ใช่แล้วค่ะ เงินคือปัจจัยสำคัญที่ใช้ซื้อสิ่งของจำเป็นและฟุ่มเฟือย และเราก็รู้กันว่าเจ้ากระดาษสีต่างๆ ที่เราถืออยู่ในมือเพื่อใช้ซื้อของน่ะ เราเป็นคนผลิตกันเองนี่นา ถ้าเราอยากจะแก้ปัญหาความยากจนและเศรษฐกิจ ทำไมเราไม่ปั๊มเงินเพิ่ม แล้วแจกชาวบ้านสักคนละสิบล้านล่ะ? ทุกคนจะได้ไม่ยากจนไง
ที่มาของการใช้เงิน
ก็เลยเกิดสิ่งที่เรียกว่า Barter System (บาร์เทอร์ ซิสเต็ม) ระบบการแลกเปลี่ยนที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ ฝ่ายหนึ่งมีปลาห้าตัว อีกฝ่ายมีกระต่ายสองตัว "ขอแลกกระต่ายหนึ่งตัวกับปลาสักสองตัวได้มั้ยพ่อหนุ่ม?"
ประการที่สอง เวลาจะแลกของที่มีค่ามากๆ สมมติอีกฝ่ายบอก "ขอกระต่ายเป็นๆ 10 ตัวแล้วข้าจะยกถ้ำนี้ให้" เราจะไปล่ากระต่ายจากไหนมาตั้ง 10 ตัว แถมต้องคอยดูไม่ให้มันหนีหรือป่วยตายไปเสียอีก แล้วจะหอบหิ้วพามันไปหาเจ้าของถ้ำยังไง
แค่คิดก็ลำบากแล้วค่ะ ไปหาถ้ำใหม่แล้วกัน
เพราะงั้นก็เลยเกิดสิ่งที่เรียกว่า Money System (มันนี่ ซิสเต็ม) หรือระบบเงินตรา มนุษย์สร้างกระดาษที่มีมูลค่าในตัวมันเอง แล้วเอาไปแลกกับสิ่งของที่อยากได้ โดยตกลงกันว่าต่อไปนี้เราจะแลกเปลี่ยนกันด้วยกระดาษนะ
มูลค่าของเงินมาจากไหน?
มูลค่าของเงินไม่คงที่ ถ้าน้องๆ ชาวเด็กดีกลายเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วจะรู้ซึ้งถึงคำว่า "เงินเฟ้อ" เลยค่ะ มันคือการที่มูลค่าสินค้าและบริการในตลาดสูงขึ้น อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ ปัจจัยหนึ่งก็คือ เพราะคนมีเงินจ่าย
สมมติพี่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ปกติขายชามละ 20 บาท ผ่านไปหนึ่งปี น้ำมันก็ขึ้นราคา มะนาวก็ขึ้นราคา พี่เหมารวมๆ เอาว่าวัตถุดิบในการทำอาหารและเปิดกิจการของพี่มันขึ้นราคา เดี๋ยวพี่ขาดทุน ขอเพิ่มราคาค่าก๋วยเตี๋ยวเป็น 30 บาทนะจ๊ะ
เพราะอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิต น้องๆ ก็ต้องยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อข้าวที่แพงขึ้น แม้ว่าตัวเองจะได้เงินค่าขนมจากพ่อแม่เท่าเดิม
หรือบางที พี่เปิดร้านกาแฟแบบสโลวไลฟ์ คิดค่ากาแฟแก้วละ 100 บาท เพราะพี่คิดมั่นใจว่ากาแฟข้าอร่อยที่สุดในสามจักรวาล ทุกคนต้องยอมซื้อแม้จะราคาสูงมาก คนที่มีเงินจ่ายก็ยอมควักเงินจ่าย ร้านอื่นๆ เห็นคนยอมเสียเงินจ่ายค่ากาแฟตั้ง 100 บาท งั้นขอปรับราคาเป็นแก้วละ 50 บาทบ้างแล้วกัน
สินค้าในตลาดก็ทวีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
สังเกตว่าพ่อแม่ หรือรุ่นพี่ของเราที่โตมาอีกยุคจะบ่นเรื่องค่าครองชีพว่าเมื่อก่อนน่ะ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาท เส้นเต็มจาน เดี๋ยวนี้ชามละ 50 กินสองจานยังไม่อิ่ม นั่นแหละค่ะ เขาเรียก "เงินเฟ้อ" มูลค่าสินค้าและบริการเพิ่มเอาๆ ในขณะที่เราถือเงินอยู่ในมือเท่าเดิม (โอ้ย น้ำตาจะไหล)
งั้นก็ปั๊มเงินกันเถอะ!?
เอาล่ะ ทุกคนมีเงินในมือคนละ 5 ล้านแล้วเราทำไงต่อคะ?
ซื้อสิคะ จะรออะไร!
พอคนมีเงินซื้อของ ถ้าเราเป็นแม่ค้าเราทำไงคะ...?
แหม...มีตั้ง 5 ล้าน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 500 ก็จ่ายได้น่า
ทุกคนแห่ไปซื้อไอโฟนจนขาดตลาด แอปเปิ้ลทำไงคะ?
อุ้ย ต้องเพิ่มฐานการผลิต ต้องจ้างคนเพิ่ม เฮ้อ มีแต่รายจ่าย "คุกๆ เพิ่มราคาไอโฟนเจ็ดดีมั้ย?"
เท่านั้นล่ะค่ะ เราก็จะอยู่ในประเทศที่ทุกคนมีเงิน แต่ของก็แพงตามปริมาณเงินในมือเราไปด้วย มันเรียกว่าอะไรนะคะ?
"เงินเฟ้อ" นั่นเอง แม้มีเงินเยอะ ราคาของก็แพงเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดสักที
เมื่อเราต้องจ่ายเป็นพันในการกินอาหารถูกๆ มื้อเดียว แบงค์ 20 ก็จะมีค่าเท่ากับห้าสิบสตางค์ ที่ทุกคนจะทำหล่นไว้กลางทางยังไงก็ได้ และรัฐบาลก็ต้องผลิตแบงค์ 10,000 บาทไทยเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายมากขึ้น
ก็จะเหมือนกับกรณีที่ประเทศซิมบับเวย์ ซึ่งเงินเฟ้อสูงมากภายในปีสองปี จนทำให้เขาต้องผลิตแบงค์ 100,000,000,000,000 (ร้อยล้านล้าน) ซิมบับเวียน ออกมา (ถือแล้วรู้สึกรวย)
ทีนี้เข้าใจแล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมเราถึงสุ่มสี่สุ่มห้าปั๊มเงินมาใช้กันเองไม่ได้ เพราะภาวะเงินเฟ้อมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง
14 ความคิดเห็น
กำลังเรียนเรื่องนี้อยู่พอดี ขอบคุณมากค่ะ
อย่างนี่นี้เอง งงมาตั่งนาน
งงตรงที่บอกว่า "ร้านอื่นๆ เห็นคนยอมจ่ายเงินแก้วละ 100 ก็ขอปรับเป็น 50 บาทบ้างละกัน" คือจะบอกว่าขอปรับเป็น 100 เหมือนกันบ้าง หรือจะบอกว่าขอปรับราคาเพิ่มอีก 50 บ้าง รึปล่าวครับ
ที่ประเทศไทยเป็นอยู่ไม่สามารผลิตเงินใช้เองได้อย่างอำเภอใจค่ะ แต่เป็นการวางหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินต่างๆที่สามารถเปลี่ยนแปลงมาเป็นมูลค่าของเงินได้ เช่น ที่ประเทศไทยมักใช้ในการวางหลักทรัพย์ ก็จะเป็น ทองคำหรือเงินสกุลต่างชาติ ต้องวางหลักทรัพย์ส่วนนี้ก่อนจึงจะสามารถผลิตเงินเพื่อนำมาใช้จ่าย หมุนเวียนภายในประเทศได้
แต่ประเทศสหรัฐสามารถผลิตเงินไม่ต้องมีหลักทรัพย์ได้ ประมาณว่า เป็นเงินส่วนกลางที่ต้องพร้อมให้แต่ละประเทศสามารถกู้ยืมเงินได้ หรือใช้เงินสุกลของสหรัฐฯได้ เช่น ประเทศที่กำลังพัฒนาแห่งหนึ่งต้องการเงินเพื่อนำมาพัฒนา ประเทศที่กำลังพัฒนานี้ต้องการกู้ยืมเป็นเงินจำนวน (เยอะ) จึงไปขอกู้ยืมเงินกับสหรัฐ โดยมีข้อตกลงและเงื่อนไขต่างๆ(ข้าม) ถ้าทั้งสองประเทศตกลงได้ จำนวนเงินที่ประเทศที่กำลังพัฒนาต้องการ สหรัฐฯก็จะผลิตให้ตามที่ตกลง ซึ่งสหรัฐฯไม่ต้องวิ่งหาหลักทรัพย์มาวางก่อนที่จะได้เงินเพื่อนำไปให้ประเทศที่กำลังพัฒนากู้ยืมอีกที...... (ไม่งงเนอะ)
อีกอย่าง มีกรณีให้ศึกษาว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าประเทศเราสามารถผลิตเงินขึ้นใช้เองได้ ก็จะเหมือนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลประเทศเยอรมนีจ่ายค่าชดเชยให้แก่ประชาชนโดยเป็นกระดาษที่สามารถเขียนมูลค่าของจำนวนเงินได้ เข้าใจง่ายๆ ก็เช็คดีๆนี้เอง แต่ที่ไม่ดีก็คือกระดาษที่รัฐแจกจ่ายให้ประชาชนมานั้น มันแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะช่วงสงครามสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุดคืออาหารที่ประทังชีวิตได้ ซึ่งช่วงสงครามนั้นอาหารกลับเป็นอะไรที่หายากมากๆ ขนาดขนมปังขึ้นเชื้อราในช่วงนั้นยังมีค่ามากเลย อาหารมีมูลค่ามากแตกต่างจากเงิน ที่มีจำนวนมากเท่าไรก็ไม่พอจ่าย (ข้อนี้เป็นข้อศึกษาในทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง เงินเฟ้อ ) ท้ายสุดกระดาษที่รัฐบาลแจกจ่ายค่าชดเชยให้แก่ประชาชนนั้น ประชาชนได้นำมาติดเป็นวอลเปเปอร์ เพดาน เพราะอย่างน้อยกระดาษชิ้นนี้ที่รัฐให้มาก็สามารถปิดรอยรั่วหรือแสงที่ลอดเข้ามาในตัวห้องได้ (ถ้าผิดอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะค่ะ ยิ้ม...)
เมื่อเป็นแบบนั้นสุดท้ายเราคงต้องไปแลกเปลี่ยนของกันแบบแต่ก่อน