8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com เมื่อยุคสมัยผ่านไปและอะไรๆ ก็พัฒนา ความรู้บางอย่างที่เคยเรียนมาก็อาจจะกลายเป็นความรู้ผิดๆ ที่ขัดแย้งกับหลักฐานใหม่ๆ ดังนั้นเนื้อหาในหลักสูตรการเรียนการสอนก็น่าจะต้องปรับปรุงเรื่อยๆ เพื่อให้ทันสมัย วันนี้ พี่พิซซ่า รวบรวมความเชื่อผิดๆ หรือสิ่งที่ยังสอนกันผิดๆ อยู่ในหลายโรงเรียนทั่วโลกมาฝากค่ะ ไปดูกันดีกว่าว่ามีอันไหนที่เราเคยเรียนมาบ้างรึเปล่า


โคลัมบัสแล่นเรือไปพิสูจน์ว่าโลกกลมเลยได้พบทวีปอเมริกา

     เห็นหัวข้อแบบนี้เด็กไทยคงส่ายหน้าเลยว่า "ไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนี้มาจากไหน" เพราะในไทยไม่สอนแบบนี้ค่ะ แต่เนื้อหาแบบนี้เนี่ยไม่กี่สิบปีก่อนสอนกันทั่วโรงเรียนรัฐบาลในอเมริกาเลย แถมปัจจุบันนี้ยังมีอีกหลายโรงเรียนในอเมริกาที่สอนแบบนี้อยู่ ลองมาดูเนื้อหาผิดๆ ที่สอนกันอยู่นะคะ


ภาพวาดคณะสำรวจของโคลัมบัส

     ในปี 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้ทุนจากศาสนจักรให้แล่นเรือเดินทางไปยังเอเชียตะวันออก ทั้งที่คนยุคนั้นกลัวมากว่าเขาจะต้องทำไม่สำเร็จแน่ๆ เพราะโลกแบน ถ้าโคลัมบัสแล่นเรือไปเรื่อยๆ ก็จะตกขอบโลกและหล่นลงไปในปากของเต่าที่แบกโลกอยู่แน่นอน ทว่าโคลัมบัสไม่ตกขอบโลก แต่กลับไปพบทวีปใหม่คั่นเส้นทางไปยังเอเชียตะวันออกแทน นั่นคือทวีปอเมริกานั่นเอง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จึงกลายเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ค้นพบว่าโลกกลม และกลายเป็นบุคคลสำคัญของอเมริกาไปเลย
    
     เงิบกันเลยมั้ยล่ะ เพราะความจริงแล้วมนุษย์เรารู้ว่าโลกกลมมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล พีทากอรัสคือนักปราชญ์คนแรกๆ เลยที่คำนวณแล้วสรุปว่าโลกกลม เพลโตเองก็ได้ศึกษาคณิตศาสตร์ของพีทากอรัส และก็ได้ข้อสรุปว่าโลกกลมเช่นกัน จากนั้นเพลโตก็สอนลูกศิษย์เช่นนี้เรื่อยมา อริสโตเติลผู้เป็นศิษย์เอกของเพลโตก็สังเกตการมองเห็นดวงดาวในหลายพื้นที่และคำนวณออกมาว่าโลกเป็นทรงกลม (ส่วนเรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลนั้นว่ากันอีกเรื่องนึง)


ภาพวาดคณะสำรวจของเอริคสัน

     นอกจากนี้ทางเทคนิคแล้วโคลัมบัสไม่เคยได้ขึ้นฝั่งที่พื้นทวีปอเมริกาจริงๆ เลยด้วย เขาขึ้นฝั่งที่บาฮามาสต่างหาก ส่วนตัวทวีปอเมริกาเองนั้นก็มีชาวยุโรปมากมายเคยค้นพบมาก่อนแล้ว ที่มีหลักฐานชัดเจนเลยคือคณะสำรวจชาวไวกิ้งของ Leif Erikson ชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบทวีปอเมริกา โดยคณะของเขาขึ้นฝั่งบริเวณประเทศแคนาดาในปัจจุบัน และที่ผู้คนในยุคโคลัมบัสกลัวว่าเขาจะทำไม่สำเร็จก็เป็นเพราะเขาดูถูกไซส์ของโลกมากเกินไป คนจึงกลัวว่าเสบียงเขาจะหมดกลางทางก่อนไปถึงเอเชีย เพราะดูจากแผนการของเขาแล้ว คนทั่วไปคิดว่าคงไปได้ถึงแค่ครึ่งทางแหงๆ


แต่ละส่วนของลิ้นรับรสได้คนละรส


     เรื่องนี้พี่เองก็เคยเรียนมาสมัยประถมค่ะ โคนลิ้นจะรับรสขม ด้านข้างของลิ้นฝั่งค่อนไปทางโคนรับรสเปรี้ยว ด้านข้างของลิ้นฝั่งค่อนมาทางปลายลิ้นรับรสเค็ม และปลายลิ้นรับรสหวาน มีใครเคยเรียนมาแบบนี้เหมือนกันบ้างมั้ยคะ เอาจริงๆ ตอนนั้นพี่ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะเคยเล่นเอาปลายลิ้นจุ่มน้ำปลาก็ได้รสเค็ม แถมเอาปลายลิ้นเลียมะนาวก็ได้รสเปรี้ยว เผลอๆ ยังได้รสขมแถมมาด้วย ก็รู้สึกว่าปลายลิ้นรับได้ทุกรสนี่นา ไม่ใช่แค่รสหวานแบบที่หนังสือเรียนบอก

     ความเชื่อนี้เริ่มมาจากงานเขียนด้านจิตวิทยาในภาษาเยอรมันที่มีชื่อว่า Zur Psychophysik des Geschmackssinnes ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1901 ค่ะ ในงานเขียนนั้นมีข้อมูลว่าแต่ละบริเวณของลิ้นจะรับรสได้เพียงรสเดียวเท่านั้น แต่ตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมาก็มีการทดลองเพื่อตรวจสอบความเชื่อนี้อยู่เรื่อยๆ และสรุปได้ว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ เพราะจริงๆ แล้วปุ่มรับรสพันๆ ปุ่มบนลิ้นสามารถจับได้ทุกรสไม่ต่างกัน และมันก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อแปลว่านั่นคือรสอะไรอีกที ฉะนั้นลิ้นไม่ได้บอกรสแต่เป็นสมองต่างหาก


นโปเลียนเป็นคนเตี้ยมาก (และนั่นน่าจะทำให้เขามีปม)


ภาพวาดพิธีขึ้นครองราชย์ของนโปเลียนและโจเซฟีน

     เรื่องนี้อาจไม่ได้อยู่ในหลักสูตรการเรียนโดยตรง แต่ในวิชาประวัติศาสตร์ของหลายๆ ประเทศในยุโรปมักมีประวัตินโปเลียน โบนาปาร์ตให้อ่านเป็นหนังสือนอกเวลาค่ะ หนังสือหลายๆ เล่มระบุว่านโปเลียนมีความสูง 5 ฟุต 2 นิ้ว (ประมาณ 157.5 เซนติเมตร)

    ซึ่งตัวเลขนั้นก็ถูกค่ะ เพียงแต่หลายสำนักพิมพ์ดูจะลืมอธิบายว่านั่นคือฟุตและนิ้วแบบฝรั่งเศสในยุคนั้นที่ไม่ตรงกับฟุตและนิ้วแบบสากลของยุคนี้ ถ้าแปลงแล้วจะได้ประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้วหรือประมาณ 170.2 เซนติเมตร บางคนอาจจะมองว่า 170 ก็น่าจะเตี้ยของฝรั่งอยู่ดีนะ แต่อย่าลืมว่าความสูงเฉลี่ยของผู้ชายฝรั่งเศสในยุคนั้นคือ 5 ฟุต 5 นิ้วนะคะ (ประมาณ 165 เซนติเมตร) ฉะนั้นตามมาตรฐานยุคนั้นแล้วนโปเลียนจัดว่าสูงใช้ได้เลยค่ะ ดังนั้นการเรียกผู้ชายตัวเตี้ยที่มีปมในชีวิตจากความไม่สูงว่า "เป็นโรคนโปเลียน" จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลย

     จริงอยู่ที่ว่าช่วงบั้นปลายชีวิตของนโปเลียน เขาถูกชาวบ้านเรียกว่า Le Petit Caporel หรือนายพลตัวน้อย แต่นั่นเป็นเพราะนโปเลียนมักไปไหนมาไหนโดยมีบอดี้การ์ดรายล้อม และการจะเป็นบอดี้การ์ดของนโปเลียนได้ก็ต้องเป็นชายร่างสูงใหญ่เท่านั้น นโปเลียนผู้สูง 170 ยืนอยู่กลางกลุ่มชาย 180 ขึ้นก็ย่อมดูเหมือนเตี้ยเป็นธรรมดา นอกจากนี้การเรียกว่านายพลตัวน้อยนั้นก็เหมือนเป็นคำเรียกแบบน่ารักๆ ด้วย ไม่ใช่คำด่าค่ะ ฉะนั้นนโปเลียนไม่ได้เตี้ยแล้วมีปมจนต้องไปรบเพื่อขยายอาณาเขตประเทศเพื่อชดเชยความสูงนะคะ ไม่เกี่ยวกันเลย


กำแพงเมืองจีนคือสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างเพียงแห่งเดียวที่มองเห็นได้จากอวกาศ


ภาพถ่ายด้วยกล้องเรดาร์ จะเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นเส้นสีส้มๆ ตัดข้ามทะเลทราย (NASA)

     ข้อมูลนี้พี่เคยเจอทั้งในหนังสือเรียนและหนังสือความรู้รอบตัวที่วางขายอยู่ทั่วไปด้วยค่ะ จริงๆ ก่อนที่มนุษย์จะไปเยือนดวงจันทร์ก็เคยมีความเชื่อที่สืบทอดกันต่อมาด้วยนะว่าสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์เลย แต่นักบินอวกาศที่เคยไปดวงจันทร์ก็ยืนยันแล้วว่าขณะอยู่บนดวงจันทร์จะมองเห็นโลกเป็นเหมือนลูกบอลที่มีสีขาวเยอะมาก มีสีฟ้ารองลงมา มีสีเหลืองเล็กน้อย และนานๆ ทีจะเห็นสีเขียวบ้าง แต่ไม่มีทางเห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย นั่นทำให้ความเชื่อนี้หายไป เหลือแต่เชื่อกันว่ายังคงมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศอยู่

     ส่วนผู้ที่ทำลายความเชื่อนี้ก็คือนักบินอวกาศของจีนเองค่ะ Yang Liwei คือนักบินอวกาศคนแรกจากประเทศจีนที่ได้ขึ้นไปอยู่ในอวกาศด้วยโครงการอวกาศของจีนเอง เขายืนยันว่าขณะบินอยู่เหนือจีนและมองโกเลีย เขาเพ่งสุดๆ ยังไงก็ไม่เห็นกำแพงเมืองจีนเลย ตอนนั้นก็เป็นข่าวใหญ่อยู่เหมือนกันค่ะ หลายคนออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนข้อมูลในหนังสือเรียนใหม่เลยด้วย แต่เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายนะคะ สาเหตุที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจากอวกาศก็เพราะกำแพงเมืองจีนสีกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้างค่ะ แต่ถ้าใช้กล้องเรดาร์ของสถานีอวกาศนานาชาติถ่าย ก็จะเห็นแนวเส้นที่บอกได้ว่านั่นแหละคือกำแพงเมืองจีน

     จริงๆ นักบินอวกาศสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นได้มากมายเลยนะคะ ส่วนมากมักเป็นแสงไฟยามค่ำคืน แต่ถ้าพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้วล่ะก็มหาปิระมิดแห่งกีซ่าสามารถมองเห็นได้ชัดจากสถานีอวกาศนานาชาติค่ะ


มนุษย์มีประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่างเท่านั้น


ภาพวาด "การสร้างอดัม"

     เป็นสิ่งที่เรียนกันมานานแล้วว่าคนเรามีประสาทสัมผัสอยู่ 5 อย่าง ได้แก่การมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัส ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฎมาหลายยุคหลายสมัยและในหลายศาสนาด้วย จิตรกรมากมายในยุคก่อนๆ ก็วาดภาพที่สื่อถึงประสาททั้ง 5 นี้เช่นกัน

     แต่เท่าที่นักวิจัยค้นพบจนถึงตอนนี้พบว่ามนุษย์เรามีประสาทสัมผัสเกิน 20 ได้ค่ะ เช่น การรับรู้อุณหภูมิ, การรับรู้แรงดัน, การรับรู้อากัปกิริยา, การรับรู้ความเจ็บปวด, การรับรู้การทรงตัว, การรับรู้ความตึงของกล้ามเนื้อ, การรับรู้การยืดหดของอวัยวะภายใน, ความกระหาย, ความหิว, การรับรู้ถึงสนามแม่เหล็ก และการรับรู้เวลา เป็นต้น


ปลาทองมีความจำสั้นแค่เพียง 3 วินาที


     ข้อนี้อาจไม่ถึงกับเป็นเนื้อหาในบทเรียน แต่พี่ก็เคยได้ยินครูบ่นอยู่บ้างนะคะว่านักเรียนขี้ลืมเหมือนปลาทองเลย ซึ่งเป็นการใส่ร้ายปลาทองอย่างรุนแรงค่ะ มีงานวิจัยจากหลายที่เลยที่ยืนยันว่าปลาทองจำได้เป็นเดือนๆ ไม่ใช่แค่ 3 วิ

     มาดูตัวอย่างการทดลองแรกกันค่ะ เป็นผลงานของทีมวิจัยจากสถาบัน Technion Institute of Technology ในประเทศอิสราเอล เขาฝึกปลาโดยเปิดเสียงเสียงหนึ่งในฟังผ่านลำโพงเวลาที่จะให้อาหาร ผ่านไประยะหนึ่งปลาก็จำได้ว่าถ้าเสียงนี้ดังขึ้นเมื่อไหร่แปลว่าอาหารกำลังมา และพวกมันก็จะว่ายมารออาหารทันที หลังฝึกได้หนึ่งเดือนก็ปล่อยปลาไปตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติของมัน เมื่อผ่านไปประมาณ 4-5 เดือน ปลาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทีมวิจัยนี้ก็เปิดเสียงนี้เรียกอีกครั้ง และปลาเหล่านั้นก็ว่ายกลับมาหาอีกครั้งค่ะ

     ส่วนอีกการทดลองนึงที่ทดลองกับปลาทองล้วนๆ เลยคือผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Plymouth University นักวิจัยติดตั้งประตูลับไว้ในตู้ปลา เมื่อปลาทองว่ายมาชนคันโยก ประตูลับก็จะเปิดและอาหารก็จะถูกปล่อยออกมา เมื่อปลาทองเริ่มคุ้นเคยกับการใช้คันโยกแล้วนักวิจัยก็ตั้งเวลาให้อาหารถูกปล่อยลงมาแค่ในช่วงชั่วโมงเดียวในหนึ่งวัน ผ่านไปไม่กี่วันปลาทองก็รู้แล้วว่าต้องว่ายมาชนคันโยกแค่ตอนเวลานี้เท่านั้น ปลาทองหลายตัวถึงกับว่ายมารอหน้าประตูลับและดูกระวนกระวายตอนใกล้ถึงชั่วโมงให้อาหาร แต่ปลาทองก็ไม่ชนคันโยกพร่ำเพรื่อ เหมือนกับมันเรียนรู้แล้วว่าถึงชนไปก็ไม่มีอาหารร่วงมาอยู่ดี การทดลองนี้ใช้เวลา 3 เดือนจึงทำให้รู้ว่าปลาทองไม่ได้มีความจำ 3 วิแน่นอน


เลือดเมื่ออยู่ในตัวเรามีสีน้ำเงิน แต่พอมันเจอออกซิเจนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง


     พี่ไม่เคยได้ยินความเชื่อแบบนี้ที่ไทยนะคะ แต่ที่อเมริกายังมีบางโรงเรียนที่ครูสอนแบบนี้อยู่ค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ เนอะ ความเชื่อนี้บอกว่า "เลือดตอนที่อยู่ในตัวเราจะมีสีน้ำเงินเพราะมันยังไม่โดนออกซิเจนในอากาศ ไม่เชื่อก็ลองดูที่แขนสิ เส้นเลือดเป็นสีน้ำเงินหรือเขียวใช่มั้ยล่ะ แต่ทันทีที่เรามีแผล ทำให้เลือดไหลออกมา เลือดจะเจอกับออกซิเจนและทำปฏิกิริยากันจนกลายเป็นสีแดง เราจึงเห็นเลือดที่ไหลออกมาเป็นสีแดง" อ่านแล้วก็อยากจะอุทานใส่รัวๆ เลย

     พี่เชื่อว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้รู้อยู่แล้วว่าเลือดเราสีแดงแน่นอน ไม่งั้นเวลาเอาเข็มฉีดยาไปดูดเลือดออกมาโดยตรงเพื่อตรวจเราก็ต้องเห็นน้ำสีน้ำเงินแล้วสิ ส่วนสาเหตุที่เรามองเห็นเส้นเลือดที่แขนเป็นสีน้ำเงินนั่นก็เพราะสายตาเราเองค่ะ แสงต้องผ่านฟิลเตอร์หลายชั้นในผิวเรา ทำให้ส่วนมากแล้วจึงเหลือแต่สีน้ำเงินที่สะท้อนกลับมาถึงตาเรานั่นเอง นอกจากนี้เลือดเราก็ขนส่งออกซิเจนอยู่แล้วด้วยนะ ส่วนเลือดในเส้นเลือดดำก็ไม่ได้มีสีดำ แต่เป็นสีแดงเข้มต่างหาก


โทมัส เอดิสัน คือผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลก


เอดิสันกับเครื่องโฟโนกราฟ

     จริงอยู่ที่เอดิสันมีชื่อเป็นนักประดิษฐ์คนดังแห่งยุค เพราะเขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ในอเมริกามากถึง 1,093 ชิ้น และยังมีอีกหลายชิ้นที่ได้จดสิทธิบัตรในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี รวมถึงยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรหลอดไฟ แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่ประดิษฐ์หลอดไฟค่ะ เขาเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์นี้หลังนำผลงานการประดิษฐ์หลอดไฟของนักประดิษฐ์หลายๆ คนมาทดลองต่อ (เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จดก่อน ชนะ!")

     การประดิษฐ์หลอดไฟมีมานานก่อนหน้านี้แล้ว มีนักประดิษฐ์ถึง 22 คนที่พัฒนาหลอดไฟอยู่เรื่อยๆ แต่เอดิสันคือคนที่นำผลงานของนักประดิษฐ์คนอื่นไปประยุกต์ให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันและยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟให้มากขึ้นก่อนนำไปจดสิทธิบัตร ทว่าเอดิสันก็มักถูกวิจารณ์อยู่เรื่อยถึงความเห็นแก่ตัวของเขา เพราะสิ่งประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรในชื่อเขาส่วนมากคือการนำผลงานคนอื่นมาต่อยอด หรือบางชิ้นที่ประดิษฐ์ใหม่ก็เป็นผลงานที่บรรดาลูกจ้างของเขาทำขึ้น แต่เขากลับไม่แบ่งเครดิตให้คนอื่นด้วยเลย หนึ่งในอดีตลูกจ้างคนดังของเขาคือนิโคลา เทสลา

     บางข้อมูลที่สอนกันมาผิดๆ เป็นเพราะสมัยก่อนยังไม่มีวิธีพิสูจน์จึงสอนกันต่อๆ มาโดยไม่สังเกตอะไร แต่ก็มีบางข้อมูลเช่นกันค่ะที่จงใจสอนต่อกันมาแบบผิดๆ โดยเฉพาะเรื่องราวของประเทศนั้นๆ อย่างเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น หนังสือเรียนแต่ละประเภทให้ข้อมูลไม่ตรงกันซักเท่าไหร่เลย เพราะมักเขียนให้ประเทศตัวเองดูดีและมีเหตุผลมารองรับการกระทำเสมอ ถ้าสนใจข้อมูลประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับประเทศแต่ละประเทศล่ะก็ พี่แนะนำให้อ่านหนังสือที่พูดถึงเหตุการณ์นั้นผ่านสายตาของหลายๆ ประเทศค่ะ แล้วค่อยมาวิเคราะห์เทียบกันอีกที แบบนี้ก็จะได้ข้อมูลที่ตรงมากขึ้น

อ้างอิง
www.cracked.com/article_16101, www.therichest.com
matadornetwork.com, listverse.com
thoughtcatalog.com, www.reference.com
www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2828561
www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1106884
www.nasa.gov/vision/space/workinginspace/great_wall.html
www.todayifoundout.com/index.php/2010/03
www.todayifoundout.com/index.php/2010/07
www.imt.liu.se/edu/courses/TBMT36/pdf/blue.pdf
www.quora.com, www.iflscience.com
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

☜MetalElectroOnce☞ Member 27 ก.ย. 59 15:23 น. 2-1
มันมีอยู่ 3 ความเชื่อครับ แต่ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ ชาวไทยอพยพมาจากอาณาจักรน่านเจ้า หลังจีนบุกครอง แล้วก็ลงมาเรื่อยๆจนถึงแถบอินโดจีน แล้วขับไล่อิทธิพลของขอมหรือจักรวรรดิ์เขมรออกไป แล้วสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยจนมาถึงราชอาณาจักรไทยในปัจจุบันนี้ เหตุใด อาณาจักรน่านเจ้า จึงมีผู้คนเชื่อว่า เป็นอาณาจักรที่บรรพบุรุษชาวไทยส่วนใหญ่เคยอาศัย เพราะ อาณาจักรน่านเจ้า มีกลุ่มชาติพันธฺุ์ไท-กะได อยู่มาก ซึ่งชาวไทย และ ลาว อยู่ในกลุ่มนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม คือ ออสโตรเอเชียติก (เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของ เขมร และ ญวน) ออสโตรนีเซียน (เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของ มลายู ชวา และ ตากาล็อก) ตั้งใจ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

3 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
☜MetalElectroOnce☞ Member 27 ก.ย. 59 15:23 น. 2-1
มันมีอยู่ 3 ความเชื่อครับ แต่ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ ชาวไทยอพยพมาจากอาณาจักรน่านเจ้า หลังจีนบุกครอง แล้วก็ลงมาเรื่อยๆจนถึงแถบอินโดจีน แล้วขับไล่อิทธิพลของขอมหรือจักรวรรดิ์เขมรออกไป แล้วสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยจนมาถึงราชอาณาจักรไทยในปัจจุบันนี้ เหตุใด อาณาจักรน่านเจ้า จึงมีผู้คนเชื่อว่า เป็นอาณาจักรที่บรรพบุรุษชาวไทยส่วนใหญ่เคยอาศัย เพราะ อาณาจักรน่านเจ้า มีกลุ่มชาติพันธฺุ์ไท-กะได อยู่มาก ซึ่งชาวไทย และ ลาว อยู่ในกลุ่มนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม คือ ออสโตรเอเชียติก (เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของ เขมร และ ญวน) ออสโตรนีเซียน (เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของ มลายู ชวา และ ตากาล็อก) ตั้งใจ
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
กำลังโหลด