อย่างที่ทราบกันว่า เอเจนซี่ ก็คือตัวแทนหรือบริษัทนายหน้าที่รับบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษา วางแผนพร้อมดำเนินการตามแผนนั้นให้เสร็จสรรพ เพื่อให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของธุรกิจต่างๆ เกิดความพึงพอใจ ดังนั้นหน้าที่ของเอเจนซี่คือใช้ทุกกระบวนท่าของศาสตร์ ด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การตลาด อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อทำให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จักแล้วมีผลต่อการกระตุ้นยอดขายได้นั่นเอง ซึ่งคนที่เป็นผู้วางแผนกลยุทธ์เหล่านี้ มีชื่อเรียกในตำแหน่งงานว่า "ดิจิทัลแพลนเนอร์" (Digital Planner) และเราก็กำลังจะไปตามติดชีวิตของเธอคนนี้กันค่ะ ^^

เด็ก 90's ที่โตมาในยุค 2000 และรันวงการโฆษณา

ทันทีที่ได้พบกับ "พี่ตาล" สาวมั่นผู้ประจำตำแหน่งดิจิทัลแพลนเนอร์คนเก่ง บทสนทนาง่ายๆ ที่อธิบายถึงประสบการณ์บนเส้นทางอาชีพในวงการโฆษณาขอเธอก็เริ่มขึ้นทันทีค่ะ พี่ตาลเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เธอได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความคาบเกี่ยวของการโฆษณาแบบอนาล็อกสู่ดิจิทัล ซึ่งในตอนนั้น แม็กกาซีนและเว็บไซต์ดูหนังฟังเพลงบนอินเทอร์เน็ต เป็นไอเท็มเด็ดสองชิ้นที่เปิดโลกของเธอให้ได้เห็นโฆษณาที่แปลกใหม่และน่าสนใจหลายอย่าง ที่ทำให้พี่ตาลเกิดแรงบันดาลใจในการเรียนต่อด้านออกแบบนิเทศศิลป์

หลังจากเรียนจบแล้ว พี่ตาลเริ่มงานในตำแหน่งดิจิทัลดีไซน์เนอร์ หรือคนที่ทำหน้าที่ออกแบบภาพแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของเอเจนซี่โฆษณา เธอจึงได้ซึมซับวัฒนธรรม องค์กรและระบบการทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณามาโดยตลอด ซึ่งขณะนั้นก็เป็นช่วงที่แบรนด์ธุรกิจต่างๆ เริ่มทำการตลาดผ่านระบบออนไลน์เยอะขึ้น ด้วยความสนใจในงานโฆษณาอยู่แล้ว เธอจึงเริ่มลงมือศึกษาศาสตร์ด้าน Digital Marketing ด้วยตัวเอง และนั่นก็ได้กลายเป็นจุดที่ทำให้พี่ตาลเกิดแรงบันดาลใจอยากจะผันตัวมาเป็นแพลนเนอร์กับเขาบ้างค่ะ

พี่ตาลเล่าว่า ในขณะที่เริ่มหาข้อมูลและทำความเข้าใจตรรกะต่างๆ ของการทำการตลาดบนระบบออนไลน์ เธอได้เริ่มเก็บโปรไฟล์ในสายงานด้านนี้ให้ตัวเอง โดยอาสาเปิดแฟนเพจเฟซบุ๊กให้ฟรีกับร้านต่างๆ ที่มาจ้างเธอออกแบบกราฟิก ทั้งๆ ที่ ณ เวลานั้น (ประมาณปี 2000 ต้นๆ) โซเชียลมีเดียยังคงเป็นสิ่งใหม่กับคนไทย จนเรียกได้ว่าเจ้าของร้านบางคนก็ยังไม่เก็ตเลยว่าเขาจำเป็นต้องมีเฟซบุ๊กร้านไปทำไม แต่ในที่สุดร้านเหล่านั้นก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น เธอจึงเริ่มมีความมั่นใจที่จะรับงานด้านเป็นที่ปรึกษาด้านโซเชียลมีเดียให้กับแบรนด์ต่างๆ ในที่สุด เธอได้ตัดสินใจสมัครงานกับบริษัท ไอโซบาร์ (ประเทศไทย) จำกัด

ทันทีที่เธอได้โลดแล่นอยู่ในตำแหน่ง Digital Planner เต็มตัว เธอได้ทำหน้าที่วางแผนและจัดการโฆษณาให้ธุรกิจของลูกค้า ด้วยการคิดกลยุทธ์การสื่อสารระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เพื่อทำให้ผู้บริโภคจดจำ สนใจ และต้องการซื้อสินค้า ตามแต่ความต้องการของแบรนด์ธุรกิจที่เข้ามาติดต่อ ซึ่งพี่ตาลก็ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจด้วยการปลุกปั้นแบรนด์ดังหลายเจ้าให้เป็นที่รู้จักมาแล้วล่ะ

9.00 - 9.15 น.

ถ้าไม่ต้องออกไปพบลูกค้าหรือจัดแคมเปญนอกสถานที่ ในทุกๆ เช้า พี่ตาลจะทำการเช็กอีเมลอยู่ที่โต๊ะทำงาน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาอัปเดตแผนงานแต่ละวันให้เป็นปัจจุบันที่สุด โดยสิ่งสำคัญที่พี่ตาลจะต้องดูก็คือ บรีฟงานใหม่ที่เข้ามา และความคืบหน้าล่าสุดของงานที่ค้างไว้ในวันที่ผ่านมา

สำหรับงานที่พี่ตาลได้รับบรีฟมา คือโจทย์งานจากลูกค้าที่ทาง AE หรือคนที่เป็น ตัวแทนในการประสานงานระหว่างบริษัทลูกค้าและทีมงานของพี่ตาลได้ตกลงกันไว้เบื้องต้น เช่น บริษัทไอศกรีมแบรนด์หนึ่ง ต้องการให้ไอศกรีมรสใหม่ที่กำลังจะออกวางจำหน่ายเป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าวัยเรียน และอยากให้มีคนกดไลก์แฟนเพจเฟซบุ๊กเยอะๆ พร้อมค่าจ้างจำนวนหนึ่ง

9.15 - 10.30 น.

หลังจากทราบแล้วว่าวันนี้จะต้องทำอะไร พี่ตาลก็รีบเช็กปฏิทินงานแล้วเริ่มวางสโคปงานคร่าวๆ ว่าโปรเจ็กต์ไหนควรเริ่มและปิดเมื่อไหร่ตามบรีฟที่ลูกค้าตกลงว่าจ้างไว้ หลังจากนั้นก็บรีฟงานดังกล่าวมาวิเคราะห์ถึงความต้องการจริงๆ ของลูกค้า และดูถึงความเป็นไปได้ในสถานการณ์ตอนนั้น โดยการประเมินถึงงบประมาณที่ลูกค้ามีให้ จุดแข็ง- จุดอ่อนของแบรนด์ลูกค้าและแบรนด์คู่แข่ง

งานนี้เรียกได้ว่าต้องใช้อินเทอร์เน็ตเป็นอาวุธกันเลยทีเดียว เพราะพี่ตาลจะต้องนำข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ทางบริษัทได้ทำโปรแกรมเก็บข้อมูลได้จากการสื่อสารกันบนโลกออนไลน์ เช่น สถิติการเข้าเว็บไซต์ของคนในช่วงวัยต่างๆ มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นๆ เช่น เทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย เพื่อหา Consumer Insight หรือความเข้าใจผู้บริโภคในเชิงลึกว่าพวกเขาคิดอย่างไร ชอบอะไร

สาเหตุที่ต้องเจาะข้อมูลให้ถ่องแท้ซะขนาดนั้น ก็เพราะพี่ตาลต้องรู้มาที่ไปให้ได้ว่า "ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงฮิต?" แล้วนำตรรกะที่ได้มาปรับใช้กับแผนการโฆษณาค่ะ ซึ่งทันทีที่ได้ไอเดียว่าแบรนด์ควรจะสื่อสารอะไรออกไปสู่ผู้บริโภค เธอก็จัดแจงสรุปแผนโปรเจกต์ แล้วนำไปประชุมวางแผนกับทีมต่อไปค่ะ

10.30 - 12.00 น.

ต้องบอกก่อนเลยว่า แม้แพลนเนอร์จะเป็นเหมือนคนต้นคิดของแผนโฆษณาทั้งหมด แต่ในรูปแบบการทำงานจริงๆ แล้ว พี่ตาลเรียกการทำงานของเธอว่า "As a team" เลยล่ะ เพราะทันทีที่เธอก้าวเข้าห้องประชุมที่มีทั้งครีเอทีฟ AE ทีมโซเชียลมีเดียแผนที่ถูกร่างไว้ ก็ถูกนำมากางให้ทุกคนได้เสนอความคิดเห็นว่า ไอเดียที่พี่ตาลคิดมานั้นควรนำเสนอในรูปแบบใด และนำเสนอในช่วงไหน

เมื่อช่วยกันคิดปรับแก้อย่างเต็มรูปแบบแล้วก็จะแจกจ่ายหน้าที่ต่างๆ ให้แต่ละฝ่ายได้นำไปทำต่อ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุดและคนทำงานก็ต้องแฮปปี้ด้วย เพราะพี่ตาลได้บอกกับทีมงานเลยว่า การที่จะทำโฆษณาไหนให้ปังได้ ต้องเริ่มจากทีมงานที่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองและแบรนด์ของลูกค้าเป็นสำคัญจ้า

13.00 - 14.30 น.

ลุยงานคิดๆ กับทีมของตัวเองมาตั้งครึ่งวันแล้ว ก็ถึงเวลาที่พี่ตาลจะออกไปพบปะผู้คนนอกทีมกันบ้างค่ะ โดยครึ่งบ่ายนี้พี่ตาลก็มีภารกิจประชุมงานกับเอเจนซี่อื่นๆ ในเครือ เพื่อปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนไอเดียเกี่ยวกับการโฆษณาในระดับอินเตอร์ และอัปเดตเทรนด์ใหม่ที่น่านำมาปรับใช้ ซึ่งเป็นเรื่องของนโยบายที่สเกลใหญ่ขึ้นมาอีกค่ะ

15.30 - 17.00 น.

หลังจากงานประชุมทั้งหลายได้เสร็จสิ้นลง เราก็มีโอกาสได้เห็นความขายเก่งของพี่ตาลอีกด้วย เพราะเธอยังมีหน้าที่พรีเซนต์แผนโฆษณาและเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาติดต่อขอให้เอเจนซี่โฆษณาช่วยปั้นแบรนด์ธุรกิจให้ติดตลาด ซึ่งพี่ตาลได้อธิบายความรู้ที่เข้าใจง่ายๆ ให้ลูกค้าได้เข้าใจถึงหลักการ พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกด้วยค่ะ นาทีนี้ขอบอกว่าสาระล้วนๆ เพราะเรามีศัพท์เท่ๆ ที่คนแวดวงเอเจนซี่ เขาใช้กันมาฝากด้วยล่ะ...

• Pitching : การแข่งขันนำเสนอแผนงานให้ลูกค้าสนใจและเลือกเรา

• Always on content : คอนเทนต์ออนไลน์ที่เกิดขึ้นมาแล้วคงอยู่ตลอดไปถ้าคนสร้างไม่ได้ลบออก ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่แบรนด์ต่างๆ ควรทำขึ้นมา เช่น ข้อความในเฟซบุ๊ก บล็อก กระทู้ในเว็บบอร์ดที่ค้นหาแล้วเจอได้ตลอดเวลา เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลให้ลูกค้า ได้เจอเวลาสนใจในสินค้า

• Micro influencer : ผู้บริโภคทั่วไปที่เล่นโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ได้มีชื่อเสียง แบบเน็ตไอดอลหรือดารา แต่ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้การรีวิวสินค้าของพวกเขาบนโลกออนไลน์เพื่อการโฆษณาให้แบรนด์นั้นๆ ได้

17.00 - 18.00 น.

พรีเซนต์งานกับลูกค้าเสร็จเรียบร้อย พี่ตาลใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเลิกงาน เดินเช็กความคืบหน้าของงานที่ได้มอบหมายให้กับทีมไป เพื่อประเมินความคืบหน้าของสปีดการทำงานไหนแต่ละวัน โดยขณะเดียวกันเธอก็ถือโทรศัพท์อัปเดตเทรนด์ต่างๆ บนโซเชียลมีเดียไปด้วย ซึ่งเจ้าตัวบอกว่ามันทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เจออะไรน่าสนใจมาก็นำไปบอกกับทีมเพื่อประยุกต์ให้เข้ากับงานได้ทันที

พี่ตาลได้พูดถึงสาเหตุที่ต้องเกาะกระแสอยู่ตลอดเวลาว่า งานโฆษณาเป็นงานที่มีความเซ็กซี่ในตัว คือเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนทั้งหมด ในบางครั้งเราไล่ลำดับแล้วว่าจะปล่อยสื่อตามลำดับ 1 2 3 แต่ถ้าเทรนด์เปลี่ยนกระทันหัน ก็อาจจะปล่อย 2 แล้วค่อย 1 หรือ 3 ยังได้เลยจ้า

คิดงานไม่ออก ปัญหาใหญ่ที่ใครก็เจอ

อย่างที่เห็นกันว่าอาชีพของพี่ตาล เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดอยู่ทั้งวัน และอดสงสัยไม่ได้เลยค่ะว่าคนที่ต้องออกไอเดียเจ๋งๆ และใช้ได้จริงอยู่เสมอเนี่ย เขาจะมีวันที่สมองตันคิดงานไม่ออกกันบ้างมั้ยนะ? พอถามไปพี่ตาลไปก็ถึงบางอ้อเลยล่ะว่า แพลนเนอร์ก็มีมุมที่คิดงานไม่ออกเหมือนกัน แต่เนื่องจากนี่คือหน้าที่หลักที่ต้องรับผิดชอบ เธอจึงมีวิธีแก้ปัญหาที่น่าสนใจและใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ด้วยหลักคิดง่ายๆ คือไม่จมอยู่กับทางตันเพียงคนเดียว ถ้าเริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้วให้ลองไปคุยกับคนอื่นดู อาจจะลองทำแผนคร่าวๆ ที่เราอาจคิดว่ายังไม่เพอร์เฟกต์แต่บ่งบอกว่าฉันอยากได้แบบนี้ล่ะ สักสองแผนไปยื่นให้เพื่อนว่าถ้าเป็นเธอจะเลือกอันไหน เพราะอะไร ซึ่งระหว่างที่คุยปรึกษากันไป เราก็จะมีแนวคิดที่แปลกใหม่กลับมาใส่งานของเราให้บรรดเจิดได้นั่นเองจ้า

5 ทีเด็ดของคนเป็นแพลนเนอร์ที่ดี

ได้มาใกล้ชิดชีวิตการทำงานของแพลนเนอร์คนเก่งทั้งที อะไรที่ว่าเด็ดว่าดีก็ต้องถามเจาะลึกมาให้หมดค่ะ ซึ่งถ้าใครอยากเป็นนักวางแผนให้แบรนด์ธุรกิจแบบพี่ตาลแล้วล่ะก็ มาจดจำแล้วนะไปใช้กันได้เลย!

• 

  มีความคิดสร้างสรรค์ : คิดและทำในสิ่งใหม่ที่ได้ประโยชน์

• 

  มีเหตุผล : คิดและตัดสินใจบนหลักความเป็นจริง อ้างอิงข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้

• 

  มีมนุษยสัมพันธ์ดี : ไม่ตั้งตนเป็นคนออกคำสั่งกับทีม ทำงานร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ

• 

  ไม่ปล่อยให้ชีวิตนิ่งเฉย : เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานที่ท้าทาย หาความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ

• 

  สื่อสารชัดเจน : ฟัง พูด อ่าน เขียน รู้เรื่องทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ