พี่น้องขอบอกเลยว่าถ้าใครสนใจคณะนี้อยู่ อย่าลังเลที่จะเรียนค่ะ เพราะชีวิตเรา ปัจจัยที่คุมยากที่สุดก็คือ "คน" เราไม่รู้ว่าคนนี้จริงใจกับเราหรือเปล่า เราไม่รู้จะทำยังไงให้คนนี้ยอมทำตามที่เราต้องการดี ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป แค่เพียงเรารู้หลักจิตวิทยาค่ะ
วันนี้ พี่น้องก็เลยขอเสนอหลักจิตวิทยาที่เอาไว้ใช้กับคนรอบตัวเรา เพื่อให้ชีวิตเราง่ายขึ้น อ่านไปแล้วจะตกใจว่า ทำแค่นี้จริงดิ
1. เขาอยากให้เราคุยด้วยหรือเปล่า?
แต่ถ้าเขายังคงหันเท้าไปทางคู่สนทนาอีกคนที่คุยอยู่ แล้วแค่หันหน้ามาคุยกับเรา แปลว่าเขาไม่อยากให้เราร่วมวง เราก็รีบถอยออกมาจะได้ไม่เสียมารยาทนะ
2. บีบให้ตัดสินใจ ด้วยการเสนอทางเลือก
เคยเจอกันใช่มั้ยคะ ถามแฟนว่าจะกินอะไร แฟนบอก "อะไรก็ได้" หาคำตอบยากกว่าสมการเสียอีก แต่ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อเราใช้หลักจิตวิทยายื่น "ทางเลือก" ให้แฟนค่ะ
สมมติวันนี้ต้องไปกินข้าวด้วยกัน ห้ามถามว่า "วันนี้จะกินอะไร" ให้พูดไปเลยว่า "วันนี้กินก๋วยเตี๋ยวเรือข้างโรงเรียนหรือข้าวมันไก่หน้าปากซอยดี"
การยื่นคำถามแบบนี้ทำให้อีกฝ่ายจะคิดว่ามีตัวเลือกแค่ 2 อย่างนี้โดยไม่รู้ตัว และยังทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังได้เลือกอยู่นะ
3. เศร้ามาก ทำไงดี?
ฟีลลิ่งหดหู่ อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้แบบนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนมาทำให้เรายิ้ม เราก็ต้องทำให้ตัวเองยิ้มค่ะ รู้หรือเปล่าคะว่าการบังคับตัวเองให้ยิ้มกว้างๆ แบบคนบ้า จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นดังนั้นเมื่อรู้สึกเศร้าและเราไม่มีใคร ลองยิ้มกว้างๆ ให้ตัวเองดูค่ะ
4. ให้ความสำคัญด้วยการเอ่ยชื่อคนๆ นั้น
เป็นธรรมดาของวัฒนธรรมไทยที่เราจะชอบแทนบุคคลที่เราพูดด้วยคำแสดงฐานะ หรือความอาวุโส เช่น พี่, นาย, เธอ, แก, น้อง
เวลาที่ต้องคุยเรื่องสำคัญๆ อย่างแบ่งงานกันทำในชั้นเรียน ลองเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเล่นดูค่ะ เช่น จาก "แกทำบทที่ 1 นะ" ก็เป็น "ฝน แกทำบทที่ 1 นะ"
การเรียกชื่อคนๆ นั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสำคัญ และได้รับความไว้วางใจมากกว่าเรียกด้วยสรรพนามลอยๆ นั่นเอง
(แต่สำหรับพี่น้อง คงไม่ได้ผลอะไร เพราะชื่อพี่ดันเป็นสรรพนามซะนี่...)
5. เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน งั้นลองวิธีนี้
เสียงนาฬิกาปลุกดังไปสามบ้านแปดบ้านแล้ว แต่เราก็กด "เลื่อนปลุก" ทุกครั้งไป ตั้งเวลาไว้สิบชั้น ก็กดปิดมันทุกชั้น ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อเราได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ให้เราบังคับตัวเอง เด้งขึ้นจากที่นอน ชูมือขึ้นสูงๆ แล้วพูดว่า "เยส!!!"
รับรองตื่นชัวร์ ไม่กลับไปนอนต่อแน่
6. อยากทำร้ายใคร โจมตีความมั่นใจในตัวคนๆ นั้น
รู้หรือเปล่าว่าคนเรามีความมั่นใจในภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างไว้มาก เช่น หัวหน้าห้องของเรา อาจจะมั่นใจในตัวเองสูง และไม่เคยทำพลาดเลย ถ้าหากอยู่ดีๆ เขาพลาด เช่น ลืมเอาการบ้านมาส่งครู หรือลื่นล้มต่อหน้าเรา แล้วเราไปโจมตีเขาซ้ำด้วยการล้อเลียนหรือดูถูก จะทำให้เขาเกลียดเรายิ่งกว่าไปล้อชื่อพ่อเสียอีก (สมัยนี้ยังล้อกันอยู่มั้ยเนี่ย)
เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากให้ใครเกลียดเรารุนแรง อย่าเผลอพูดอะไรที่เป็นการโจมตีภาพลักษณ์ของคนๆ นั้นอย่างเด็ดขาดเลยนะคะ
7. ทำให้คนๆ หนึ่งชอบเราด้วยการชวนไปสวนสนุก
อะดรีนาลีนที่ หลั่งออกมาเพราะความตื่นเต้นนี้ จะทำให้เจ้าตัวเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองมีความสุขที่ได้เที่ยวกับเรา มากกว่าคิดว่าตัวเองมีความสุขเพราะเครื่องเล่นหรือหนังค่ะ
8. อยากรู้ว่าตัวเองเข้าใจดีมั้ย ลองสอนเพื่อนดู
เวลาเราเรียนเรื่องอะไรสักเรื่องแล้วอยากทดสอบตัวเองว่าเข้าใจถูกมั้ย อย่าทำแต่แบบฝึกหัดอย่างเดียวค่ะ หาเพื่อนมาสักคนที่ไม่ได้เรียนเรื่องนี้เหมือนกับเราแล้วสอนเขาดู ถ้าเขาเข้าใจ แปลว่าเราเองก็เข้าใจเรื่องนี้แล้วเช่นเดียวกัน9. ยิ่งนิ่ง ยิ่งโกรธ
แต่ถ้าอีกฝ่ายถึงขั้นทำร้ายร่างกายเราแล้ว ก็ไม่ต้องนิ่งค่ะ แต่วิ่งให้เร็วที่สุดแล้วกัน
10. กินเพื่อลดความประหม่า
หากเราจะต้องประกวดร้องเพลง หรือขึ้นพูดสุนทรพจน์หน้าเสาธงแล้วเราดันเกิดประหม่าขึ้นมา ลองหาหมากฝรั่งหรือขนมสักชิ้นมาเคี้ยวดูค่ะที่ใช้วิธีนี้เพราะตามหลักการแล้ว คนเราจะรู้สึกประหม่าหรือไม่สบายใจเมื่อคิดว่าอันตรายเข้ามาใกล้ แต่เวลาที่อันตรายเข้ามาใกล้เราคงไม่นั่งกินอะไรอยู่ใช่มั้ยคะ?
ดังนั้นเมื่อเรากินอะไรในขณะที่เราประหม่า สมองก็จะคิดไปเองว่า "อ๋อ ตอนนี้เป็นสถานการณ์ปกติ ไม่ได้มีอันตราย" ร่างกายเราก็จะประหม่าน้อยลงนั่นเอง
11. แหวกฝูงชนด้วยจิตใจอันมั่นคง
เชื่อมั้ยคะ อีกฝ่ายจะเดินหลบให้เราอัตโนมัติ เพราะเวลาเราเดิน เรามักจะมองตรงไปข้างหน้า ทำให้เราเห็นสายตาของคนที่เดินสวนมา และพยายามเดินหลบ หากเราเห็นคนที่เดินสวนมากำลังมองข้ามเราไปทางขวา เราก็จะหลบมาทางซ้ายโดยอัตโนมัติเพราะเข้าใจว่าคนๆ นั้นจะเดินไปทางขวาของเรานั่นเอง
วิธีนี้ลองเอาไปทำกันดูนะว่าใช้ได้ผลมั้ย
12. ขอให้ช่วยเรื่องที่ยากที่สุดก่อน
จังหวะนี้แหละค่ะ สวนไปเลยว่า "หนูล้อเล่น ขอแค่ 50 บาทจ้า" แล้วแบมือ พี่น้องรับประกัน ร้อยทั้งร้อย ให้แน่ๆ
วิธีนี้เป็นหลักจิตวิทยาการยื่นข้อเสนอที่ยากเกินจริงไปก่อน เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกว่ามันยากเกินไปก็จะปฏิเสธไม่ทำตาม จังหวะนี้ให้เรายื่นข้อเสนอที่เราต้องการจริงๆ (ซึ่งอีกฝ่ายทำให้ได้แน่) ไปแทน อีกฝ่ายจะรู้สึกว่า เออ อันนี้ค่อยสมเหตุสมผลหน่อย
แต่มีข้อแม้ว่าข้อเสนอที่ 2 ที่ยื่นไป อีกฝ่ายต้องทำให้เราได้จริงนะ อย่าไปเล่นมุขนี้กับคุณครูที่โรงเรียน บอกขอคะแนน 20 เต็ม ไม่ให้ งั้นเอาแค่ 19 พอ แบบนี้คุณครูอาจจะให้มะเหงกมาแทน
13. ขอให้ช่วยเรื่องที่ง่ายที่สุดก่อน
วิธีนี้ใช้กับพี่-น้องด้วยกันจะได้ผลดีมากค่ะ สมมติเห็นน้องนอนดูทีวีอยู่ เราอยากให้น้องล้างจานให้ เราก็เริ่มจากบอกน้องว่าช่วยเปิดพัดลมให้พี่หน่อย น้องก็จะลุกขึ้นมาทำให้เพราะเข้าใจว่าแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ไปดูทีวีต่อ
พอน้องลุกจากโซฟา เปิดพัดลมให้เราแล้ว ทีนี้ก็บอกว่าเดินไปหยิบน้ำในครัวให้ที น้องก็จะทำตามเพราะคิดว่าไหนๆ ก็ลุกแล้วก็เดินไปเลยแล้วกัน
พอเข้าไปในครัว ทีนี้แหละค่ะ บอกเลยว่า ไหนๆ ก็เข้าไปแล้ว ล้างจานในครัวให้ทีนะ น้องก็จะตกอยู่ในภาวะจำยอม เพราะเดินเข้าไปในครัวแล้ว
วิธีนี้เป็นการเอางานง่ายๆ มาล่อให้ช่วยก่อน แล้วค่อยทวีความยากขึ้น ไปจนถึงงานที่เราอยากให้ช่วยจริงๆ อาจจะใช้ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธไม่ทำตั้งแต่แรกนะคะ
14. ถ้าอยากรู้ ให้เงียบไว้
เราทุกคนล้วนอยากระบายเรื่องของตัวเองอยู่แล้วค่ะ เพียงแค่หาจังหวะพูดเท่านั้น ถ้าเราถามใครว่า "ช่วงนี้แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ" แล้วอีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ แค่ "ก็แย่นิดหน่อย"ให้นิ่งแล้วจ้องหน้าเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนจะตัดสินใจเล่าออกมาเองว่า "แย่นิดหน่อย" ของเพื่อนมันนิดหน่อยจริงหรือเปล่า
15. หลอกให้ช่วยถือของ
แต่บางคนอาจจะงงแล้วหยุดการสนทนา อันนี้ก็ถือว่าเฟลไป
16. นายเห็นด้วยกับเราใช่มั้ย?
17. ใครแอบมองเราอยู่นะ
วิธีนี้สำหรับคนที่อยากรู้ว่า "เขามองเราอยู่หรือเปล่านะ" แต่ไม่กล้าหันไป มีวิธีอยู่ค่ะ ให้แกล้งทำท่าหาว แล้วรีบใช้หางตามองปฏิกิริยาของคนๆ นั้น ถ้าเขาหาวตามแปลว่าเขามองเราอยู่ เพราะการหาวเป็นอาการที่ติดต่อกันได้18. อยากด่าก็ด่ามา ฉันจะนั่งตรงหน้าเธอ
เวลาเราต้องเผชิญหน้ากับใครในการประชุมที่ต้องนั่งโต๊ะรวมกัน แล้วมั่นใจว่าอีตาคนนี้ต้องแย้งเราแน่ๆ ให้เลือกนั่งตรงข้ามคนๆ นั้นเลยค่ะ เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่นั่งตรงข้ามตัวเอง (ไม่กล้าด่าต่อหน้านั่นเอง)19. วิธีเอาเพลงที่วนในหัวออกไป
ถ้าสังเกตดีๆ เพลงที่ติดหูเราจะเป็นเพลงที่ไม่จบสักทีค่ะ เหมือนอยู่ท่อนไหนก็วนแต่ท่อนนั้น วิธีการเอาเพลงติดหูนี้ออกไป คือต้องนึกตอนจบของเพลงนี้ค่ะ เมื่อเราคิดถึงตอนจบปุ๊บ เพลงจะหยุดวนลูปไปเอง
แต่ถ้าไม่รู้ตอนจบเพลงจริงๆ ก็ซวยไปนะ
20. ชนะเป่ายิ้งฉุบด้วยคำถาม
ใครเอาวิธีเหล่านี้ไปลองใช้ดู แล้วได้ผลยังไง
มาบอกกันด้วยนะ ^^
lifehack.org
pixabay.com
11 ความคิดเห็น
ว้าวๆ น่าลองหลายข้อเลยค่ะ
เรื่องเพลงวนในหัวนี่เป็นบ่อยมากด้วย ฮาาาา นึกว่าเป็นคนเดียวซะอีก
ทางเลือกบีบบังคับ ใช้กับเพื่อนๆบ่อยมากครับ เวลาที่ให้เลือกกินก๋วยเตี้ยวกับข้าวมันไก่ ชอบก๋วยเตี้ยวมาก เลย เอาก๋วยเตี้ยวอยู่หน้า วันอื่นก็เปลี่ยนช้อยข้างหลังแทน ได้ผลล
ข้อ 2 บีบให้ (เรา) ตัดสินใจ ด้วยการเสนอทางเลือก
เรา "วันนี้กินผัดกะเพราหรือก๋วยเตี๋ยวดี?"
เพื่อน "อะไรก็ได้ (ใน 2 ตัวเลือก)"
...สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจเองอยู่ดี
ข้อ 13 ขอให้ช่วยเรื่องที่ง่ายที่สุด (สำหรับเรา) ก่อน
เรา "ช่วยหยิบแฟลชไดร์ฟบนโต๊ะนายให้หน่อยสิ"
เพื่อน "แป๊ปนะขอจบตานี้ก่อน"
...สุดท้ายก็ต้องลุกไปหยิบเอง (หรือเราขออะไรยากที่สุด เข้าเคสข้อ 12 ไป?)
เคยเจอมาประมาณนี้ล่ะ
จะลองดูนะ ถ้าได้ผลเดี่ยวเอามาบอก
ข้อที่ 12 เคยทำมาแล้วหลายหน ให้แน่ๆพี่น้องลองดู
ข้อ 12 นี่ door in the face เลยค่ะ ขอเรื่องใหญ่กว่าที่ดูทำไม่ได้จนคนอื่นปิดประตูตีหน้าเรา แต่ที่คนอื่นปิดประตูตีหน้าเขารู้สึกผิดเหมือนกัน พอขอเรื่องเล็กกว่าเขาจะรู้สึกว่า เออ ช่วยหน่อยแล้วกัน แล้วก็ยอมทำให้ แต่ถ้าใช้กับครูครูคงมะเหงกลงค่ะ
ส่วนเรื่องสวนสนุกนั่นไม่ต้องเป็นสวนสนุกก็ได้ค่ะ เอาเป็นที่ที่ทำให้หัวใจเต้นรัว ที่ไหนก็ได้ บนตึกสูงๆ สะพานแขวนน่าหวาดเสียว คนเราจะพยายามอธิบายเหตุผลว่าทำไมร่างกายตัวเองรู้สึกเช่นนั้น บางครั้งมักอธิบายสาเหตุผิด ไปที่เสียวๆ หัวใจเต้นรัวเพราะกลัว พอเห็นหน้าเพศตรงข้ามหรือคนอื่น (ชายพบชาย อุ้ย...) เราไม่ได้บอกว่าตัวเองกลัว แต่เราบอกว่าเฮ้ย...เราชอบคนคนนั้นเหรอวะ...ซึ่งเป็นการอธิบายความรู้สึกผิด เท่านั้นแหละค่ะ รักเลย
หรืออีกวิธีหนึ่ง ทำให้เขารู้ว่าเรารัก คนส่วนใหญ่พอรู้ว่ามีคนรักแล้วจะรู้สึกดีมาก อาจรักตอบหรืออย่างน้อยก็ให้ความสนใจมากขึ้น จากนั้นก็หาโอกาสแสดงด้านดีๆ ทำคะแนนซะเลย (เว้นแต่พวกหลงตัวเองหรือได้รับความรักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนะ พวกนั้นมีตัวเลือกเยอะ ต้องทำใจค่ะ)