสวยแบบสงบมากเลยค่ะ อยากไปเป็นท่านหญิงรสาบ้าง 55555 น้องๆ อยากลองนั่งสายไหนมากที่สุดคะ ลองเล่าให้เพื่อนๆ ฟังได้เลยนะคะ พี่ขอตัวไปเพ้อต่อแล้วค่ะ ^^
TWITTER: @PiZZaDekD
ข้อมูล
www.lonelyplanet.com/italy/travel-tips-and-articles/77541
ภาพประกอบ
blog.norway.com, www.visitnorway.com, www.cruise-europe.org
www.guardian.co.uk, www.theworldisyourpassport.com
en.wikipedia.org, www.flickr.com, www.geo.de
www.shearings.com, newline-magazine.com, pinterest.com
www.andyweb.co.uk, www.myswitzerland.com
commons.wikimedia.org, www.raileurope.com
22 ความคิดเห็น
งื้อออออออ โรแมนติคมากค่ะ >////<
>< ในเรื่อง spring waltz ป่ะ สวยยยยยย
จะไปให้หมดทุกที่เลย(ถ้ามีเงินพอนะ)