สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com เจอกับ พี่โช และคอลัมน์ JaPON JaPAN (เจปงเจแปน) ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนน่าจะได้ยินข่าวเรื่องที่มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นวิจารณ์สนามบินและแท็กซี่ของไทย ดังนั้นวันนี้ขอเกาะกระแสบ้างอะไรบ้าง แอร๊ก อย่าเพิ่งด่า ฮ่าๆ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรถแท็กซี่ในประเทศญี่ปุ่นครับ ดีไม่ดียังไง เหมือนบ้านเราไหมหรือไม่ยังไง ก็ลองอ่านดูนะครับ แน่นอนว่ามีทั้งข้อดีข้อเสียแน่นอน ที่ต้องเขียนเพราะอุตส่าห์อยู่ญี่ปุ่นมาหลายปีแล้ว ได้ฤกษ์เขียนเรื่องแท็กซี่ให้น้องๆ คนไทยอ่านกันจริงจังก็คราวนี้แหละ แถมรับผิดชอบเขียนบทความญี่ปุ่นให้น้องๆ คนไทยอ่านด้วย ไม่เขียนไม่ได้แล้ว มา ไม่เวิ่นละ...มาเริ่มกันเลยครับ
1. แท็กซี่ญี่ปุ่นไม่ต้องปิดประตูเอง ประตูอัตโนมัติ
ที่ไทยเวลาขึ้นลงรถ โดยปกติก็ต้องเปิดปิดประตูเอง ตอนเปิดต้องระวังมอเตอร์ไซค์เองด้วย ไม่งั้นงานอาจเข้าได้
แต่ที่ญี่ปุ่น คนขับแท็กซี่จะทำการเปิดปิดให้เราครับ โดยเฉพาะตอนจ่ายเงินเสร็จและออกมาจากรถ คนขับจะดูความปลอดภัยรอบๆ ก่อนแล้วค่อยกดปุ่มเปิดประตูให้เรา ให้เราเดินออกไปแบบสง่างามได้เลยแบบไม่ต้องพะวงกับประตูรถ เพราะคนขับจะกดปิดให้ด้วย คือคนไทยที่ยังไม่ชินเวลามาญี่ปุ่นอาจจะหันหลังไปมองนิดนึง แต่ส่วนมากก็จะไม่มีอะไรนอกจากเสียง “พรึ่บ” นุ่มๆ แล้วก็เสียงรถขับออกไปอย่างนิ่มๆ
2. คนขับแท็กซี่จะลงมาช่วยยกกระเป๋าเสมอ และไม่คิดเงินเพิ่มค่ากระเป๋า
พี่โชเห็นที่มีข่าวว่า แท็กซี่บางกลุ่มเรียกร้องให้คิดค่าโดยสารเพิ่มขึ้นหากผู้โดยสารมีกระเป๋าหลายใบ แล้วก็รู้สึกปวดตับว่ามีงี้ด้วย! มาดูที่ญี่ปุ่นบ้างดีกว่าครับ ในกรณีที่เรามีกระเป๋าใหญ่ คนขับรถแท็กซี่ญี่ปุ่นจะรีบเป็นธุระลงมาช่วยเราจัดการกระเป๋าของเราจนเรียบร้อย ในแง่หนึ่งนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของการบริการลูกค้าแล้ว อย่าลืมว่าถ้าปล่อยให้ลูกค้าเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใส่หลังรถเอง อาจใส่ผิดใส่ถูก ทำรถเป็นรอย และไม่รู้วิธีจัดวางที่เหมาะสม บางทีไปวางทับถังแก๊ส ทับกางเกงในอันเปื่อยเยินของนาง (ไม่ใช่ละ ล้อเล่น ส่วนมากแค่ผ้าเช็ดรถที่ตากไว้ รองเท้าของคนขับงี้)
หรือบางทีกระเป๋าเดินทางใหญ่ยัดไม่ลง คนขับจะมีคล้ายๆ เชือกสลิงขึงให้เราได้แม้กระโปรงหลังจะปิดไม่สนิทก็ตาม อันนี้คิดว่าที่ไทยก็มี
3. ระบบนำทางใช้ได้อย่างจริงจัง ใส่เบอร์โทรศัพท์สถานที่ได้เลย หาเจอง่ายขึ้น
ถ้าใครมาญี่ปุ่นจะรู้ว่า ระบบนำทาง พูดง่ายๆ คือไอ้เจ้าจอมอนิเตอร์ที่วางอยู่หน้ารถนั่นแหละ คือมันดี เพราะระบบการหาจุดหมายที่จะไปนั้น นอกจากเราจะใส่ชื่อสถานที่ (ซึ่งเอาจริงๆ บางทีเป็นวิธีการค้นหาที่ยากที่สุดนะ เพราะชื่อมันหลากหลายมาก) เรายังสามารถค้นหาได้จากเบอร์โทรศัพท์อย่างจริงจัง หากไม่มีข้อมูล ก็ไปใส่ที่อยู่แทน ละเอียดถึงระดับบ้านเลขที่
ถ้าจะให้แนะนำนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องมาญี่ปุ่น เวลาขึ้นแท็กซี่ แทนที่จะให้ชื่อสถานที่ ลองค้นหาเลขหมายโทรศัพท์ของเป้าหมายที่เราจะไปมาก่อนควบคู่กับที่อยู่ด้วย แล้วบอกคนขับ ชีวิตจะดีมาก เพราะไม่ต้องพูดมาก นอกจากนี้ ไอ้เจ้าระบบนำทางนี้จะบอกเราด้วยว่า อีกกี่นาทีถึง ระยะทางเท่าไหร่ รถติดไหม ถ้าเป็นสีแดงเถือกก็เตรียมตัวจ่ายตังค์เพิ่มได้เลย
4. คนขับบางคนถ้าขับอ้อมหรือพาไปทางที่รถติดกว่าเดิม มักจะไม่คิดเงิน และขอโทษเรา
บางทีเวลาเราใกล้ถึงจุดหมายแล้วคนขับเกิดแนะนำเราขึ้นมาว่า “ลองไปทางนี้ไหม ทางลัดนะ” หรือแบบว่า “รถติด ขอไปอีกทางนึงได้ไหมครับ” แล้วพอไปจริงๆ ดันติดกว่าเดิม คนขับส่วนหนึ่งจะรู้สึกผิดขั้นเทพ และอาจขอไม่คิดเงินส่วนที่เหลือ ทำหน้าทำตารู้สึกผิดสุดฤทธิ์ น่ารักสุดๆ แต่อันนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่คิดเงินเรา ฮ่าๆ เพราะคุณลุงบางคนก็อาจติดเงินตามปกติ อันนี้แล้วแต่ดวง แต่ส่วนตัวเจอมาแล้วเยอะเหมือนกันที่ไม่คิดตังค์เรา รู้สึกเลอค่ามาก เพราะที่ไทยเคยเจอแบบ โชเฟอร์เม้าท์โทรศัพท์เพลินจนขับวนไปมาบนทางด่วน จนต้องเอ่ยถามเองว่า นี่ขับวนปะครับ? นางถึงจะสารภาพว่าขับวน พร้อมขอโทษ แหม ไม่อยากคิดว่าถ้าไม่ทักไปเนี่ย จะต้องจ่ายค่ารถแพงแค่ไหน
5. แท็กซี่ญี่ปุ่นราคาเริ่มต้นที่ประมาณสองร้อยกว่าบาท
แว้บแรกที่ฟังอาจจะถึงขั้นกรีดร้องและรู้สึกว่าแพงขั้นเทพ ใช่ฮะแพงหน่อย ราคาเริ่มต้นนี้อาจแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างที่โตเกียวก็มิเตอร์เริ่มที่ 730 เยน ก็สองร้อยกว่าบาท (ขึ้นกับอัตราและเปลี่ยน แต่ก็คร่าวๆ ประมาณนี้) วิ่งไปได้ประมาณ 2 กิโลเมตร มิเตอร์ก็จะเริ่มพุ่งทะยานเหมือนน้ำหนักตัวเรา(กรี๊ด) นั่นคือทุก “ตี๊ดดด” ที่มิเตอร์ขึ้น มันจะเพิ่มทีละประมาณ 20-30 บาท เก๋ๆ ไม่สวยไม่รวยนั่งไม่ได้นะจ๊ะ แต่ก็มีข้อแนะนำว่า บางทีแท็กซี่ก็ถูกว่าการขึ้นรถไฟนะ เช่น การเดินทางใกล้ๆ ภายในสองกิโลเมตร และมากันสี่คน รับรอง สบายกว่าการไปขึ้นรถไฟเยอะ แถมราคาเท่าๆ กันด้วย
และพอถึงยามวิกาล ราคาแท็กซี่จะแพงขึ้นประมาณ 25% โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีห้าของวันถัดไป ก็ระวังหน่อยละกันนะครับ
คนไทยอาจมองว่าราคาแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นแพงจัง ก็อาจแพงในสายตาเรา แต่สำหรับค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นแล้ว คนขับแท็กซี่ที่นี่ก็มองว่าราคานี้ “ไม่พอ” อยู่ดี กับประเทศที่ราเมงอย่างถูกๆ ก็จานละสองร้อยกว่าบาท
6. ไม่ว่าจะรีบไปส่งเรา (หรือส่งรถ) ขนาดไหน คนขับจะไม่ปาดหรือสร้างเลนขึ้นมาใหม่
จริงๆ อันนี้ไม่ใช่แค่แท็กซี่ญี่ปุ่น แต่รถทั่วไปเวลารถติดๆ ก็จะไม่เกิดการสร้างเลนซ้ายสุดขึ้นมาใหม่ ก็รักษาระเบียบกันได้ดีมาก และในกรณีที่จะปาดหน้าขอเปลี่ยนเลนกัน คนญี่ปุ่นคิดไม่ตกกันเลยทีเดียว นานๆ ทีถึงจะเจอการขอเปลี่ยนเลน พูดง่ายๆ คือไหล่ทางด้านเลนซ้ายสุดจะว่างเสมอ ไม่มีใครคิดสร้างเลนใหม่แล้วไปแทรกกันข้างหน้าแน่ๆ
7. สามารถจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตอื่นๆ นอกจากเงินสดได้
เนื่องจากราคาแท็กซี่แอบแพงมหาโหด บางทีในกรณีที่เงินสดในกระเป๋าไม่พอ สามารถใช้บัตรเครดิตรูดได้ เก๋ๆ หรือพวกบัตรเดบิต บัตรเติมเงิน รถบางคันก็รับ จริงๆ แล้วก็เป็นความสะดวกอย่างหนึ่งที่เราไม่ต้องคอยพะวงหยิบหาเงินหรือหาเหรียญเพื่อให้พอดีกับค่ารถ ยิ่งเฉพาะตอนกลางคืนที่มืดๆ นอกจากจะเสี่ยงทำของหล่นโดยไม่ทันระวังแล้ว การที่มัวแต่พะวงการจ่ายเงินและรอเงินทอน อาจทำให้เราลืมสิ่งของไว้บนรถได้ มีหลายๆ ทางเลือกให้เราได้จ่ายเงิน บางทีก็มีข้อดีนะ จริงมะ และแน่นอนว่าเวลาจ่ายเงิน คนขับญี่ปุ่นจะขอบคุณ ก้มหัวกันสุดฤทธิ์สุดเดช เอาเป็นว่า ดูแลลูกค้าดีจริงอะไรจริง
8. มีใบเสร็จให้เราเสมอ และในนั้นจะมีรายละเอียดการขึ้นรถลงรถ ราคา และทะเบียนรถเผื่อของหายหรือเกิดอะไรขึ้น
เวลาจ่ายเงิน คนขับจะพรินต์ใบเสร็จให้เราเหมือนร้านค้าทั่วไป เพื่อเป็นการยืนยันการใช้บริการ ขอแนะนำว่าอย่าทิ้งใบเสร็จนั้นเพราะจะเป็นหลักฐานที่มีค่ามากเวลาเกิดอะไรขึ้น ในใบเสร็จบอกเวลาใช้บริการ บอกชื่อบริษัทแท็กซี่ บอกทะเบียนรถ บอกราคา ดังนั้นเราสามารถตามหารถคันที่เราขึ้นได้โดยใบเสร็จใบเดียวนี้ บอกได้เลยว่า "อย่าทิ้ง" แต่เอาจริงๆ นะ พอไม่ทิ้ง ไม่ค่อยมีเรื่องเกิดขึ้นหรอก แต่ตอนที่ใบเสร็จหายหรือทิ้งเนี่ย งานเข้าทุ้กกกกที ให้ตายเถอะ โลกเรา
9. รถบางคันมีช่องเสียบ ยูเอสบี สำหรับชาร์จมือถือ
ช่วงนี้รถที่มีช่องเสียบยูเอสบีในโตเกียวค่อนข้างเห็นได้บ่อยขึ้น นี่ก็ตื่นเต้นชอบใช้บริการ แต่ยังไม่ใช่ทุกคัน ดังนั้นอาจต้องสังเกตก่อนขึ้นรถสักนิดว่าให้บริการเสริมนี้หรือไม่ (แต่เห็น ubertaxi ในไทยก็มีเหมือนกันใช่มั้ย)
10. คนขับไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร
เท่าที่ขึ้นมายังไม่เจอโดนไล่ โดนบ่น หรือไม่รับเราขึ้นแต่แรก อาจจะมีบางกรณีที่คนขับอาจไม่รับเราขึ้น เช่น กระเป๋าเก้าล้านสามแสนใบที่ยังไงๆ ก็ไม่น่ายัดลงรถนางไหวงี้ ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลที่จะไม่ถูกรับ แต่นอกจากนั้นแล้ว โดยส่วนตัวยังไม่เคยเจอแท็กซี่เลือกจุดหมายหรือไม่กดมิเตอร์เวลาขึ้นรถแบบที่เกิดขึ้นหลายๆ ประเทศครับ
10 ข้อนี้อาจจะพอการันตีได้ว่า แท็กซี่ที่ญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างดี อย่างเว็บ cnn.com ก็เคยสำรวจความเห็นว่า คุณคิดว่าที่ไหนมีแท็กซี่ที่ดีที่สุดในโลก ของโตเกียวอยู่อันดับ 3 (รองจากลอนดอนและนิวยอร์ก) ดังนั้นนอกจากรถไฟที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะแล้ว จริงๆ แท็กซี่ที่ญี่ปุ่นก็เป็นอีกบริการหนึ่งในการเดินทางที่เราสามารถไว้ใจได้ แม้จะไม่ได้ดีเลิศประเสริฐทุกคัน ทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น แต่ขอบอกได้เลยว่าการขึ้นแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นเป็นอีกประสบการณ์ที่น่าลองเวลามาเที่ยวครับ ลองนั่งระยะทางใกล้ๆ ดูก็ได้ แล้วจะรู้ว่า...เออ เฮ้ย แพงจริง ฮ่าๆ พอแล้ววันนี้ ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่องอะไรติดตามกันต่อไปนะครับผม
i.gzn.jp , mcha.jp/ , taxi-japan.or.jp , cdn.mkimg.carview.co.jp , cdn-ak.f.st-hatena.com , stat.ameba.jp , kaigotaxi.us
28 ความคิดเห็น
เท่าที่อ่านมา ข้อเสียคือแพงสินะ -^-
ส่วนไทย แท็กซี่บางคันชอบปฏิเสธผู้โดยสาร
แท็กซี่ไทยไม่ได้ปฎิเสธปู้โดยสารหรอก เขาปฎิเสธเส้นทางของผู้โดยสาร
แพงแต่ก็คุ้มกับการบริการและค่าครองชีพดีค่ะ
แท็กซี่เกาหลีก็ปฎิเสธผู้โดยสารเหมือนกันนะ งุงิ หลงทางอีก ขนาดมี gps
ผมเข้าใจความหมายของคำว่า"ต่างกันราวฟ้ากับเหว"อย่างถ่องแท้แล้วครับ
สำคัญที่สุดคือไม่เลือกผู้โดยสาร
ขอเสริมทริคอีกนิดนึงนะคะ :)
เวลาขึ้นแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นเราจะจ่ายด้วยเงินสดเสมอค่ะ
เพราะลุงคนขับจะลดราคาให้ด้วย 5555
แต่คือนั่งในระยะทางที่ไกลหน่อยนะคะ (ราคาก่อนลดประมาณ 4 พันเยนขึ้นไป)
ลดทีนี่ก็เกือบๆ พันเยนเลยค่ะ
แล้วก็ลุงแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นใจดีทุกคนเลยค่ะ
ไม่มีพูดเหน็บแนมหรือชวนคุยเรื่องการเมือง (ข้ามหัวข้อนี้ไป555)
พอเขารู้ว่าเรามาจากไทยก็ชวนคุยใหญ่เลยค่ะ บอกว่าวัดที่ไทยสวยมาก ผลไม้ถูกแล้วก็อร่อยด้วย บลาบลา
มีความสุขตลอดการเดินทางเลยค่ะ :)
ปล. เราขึ้นแต่ที่ต่างจังหวัดค่ะ ไม่รู้ว่าโตเกียวหรือเมืองใหญ่ๆ มีลดให้ด้วยหรือเปล่า ใครรู้ก็มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ :)
แท็กซี่ไทยบางคันชอบจอดรถขวางทางรถคันอื่นในช่วงที่รถกำลังติดไฟแดง
ตอนที่พี่สะใภ้พาเรากับพ่อไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลพญาไท 1
มีแท็กซี่อยู่คันนึงจอดรถขวางตรงแถวสะพานข้ามคลองแสนแสบ
พี่สะใภ้บีบแตรไล่แล้วก็ไม่ไป ไฟเขียวขึ้นแล้วก็ยังไม่ไปอีก
-ข้อ 4 นี่ไม่จริงเลย -ที่ไม่คิดเงินอ่ะ ให้ตายก็ไม่มี เพราะไม่เคยเจอ คนขับแท็กซี่จะเก็บตังทุกกรณี ในกรณีที่ไม่เก็บตัวคือ กรณีที่โดนผู้โดยสารข่มขู่ ว่าพาอ้อม ส่วนใหญ่่พวกนี้แท็กซี่จะกลัวมีเรื่อง ทำให้มีชื่อเสียงด่างพร้อย แต่สุดท้าย คนขับแท็กซี่ก็จะไปแจ้งความ กะตำรวจ ว่าตัวเองโดนผู้โดยสารข่มขู่เพื่อขึ้นแท็กซี่ฟรี
กรณีนี้จะเจอบ่อย
ง่ายๆ แบบญี่ปุ่นก็เตรียมใจเจอ ควักตังเริ่มต้น200กว่า รับรอง ไม่มาเกือบเหมือนญี่ปุ่นเลย ก็บ้านเรามันเริ่มต้น35 จะไปเอาอะไรมาก
ไม่นะ หลายคันก็ไม่ช่วยยกกระเป๋าหรอก เขาก็นั่งรอเรายกกระเป๋าเข้าไปเองอ่ะ อ.ที่ไปด้วยก็เล่าให้ฟังว่าเราต้องยกเอง เขาไม่ค่อยช่วยอยู่แล้ว
ใครเคยขึ้นแท๊กซี่เเล้วประทับใจบ้าง มาเล่ากันบ้างสิ